หัวข้อ : บทที่ 2 กลางฝ่าเท้ามีดอกไม้โผล่มา

โพสต์เมื่อ 7 ก.พ. 2560, 09:37


บทที่ 2 กลางฝ่าเท้ามีดอกไม้โผล่มา


ซิงหุนเดินมุ่งหน้าตามคนเฝ้ายามไป เห็นว่าไม่ใช่ทางกลับหอหมายเลขสิบ ก็เข้าใจว่าไป “เรือนบน” ตามที่หลี่เหยียนเหนียนบอก เขาคิดอย่างเสียใจว่า น่าเสียดายที่จะไม่ได้เจอเก้าเก้าผู้น่ารักอีกแล้ว

คนในหุบเขาทำอะไรโหดเหี้ยมเด็ดขาด ไม่มีทางให้โอกาสพวกเขาได้อยู่ด้วยกันแน่ ในวันหน้าพวกเขาจะต่างไม่รู้จักกัน ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง ไม่แน่ว่ายังอาจต้องมาเข่นฆ่ากันเอง หากมีความผูกพันก็ไม่เรียกว่า “นักฆ่า” แล้ว

ที่แท้หลี่เหยียนเหนียนที่บุคลิกสูงศักดิ์เป็นแค่จื๋อซื่อ แล้วจู่ซื่อ[1]ของหุบเขานี้มีฐานะอะไรหนอ?

ซิงหุนวิเคราะห์อยู่เงียบๆ ตอนนี้เขาไม่นึกอยากหนีสักนิด การไม่อยากเป็นนักฆ่ากับการเรียนรู้วิชาเป็นคนละเรื่องกัน ยุคอาวุธโบราณแข่งขันกันที่พลังต่อสู้ เขาไม่ได้โง่ถึงขนาดไปหาซอกมุมภูเขาเพาะปลูกเป็นชาวนาหรอกนะ

เขาเชื่ออยู่อย่าง จะอยู่ยุคไหน ที่ไหน จงอย่าเป็นชนชั้นล่างสุดของสังคมเด็ดขาด เขาอุตส่าห์มีความทรงจำของชาติก่อนที่แสนล้ำค่าทั้งที ยังไงก็ต้องสรุปดูสักหน่อย ให้ชาตินี้ได้ใช้ชีวิตอย่างมีสีสันสักนิด

เรียวปากโค้งขึ้น เด็กชายคลี่ยิ้ม อย่างดีก็ไปยืนเข้าแถวรอเกิดใหม่ที่ถนนยมโลกอีกรอบ มนุษย์ต่างกลัวตาย เพราะไม่รู้ว่าตายแล้วเป็นยังไง ความจริงพอรู้แล้วมันก็เท่านั้นเอง ยังจะมีอะไรน่ากลัวอีกหรือ?

เด็กชายเงยหน้าขึ้น ตะวันพลบได้มาเยือน หุบเขาสว่างไสวงดงาม คาวเลือดและความผิดบาปถูกหิมะสีขาวกับแสงอาทิตย์กลบฝังสู่พื้นดิน เขาคิดอย่างเรื่อยเฉื่อย หลี่เหยียนเหนียนรวบรวมเด็กมาเยอะขนาดนี้โดยไม่เผยร่องรอยใดๆ ได้ ต้องวางแผนอะไรไว้แน่ บางทีไม่กี่ปีให้หลัง ผืนฟ้าที่เบื้องนอกอาจจะมีการเปลี่ยนแปลง[2]

เดินไปตามทางภูเขาได้หนึ่งชั่วยามก็ถึงยอดเขา รอบด้านไม้ใหญ่หนาทึบ ทอดตามองไป ยอดเขาฝั่งตรงข้ามเผยให้เห็นรำไรท่ามกลางเมฆหมอกที่รายล้อมบดบัง ลมภูเขาพัดผ่าน ชายเสื้อปลิวไสว เด็กชายเงยหน้าขึ้นดูท้องฟ้า สีครามดั่งชะล้าง เขาอดสูดหายใจลึกๆ ไม่ได้ หน้าผาฝั่งตรงข้ามต้องเป็นรีสอร์ทแน่ๆ

“เสี่ยวเหยีย ผู้น้อยมาส่งท่านได้แค่ตรงนี้ขอรับ” คนเฝ้ายามนึกโล่งอก รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้า

ซิงหุนมองดูหุบเขาที่ลึกจนไม่เห็นก้น ค่อยมองดูโซ่เหล็กสองเส้นที่ขึงอยู่ระหว่างหน้าผา แล้วพยักหน้า “ขอบคุณยามต้าซูมาก ต่อไปมีโอกาสต้องเลี้ยงเหล้าท่านแน่นอน”

“ไม่กล้า! เสี่ยวเหยียถนอมตัว!” ยามไม่กล้าพูดมาก กุมหมัดคารวะเด็กชายแล้วหันหลังเดินจากไป

หลี่เหยียนเหนียนบอกว่า คนที่รอดออกจากหอมาได้ ต่างเป็น “เหยีย” แล้ว ยามจะดุแค่ไหน ก็เป็นแค่บ่าวคอยรับใช้ว่าที่นักฆ่ารุ่นนี้ สวัสดิการของที่นี่ไม่เลวเลยจริงๆ

เขาหันมองซ้ายขวา ตามด้วยตรวจดูโซ่เหล็ก แล้วพลันร้องตะโกนสุดเสียง “มีคนหรือเปล่า! ถ้าไม่มีใคร เสี่ยวเหยียไปแล้วนะ!”

ไร้ปฏิกิริยา ซิงหุนยิ้มเย็นชามองดูโซ่เหล็ก เขาไม่เชื่อหรอกว่าที่สูงและอันตรายขนาดนี้ จะให้เด็กหกขวบที่ไม่เป็นวิชาตัวเบาข้ามไปเอง

ลมหนาวที่พัดมาจากใต้หน้าผาเย็นยะเยือก ตะวันรอนสาดปลายแสง บนยอดเขาเงียบกริบไร้สุ้มเสียง มีเพียงยามลมภูเขาพัดผ่าน ใบไม้จะส่งเสียงดัง “ซ่าๆ” เงียบสงบร่มเย็นอย่างบอกไม่ถูก

ตัวเขาในชาติก่อนตอนอายุหกขวบกำลังทำอะไร? สะพายกระเป๋านักเรียนใบเล็กไปเรียนหนังสือที่โรงเรียน เล่นซนทโมนถูกพ่อตี ความจริงก็มีความสุขมากอยู่หรอก ถ้าไม่ใช่เพราะบังเอิญมาเป็นนักฆ่า ชีวิตเขาควรจะเรียบง่ายและอบอุ่นเหมือนคนธรรมดาทั่วๆ ไปกระมัง?

เพียงครู่เดียวที่เขายืนนี้ ดวงอาทิตย์ได้คล้อยลับจากยอดเขา เด็กชายเหม่อมองโซ่เหล็กอย่างใจลอย เสี่ยงอันตรายไต่โซ่เหล็กข้ามไป ต่อให้เป็นการทดสอบ เขาก็ไม่คิดจะไปเสี่ยง ตอนนี้ไม่ใช่ประเด็นว่าเขาอยากจะเรียนวิทยายุทธ์หรือเปล่า ประเด็นคือคนในหุบเขาเป็นฝ่ายขอให้เขาเรียน เขาจะร้อนใจไปทำไม

ลมตีจนใบหน้าเขาเจ็บแปลบ หลังจากดวงอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขา อุณหภูมิก็ลดลงฮวบฮาบ เด็กชายหมุนตัวไปจากหน้าผา จ้ำฝีเท้าลงจากเขาตามเส้นทางเมื่อขามา คะเนว่ากว่าจะเดินลงจากเขาได้ ฟ้าคงมืดสนิทแล้ว ต้องเร่งฉวยโอกาสนี้เข้าไปพักผ่อนในหอให้ได้ ไม่อย่างนั้นอยู่ข้างนอกได้หนาวตายแน่

ความจริงในใจเขาคาดหวังอย่างยิ่งให้เงาลึกลับนั้นปรากฎตัวขึ้นอีกครั้ง ถึงเขาจะแกล้งปัญญาอ่อนไม่เคยแยแสฝ่ายนั้น จะมากจะน้อยพี่เงาก็ให้ความรู้สึกปลอดภัยแก่เขาอยู่บ้าง ทำให้เขารู้ว่ามีคนคอยอยู่เคียงข้างเขาตลอดเวลา

กลับถึงหุบเขาโดยปลอดภัยไร้อันตราย รอบด้านมีแต่ความเงียบสงัด ไม่เห็นแม้แต่ยามสักคน พวกเก้าเก้าก็ไม่รู้ว่าถูกส่งไปที่ไหนแล้ว

ซิงหุนหยุดลงที่หน้าหอหมายเลขสิบ แล้วมองดู ไม่อยากจะเดินเข้าไปในที่ที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดแห่งนี้อีก เด็กชายถอนหายใจ เดินมุ่งหน้าไปยังเรือนน้อยของหลี่เหยียนเหนียน

ครั้งนี้ไม่มีหลี่เอ้อร์เลิกม่านให้ เขาเข้าไปเองโดยไม่ได้รับเชิญ

บนโต๊ะจัดวางสุราอาหารไว้ด้วย เปลือกส้มยังคงกระจายกลิ่นหอมดังเดิม ไออุ่นจากอ่างไฟได้ละลายเกล็ดน้ำแข็งบนเสื้อผ้า เขานึกภูมิใจการตัดสินใจของตัวเองนิดๆ เดินไปกลับตั้งสองชั่วยามทั้งเหนื่อยทั้งหิว เขาเขย่าเสื้อผ้า พ่นไออุ่นใส่มือพลางเดินไปที่โต๊ะ ลงมือสวาปามเหมือนรอบด้านไร้ผู้คน

“กินอิ่มแล้ว?”

เสียงเย็นยะเยือกล่องลอยอยู่ในอากาศ เด็กชายสะดุ้งจนตะเกียบกระตุก หันขวับกลับไปเห็นคนชุดเขียวผู้หนึ่ง เขาคิดในใจอย่างเคืองๆ ผียังไม่หลอกกันแบบนี้เลยไหม! ก่อนจะถามหยั่งเชิง “ท่าน...คือใคร?”

“ซือฝุของเจ้า”

เด็กชายเอียงคอคิด พูดยิ้มๆ “ซือฝุ? หลี่จื๋อซื่อบอกว่าจะส่งข้าไปที่เรือนบน”

“ข้าคือคนของเรือนบน มารับเจ้า เอาป้ายหยกมาให้ข้า”

เด็กชายล้วงป้ายหยกชิ้นนั้นออกมายื่นส่งให้ คลี่ยิ้มกว้าง “ซือฝุ ข้าชื่อซิงหุน!”

ใบหน้าซีดขาวของชิงอีเหริน[3]ไร้ความเคลื่อนไหวโดยสิ้นเชิง มองดูเด็กน้อยเงียบๆ

ซิงหุนได้แต่ลงจากโต๊ะเดินไปถึงตรงหน้าชิงอีเหริน พลันกระโดดกอดอีกฝ่ายหมับกะทันหัน “ไปกันเถอะ ซือฝุ!”

ชิงอีเหรินรับเด็กน้อยไว้โดยอัตโนมัติ ตกตะลึงไปชั่ววูบ ไม่พูดอะไรอีก อุ้มเด็กชายเดินออกไปข้างนอก

การกอดชิงอีเหรินกลับขึ้นเขาอีกครั้งให้ความรู้สึกยอดเยี่ยมสุดเปรียบปาน ซิงหุนนึกถึงเครื่องร่อนที่เคยนั่งเมื่อชาติก่อน มั่นคง รวดเร็ว และสดชื่น เส้นทางขึ้นเขาสายเดิม เขายังไม่ทันได้สัมผัสความระทึกขวัญของการไต่ลวดกลางเวหา ชิงอีเหรินก็อุ้มเขาเดินเข้าไปในป่า

“ไม่ใช่ว่าต้องไต่โซ่เหล็กข้ามไปหรือ?” เด็กชายถาม

“นอกจากว่าเจ้าอยากตาย เจ้าข้ามไปได้รึ?”

หนึ่งการกระทำกำหนดเป็นตาย ดูท่าทางที่ก่อนหน้านี้สรุปว่าหลี่เหยียนเหนียนไม่มีทางฆ่าเขาจะผิดพลาด ซิงหุนตกใจจนเหงื่อแตกพลั่ก แอบเตือนตัวเองว่าห้ามประมาทคนที่นี่แม้แต่คนเดียว ออกจากหอมาได้ใช่ว่าจะหมดอันตราย

เขาแสดงตัวเหมือนหนูน้อยจำไม “ถ้าไต่โซ่นั่นข้ามไปแล้วล่ะ?”

“ก็ไต่โซ่ย้อนกลับมา”

“ฝั่งนั้นไม่มีอะไรเลย?” เขาไม่อยากจะเชื่อนักว่านี่คือลูกไม้แกล้งคน

ชิงอีเหรินตบเปิดกลไก เดินเข้าไปในทางเดินใต้ดินสายหนึ่ง “ไม่มีอะไรเลย มี...เจ้าก็มองไม่เห็น”

ชิงอีเหรินจูงเด็กน้อยทอดฝีเท้าเดินอยู่บนทางเดินใต้ดิน “ข้าถนัดวิชาตัวเบากับอาวุธลับ ต่อไปเจ้าจงเรียนสองอย่างนี้จากข้า”

“ถ้าข้าอยากเรียนอย่างอื่นล่ะ?” เด็กชายอยากรู้

“นั่นต้องดูโชคของเจ้าในสามปีให้หลังแล้ว”

ไม่ใช่อาจารย์ที่ช่างพูดแฮะ ซิงหุนเหลือกตาใส่ ตั้งอกตั้งใจจำทาง ขณะที่กำลังนึกดีใจว่าสายตาของเขาดีมาก ชิงอีเหรินได้จูงเขาเลี้ยวเข้าไปในห้องศิลาห้องหนึ่ง เด็กชายตาค้างทันที สะบัดมือชิงอีเหรินออก เดินวนไปรอบห้อง ๒-๓ รอบ ไม่อยากจะเชื่อว่ามาถึงสุดทางแล้ว “ที่นี่น่ะนะ? พักอยู่สามปี?”

ในห้องศิลาจุดตะเกียงเพียงดวงเดียว แลดูเวิ้งว้างมาก เอี้ยก้วย[4]ยังมีเซียวเล้งนึ้งอยู่ด้วย นานๆ ทียังออกจากสุสานไปดูนั่นดูนี่บ้าง ข้างๆ เขามีแค่ชิงอีเหรินที่น่าเบื่อสุดๆ คนเดียว เด็กชายรู้สึกขาดทุนยับเยิน

“ตะเกียงนี้จะจุดแค่สามวัน ต่อไปจะไม่มีตะเกียงอีก” ชิงอีเหรินพูดจบ นั่งลงบนเบาะรองนั่ง

สามวัน? เด็กชายถอนหายใจอย่างหดหู่อีกหน ก็แปลว่าเขามีเวลาทำความคุ้นเคยกับห้องศิลาห้องนี้แค่สามวัน จากนั้นค่อยเริ่มเป็นคนตาบอด

ชาติก่อนเป็นนักฆ่า เข้าคุก ต่อสู้ ชาตินี้ต่อสู้ เข้าคุก เป็นนักฆ่า เขานึกเสียใจนิดๆ ว่าไม่ควรซี้ซั้วเด็ดดอกไม้บนถนนยมโลกเลย เขาชักจะเข้าใจชื่อ “ซิงหุน” นิดๆ แล้ว แปลว่าเงาผีที่โผล่มาในค่ำคืนอันมืดมิด

สามปีก็สามปี เขาไม่อยากเป็นนักฆ่า ยิ่งไม่อยากเป็นหนูที่ซ่อนตัวในความมืด เมื่อมาแล้วจงทำใจ ข้างหลังเขาไม่ใช่ว่ายังมีพี่เงาอยู่ทั้งคนหรือไง?

“ที่อึที่ฉี่ล่ะ?”

“ตรงนั้นมีห้องน้ำ”

ห้องชุดแบบสองห้องนอน หนึ่งห้องโถง หนึ่งห้องน้ำ เด็กชายใช้เวลาแค่สิบนาทีก็เดินจนทั่ว ซิงหุนเลิกขยับ นั่งลงตรงหน้าชิงอีเหรินขอให้เล่านิทานให้ฟังเหมือนที่เด็กๆ ชอบทำ

“ซือฝุ มีแค่เราสองคนแล้ว คุยกันหน่อยเถอะ ท่านคงไม่จับนกกระจอกมาให้ข้าฝึกวิชาตัวเบาด้วยหรอกนะ?” ในหัวเด็กชายนึกถึงแต่วิธีที่เซียวเล้งนึ้งสอนวิชาตัวเบาให้เอี้ยก้วย เขามองดู ที่นอนเป็นเตียงไม้ ไม่ใช่เตียงหยกเย็น

“พรุ่งนี้เจ้าก็จะรู้ คืนนี้เจ้านอนได้แล้ว”

ซิงหุนรู้สึกว่าคำพูดของชิงอีเหรินซ่อนนัยไว้มหาศาล เขาขนลุกเกรียวทันที คงไม่ใช่ว่าตั้งแต่พรุ่งนี้ไปแม้แต่นอนก็ไม่ได้นอนหรอกนะ? เด็กชายลุกขึ้นยืนอ้าปากหาว “ราตรีสวัสดิ์ซือฝุ ศิษย์ขอตัวไปนอนแล้ว”


<>::<>::<>


เอนกายลงบนเตียง ซิงหุนลูบฝ่าเท้า นอนไม่หลับ

ตรงนั้นมีความลับของเขา...ความลับที่ค้นพบโดยบังเอิญ

เด็กชายนับถือคนทำตำหนิอย่างมาก พิมพ์รูปดอกไม้หนึ่งดอกลงบนใจกลางฝ่าเท้าของเขา ดอกไม้จิ๋วสีแดงเลือด มันทำให้เขานึกถึงดอกไม้สีแดงราวกับเลือดอันงดงามดอกนั้นที่เขาเด็ดตอนเดินอยู่บนถนนยมโลกขึ้นมาอีกครั้ง พอมาเกิดใหม่ก็กลายเป็นปาน?

ตำหนิลับนี้หมายความว่ายังไงกันนะ? เด็กชายอยากรู้ฐานะแท้จริงของร่างใหม่มาก

ค่อยๆ คุ้นชินกับแขนขาเล็กๆ อย่างแช่มช้า เด็กชายถอนหายใจ เรื่องโตแบบปุบปับนั้นเป็นไปไม่ได้แน่ เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เด็กมักจะหลอกคนได้เก่งที่สุด ตัวอย่างเช่นหลังจากเขาได้สติ ก็แกล้งปัญญาอ่อนอยู่เกือบหนึ่งปีโดยไม่มีใครสังเกตรู้

เขานึกถึงเงาที่ส่งเขาเข้ามาในหุบเขา โยนเขาไว้กลางฝูงเด็กแล้วจากไป แต่กลับคอยมาบอกนั่นบอกนี่ที่ข้างหูเขาอยู่เนืองๆ

ทำไมพี่เงาถึงส่งเด็กปัญญาอ่อนคนหนึ่งเข้ามาในหุบเขา? และการที่คนในหุบเขายอมให้เด็กปัญญาอ่อนพักอยู่ตั้ง ๘-๙ เดือนค่อยตัดสินใจจะส่งไปเรือนโบตั๋น ยิ่งน่าสงสัยเข้าไปใหญ่

สุสานใต้ดินนี้ พี่เงาเข้ามาได้ไหม? จะถูกชิงอีซือฝุที่เชี่ยวชาญวิชาตัวเบากับอาวุธลับพบเข้าหรือเปล่า? เด็กชายพลันรู้สึกว่า บางทีวันเวลาหลังจากนี้อาจจะไม่น่าเบื่อมากอย่างที่เขาคิด

<>::<>::<>


เมื่อตะเกียงดับลง ซิงหุนก็กลายเป็นคนตาบอด

เขานอนเงียบๆ อยู่ในความมืด ในที่สุดก็สามารถนอนหลับให้สบายได้เสียที

หนึ่งปีนี้ในหุบเขา เด็กชายแทบไม่เคยหลับสนิทเลยสักครั้ง ความใคร่รู้ต่อร่างกาย ความใคร่รู้ต่อโลกใบนี้ ตลอดจนการเตือนสติของเงา ต่างไม่อนุญาตให้เขาผ่อนคลายการระวังตัว

ชิงอีซือฝุออกไปจากห้องศิลาแล้ว เหมือนเจตนาจะให้เขาทำความคุ้นเคยกับความมืดและความเหงาด้วยตัวเอง

เวลาอยู่ในความมืด ความรู้สึกกลัวของมนุษย์จะขยายใหญ่กว่าปกติหลายเท่าตัว เวลาที่มองไม่เห็น ความกล้าจะลดลงฮวบฮาบ เหมือนอย่างหนังสยองขวัญ ถ้าฉากชวนขนหัวลุกเกิดขึ้นตอนกลางวันแสกๆ ใต้แสงแดดแผดเปรี้ยง มักจะรู้สึกไม่ค่อยลุ้น

ความมืดที่ไร้ขอบเขตสร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็น บางทีวิธีฝึกสอนศิษย์ของชิงอีเหรินอาจจะประหลาดพิลึกเหมือนหน้าตาของเจ้าตัว เด็กชายออกจะเห็นใจชิงอีเหรินอยู่นิดๆ สีผิวของชิงอีเหรินทำให้เขารู้สึกว่าได้เห็นแวมไพร์ตัวจริงเป็นครั้งแรก

ซึ่งมันโหดร้ายเกินไปสำหรับเด็ก ยกเว้นเด็กอย่างเขา

ซิงหุนยิ้มบางๆ หาวพลางคิดอย่างเบื่อหน่าย เขาชอบความมืดและความเงียบแบบนี้มาก รู้สึกปลอดภัยแสนสบาย นี่เขาแอบโรคจิตอยู่นิดๆ เหมือนกันใช่ไหม?

ขณะที่เด็กชายเตรียมจะนอนหลับสนิทอย่างวางใจเป็นครั้งแรกตั้งแต่เข้าสู่หุบเขา ก็รู้สึกว่าในห้องมีคนเพิ่มมาหนึ่งคน จึงกลั้นหายใจโดยอัตโนมัติ

เสียงเลื่อนลอยของพี่เงาดังขึ้นเรียบๆ “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องไม่ทำให้ข้าผิดหวัง ต้องเข้าเรียนวิชาในหุบเขาได้อย่างราบรื่น” เงาถอนหายใจเบาๆ

ท่านคือใคร? ข้าคือใคร? ท่าน...รู้ความลับบนฝ่าเท้าข้าหรือไม่? ทำไมถึงคิดวิธีบ้าๆ ให้ข้าไปเบียดเดินบนท่อนซุงข้ามเหวแบบนี้? ถ้าเกิดตัวข้าตายไปด้วยมือเด็ก ๗-๘ ขวบพวกนี้ แล้วจะเป็นยังไง?

คำถามผุดขึ้นในศีรษะเป็นชุด แต่ซิงหุนแค่ระบายลมหายใจที่กลั้นไว้ “ชิงอีซือฝุของข้าเล่า?”

“สามคืนแรกเขาจะไม่อยู่ที่นี่ เขาหัวแข็งมาก เจ้าสามารถอยู่ตามลำพังที่นี่ได้สามคืน เขาจึงจะเห็นว่าเจ้ามีคุณสมบัติเป็นศิษย์ของเขา”

เสียงของเงาเหมือนอะไร? ซิงหุนรู้สึกว่าเหมือนเสียงที่บีบคอพูดออกมา ท่าทีอบอุ่นมาก แต่เสียงเหมือนเป็ด กลัวเขาจะฟังออกหรือว่าตัวเองคือใคร? เด็กชายหัวเราะพรืดออกมา “ท่านมาทำอะไร?”

“สอนพลังภายในให้เจ้า”

เขาคิดแล้วพูดว่า “ไม่ใช่คัมภีร์ทานตะวัน[5]กับยอดวิชาตัดชุดวิวาห์[6]เป็นใช้ได้!”

“คัมภีร์ทานตะวันกับยอดวิชาตัดชุดวิวาห์คือสิ่งไร?”

“อันหนึ่งให้ขันทีฝึก อีกอันช่วยฝึกให้คนอื่น!”

เงาเงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “ข้ารู้อยู่แล้ว เจ้าไม่มีทางปัญญาอ่อนแน่!”

“แต่ข้าจำเรื่องสมัยก่อนไม่ได้แล้ว”

“เรื่องสมัยก่อน...จำไม่ได้ก็ดี! ต่อไป ได้แต่อาศัยดวงของตัวเองแล้ว” เสียงของเงาเจือกระแสหม่นหมอง

“ท่านคือใคร?” เด็กชายถามออกมาในที่สุด

“ข้า? ข้าคือเงา เงาที่ไม่อาจปรากฏกายต่อหน้าผู้คน ข้าต้องทดแทนบุญคุณคนผู้หนึ่ง ต้องให้เจ้าได้เรียนรู้วิชาป้องกันตัวเอง...”

จะได้ล้างแค้น? ซิงหุนเกือบจะหลุดถามครึ่งประโยคหลังนี้ที่ได้ยินบ่อยมากจากละครโทรทัศน์ออกมา “วิทยายุทธ์ท่านก็ไม่เลวนี่ ทำไมถึงสอนข้าไม่ได้? ต้องเอาข้ามาทิ้งไว้ในหุบเขานี้?”

“ไม่สะดวก!”

คำพูดนี้แทบจะทำให้ซิงหุนลุกพรวดขึ้นจากเตียง ชี้หน้าด่าเงาว่าสมองมีปัญหา ตั้งแต่เข้ามาในหุบเขา ตัวเขาน่ะเดินไต่เส้นลวดเป็นตายกลับไปกลับมาตั้งกี่รอบแล้ว แถมยังเกือบจะถูกส่งไปติดป้ายขายตัวในเรือนโบตั๋นอีกด้วย เขามองเงาอย่างเย็นชา แค่นยิ้มเย็นคิดในใจว่าเขาไม่มีทางยอมรับน้ำใจนี้ของเงาเด็ดขาด ไม่ว่าเงาจะเป็นอะไรกับเขาในชาตินี้ก็ตาม

เงาเหมือนไม่คิดจะรั้งอยู่นาน โยนของม้วนหนึ่งไปให้เหมือนโยนภาระชิ้นใหญ่ทิ้ง “คนมากมายต่างอยากจะได้ ‘คัมภีร์ภายในชีพจรสวรรค์’ ม้วนนี้ เจ้าจงตั้งใจฝึกเถอะ”

“ทำไมท่านถึงไม่ฝึกเล่า?” ผลหลี่[7]ข้างทางไม่มีคนกิน ไม่ใช่คนผ่านทางรู้มารยาท แต่เป็นเพราะมันเปรี้ยว ไม่อร่อย เหตุผลนี้ซิงหุนเข้าใจดี

เงาเปิดเผยมาก “ข้าดูมาหกปีแล้ว มองวี่แววไม่ออก บางที...เจ้าอาจจะดูออก”

เด็กชายยิ้มแล้ว บางทีของสิ่งนี้อาจจะเป็นของของบ้านข้า ดังนั้น บางที...ที่โยนข้าไว้ที่นี่ และไว้ชีวิตข้า ก็เพื่อว่าข้าจะสามารถล่วงรู้ความลับที่พวกเจ้าไม่อาจล่วงรู้ เพียงแต่น่าเสียดาย เมื่อก่อนข้าปัญญาอ่อนจริงๆ

“ไม่กลัวข้าฝึกเปะปะจนธาตุไฟเข้าแทรกรึ?” ที่เด็กชายอยากจะถามจริงๆ คือ ถ้าข้าธาตุไฟเข้าแทรก ไม่ใช่ว่าเจ้ายิ่งไม่มีทางได้ความลับนี้?

“เจ้าเดินออกจากหอได้เป็นโชคของเจ้า เจ้าจะฝึกสำเร็จได้หรือไม่ก็เป็นโชคของเจ้าเช่นกัน ที่ข้าทำให้เจ้าได้ ตอนนี้ก็มีแค่นี้ ชิงอีซือฝุของเจ้ามีนิสัยเสียก่อนรับศิษย์เช่นนี้ ข้าถึงค่อยเข้ามาได้...ก็เป็นโชคของเจ้าเช่นกัน”

เด็กชายยังไม่ทันได้ซึมซับเข้าใจสิ่งที่เงาพูดมาทั้งหมด ในใจยังมีปัญหาและข้อกังขาสุมอยู่นับไม่ถ้วน เงาก็จากไปเสียแล้ว

เขาเข้าสู่หุบเขาตอนอายุห้าขวบ เงาอยู่กับเขาในหุบเขาหนึ่งปี เขามั่นใจว่าในหนึ่งปีนี้ เงาไม่รู้เรื่องความลับบนฝ่าเท้าเขาเด็ดขาด เพราะเขาไม่เคยอาบน้ำเลยสักครั้ง คนในหุบเขารู้ว่าเด็กหนึ่งพันคนนี้จะรอดชีวิตแค่ไม่กี่คน จึงขี้เกียจสร้างสิ่งก่อสร้างสาธารณะอย่างโรงอาบน้ำ แต่ห้าปีก่อนล่ะ? เขาใช้ชีวิตอยู่ที่ไหน ไม่เคยมีใครจับเขาพลิกทั้งตัวมาก่อนหรือ? ซิงหุนไม่เชื่อ

เด็กชายถอนหายใจและรู้สึกตื่นเต้นนิดๆ ในที่สุดเขาก็ได้คัมภีร์ลับวิชาพลังภายในอันมหัศจรรย์มา เขาเองก็อยากรู้อย่างมากว่า ตัวเขาจะมีดวงฝึกวิชาพลังภายในสำเร็จได้จริงหรือเปล่า

เขาเลิกคิดเรื่องที่หาคำตอบไม่ได้เหล่านั้น สะบัดคลี่ของที่เงาโยนมาให้ แล้วตกตะลึงทันที อดด่าออกมาดังๆ ไม่ได้ “มืดออกอย่างนี้ ข้าจะไปรู้ได้ยังไงเล่าว่าบนนี้เขียนว่าอะไรบ้าง!”

นี่เป็นผ้าแพรที่เข้ากรอบเรียบร้อยม้วนหนึ่ง เด็กชายออกจะท้อใจ เงาน่ะสิที่ปัญญาอ่อน นึกว่าที่นี่เจาะผนังขโมยแสง[8]ได้? หรือนึกว่าเขาจุดตะเกียงกางอ่านโต้งๆ เวลาชิงอีซือฝุกลับมาในตอนกลางวันได้?

ตอนนี้ข้างนอกน่าจะดาวขึ้นเต็มฟ้าแล้วละมัง? เด็กชายคิดอย่างเบื่อหน่าย นิ้วมือลูบผืนแพรเบาๆ อย่างห่อเหี่ยว

วิชาพลังภายในน่าจะปักอยู่บนผืนแพร เขาลูบพบรอยนูนตะปุ่มตะป่ำ นิ้วมือค่อยๆ ลูบจนเจอแนวเส้นเส้นหนึ่ง เด็กชายหลับตาลง ลูบต่อไปตามแนวเส้นที่นูนขึ้นมานี้ ค่อยๆ ประกอบกันเป็นภาพเส้นชีพจรบนร่างกายคนอย่างแช่มช้าอยู่ภายในสมอง

ลูบไปลูบมาก็ภาพเดิม อารมณ์อยากรู้ของเขาถูกกระตุ้นขึ้นมาอีกครั้ง ภาพแบบนี้เขาเคยเห็นเมื่อชาติก่อน คือภาพองค์ประกอบของร่างกายมนุษย์ธรรมดาๆ นี่แหละ เชื่อมต่อกับจุดเส้นและชีพจรในแต่ละส่วนของร่างกาย แต่เงาบอกว่านี่ชื่อว่า “คัมภีร์ภายในชีพจรสวรรค์” เขายังอยากจะหัวเราะอยู่ดี ตอนเริ่มมีวิชากายวิภาคที่โลกตะวันตก คนเรียนยังต้องถูกส่งไปเผาทั้งเป็นที่วาติกันเลย ในประเทศจีนขืนกล้าแตะต้องคนตาย คนเป็นได้เอาเรื่องคุณถึงตายแน่ ภาพชีพจรภายในร่างนี่เอง มิน่าเล่าพวกเขาถึงได้ดูไม่ออก

จากที่นิ้วลูบ เขารู้จักตัวหนังสือบนม้วนผ้าแพร เรื่องนี้ต้องขอบคุณพ่อของเขาที่เปิดร้านเล็กๆ รับแกะสลักตราประทับ[9] และถือคติลูกสืบทอดอาชีพพ่อ ต่อไปจะได้มีวิชาหากิน จึงบังคับให้เขาหัดแกะตราประทับตั้งแต่เด็ก ซึ่งในภายหลังก็ช่วยอำนวยความสะดวกแก่เขาในการแกะตราประทับราชการปลอมกับทำใบรับประกันปลอมอย่างมาก

ซิงหุนพลิกตัวนอนพังพาบบนเตียง ลูบตัวหนังสือที่ปักอยู่บนผ้าแพรอย่างถี่ถ้วน รู้สึกว่าตัวเขาด่าเงาผิดไปเสียแล้ว ถ้าเป็นหนังสือเล่มหนึ่งจริงๆ เขาถึงจะจนปัญญาโดยสิ้นเชิง

แต่เด็กชายไม่รู้ว่า สิ่งที่เขาลูบเจอกับสิ่งที่เงาอยากจะให้เขาเห็น เป็นคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง แม้แต่เงาก็ไม่ได้ทราบถึงความพิสดารในวิธีปักลวดลายของผ้าแพรม้วนนี้ มีแต่การตั้งอกตั้งใจลูบในความมืดเหมือนอย่างซิงหุนเท่านั้นถึงจะลูบเจอความลับที่แท้จริงที่ผ้าแพรม้วนนี้บันทึกไว้

ในคืนนี้ เด็กชายนอนหลับไปพร้อมกับรอยยิ้มชั่วร้าย


<>::<>::<>


กลางวัน ชิงอีเหรินเข้ามาในห้องใต้ดิน ซิงหุนยืนเรียบร้อยอยู่ตรงหน้าเขา ไม่ได้ร้องไห้โวยวาย และไม่ได้ตื่นกลัว ทำให้ชิงอีเหรินพอใจมาก

สามวันให้หลัง ชิงอีเหรินไม่จุดตะเกียงอีก

ซิงหุนใช้เวลาสามวันทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมของที่นี่ จนแน่ใจว่าตัวเขาไม่มีทางเดินคลำในความมืดชนผนังจนจมูกเบี้ยว แต่เด็กชายอยากรู้อย่างมากว่าชิงอีเหรินไปมาอย่างอิสระในความมืดได้ยังไง รวมถึงปล่อยเบา ยังปล่อยลงในถังได้อย่างแม่นยำไม่มีพลาด จนเขาต้องถอนหายใจอย่างแสนทึ่ง

เด็กชายบีบจมูกย้ายตำแหน่งกระโถนเล็กน้อย ชิงอีเหรินก็หาตำแหน่งพบอยู่ดี เขาจึงลองเดินย่องกริบไปทางประตูห้องศิลา แล้วชนเข้าใส่อกของชิงอีเหรินเต็มที่

ซิงหุนรับขนมเปี๊ยะชิ้นใหญ่ส่งกลิ่นหอมมา ในที่สุดก็ถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ท่านรู้ได้ยังไงว่ามือข้าอยู่ตรงไหน?”

“สามปีให้หลังเจ้าก็จะรู้เอง”

เด็กชายถามต่ออย่างอ่อนน้อม “ข้ามองไม่เห็นวิธีก้าวเท้าของท่าน แล้วจะฝึกวิชากันยังไง?”

“สามวันนี้ เจ้าน่าจะมองเห็นแล้ว บนพื้นมีรอยเท้าอยู่ ตอนนี้เป็นเส้นตรงหนึ่งเส้น แต่ละก้าวห่างกันแปดชุ่น[10] ทั้งหมดสามสิบเจ็ดก้าว” เสียงของชิงอีเหรินดังสะท้อนเย็นยะเยือกอยู่ในห้องศิลา “ความจริงแล้วขอบเขตที่เลิศล้ำที่สุดของวิชาตัวเบา คือความรู้สึกต่อโลกภายนอก อวัยวะแต่ละส่วนของมนุษย์ต่างมีพลังแฝงที่เจ้านึกไม่ถึงทั้งสิ้น เมื่อเจ้าตาบอด เจ้าก็จะใช้งานประสาทหูของเจ้าโดยธรรมชาติ ทุกสิ่งรอบด้านต่างไม่ได้สงบนิ่งโดยสิ้นเชิง เวลาเจ้าเดินจะมีเสียงลม จะกวนปราณให้ขยับ ในห้องศิลาเดิมทีไม่มีสิ่งของ ถ้าใส่ของอย่างหนึ่งเข้าไป ปราณข้างในห้องจะเปลี่ยนไป”

เด็กชายถอนหายใจ “เป็นมนุษย์แท้ๆ ดันจะไปเป็นค้างคาว คลื่นเสียงน่ะมนุษย์สัมผัสได้ง่ายๆ เสียที่ไหนเล่า”

ชิงอีเหรินสนใจวิธีเรียกว่า “คลื่นเสียง” อยู่นิดๆ นิ่งคิดแล้วพยักหน้าเห็นพ้อง “เหมือนอย่างระลอกน้ำ การกระเพื่อมไหวของปราณก็เป็นแบบนี้”

ซิงหุนเลิกพูดมากความ ยื่นมือไปลูบรอยเท้าบนพื้น เหยียบเท้าลงไปหนึ่งข้าง ค่อยย้ายไปยังรอยเท้าถัดไป เขาเดินช้ามาก จะหลับตาหรือไม่ก็ไม่มีผลแล้ว เดินไปอย่างนี้จนครบสามสิบเจ็ดก้าว ค่อยเดินกลับมา “ข้าต้องเดินอย่างนี้นานแค่ไหน?”

“เดินจนเจ้าหลบอาวุธลับของข้าได้!”

“ซือฝุ นี่มันเส้นตรง ข้าไม่มีที่หลบ! ท่านคงไม่ได้คิดจะฉวยโอกาสทำให้ข้าตายหรอกนะ?” ซิงหุนเห็นว่า เมื่อคุ้นเคยกับเส้นทางเดินของใครสักคนแล้วค่อยซัดมีดบินใส่ อัตราการเข้าเป้าจะเป็นร้อยเปอร์เซนต์

“เจ้าฝึกตามวิธีโคจรปราณที่ข้าสอนเจ้าก็ใช้ได้แล้ว” ชิงอีเหรินทิ้งประโยคนี้ไว้แล้วสาบสูญไป

ในความมืด เด็กชายมองไม่เห็นอีกฝ่าย แต่รู้สึกได้จริงๆ ว่ารอบด้านไม่มีใครอยู่ เขานับถือวิชาตัวเบาของชิงอีเหรินอย่างมาก คิดอย่างจนใจว่า ฝึกไปเถอะ!

เด็กชายฝึกเดินได้สามเดือน ด้วยคุณสมบัตินักฆ่าที่ดีเลิศของเขาในอดีตชาติ จึงใช้ชีวิตอยู่ในความมืดอย่างแสนสบาย เขาเดินตามเส้นตรงอย่างสบายใจ จากปลายด้านนี้ถึงปลายด้านนั้น ใคร่ครวญถึงชีวิตในอนาคตครั้งแล้วครั้งเล่า บอกตัวเองหนแล้วหนเล่าว่า ตัวเขาไม่ใช่หลี่หลินอีกต่อไป ชาตินี้ได้เป็นคนอีกครั้ง เป็นชีวิตใหม่ขนานแท้ ชีวิตที่เขาไม่เข้าใจโดยสิ้นเชิง

เขานึกถึงความรู้สึกตอนปีนหน้าต่างเข้าบ้านคนเมื่อชาติก่อน ลองตีลังกาดู ไม่ได้ตกลงนอกรอยเท้า ทำให้เขารู้สึกภูมิใจนิดๆ อารมณ์ดีใจจางๆ ผุดขึ้นในใจ สนุกกว่าก้มหน้าก้มตาเดินไปตรงๆ อีกนิดหน่อย

ขณะที่กำลังตีลังกาเล่นอย่างสนุก เด็กชายสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของปราณรอบตัว มีบางสิ่งพุ่งบินมาใส่เขา เขาเอี้ยวตัวหลบโดยสัญชาตญาณ ลมปราณภายในร่างที่เดิมทีหมุนเวียนอย่างลื่นไหลสะดุดขาดช่วงทันที สมดุลถูกทำลาย เขาล้มหงายสี่เท้าชี้ฟ้าลงกับพื้น เจ็บจนแยกเขี้ยวโวยวายว่า “ซือฝุ ท่านคงไม่ได้ซัดมีดบินหรอกนะ?”

“ลูกดอกต่างหาก!” ชิงอีเหรินพอใจปฏิกิริยาตอบโต้ของซิงหุนมาก ความอดทนและปฏิกิริยาตอบโต้ที่รวดเร็วของซิงหุน มากพอที่จะคู่ควรกับชื่อ “ซิงหุน” นี้

เด็กชายปากอ้าตาค้าง “เกิดซัดถูกข้าจะทำยังไง?”

“ไม่มีหัวน่ะ อย่างดีก็บาดเจ็บนิดหน่อย”

ชิงอีเหรินตอบเสียงเรียบ ถัดจากนั้นซิงหุนก็ถูกลูกดอกที่เอาหัวออกแล้วซัดใส่จนร้องหาพ่อแก้วแม่แก้ว เจ็บจนสั่นระริกไปทั้งตัว หมอบนิ่งอยู่กับพื้นไม่ยอมขยับตัวอีก

“แต่ละวันข้าจะซัดลูกดอกแค่หนึ่งร้อยลูก ยังเหลืออีกยี่สิบลูก ถ้าเจ้าไม่ลุกขึ้น ข้าก็จะยังซัดใส่เจ้าอยู่ดี เป็นเป้านิ่งจะยิ่งเจ็บ”

“นี่ถ้าข้ามีพลังภายใน เกร็งพลังอึดเดียวตัวก็ลอยขึ้นแล้ว!”

“ข้าไม่เป็นพลังภายใน”

คราวนี้เด็กชายมองไปทางทิศที่ชิงอีเหรินอยู่เหมือนมองสัตว์ประหลาด ถึงแม้ตรงหน้าจะมีแต่ความมืดจนเขามองอะไรไม่เห็น

“ท่านจะบอกว่าตอนที่ท่านอุ้มข้าบินขึ้นเขาเหมือนเป็นนกพิราบนั่น ท่านก็ไม่ได้ใช้พลังภายใน?”

“ข้าเป็นแต่วิชาหายใจ”

ซิงหุนงงไปหมด หายใจลึกหายใจตื้น ไม่มีทางสูดหายใจอึดเดียวก็กลายร่างเป็นก้อนเมฆได้หรอกจริงไหม? ความคิดเด็กชายไหววาบ นึกถึง “คัมภีร์ภายในชีพจรสวรรค์” ม้วนนั้นขึ้นมา

แต่ไม่มีโอกาสให้เขาได้ขบคิดมากไปกว่านี้ เสียงลมดังขึ้นกะทันหัน เด็กชายตีลังกาหลบได้ วิ่งไปข้างหน้าตามรอยเท้า เพิ่งวิ่งได้ก้าวเดียวก็ต้องถอยกลับมา เบี่ยงหลบลูกดอกที่ซัดเข้าใส่จากทั่วทุกทิศ ไม่ว่าเขาจะไปหน้าหรือถอยหลัง ลูกดอกของชิงอีเหรินก็ตามติดเขาเหนียวแน่นดุจหนอนเกาะกระดูก รอจนซัดลูกดอกครบยี่สิบลูก เด็กชายหอบแฮ่กนอนฟุบอยู่กับพื้น

เสียงดัง “ฟุ่บ!” ลูกดอกลูกหนึ่งพุ่งเข้ามาชนใส่หลังเขา ทำเอาเขาเกือบจุก จึงโมโหจนชี้หน้าต่อว่าชิงอีเหริน “ตกลงกันแล้วว่ายี่สิบลูกไม่ใช่เรอะ?”

“คนใช้อาวุธลับ มักจะมีท่าที่คนคาดไม่ถึงเสมอ ท่าเดียวปลิดชีพ!” ชิงอีเหรินพูดเสียงราบเรียบจบ ก็พลิ้วลอยจากไปดุจสายลม

“ไร้ยางอาย!” ซิงหุนแอบด่าในใจ กลับลืมไปว่าเมื่อชาติก่อน เวลาเขาใช้วิธีลอบกัด ก็พูดเข้าข้างตัวเองแบบนี้เหมือนกัน เด็กชายคลึงจุดที่เจ็บบนตัวพลางเดินกลับห้อง ลูบภาพชีพจรบนผ้าแพรแล้วอมยิ้ม เขาหาความลับของ “คัมภีร์ภายในชีพจรสวรรค์” พบแล้ว ในวันหน้า เขาจะกุมความลับของร่างกายนี้เช่นกัน


_______________

[1] จู่ซื่อ หมายถึง ผู้บริหารสูงสุดของหุบเขา เทียบได้กับ “ผู้อำนวยการใหญ่” ในปัจจุบัน
[2] ในที่นี้ หมายถึงมีการเปลี่ยนฟ้า หรือก็คือ ผลัดแผ่นดิน
[3] ชิงอีเหริน แปลว่า คนชุดเขียว
[4] เอี้ยก้วย กับ เซียวเล้งนึ้ง คือตัวเอกในเรื่อง “มังกรหยก ภาค 2” ของกิมย้ง เซียวเล้งนึ้งเป็นศิษย์สำนักสุสานโบราณ อาศัยอยู่ในสุสานโบราณใต้ดิน ลักษณะคล้ายกับห้องศิลาในเรื่องนี้ เอี้ยก้วยเป็นศิษย์ของเซียวเล้งนึ้ง ติดตามนางฝึกวิชาในสุสานใต้ดิน
[5] คัมภีร์ทานตะวัน จากเรื่อง “เดชคัมภีร์เทวดา” ของกิมย้ง เป็นวิชาที่ต้องตอนตัวเองก่อนจะเริ่มฝึก
[6] ยอดวิชาตัดชุดวิวาห์ จากเรื่อง “กระบี่ไร้เทียมทาน” ของอึ้งเอ็ง เป็นวิชาที่ฝึกแล้วตัวเองใช้งานไม่ได้ มีไว้ถ่ายให้คนอื่นเท่านั้น
[7] ผลหลี่ คือ ลูกพลัม รสชาติหวานอร่อย
[8] เจาะผนังขโมยแสง เป็นสุภาษิตจีน หมายถึงคนที่ยากจนแต่รักเรียน เจาะผนังบ้านเพื่อให้แสงตะเกียงจากบ้านติดกันสาดลอดเข้ามา แล้วอาศัยแสงตะเกียงนี้อ่านหนังสือ
[9] ตัวอักษรบนตราประทับของคนจีน โดยมากนิยมใช้อักษร “จ้วนเหวิน” ซึ่งเป็นอักษรโบราณที่พัฒนามาจาก “อักษรกระดองเต่า” อักษรภาพยุคแรกสุดของจีน (ดูภาพที่ x หน้า x)
แก้ไขเมื่อ 28 เม.ย. 2568, 03:28 โดย Admin

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 7 ก.พ. 2560, 09:37

6 ความคิดเห็น