โพสต์เมื่อ 31 ม.ค. 2560, 22:27
อารัมภบท
จันทรามืดมิด ลมกระโชกแรง ราตรีแห่งการฆ่าคน
หลี่หลินกุมพวงมาลัยแน่น เหยียบเบรก คุณชายของคฤหาสน์หรูบนเขามีนิสัยประหลาดอยู่อย่าง ชอบขี่จักรยานเสือภูเขาออกกำลังกายตอนสี่ทุ่มทุกวัน หน้าที่ของหลี่หลินก็คือ สร้างอุบัติเหตุรถชนกับจักรยานคันนี้
การที่รถเกิดอุบัติเหตุถูกเรียกว่า “รถเกิดอุบัติเหตุ” เป็นเพราะ “รถ” เกิดอุบัติเหตุ ไม่ใช่ “คนขับรถ” เกิดอุบัติเหตุ ดังนั้นต่อให้ถูกจับ ก็แค่ถือเป็นความผิดตามกฎจราจร อย่าว่าแต่ตามแผนการ เขาไม่ได้คิดจะหนีเลย จะไม่ทิ้งข้อสงสัยใดๆ ให้แผนนี้ ที่จะทำให้ใครฉุกคิดว่านี่คือการฆาตกรรมที่มีการวางแผนไว้ล่วงหน้าโดยเด็ดขาด
แผนการรัดกุมไร้ช่องโหว่
หลี่หลินไปกินข้าวดื่มเหล้ากับเพื่อน จากนั้นขับรถกลับบ้านที่อยู่บนเขา บ้านก็สร้างไว้ตั้งแต่เมื่อหกเดือนก่อน
คนที่ดื่มมาแล้วขับรถกลับบ้าน บังเอิญไปชนคุณชายที่ออกมาขี่จักรยานออกกำลังกาย เป็นเรื่องปกติมาก
หลังจากรอห้านาที ชายหนุ่มก็สตาร์ทรถ ขับขึ้นไปบนเขา ไม่มีทางพลาดแม้แต่นาทีเดียว กระทั่งเวลาที่เขาต้องใช้ในการขับรถกลับบ้านยังคำนวณไว้เสร็จสรรพ
ดังนั้นเขาจึงขับรถชนคุณชายที่ขี่จักรยานเสือภูเขาตามแผน มองดูจักรยานเสือภูเขากับคุณชายกระเด็นออกไปไกลยี่สิบเมตร ชายหนุ่มลงจากรถไปดูจนแน่ใจว่าคุณชายตายแล้ว ค่อยแจ้งตำรวจด้วยเสียงลนลานสติแตก
ตามแผนเดิมคือ ผลลัพธ์ไม่จ่ายค่าทำขวัญก็เข้าคุก แต่เจ้าของคฤหาสน์หรูบนยอดเขาไม่มีทางอยากได้ค่าทำขวัญไม่กี่แสน[1] จึงได้แต่ขอให้ศาลตัดสินจำคุกหลี่หลิน ๓-๕ ปี
ตอนที่รับงานนี้มา ชายหนุ่มได้ใคร่ครวญถี่ถ้วนแล้ว ใช้เวลา ๓-๕ ปีใช้หนี้บุญคุณนั้นไม่ขาดทุน ที่เขานึกไม่ถึงก็คือ เวลานี้พี่น้องที่เขาเป็นหนี้บุญคุณ ไม่ต้องการให้เขาทดแทนบุญคุณแล้ว แต่ต้องการชีวิตของเขา
ชายหนุ่มตายในการวิวาทหมู่ภายในคุก ด้วยฝีมือต่อสู้ของเขา ไม่มีทางเป็นคนที่จะตายในการยกพวกตีกันของนักโทษสองแก๊งเด็ดขาด แต่พี่น้องที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาได้มอบหนึ่งมีดกับหนึ่งประโยคให้เขาอย่างอ่อนโยน
“พี่น้องของนายขอให้นายไปดี”
ผู้คุมมาถึงช้าเหมือนตำรวจในหนังตำรวจกับมาเฟีย ร่างชายหนุ่มเกร็งกระตุกขณะมองไปยังผืนฟ้าเล็กๆ นอกลูกกรงหน้าต่าง ยิ้นเย็นชาคิดในใจว่าตายเพราะคุณธรรมห่าเหวนี่ขาดทุนเป็นบ้า บางทีตั้งแต่ตอนนั้นที่ส่ายหน้าบอกว่าไม่เอาเงิน ก็ถูกกำหนดบทลงเอยแบบนี้ไว้แล้ว พี่น้องของเขาไม่เชื่อว่าเขาไม่ต้องการเงินแม้แต่แดงเดียว แค่ต้องการตอบแทนบุญคุณเท่านั้น...
<>::<>::<>
หลี่หลินเดินไปบนถนนในยมโลกอย่างสนอกสนใจ เห็นว่าไม่ได้ต่างอะไรกับการเดินบนถนนใหญ่เลย เพียงแต่แนวไม้ประดับสีเขียวริมทางเปลี่ยนเป็นดอกไม้สีแดงสดราวกับเลือด
ชายหนุ่มลองทักถามเหล่าวิญญาณที่ตาไม่มีแววไปหลายตน แต่ไม่มีตนไหนสนใจเขาเลย นี่แหละความแตกต่างของโลกมนุษย์กับยมโลก ในโลกมนุษย์ ยังไงก็ต้องมีคนใจดีช่วยตอบคำถามให้เขาอย่างละเอียด ชายหนุ่มสนใจดอกไม้สีแดงสดนี้มาก อยู่ๆ ก็นึกขึ้นมากะทันหันว่า นี่คงไม่ใช่ดอกมัญชุษกะที่เล่าลือกันหรอกนะ? เขานึกถึงแฟนสาวคนที่เขาเคยคิดจะขอแต่งงาน คุณเธออ่านนิยายรักแล้วหลงใหลดอกมัญชุษกะยิ่งเสียกว่ากุหลาบแดง
ชายหนุ่มยืนชมดอกไม้อยู่ครู่หนึ่ง แล้วยื่นมือไปเด็ดมาหนึ่งดอก เสียบไว้ด้านหน้าตัวเสื้ออย่างระมัดระวัง ชั่วขณะนี้เขารู้สึกว่าตัวเขาเหมือนเจ้าบ่าวมาก
หลี่หลินยังไม่ทันเดินตามคิวไปถึงตรงหน้าแม่เฒ่าเมิ่ง[2]เพื่อรับถ้วยน้ำมาดื่ม ก็ถูกเจ้าหน้าที่ยมโลกซึ่งควบคุมดูแลเรื่องระเบียบวินัยกับวิญญาณชั้นสูงตนหนึ่ง เตะลงไปในแม่น้ำหลงลืม[3]อย่างเหมือนไม่ได้ตั้งใจ แต่ความจริงคือจงใจ ชายหนุ่มอยากสบถ แต่คิดดูแล้วเห็นว่าตัวเขาตายไปแล้ว ยังจะมาโมโหกับเรื่องแบบนี้มันไร้สาระมาก จึงผ่อนคลายตัวเองปล่อยให้ตัวลอยอยู่ในน้ำ
เขานึกขึ้นได้ว่า เขายังไม่ได้ดื่มน้ำของเมิ่งผอเลย
<>::<>::<>
ท่ามกลางแนวเทือกเขาบริเวณชายแดนตะวันตกของแคว้นอาน กำลังอยู่ในช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วง ดวงตาที่มองไปยังหุบเขาอย่างเลื่อนลอยของเด็กน้อยวัยหกขวบเปล่งประกายชีวิตอย่างกะทันหัน เจิดจ้างดงามอยู่ใต้แสงตะวันราวกับบึงน้ำสีรุ้งที่อยู่ห่างออกไปด้านล่างไม่ไกล
หลี่หลินถอนหายใจ หมดอารมณ์แม้แต่จะแสร้งปัญญาอ่อน เพราะเขาได้ยินคนเฝ้ายามที่อยู่ข้างๆ พูดว่า “ปัญญาอ่อนก็ไม่เป็นไร หน้าตาแบบนี้ไม่ส่งไปเรือนโบตั๋นสิน่าเสียดายแย่”
เรือนโบตั๋น? หน้าตาแบบนี้ ยังจะไปทำอะไรได้? ดังนั้นหลี่หลินปัดก้นลุกขึ้นยืน มองคนเฝ้ายามพร้อมกับยิ้มให้ด้วยรอยยิ้มไร้เดียงสาของเด็กน้อยวัยหกขวบ “ที่นี่คือที่ไหนเหรอ?”
เขารู้แน่อยู่แล้วว่าที่นี่คือที่ไหน ดูเด็กๆ กลุ่มใหญ่ตะโกน “ฮึ่ยย่าห์ๆ!” ฝึกหมัดมวย ฉากพรรคนั่นพรรคนี่ฝึกลูกหมาแสนภักดีตั้งแต่เล็กในภาพยนตร์มาแสดงให้เห็นอยู่ตรงหน้านี่แล้ว เขาไม่คิดจะเป็นนักฆ่าอีกหรอกนะ ชาติที่แล้วเป็นเสียเหนื่อยแทบกระอัก
แต่เทียบกับถูกส่งไปซ่องแล้ว ดูเหมือนเป็นนักฆ่าจะดีกว่าอยู่หน่อย ดังนั้นหลี่หลินจึงได้สติตื่นขึ้น
มือเล็กๆ ขาวนุ่มนิ่มกุมมีดขาววาววับ เขาลองกวัดแกว่งดู แต่ละส่วนของร่างกายยังไม่ถึงระดับที่ต้องการ แต่ก็เรียกความรู้สึกของชาติที่แล้วกลับมาได้บ้างเล็กน้อย ทำให้เขาพอใจมาก
ในสามเดือนนี้ เขาต่อสู้กับเด็กคนอื่นๆ บนพื้นที่โล่งกว้าง สามเดือนให้หลัง บนชุดของเขาติดหมายเลขหนึ่งร้อย เดินเข้าไปในหอไม้ที่ติดหมายเลขสิบพร้อมกับเด็กอีกเก้าสิบเก้าคน เริ่มต้นเข่นฆ่ากันเอง
ชั่วพริบตาที่เดินเข้าไปในหอไม้ เขานึกถึงฉากตีกันในคุกเมื่อชาติก่อนขึ้นมาอย่างเศร้าๆ ก่อนจะยิ้มออกมา ชาตินี้ข้างกายเขาจะไม่มีพี่น้องคนไหนแทงมีดใส่เขาจากข้างหลังได้อีก
_______________
[1] “ไม่กี่แสน” ในที่นี้ คือ “ไม่กี่แสนหยวน” ซึ่ง 1 หยวน = 5 บาทกว่าเกือบ 6 บาท
[2] แม่เฒ่าเมิ่ง (เมิ่งผอ) ตามความเชื่อของคนจีน แม่เฒ่าแซ่เมิ่งมีหน้าที่ยื่นน้ำสำหรับลบความทรงจำในอดีตชาติให้แก่ดวงวิญญาณที่จะข้ามสะพานน่ายเหอไปเกิดใหม่
บทที่ 1
ตายใต้ดอกโบตั๋น
หิมะผ่านพ้นท้องฟ้าสดใส ภายในหุบเขาแสงแดดอ่อนๆ สาดส่องไปทั่ว ท่ามกลางโลกสีเงิน มีเพียงยอดไม้ที่เผยสีเขียวเข้มเหลือบดำอยู่รำไร บรรยากาศดั่งภาพเขียนสีน้ำนี้ กระตุ้นอารมณ์กวีอยู่ไม่มากก็น้อย
“ผืนแผ่นดิน ดั่งภาพเขียน” หลี่เหยียนเหนียน คลุมเสื้อคลุมสีกรมท่านั่งอยู่ใต้ชายคา ขนจิ้งจอกเงินที่รอบคอขับเน้นให้ตัวเขายิ่งดูองอาจสง่างาม
เสียงของเขาจางมาก แผ่วจางและอ่อนโยน เหมือนแสงแดดบนผืนหิมะไม่มีผิด
“เรียนจื๋อซื่อ เรือนสิบหลังออกมาทั้งหมดสิบเจ็ดคนขอรับ เรือนหมายเลขหนึ่งหนึ่งคน เรือนหมายเลขสองสองคน เรือนหมายเลขสามสองคน...เรือนหมายเลขสิบห้าคน” ชายชุดดำคนหนึ่งรายงานเสียงนอบน้อม
ดวงตาหลี่เหยียนเหนียนวาบประกายตกใจอย่างรวดเร็ว สายตากวาดลอยๆ ผ่านร่างคนทั้งสิบเจ็ดที่ยืนอยู่ในลานเรือน ลุกขึ้นช้าๆ ยืนตัวตรง แล้วยื่นเตาอุ่นมือในมือออกไป
หลี่เอ้อร์ รีบรับไปทันที ประคองไว้ในมืออย่างระมัดระวัง ความร้อนที่แผ่สู่ฝ่ามือกะทันหันทำให้เขารู้สึกสบายจนอยากจะถอนหายใจ แต่ใบหน้ายังคงสีหน้าพินอบพิเทาอยู่ดังเดิม ค้อมเอวนิดๆ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะทำมานานปีจนเคยชินหรือเพราะอะไร จึงดูเหมือนกับว่าเขาไม่เคยยืดตัวตรงเลย ดวงตาแคบเรียวคู่นั้นเองก็ดูหลุกหลิกนิดๆ แอบเหลือบดูบรรดาคนที่ยืนอยู่ในลานเรือน ออกมาสิบเจ็ดคน ดูท่าทางงานของปีนี้คงไม่มีปัญหาแล้ว พรุ่งนี้ก็ไปจากที่นี่กันได้ หลี่เอ้อร์นึกถึงสาวใช้หน้าตาจิ้มลิ้มกับเหล้าอุ่นๆ ในคฤหาสน์ ฤดูนี้ได้ชมหิมะ ดูดอกเหมย เอื้อนบทกวีพอดี หัวใจได้โผบินล่วงหน้าไปที่นอกหุบเขา
หิมะบนพื้นยังไม่ถูกกวาดออกไป ทั้งสิบเจ็ดคนที่ยืนอยู่ต่างเสื้อผ้าขาดวิ่น เห็นได้ชัดว่ายังเป็นแค่เด็กอายุเจ็ดแปดขวบ แถมบนตัวยังมีบาดแผล เลือดหยดไหลลงมา หิมะที่ใต้เท้าถูกย้อมเป็นสีชมพูจางๆ ดวงตาทอแววอ่อนเพลียและตื่นเต้น และเพิ่มแววขลาดกลัวแปลกๆ อีกหลายส่วนภายใต้สายตาเย็นชาของหลี่จื๋อซื่อ
“รอดชีวิตมาได้จากคนพันคน ถือเป็นนายท่านกันแล้ว” หลังจากยืนอยู่ครู่หนึ่ง หลี่เหยียนเหนียนค่อยพูดออกมาปานทอดถอนดั่งพอใจ
เมื่อถ้อยคำนี้ถูกเอ่ยออกมา ทุกคนในลานเรือนพากันถอนหายใจโล่งอก เด็กทั้งสิบเจ็ดคนนั้นก็ไม่เว้น ถึงกับมีสองคนนั่งแปะลงกับพื้นหิมะทันที
หลี่เหยียนเหนียนเหลือบตาดูสองคนที่ทรุดนั่งลงกับพื้น พริบตานั้นรอบด้านมีชายฉกรรจ์หลายคนก้าวพรวดออกมาหิ้วปีกเด็กทั้งสองคนขึ้น ใบหน้าเด็กทั้งสองเปลี่ยนเป็นซีดขาวปานหิมะในบัดดล ดวงตาทอแววตื่นกลัว
หลี่เหยียนเหนียนถอนหายใจ ก่อนจะโบกมือ “ส่งไปเรือนโบตั๋น!”
ดวงตาเด็กทั้งสองสิ้นประกาย ร้องไห้ออกมา “จื๋อซื่อ ยกโทษให้ข้าด้วยขอรับ!”
เด็กที่เหลือทั้งสิบห้าคนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ ร่างเล็กๆ สั่นระริกแต่ยิ่งยืดตัวตรง ด้วยกลัวว่าเผลอพลาดนิดเดียวจนต้องตายยังเรื่องเล็ก โดนส่งไปที่เรือนโบตั๋นสิอนาถแน่
อยู่ในหุบเขามาหนึ่งปี เวลายามชุดดำพูดถึง “เรือนโบตั๋น” แส้ในมือยังเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนเลย ยังไงก็ไม่ยอมฟาดลงใส่ใบหน้าเด็ดขาด เคยมีคนที่ทนอยู่ได้ไม่ทันถึงช่วงเข้าเรือนใหญ่ก็ถูกส่งไปเรือนโบตั๋นเสียก่อน ตอนนั้นพวกยามจะหยุดโบยแส้ทันที ทั้งยังเชิญท่านคืนวิญญาณ ที่วิชาแพทย์สูงที่สุดในหุบเขามาตรวจดูบาดแผลให้ แล้วแสยะยิ้มพูดว่า รอให้ผ่านวันเกิดครบ 12 ปีของนายท่านน้อยแล้วจะไปฉลองหน้าใหม่ทันที เก้าเก้าบอกหลี่หลินว่า “ข้ายอมถูกเพชฌฆาตจางฆ่า ดีกว่าตกอยู่ในมือของยามที่ไปเที่ยวเรือนโบตั๋น”
คำตอบของหลี่หลินทำให้ เก้าเก้าเกิดความรู้สึกสนิทสนมขึ้นมาทันที “เจ้าก็รู้จักเพชฌฆาตจางด้วยเรอะ? คนที่ไม่มีเขาแล้วจะไม่ต้องกินเนื้อหมูติดขนนั่นน่ะ?”
แต่หลังจากนั้นไม่ว่าเก้าเก้าจะพยายามพูดถึงอดีตยังไง ก็ควานหาความรู้สึกสนิทสนมเกินจำเป็นจากตัวหลี่หลินไม่ได้อีกเลย เก้าเก้าก็ไม่ได้ท้อใจ ยังไงในบรรดาเด็กทั้งหนึ่งร้อยคนในเรือนใหญ่เดียวกัน มีแต่หลี่หลินเท่านั้นที่รู้จักเพชฌฆาตจาง เก้าเก้าเห็นว่าเขามีหน้าที่ต้องคุ้มครองหลี่หลิน
“บอกแล้วว่า รอดชีวิตมาได้จากคนพันคน ถือเป็นนายท่านกันแล้ว” หลี่เหยียนเหนียนถอนหายใจอีกครั้ง บนใบหน้าคลี่ยิ้มบางๆ “ไหนบอกมาสิ ทำไมเรือนหมายเลขสิบถึงออกมาห้าคนได้?”
“จื๋อซื่อขอรับ พวกเขา...” ยามชุดดำที่ตอบคำเพิ่งจะเริ่มพูดอย่างลังเล ก็มองเห็นสายตาอ่อนโยนของหลี่เหยียนเหนียน จึงตัวสั่นยะเยือกพูดออกมาอย่างไม่ลังเลอีก “พวกเขาฉวยโอกาสที่พวกเรือนหมายเลขเก้าฆ่ากันจนเหนื่อย ไปเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ขอรับ”
“อ้อ ใครเป็นคนนำ?” หางคิ้วหลี่เหยียนเหนียนกระตุกเล็กน้อย สายตาพลอยเลื่อนไปมองเด็กห้าคนที่อยู่ริมสุด ต่างดูหมดจดคมคายพอๆ กันทั้งนั้น จึงถอนหายใจนึกชมนิดๆ อยู่ในใจ แต่ถ้อยคำที่เปล่งออกจากปากกลับเย็นยะเยียบ
เด็กสามคนก้มหน้าไม่ยอมพูดอะไร สายตากลับเหลือบไปที่เก้าเก้า ทำให้หลี่หลินลังเลอย่างมาก จากการประเมินของเขา หลี่เหยียนเหนียนไม่มีทางฆ่าคนที่นำอย่างแน่นอน แต่จะจัดการยังไงนั้นก็บอกไม่ได้เหมือนกัน
ตามหลักแล้วก็ไม่ควรให้เด็กอายุแปดขวบมาเป็นแพะรับบาปแทนตัวเขาหรอก ถึงเวลาที่เขาควรจะแสดงตัวได้แล้ว แต่หลี่หลินคิดอยู่แล้ว ก็ยั้งตัวเองไว้ก่อน เพราะยังไงการทำตัวเด่นก็ไม่สอดคล้องกับความคิดที่จะปิดบังความสามารถของเขา เขาไม่อยากจะถูกส่งไปทำงานอันตรายที่สุดยังสถานที่ที่อันตรายที่สุดในอนาคต จากความรู้เกี่ยวนักฆ่าของเขาเมื่อชาติก่อน นักฆ่าระดับท็อปมักจะตายเร็วที่สุด ไม่ใช่ว่าไม่เก่งพอ แต่เป็นเพราะรับงานอันตรายมามากเกินไป เขาวางแผนไว้ว่าตอนที่รับสารภาพ ต้องแสดงอาการหวาดกลัวออกมาอย่างพอดีที่สุด และต้องแสดงตัวยอมรับอย่างกล้าหาญด้วย
ตอนเผชิญหน้ากับเด็กสามคนที่กวัดแกว่งมีดพุ่งเข้าเล่นงานใส่เขากับเก้าเก้า เขาได้สะกิดเตือนเก้าเก้าโดยไม่ได้ตั้งใจว่า ให้เก้าเก้านำเด็กทั้งห้าคนของเรือนเราไปฆ่าที่เรือนหมายเลขเก้า ทำการดำกินดำซะ
หลี่เหยียนเหนียนยิ้มแล้ว “รู้ไหมว่าทำไมถึงต้องให้พวกเจ้าหนึ่งร้อยคนเข่นฆ่ากันเอง และมีหน้าที่ต้องเอาชีวิตคนหนึ่งคนทุกวัน?” แล้วพูดต่อโดยไม่รอคำตอบ “การเห็นใจศัตรูแม้เพียงนิด ก็คือการโหดเหี้ยมต่อตัวเอง เอาละ จะให้โอกาสพวกเจ้าสักครั้ง บอกตัวคนนำมา แล้วเหยียจะไม่ฆ่าคนอื่นที่เหลือ”
“ข้าเอง!” เก้าเก้าพูดเสียงสั่น ชิงก้าวออกมาหนึ่งก้าวก่อนที่หลี่หลินจะสารภาพ เขาจำได้รางๆ ว่าตอนที่เขาคุ้มครองหลี่หลินประจันหน้ากับเด็กอีกสามคนที่เป็นเหมือนหมาป่าดุร้ายอยู่ในเรือน ริมหูได้มีเสียงเบาๆ เสียงหนึ่งดังขึ้น อ่อนโยน...แต่เย็นชา “ไปฆ่าคนของเรือนเก้า” เวลานี้เก้าเก้ายินดีเชื่อว่านั่นคือจิตใต้สำนึกของเขาชักนำตัวเขาเอง ไม่ใช่หลี่หลินผู้ไร้เดียงสาที่เขาคอยคุ้มครองมาตลอดเป็นคนชักนำ...
หลี่หลินมองเก้าเก้าอย่างตกตะลึง เตือนตัวเองอีกครั้งว่าอย่าไปจำน้ำใจนี้ ถึงแม้ภาพลักษณ์ของเด็กน้อยวัยแปดขวบคนนี้ในตอนนี้จะทำให้เขารู้สึกนับถือก็ตามที
หลี่เหยียนเหนียนขมวดคิ้ว หลี่เอ้อร์ได้ก้าวเข้าไปหาค้อมเอวกระซิบเตือนว่า “นายท่านขอรับ ปีนี้...”
“ดำกินดำอันยอดเยี่ยม คนของเรือนหมายเลขเก้ามิตายอย่างไม่พอที่หรอกรึ?” คิ้วหลี่เหยียนเหนียนคลายออก ปากพูดเรียบเรื่อยเหมือนไม่สลักสำคัญ “ส่งกลับเรือนสิบไป คนที่ออกมาจากเรือนวันพรุ่งนี้ค่อยถือว่าผ่านด่าน!”
หลี่เอ้อร์สูดหายใจอย่างหนาวเยือก คาดเดาความคิดเจ้านายตัวเองไม่ค่อยออกนัก เด็กๆ กลุ่มนี้เข้าไปอยู่ในเรือนหลังละหนึ่งร้อยคน เข่นฆ่ากันเองมาหลายวันติดต่อกัน เรือนแต่ละหลังเหลือเดินออกมาแค่ไม่กี่คนเท่านั้น ซึ่งถือว่ามีคุณสมบัติชั้นเลิศทั้งสิ้น เมื่อกี้เสียไปแล้วสองคน มาคราวนี้ส่งกลับเข้าเรือนไป ไม่แน่ว่าอาจจะเสียไปอีกหลายคน ออกจะตัดใจไม่ลงอยู่จริงๆ
“เรียนจื๋อซื่อ ข้าเองขอรับ” หลี่หลินถอนหายใจอยู่ในใจ ก้าวออกไปข้างหน้าสองก้าวแล้วตอบเบาๆ “ข้าเป็นคนออกความคิดเอง กว่าจะออกมาได้ไม่ใช่ง่ายๆ พวกข้า...ไม่อยากจะกลับเข้าไปอีกแล้ว”
หลี่เหยียนเหนียนมองดูหลี่หลินที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า เขาเป็นเด็กที่อายุน้อยสุดในบรรดาเด็กที่รอดออกมาทั้งหมด อายุแค่หกขวบเท่านั้น เขาประหลาดใจกับน้ำเสียงสงบนิ่งของหลี่หลินอยู่ไม่น้อย “ใช่เจ้าจริงๆ รึ?”
เก้าเก้ากับหลี่หลินตอบพร้อมกันว่า “ข้าเองขอรับ!”
“น้ำใจพี่น้องอันยอดเยี่ยม! รู้ไหมว่าพี่น้องคืออะไร? พี่น้องมักจะเป็นคนที่ขายเราได้ง่ายที่สุด จงจำคำของเหยียไว้ คือใครกันแน่?”
เก้าเก้ารีบร้อนจะพูด แต่หลี่หลินขวางไว้ “ความจริงแล้วคือข้าเอง ข้าเป็นคนออกความคิด เขาเป็นคนนำขอรับ”
“อ้อ? แล้วเมื่อกี้ทำไมถึงไม่สารภาพ?”
“กลัวตายขอรับ!” หลี่หลินตอบอย่างตรงไตรงมามาก
“กลัวตาย นั่นสินะ เป็นคนก็ต้องกลัวตายกันทั้งนั้น” หลี่เหยียนเหนียนพูดเบาๆ ระคนทอดถอน “แล้วตอนนี้ไม่กลัวตายแล้วรึ?”
“จื๋อซื่อไม่มีทางฆ่าข้า อย่างมากก็ส่งไปที่เรือนโบตั๋นเหมือนสองคนนั้นขอรับ”
หลี่เหยียนเหนียนมองดูเด็กน้อยตรงหน้าอย่างสนใจยิ่ง เรียกหมายเลขเขาตรงๆ “หนึ่งร้อย เจ้ารู้หรือเปล่าว่าเรือนโบตั๋นคือที่แบบไหน?” เขาไม่ได้คิดหรอกว่าเด็กอายุหกขวบจะเข้าใจจริงๆ แต่ที่ย้อนถามออกไปก็เพราะน้ำเสียงที่สงบนิ่งอยู่ตลอดของหลี่หลิน
หลี่หลินเงยหน้าขึ้น บนใบหน้าน้อยๆ ที่เต็มไปด้วยคราบเลือด ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกายสว่างสุกใสปานแก้วผลึก ในดวงตาไร้สิ้นแววหวาดกลัว ทั้งยังมีแววล้อเลียนเสียด้วยซ้ำ พูดตอบว่า “ตายใต้ดอกโบตั๋น เป็นผีก็สำราญ!”
หลี่เหยียนเหนียนตกตะลึง ขบคิดประโยคนี้อยู่หลายรอบ แล้วพลันหัวเราะก้อง “ฮ่าๆ! ไม่นึกเลยว่าปีนี้จะได้ของดีแบบนี้! เข้าท่า! เข้าท่า!” พูดจบก็สะบัดแขนเสื้อจากไป
ทุกคนในลานเรือนต่างมองหน้ากัน หลี่เอ้อร์เองก็ประคองเตาอุ่นมือติดตามหลังหลี่เหยียนเหนียนเข้าเอนพักไปอย่างหน้าชื่นตาบาน
ชายฉกรรจ์ชุดดำที่อยู่รอบๆ ค่อยถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาได้ เก้าเก้าต่อว่าอย่างโมโห “เจ้ากะจะให้เราสองคนตายกันทั้งคู่เรอะ?”
หลี่หลินส่ายหน้า ยิ้มอย่างไร้เดียงสา “ก็ข้าเป็นคนบอกเจ้าเองจริงๆ นี่”
เก้าเก้าพูดอย่างโมโห “เจ้าน่ะมันโง่! แค่พูดไปอย่างนั้นเองชัดๆ เจ้าจะไปมีความคิดแบบนี้ได้ยังไงกันเล่า!”
เห็นเก้าเก้าโกรธ หลี่หลินจึงยิ้มหน้าซื่อ “ข้าหิวแล้ว”
เก้าเก้าค่อยหันหน้ามา ถลึงตาจ้องใส่หลี่หลิน “ดูหน้าของเจ้าสิ ขืนเข้าไปที่เรือนโบตั๋นเจ้าได้อ่วมแน่! พักตร์ชาดน้ำเคราะห์!”
หลี่หลินลูบหน้าตัวเองแล้วอดยิ้มแหยๆ ไม่ได้ ใบหน้านี้ มิน่าเล่าตอนที่ยังปัญญาอ่อนก็ยังส่งเข้าเรือนโบตั๋นไปใช้ประโยชน์ที่เหลืออยู่ได้
เก้าเก้าระเบิดอารมณ์จบก็จูงหลี่หลินเชิดหน้ายืดอกเดินออกจากลานเรือน ยามชุดดำที่หน้าประตูลานเรือนต่างกุมหมัดคารวะ พูดยิ้มๆ ว่า “ขอแสดงความยินดีกับนายท่านน้อยที่ผ่านด่านได้แล้วขอรับ”
เก้าเก้าแค่นเสียงใส่โดยไม่สนใจ หลี่หลินยิ้มออกมาอีกครั้ง “ต่อไปต้องขอวานท่านลุงทุกท่านช่วยดูแลด้วยนะขอรับ”
เขาเดินตามหลังเก้าเก้าไปแล้วอดใจไม่อยู่ถามออกไปว่า “ตอนนั้นเจ้าไม่กลัวตายเรอะ?”
ดวงตาเก้าเก้าทอแววเจ้าเล่ห์ “อย่างมากก็แค่ส่งไปที่เรือนโบตั๋นแหละ”
หลี่หลินค่อยโล่งใจเหมือนยกภูเขาลงจากอก ไม่ต้องติดค้างน้ำใจแล้ว
<>::<>::<>
หลี่หลินเปลี่ยนมาสวมชุดใหม่เอี่ยมตลอดทั้งตัว เดินตามยามไปถึงที่พักของหลี่เหยียนเหนียน ตั้งแต่เริ่มมองเห็นเรือนพักหลังน้อย ฝีเท้าของยามที่เดินนำอยู่ข้างหน้าเขาก็ผ่อนจนเบาลงมาก หลี่หลินคิดในใจอยู่เงียบๆ ว่า หลี่จื๋อซื่อคนนี้มีปัญญารวบรวมเด็กหนึ่งพันกว่าคนอย่างเปิดเผย จากนั้นมองดูเด็กเหล่านี้ตายไปภายในเวลาแค่ไม่กี่วันอย่างเฉยชา โดยที่สีหน้าไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น โหดเหี้ยมได้ขนาดนี้ มิน่าเล่าพวกยามถึงได้กลัว
เรือนหลังน้อยข้างหน้าดูเหมือนเรือนห้อยขา สร้างอิงภูเขา เป็นเรือนที่เน้นก่อสร้างแบบชวนโต้ว หลี่หลินสำรวจดูชัยภูมิ ที่นี่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ภายในหุบเขาได้ทั้งหมด หลี่จื่อซื่อคนนี้ดูเหมือนเฉยๆ ไม่สนใจอะไร แต่ความจริงแล้วชอบให้ทุกอย่างอยู่การควบคุมของตัวเอง เขาสรุปเกี่ยวกับตัวหลี่เหยียนเหนียนอีกครั้ง
หลี่เอ้อร์รวบผ้าม่านฝ้ายเนื้อหนาขึ้นให้หลี่หลินเข้าไป แล้วค้อมเอวยืนอยู่ข้างๆ หลี่เหยียนเหนียนอย่างสำรวม สายตาที่มองดูหลี่หลินเพิ่มแววคาดคะเนขึ้นอีกอย่าง เด็กอายุหกขวบสามารถทำให้หลี่จื๋อซื่อให้ความสำคัญได้ ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ไอร้อนอุ่นจัดระคนกลิ่นหอมจางๆ พุ่งเข้าใส่ หลี่หลินดมดูก็รู้ทันทีว่าเป็นกลิ่นของเปลือกส้มที่ใส่ลงไปในอ่างไฟ หลี่จื๋อซื่อรู้จักเสพสุขดี หลี่หลินซ่อนแววคมปลาบในดวงตา เดินเข้าไปคุกเข่าลงตรงหน้าหลี่เหยียนเหนียนอย่างสำรวมโดยไม่พูดอะไรสักคำ
หลี่เหยียนเหนียนประคองจอกสุรามองเด็กน้อยตรงหน้าด้วยสายตาเฉยชา
ควรจ้องตาตรงๆ หรือก้มหน้าดี? หลี่หลินใช้ความคิดอยู่ในใจ จ้องตาต่อไปอยู่อีกครู่สั้นๆ ค่อยก้มหน้าลงในเวลาที่เหมาะสมเพื่อแสดงความอ่อนแอ
หลี่เหยียนเหนียนจ้องเด็กน้อยตรงหน้าอยู่นานมาก เมื่อได้เห็นหลี่หลินก้มหน้าลงตัวสั่นนิดๆ ในที่สุด สายตาจึงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นอ่อนโยน ถามเสียงราบเรียบ “คิดวิธีนี้ออกได้ยังไง?”
“ในเรือนเหลือพวกเราแค่ห้าคนแล้ว ไม่พอให้แบ่งกันขอรับ กฎคือแต่ละคนต้องฆ่าคนหนึ่งคน ไม่ได้บอกว่าห้ามฆ่าคนในเรือนหลังอื่นขอรับ”
หลี่หลินก้มหน้าตอบคำอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว แต่ในใจแอบด่าคนในหุบเขาว่าโรคจิต ตอนถูกส่งเข้าไปในเรือน เด็กทุกคนต่างรู้ดีว่าวันรุ่งขึ้นต้องหิ้วหัวคนหนึ่งคนมาส่งมอบงาน เด็กทั้งหนึ่งร้อยคนในเรือนเหมือนเป็นบ้ากันหมด แค่เวลาชั่วคืนเดียวก็กระซวกมีดฆ่ากันเองตายไปแล้วกว่าครึ่ง คนที่ไม่ตายแต่บาดเจ็บ คืนที่สองย่อมจะไม่รอดเหมือนกัน
ทุกคนเป็นบุปผาของมาตุภูมิกันทั้งนั้นนะ ถูกสอนให้แทงมีดใส่ฆ่ากันเองถึงจะอยู่รอดได้มาตั้งแต่เด็กแบบนี้ โตขึ้นจะไปเหลือเรอะ? แต่ถ้าต้องให้เลือกระหว่างเป็นกับตาย เขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะยอมให้คนอื่นมาย่ำยีรังแกละนะ ดังนั้นท่ามกลางสายตาบ้างขี้ขลาด บ้างหวาดกลัว บ้างดุร้ายนับคู่ไม่ถ้วนของเหล่าเด็กน้อย เขาจึงรอดชีวิตมาได้ แถมยังไม่ได้ฆ่าเด็กคนไหนเลยแม้แต่คนเดียว วิทยายุทธ์ของเก้าเก้าสืบทอดจากตระกูลหรืออย่างไรไม่ทราบ จึงสูงกว่าเด็กคนอื่นๆ อยู่หนึ่งขั้น ภายใต้การชี้แนะไม่กี่คำของเขา ก็คุ้มครองเขาเดินออกมาจากเรือนได้
“ก่อนจะได้สติ เจ้ายังปัญญาอ่อนอยู่เลย!” หลี่เหยียนเหนียนเหลือบไปมองกระดาษบางๆ บนโต๊ะ ตัวหนังสือแค่ไม่กี่บรรทัดบนนั้นก็บันทึกเรื่องราวของหลี่หลินไว้ครบถ้วนแล้ว
หลี่เหยียนเหนียนนึกถึงกลอนวรรคนั้น ก็นึกอยากรู้ขึ้นมาทันที น้ำเสียงยิ่งอ่อนโยน ดวงตาเปล่งประกายคมปลาบราวคมมีด “จำเรื่องก่อนจะมาที่หุบเขาได้ไหม?”
“จำไม่ได้แล้วขอรับ” หลี่หลินตอบเสียงซื่อที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขารู้แค่ว่าพอตื่นขึ้นมาก็ถึงหุบเขาแล้ว มีคนส่งเขามาที่นี่ เป็นเงาหลังที่พร่าเลือนและเลื่อนลอยเงาหนึ่ง ทั้งยังเป็นเงาที่มักจะพูดกระซิบอยู่ข้างหูเขาบ่อยๆ แต่เขาไม่ได้ไปสนใจ
หลี่เหยียนเหนียนนึกเสียดายนิดๆ เขาเข้าใจมาตลอดว่าการให้ลูกน้องหาเด็กผู้ชายวัยประมาณเจ็ดแปดขวบจำนวนหนึ่งพันกว่าคนเป็นงานค่อนข้างยาก ดังนั้นลูกน้องถึงได้เอามาแม้แต่เด็กปัญญาอ่อนเพื่อให้ครบจำนวน
การฝึกฝนเกือบหนึ่งปีเต็ม หลี่หลินเอาแต่เหม่อดูเด็กคนอื่นฝึกวิชา เก็บเขาไว้อยู่แปดเก้าเดือนเห็นเขายังคงมีอาการปัญญาอ่อนอยู่เหมือนเดิม จึงคิดว่าขอแค่หน้าตาใช้ได้ ส่งไปเรือนโบตั๋นก็ยังพอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง ไม่นึกว่าสามเดือนก่อนจะเข้าเรือน เขาก็ได้สติ ในบรรดาเด็กที่ฝึกวิชารุ่นนี้ เขาจึงเป็นคนที่เข้าร่วมช้าที่สุด หมายเลขจึงได้เลขหนึ่งร้อย เด็กคนที่หนึ่งร้อยของเรือนหมายเลขสิบ
เด็กน้อยที่ฝึกฝนน้อยกว่าคนอื่นๆ วิทยายุทธ์สู้เด็กคนอื่นไม่ได้อย่างเห็นได้ชัด กลับรอดชีวิตจากการเข่นฆ่ากันเองอย่างโหดเหี้ยมมาได้ ทั้งยังวางแผนดำกินดำ จากเด็กปัญญาอ่อนไปถึงการวางแผนอย่างอาจหาญไปถึงกลอนวรรคนั้น หลี่เหยียนเหนียนคิดจะไม่สนใจหลี่หลินก็ไม่ได้เสียแล้ว
หลี่เหยียนเหนียนไม่พูดอะไรอีก บรรยากาศที่ชวนอึดอัดกดดันอยู่ภายในห้อง หลี่หลินรู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาลพุ่งโจมตีเข้าใส่ เขาไม่ได้มีแค่ความทรงจำหลังจากมาถึงหุบเขาเกือบหนึ่งปีนี้ เมื่อชาติก่อนเขาเป็นนักฆ่า ดังนั้นเขาได้แต่ยืดตัวให้ตรงขึ้น และทำให้ตัวสั่นมากขึ้นอีกนิดเพื่อให้หลี่จื๋อซื่อดูความรู้สึกหวาดกลัวของเขาออก พยายามทำเป็นว่าอยากจะแสดงความกล้าหาญแต่ก็หวาดกลัวด้วย
หลี่หลินที่ล้างหน้าจนสะอาดทำให้หลี่เหยียนเหนียนเกิดความรู้สึกประหลาดชอบกล เหมือนว่าเขาเคยเห็นใบหน้านี้มาก่อน เขาหันไปมองหลี่เอ้อร์ หลี่เอ้อร์พยักหน้าและส่ายหน้า หลี่เหยียนเหนียนค่อยโล่งอก คลี่ยิ้มบางๆ สลายแรงกดดันที่โจมตีใส่
หลี่หลินรู้สึกว่าความอึดอัดที่กดดันอยู่ได้หายไป ก็แอบนึกทอดถอนในใจ มียอดฝีมือชาวยุทธจักรอยู่จริงๆ ด้วย!
“ชื่อของคนทั้งห้าคนจากเรือนเจ้า ได้แก่ ซิงหุน (วิญญาณดาว), เยว่พ่อ (วิญญาณจันทรา), หงอี (อาภรณ์รุ้ง), อิงอวี่ (ขนอิทรี), รื่อกวง (แสงอาทิตย์) เจ้าเลือกมาหนึ่งชื่อเถอะ!”
ครั้งจวนจูลอบสังหารหวางเหลียว ดั่งดาวหางรุกตีจันทรา ครั้งเนี่ยเจิ้งลอบสังหารหานกุย ดั่งรุ้งขาวทะลวงตะวัน ครั้งเย่าหลีลอบสังหารชิ่งจี้ ดั่งอินทรีโฉบตีกลางท้องพระโรง ชื่อของนักฆ่ามีเงาของนักฆ่า ถึงจะฟังดูดี ก็แค่ของนอกกายทั้งนั้น ไม่มีใครตายดีสักคน เขาไม่อยากเป็นใครในจำนวนนี้ แต่เขาเลือกได้หรือ? เลือกรึ ก็ไม่ชอบ ถ้าไม่เลือกก็ต้องบอกเหตุผล เมื่อก่อนตัวเขาเป็นปัญญาอ่อน ตอนนี้ยังเป็นแค่เด็กหกขวบ เหตุผลนี้จึงบอกไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงตอบอย่างนอบน้อมว่า “จื่อซื่อโปรดประทานนามขอรับ”
หลี่เหยียนเหนียนเหลือบมองเขา แล้วพูดเสียงเรียบ “งั้น ‘ซิงหุน’ ก็แล้วกัน แสงในความมืดไม่มีผู้ใดช่วงชิงได้ ข้าจะส่งเจ้าไปที่เรือนบน...เจ้าเป็นคนประหลาด ถือว่าโชคดีหรือโชคร้ายกันนะ?”
คำพูดท่อนแรกนั้นพูดกับหลี่หลิน แต่คำพูดท่อนหลังกลับถามตัวเอง
มาถึงปุบก็ตั้งชื่อดาวไม้กวาด ให้เลยเรอะ? หลี่หลินยิ้มเจื่อนๆ อยู่ในใจขณะที่ปั้นสีหน้าดีใจ “ซิงหุนขอบพระคุณจื๋อซื่อขอรับ”
รับป้ายหยกมาหนึ่งชิ้น คนเฝ้ายามพาตัวหลี่หลินออกไป หลี่เหยียนเหนียนดื่มสุราลงไปหนึ่งจอก พึมพำว่า “ข้าทำผิดหรือเปล่าหนอ? หน้าตาแบบนั้น...ควรจะส่งเขาไปเรือนโบตั๋น ตายใต้ดอกโบตั๋น เป็นผีก็สำราญ...” เขาท่องซ้ำอยู่หลายรอบ แล้วนั่งเหม่อ
“นายท่านขอรับ พรุ่งนี้...” หลี่เอ้อร์ถามอย่างระมัดระวัง
“กลับจิงตู”
<>::<>::<>::<>::<>::<>