หัวข้อ : บทที่ 4 ได้เห็นแสงดาวอันพร่างพราวอีกครั้ง
โพสต์เมื่อ 21 ก.พ. 2560, 07:42
บทที่ 4 ได้เห็นแสงดาวอันพร่างพราวอีกครั้ง
เวลาไม่ได้ฝึกวิทยายุทธ์ ซิงหุนชอบฟังชิงอีเหรินเล่านิทานมาก เนื้อหาคือความทรงจำสมัยชิงอีเหรินยังไม่ได้เข้าสู่หุบเขา ซึ่งเด็กชายตะล่อมให้เล่าออกมาอย่างง่ายดาย
โลกใบนี้จากปากของชิงอีเหริน ทำให้เขานึกถึงยุคชุนชิวจ้านกว๋อ[1]และยุคราชวงศ์เหนือใต้[2]
หนึ่งร้อยปีมานี้ ที่นี่ผลัดแผ่นดินเปลี่ยนราชวงศ์ถี่เสียจนเหมือนเป็นเจ้ามือเลี้ยงข้าว การรุกรานผนวกกลืนระหว่างแคว้นกับแคว้นรวบรัดถึงใจเหมือนเล่นไพ่ไฟฟ์การ์ดสตั๊ด
ปัจจุบันทั่วหล้าถือแคว้นอาน แคว้นฉี และแคว้นเฉินเป็นมหาอำนาจ ระหว่างชายแดนมีแคว้นเล็กแคว้นน้อยแทรกคละอยู่ เกิดสงครามขึ้นบ่อยครั้ง ชาวยุทธ์คืออาคันตุกะสูงเกียรติที่เหล่าราชาแย่งชิงกันน้อมเชิญ สำหรับชาวยุทธ์แล้ว ความแกร่งกล้าของวิทยายุทธ์ย่อมจะเป็นต้นทุนในการเสวยสุขกับยศศักดิ์ความมั่งคั่ง
และหุบเขาแห่งนี้ ยกถ้อยคำของชิงอีเหรินมากล่าว ก็คือ “นักฆ่าทั่วหล้าล้วนมาจากโหยวหลีกู่[3]”
หมายความว่า ที่นี่คือสถานที่เพาะเลี้ยงนักฆ่าชั้นสูงให้แก่ทุกแคว้นโดยเฉพาะ เมื่อมีผลประโยชน์ร่วมกัน หุบเขาจึงสามารถอยู่ได้อย่างปลอดภัยในยุคสงคราม
ซิงหุนนึกขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เด็กทั้งหนึ่งพันกว่าคนที่เข้าสู่หุบเขาพร้อมกันกับเขา คงจะถูกคัดเลือกส่งมาจากแต่ละแคว้นเสียละมาก ในวันหน้าจะได้ทุ่มเทเพื่อแคว้นหรือไม่ อยู่ที่โชคชะตาของแต่ละคนแล้ว
เขารู้สึกว่าทางหุบเขาไม่ได้อาศัยแค่การเก็บค่าเล่าเรียนเป็นแหล่งรายรับ เพราะเห็นได้ชัดว่าหลี่เหยียนเหนียนซึ่งเป็นจื๋อซื่อของหุบเขาเป็นชนชั้นสูงของแคว้นอาน เนื่องจาก “แซ่หลี่” เป็นแซ่ของกษัตริย์แคว้นอาน
ชนชั้นสูงของแคว้นอานผู้หนึ่ง มาเป็นผู้อำนวยการของโรงเรียนที่ปลีกตัวจากสงคราม เขา...สามารถปลีกตัวจากกิจของแคว้น...อยู่เหนือโลกีย์หรือไม่? และผู้ที่สร้างโรงเรียนนักฆ่าแห่งนี้ขึ้นมา มีจุดประสงค์อะไร? อีกอย่าง เรือนโบตั๋นแห่งนั้น เป็นไปได้ไหมว่าคือเครือข่ายหอนางโลมข้ามชาติที่เปิดสาขาอยู่ในทุกแคว้น เน้นรวบรวมข้อมูลข่าวสาร? เงาที่ส่งเขามาบอกว่าเพื่อทดแทนบุญคุณ แล้วจุดประสงค์ที่แท้จริงคืออะไร?
สองปีกว่า เงาไม่ได้ปรากฏตัวอีกจริงๆ เด็กชายออกจะคิดถึงอยู่นิดๆ ไม่ว่าเงาจะดีต่อเขาอย่างจริงใจ หรือแค่อยากจะรู้ความลับของ “คัมภีร์ภายในชีพจรสวรรค์” เงาก็เป็นเพียงคนเดียวในโลกนี้ที่รู้ความลับเรื่องฐานะแท้จริงของเขา
พี่เงาจะคิดถึงเขาบ้างไหม? รอจนเขาเรียนวิชากับชิงอีซือฝุครบสามปี พี่เงาจะโผล่มาอีกไหม? อยู่ๆ เด็กชายก็รู้สึกว่าความจริงแล้วที่นี่ดีมากๆ เขาเคยชินกับความมืดของห้องใต้ดินและความทื่อมะลื่อของชิงอีซือฝุแล้วด้วย อย่างน้อยอยู่ที่นี่ เขาก็ปิดบังตัวเองเอาไว้ได้อย่างปลอดภัยมาก บัดนี้สามปีได้ผ่านไปแล้วสองปีครึ่ง ครึ่งปีหลังจากนี้ ตัวเขาจะเผชิญกับอะไรอีก? วันเวลาที่สงบสุขแบบนี้ยังจะดำเนินต่อไปได้หรือเปล่า?
เด็กชายสัมผัสปราณอันเงียบสงบภายในห้องใต้ดินอย่างเงียบงัน ตัวเขาราวกับลอยอยู่ท่ามกลางสุญญากาศ ปราณรอบด้านห่อหุ้มเขาไว้อย่างอ่อนโยน งูน้อยภายในร่างตัวนั้นกำลังแลบลิ้นเลื้อยปราดๆ อย่างร่าเริง หลังจากเล่นจนเหนื่อย มันก็ขดตัวอยู่ที่ชีพจรชี่ห่าย[4]ของเขาอย่างสงบ
เขาพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า ปราณรายรอบกายกระเพื่อมไหวเบาๆ แผ่ออกไปหนึ่งวงดั่งลมวสันต์พลิ้วปัดผิวน้ำนิ่ง
มีความรู้สึกแบบนี้ น่าจะบรรลุมาตรฐานวิชาตัวเบาของชิงอีซือฝุแล้วสินะ? เขาเคยถามชิงอีซือฝุว่า ถ้าไม่เดินบนเส้นตรง เดินวนไปรอบห้อง จะมีผลลัพธ์อย่างไร?
ชิงอีซือฝุตอบเขาว่า กระทั่งการเดินเป็นเป้าบนเส้นตรงเส้นเดียวยังทำให้เขาบาดเจ็บไม่ได้ “ท่าเท้าท่องคลื่น”[5]ที่เขาพูดนั่น ไม่ต้องฝึกก็ยังได้
ซิงหุนยิ้มแล้ว ยังคงยืนกรานที่จะเรียกวิชาย่างก้าวที่มีแค่สามสิบเจ็ดก้าว เดินเป็นเส้นตรงอย่างเดียวนี้ว่า “ท่าเท้าท่องคลื่น”
ชิงอีเหรินได้แต่ตามใจเขา แต่ถามเขาอย่างสงสัย เหตุใดถึงต้องเรียกชื่อนี้ให้ได้?
ปากเด็กชายบอกว่ารู้สึกเพราะดี ในใจกลับนึกไปถึงท่านพ่อของเสี่ยวต้วน[6]อย่างวาดฝัน สง่างามเจ้าสำราญ ทำให้หญิงงามทั่วหล้าต่างลุ่มหลง หากตัวเขาสามารถทำให้หญิงสาวมากมายขนาดนั้นตกหลุมรักได้ด้วย ชาตินี้เป็นนักฆ่าอีกหนก็ยอม น่าเสียดาย...เขาไม่อาจสมหวังได้อีกแล้ว
เด็กชายคิดอย่างหม่นหมอง เขาเป็นคนเคยชินกับการปรากฏกายในที่มืด ผู้ที่ได้รับความรักจากหญิงสาวในยามราตรี ได้แต่ถูกผู้คนขนานนามว่า “โจรเด็ดบุปผา” ผู้ที่ปรากฏกายเกี้ยวพาหญิงงามในยามกลางวันนี่สิถึงจะถูกเรียกว่า “ส้าวเสีย”[7] ความหงุดหงิดในใจพอกสุม เพราะเหตุนี้ตอนที่เขาอาบน้ำในความมืดยิ่งอาบก็ยิ่งอารมณ์เสีย เสียงน้ำดังสนั่นทำเอาชิงอีเหรินขมวดคิ้ว “เป็นอะไรรึ?”
“ซือฝุ ดูคนอาบน้ำจะเป็นตากุ้งยิงนะ”
ชิงอีเหรินงงไปกึ่งอึดใจ ยิ้มเจื่อนๆ “ข้าจะไปมองเห็นเจ้าได้อย่างไร?”
นอกจากว่าท่านสวมแว่นอินฟาเรด! เด็กชายหัวเราะฮึฮึเสียงดัง จากนั้นถอนหายใจ
ยังไม่รู้เลยว่าในวันหน้าร่างกายนี้จะทำให้เขาเดือดร้อนมากแค่ไหน ต่อให้เขาไม่อยาก เรื่องเดือดร้อนก็จะงอกขาเดินมาหาเขาเองอยู่ดี ดอกไม้ที่กลางฝ่าเท้าดอกนั้น แผดเผาราวเปลวไฟจนหนังตาเขากระตุกไม่หยุด
“อาบน้ำเสร็จ เราออกไปกัน”
“อะไรนะ?” ซิงหุนไม่กล้าเชื่อหูตัวเองนิดๆ ออกไป? ดูดาวดูจันทร์? หน้าร้อนแล้ว ลมราตรีคืนคิมหันต์ มีกลิ่นบุปผาและหญ้าสด... “ข้าอาบเสร็จแล้ว”
ชิงอีเหรินกลั้นหัวเราะนิดๆ แล้วส่ายหน้า อย่างไรก็ยังเป็นเด็กละนะ ซิงหุนอุตส่าห์อยู่ในความมืดได้ตั้งสองปีครึ่ง ก็ไม่เลวอย่างมากแล้ว
<>::<>::<>
เหมือนที่เขาจินตนาการไว้ทุกประการ ซิงหุนสูดกลิ่นดอกไม้ในสายลมเดือนหกอย่างแสนสุข ตื่นเต้นนักกับการได้เห็นค่ำคืนฟ้าพร่างดาวอีกครั้ง
เด็กชายเบิกตากว้าง ราวกับอยู่กลางตลาดนัด
ในคืนคิมหันต์ จักจั่นน้อยกำลังครวญคร่ำ เหนือศีรษะไม่มากนักนกน้อยหนึ่งรังกำลังละเมอ บนยอดไม้ ใบไม้แต่ละใบสั่นไหวตามแรงลม...ทั้งหมดนี้แปลกใหม่เสียจนทำให้เด็กชายตัดสินใจว่า ต่อไปพอมีเวลาว่าง จะออกมาเดินเล่นทันที
แสงจันทร์เย้ายวนใจ เขาอยากจะร้องเพลงมาก และอยากจะวิ่งตะบึงอย่างร่าเริงไปในป่า การวิ่งจากด้านนี้ของห้องศิลาไปด้านนั้นมันไร้รสชาติสิ้นดี
คลื่นอากาศระลอกหนึ่งโถมเข้าหา เด็กชายหลอมรวมเข้าสู่สภาพแวดล้อมรอบกายโดยสิ้นเชิง ลมหายใจของเขาแปรเป็นลมราตรีของต้นคิมหันต์
เขาอมยิ้มอยู่เงียบๆ
“ไม่เลว” ชิงอีเหรินรู้สึกได้ว่ากลิ่นอายของศิษย์น้อยค่อยๆ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับสภาพแวดล้อมโดยรอบ “นับจากนี้ไป ออกมาฝึกข้างนอกได้แล้ว”
“เพราะอะไร?”
“ผิวของเจ้าจะเหมือนอย่างข้าไม่ได้ พิเศษเกินไป” ชิงอีเหรินมักจะคิดถึงรูปลักษณ์ที่สมบูรณ์ของนักฆ่าเสมอ
ซิงหุนยิ้ม เวลานี้ในยามกลางคืน สายตาของเขาสามารถมองเห็นหลายๆ อย่างที่เมื่อก่อนมองเห็นไม่ชัดได้อย่างถนัดชัดเจน
ตอนนี้เด็กชายรู้สึกมีความสุขมาก เพียงเพราะได้ออกมาจากห้องใต้ดิน
บางครั้งความสุขก็เกิดขึ้นได้ง่ายมาก ประเด็นสำคัญอยู่ที่ คุณจะยึดกุมมันไว้อย่างไร
ชิงอีเหรินปล่อยให้ศิษย์น้อยสัมผัสรับรู้กระแสปราณโดยรอบ ส่วนตัวเองจากไปอย่างเงียบกริบ ซิงหุนนั่งบนต้นไม้เงียบๆ หายใจร่วมกับแสงดาวและสายลมดึก จนกระทั่งรู้สึกว่าตัวเองแปรเปลี่ยนเป็นหนึ่งใบไม้บนกิ่งก้าน กระแสปราณเบื้องนอกกระเพื่อมปั่นป่วน เขาคือใบไม้ที่ติดอยู่ ณ ปลายกิ่ง ค่อยๆ ซ่อนเร้นตัวเองไว้
ท่านสามารถแยกแยะน้ำแต่ละหยดในทะเลได้หรือไม่? ท่านทำไม่ได้ ดังนั้น ท่านย่อมจะไม่สามารถหาตัวข้าจากในผืนป่าพบเช่นกัน
เด็กชายนึกจินตนาการว่าตนคือหนึ่งใบไม้ที่ร่วงตกสู่พื้นดิน ถูกสายลมโอบประคองพลิ้วร่วงลงอย่างแผ่วเบา แล้วจินตนาการว่าตัวเขาคือนกน้อยที่จับแมลงบนพื้นหญ้าได้ โผบินกลับรังบนต้นไม้อย่างดีอกดีใจ ความรู้สึกสมใจระหว่างโลดลิ่วขึ้นลง ได้หักล้างอารมณ์ท้อแท้และหงุดหงิดที่ร่างกายใหม่นี้นำมาให้จนสลายไป
ทุกครั้งคราที่กล่าวลาฟ้าพร่างดาวอย่างอาวรณ์ เด็กชายจะเหลือบมองหน้าผาไกลออกไป หากตอนนี้ให้เขาไปที่ขอบผาอีกครั้ง เขาจะไต่โซ่เหล็กไปลองดูที่ฝั่งตรงข้าม ดูว่าที่ชิงอีซือฝุบอกว่า “มี...เจ้าก็มองไม่เห็น” นั้นคืออะไร
และที่ทำให้เด็กชายพอใจมากที่สุดคือ เขามีความลับเล็กๆ เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งอย่าง
ตอนอยู่ตามลำพัง เขาได้ล้วงผ้าแพรผืนนั้นออกมา ใต้แสงจันทร์ ภาพและตัวอักษรที่ปักอยู่บนผ้าแพร เป็นคนละภาพกับภาพเส้นชีพรที่เขาคลำพบในความมืดโดยสิ้นเชิง
ถ้าไม่ใช่ได้เห็นเองกับตา เขาคงไม่เชื่อแน่ๆ ว่าผ้าผืนนี้ก็คือผ้าผืนนั้น เด็กชายมีเหตุผลเต็มที่ที่จะคิดว่า เขาคลำพบเคล็ดลับของคัมภีร์วิเศษเข้าให้แล้ว
ความลับนี้เป็นของเขาเท่านั้น หลังจากพินิจศึกษาม้วนผ้าแพรอยู่พักใหญ่ ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าเหตุใดตั้งหกปี เงาก็ฝึกมันไม่สำเร็จ ไม่มีวิชาหายใจของชิงอีซือฝุ บางทีเขาก็อาจจะเข้าไม่ถึงแก่นแท้ของ “คัมภีร์ภายในชีพจรสวรรค์” เช่นกัน เขาทำลาย “คัมภีร์ภายในชีพจรสวรรค์” ที่เงาศึกษามาหกปีโดยไม่ได้อะไรทิ้งอย่างไม่ลังเล
การเก็บไว้กับตัวเป็นการกระทำที่โง่มาก ซิงหุนยิ้มเจื่อนๆ เขาไม่สามารถปฏิเสธใครก็ตามที่มาค้นตัวเขาได้ และไม่มีตู้เซฟนิรภัยสำหรับเก็บสมบัติส่วนตัว เขาเป็นแค่เครื่องจักรฆ่าคนที่ถูกฝึกฝนเท่านั้น
<>::<>::<>
“เหตุใดออกมาฝึกข้างนอกแล้วกลับไม่ก้าวหน้า?” ชิงอีเหรินขมวดคิ้ว หลายวันมานี้ความก้าวหน้าในการฝึกของศิษย์น้อยเหมือนจะหยุดชะงัก สิบวันก่อนเป็นเช่นนี้ สิบวันให้หลังก็ยังคงเป็นเช่นนี้ การนี้ทำให้ชิงอีเหรินที่เคยชินเสียแล้วกับการก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของซิงหุนไม่ค่อยชินอยู่นิดๆ
ซิงหุนหาวหวอด รู้สึกสติไม่แจ่มใสพอ มันเนือยๆ อย่างไรชอบกล พูดเสียงอ้อนนิดๆ ว่า “ซือฝุ ข้าขยันมากแล้วนะ แต่ตอนกลางวัน ข้ารู้สึกเพลีย!”
“เดี๋ยวก็ค่อยๆ ชินไปเอง ลุกขึ้นมา ฝึกต่อ! ครั้งนี้ข้าจะซัดอาวุธลับสองชุด ทั้งหมดสิบหกชิ้น เจ้าสัมผัสให้ถี่ถ้วนแล้วหลบซะ ถ้าหลบไม่พ้น ก็รับหรือสกัดได้”
เด็กชายเพ่งสมาธิกลั้นหายใจ ตั้งใจเต็มที่ ตอนกระโดดลอยตัวขึ้น สัมผัสรับรู้กระแสปราณของอาวุธลับที่โจมตีเข้าใส่อย่างถี่ถ้วน เขาขมวดคิ้วนิดๆ ทำไมมีแค่สิบสามชิ้นล่ะ? ขณะที่กำลังคิด กระแสลมได้พุ่งวาบใส่หว่างคิ้ว เขายกมือขึ้นสกัด กลางแผ่นหลังกับน่องถูกโจมตีโดนพร้อมกัน ทำไมกัน? ทำไมอาวุธลับสามชิ้นนี้ถึงได้โผล่มาอย่างไร้สุ้มเสียง?
“ตอนซัดสิบสามชิ้นแรกออกไป ข้าทำให้นกสองตัวตกใจ มีตัวหนึ่งบินผ่านเหนือหัวเจ้า และชิ้นที่ซัดใส่ใบหน้าเจ้า ยืมใช้กระแสปราณของมัน...เข้าใจหรือยัง?”
“เข้าใจแล้ว ซือฝุ” เด็กชายหาวหวอดอีกครั้ง เขาจงใจซ่อนเร้นความสามารถจริง มีแต่สวรรค์ที่ทราบว่าตอนกลางวันแสกๆ ในหุบเขามีดวงตากี่คู่กำลังสำรวจดูเขาอยู่
ชิงอีเหรินตะลึงมองผิวหน้าผุดผ่องเป็นยองใยราวกับกระเบื้องเคลือบเนื้อดีของศิษย์น้อย ยามริมฝีปากสีชมพูคลี่แย้ม เผยให้เห็นฟันซี่เล็กๆ ขาวสะอาดประดุจหยก ลืมพูดต่อไปชั่วขณะ
“พักกันสักครู่ไหม? ซือฝุ!”
ชิงอีเหรินได้สติตื่นจากภวังค์ แล้วพูดราวกับกลบเกลื่อนอะไร “เจ้าควรจะ...ตากแดดให้มากๆ ได้แล้ว เอาใหม่!”
“โอ๊ย! เจ็บชะมัด!” ซิงหุนถูกซัดโดนอีกแล้ว จึงร้องอุทานลั่น
ชิงอีเหรินหยุดมือ กล่าวอย่างสงสัย “เมื่อก่อนเจ้าหลบได้นี่นา”
“นี่แน่ะซือฝุ หลายวันก่อนน่ะดวงดี ไม่ใช่ความสามารถจริงของข้า! ข้าเพิ่งจะแปดขวบเองนะ! ซือฝุ!” เสียงของเด็กชายแฝงแววเคืองนิดๆ
ชิงอีเหรินลองคิดดูก็เห็นว่าจริง เด็กอายุแปดขวบสามารถฝึกวิชาได้ถึงขั้นนี้ภายในเวลาสองปีครึ่ง ไม่ใช่เรื่องง่ายดายอย่างมากแล้ว เสียงท่านอ่อนโยนขึ้นมาก “ปฏิกิริยาตอบโต้กับความเร็วของเจ้าในตอนนี้ต่างไม่เลวอย่างยิ่งแล้ว...เพิ่งจะสองปีครึ่ง ข้าผิดคาดอย่างมาก อีกอย่าง วิชาตัวเบาของสำนักเราก็ใช่จะฝึกสำเร็จได้ในวันเดียว วิชาหายใจนั้นต้องฝึกฝนระยะยาว วันนี้พอแค่นี้ก็แล้วกัน”
“ซือฝุ ว่ากันว่าซัดอาวุธลับทดสอบสายตา ท่านจะจุดธูปให้ข้าฝึกความแม่นยำหรือเปล่า?”[8] พอได้ยินว่าไม่ต้องฝึกแล้ว เด็กชายก็โล่งอก จากนั้นถามอาจารย์ถึงสิ่งที่เขาอ่านมาจากในนิยาย
“ไม่ต้อง ข้าบอกแล้วว่า ที่เจ้าต้องฝึกคือประสาทสัมผัส คนผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเจ้า เขาจะเคลื่อนไหว การเคลื่อนไหวที่จะนำพากระแสปราณให้เคลื่อนไหว จงสัมผัสมันให้ได้ เจ้าไม่ต้องฝึกความแม่นยำ ก็รู้ได้ว่าเขาอยู่ตรงไหน”
ชิงอีเหรินเป็นอาจารย์ที่ดีมาก ซิงหุนขอยืนยันอีกครั้ง เขานึกถึงครูฝึกที่สอนวิธีใช้ปืนให้เขาเมื่อชาติก่อน ก็บอกเขาอย่างนี้เหมือนกัน “เป้าอยู่ข้างหน้า ที่คุณต้องเล็งไม่ใช่จุดแดงกลางเป้า แต่ต้องสัมผัสตำแหน่งระหว่างจุดแดงกับศูนย์ปืนในมือคุณให้ได้ มีแต่แบบนี้เท่านั้น คุณถึงจะบรรลุขั้นไม่ต้องเล็งก็ยิงถูกเป้า”
หลักการน่ะเหมือนกันหมด ซิงหุนเข้าใจในหลักการนี้ลึกซึ้งขึ้นอีกขั้น
“ซือฝุ เด็กที่มาด้วยกันกับข้าเป็นเหมือนข้ากันหมดไหม? เรียนวิทยายุทธ์ที่แตกต่างกันกับอาจารย์ที่แตกต่างกัน?” เด็กชายนึกถึงเก้าเก้ากับเด็กอีกสามคนขึ้นมาอีกครั้ง
“แต่ละคนต่างมีพลังแฝงที่แตกต่างกัน ตอนแรกเริ่มจะมองไม่ออกหรอก เจ้ารับป้ายหยกซิงหุน จึงกลายมาเป็นศิษย์ของข้า”
เยว่พ่อจะเรียนอะไร? หงอีล่ะ? ยังมีรื่อกวงกับอิงอวี่? เขาพยายามคิดหาเบาะแสจากชื่อ สุดท้ายก็เลิกล้มการคาดเดาสารพัดอย่าง
เด็กชายลองถามหยั่งเชิงอีกครั้ง “อย่าบอกนะว่าลูกศิษย์ของซือฝุชื่อ ‘ซิงหุน’ กันหมด?”
ชิงอีเหรินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ตอบว่า “พวกเขาตายหมดแล้ว มีแต่ ‘ซิงหุน’ คนก่อนตายแล้ว เจ้าถึงจะรับป้ายหยกชิ้นนี้มาได้”
“ต่อไป...ข้าจะตายด้วยหรือเปล่า?”
“หวังว่าข้าจะไม่ต้องเห็นป้ายหยกชิ้นนั้นอีก...ลุกขึ้นมา!” เสียงของชิงอีเหรินเปลี่ยนจากถอนหายใจเป็นเข้มงวด
ซิงหุนสะดุ้งโหยง ในใจกลับนึกตื้นตันนิดๆ ความจริงมาถึงโลกใบนี้แล้ว ยังโชคดีไม่เลวหรอก เก้าเก้าหนึ่งคน กับชิงอีซือฝุอีกหนึ่งคน ต่างไม่อยากให้เขาตาย
แต่ว่า เขาต้องซ่อนเร้นความสามารถจริง ยิ่งเรียนสำเร็จจบการศึกษาเร็วเท่าไร ก็เผชิญหน้ากับอันตรายเร็วขึ้นเท่านั้น เขาเห็นว่าตัวเขายังไม่โง่ถึงขั้นแย่งชิงไปหาที่ตาย ส่วนชิงอีซือฝุ คิดว่าท่านเองก็พอใจที่ได้เห็นตัวเขาค่อยๆ ก้าวหน้าไปตามลำดับขั้นเช่นกัน
ในห้องใต้ดินอันมืดมิด อย่างน้อยเขาก็อยู่ร่วมกับชิงอีซือฝุอย่างมีความสุขมาก ความมืดและเวลาของที่นี่มากพอให้เขาสลายความหงุดหงิดที่การกลับชาติมาเกิดนำพามาให้ สามปี...ซิงหุนแอบคิดในใจ...อยู่ไปแบบนี้ก็แล้วกัน ฝึกพลังภายใน วิชาตัวเบา และวิชาอาวุธลับให้เก่ง มีต้นทุนมากพอจะคุ้มครองตัวเอง จึงจะสามารถสลัดหลุดจากชื่อ “ซิงหุน” นี้
“ตั้งแต่พรุ่งนี้ไป กลางวันเจ้าไปเรียนเขียนหนังสือ อ่านหนังสือ เรียนพิณ หมากล้อม อักษร ภาพวาดที่เซียนเซิง[9] กลางคืน เราค่อยฝึกวิชากัน”
“ข้าคนเดียว? หรือมีเพื่อนๆ อีกหลายคน?” เด็กชายยิ้ม เกือบลืมแล้วเชียวว่าที่นี่คือโรงเรียน โรงเรียนฝึกนักฆ่าก็เป็นโรงเรียนเช่นกัน
“เจ้าต้องขยันละ ไม่อย่างนั้นเซียนเซิงจะตีเจ้าด้วยไม้กระดาน!” ชิงอีเหรินดูจะกังวลนิดๆ
น้ำเสียงของอาจารย์ทำให้เด็กชายนึกถึงเมื่อชาติก่อนที่โดดเรียนแล้วถูกพ่อไล่ด่าไล่ทุบ เขายิ้มอย่างเบิกบานกว่าเดิม “ซือฝุ ข้ากลัวการเรียนหนังสือที่สุดแล้ว! เซียนเซิงตีข้า ข้าใช้วิชาตัวเบาเผ่นได้ไหม?”
ชิงอีเหรินพลอยยิ้มไปด้วยอย่างอดไม่ได้ “ขอแค่เจ้าหนีพ้น”
“เด็กที่เข้ามาในหุบเขาพร้อมกับข้ามีเด็กผู้หญิงบ้างไหม?”
นิ่งเงียบไปนานมาก เสียงชิงอีเหรินเปลี่ยนเป็นทั้งแห้งผากและเย็นชา “มี...แต่งานของพวกนาง เป็นงานที่เจ้าไม่อยากรับไปตลอดกาล”
ซิงหุนสะดุ้งในใจ สายตาหม่นเศร้าของอาจารย์จ้องมองเขาเขม็งดุจไฟปิศาจ ทำให้เขารู้สึกว่าต่อให้อยู่ในความมืด ก็ไร้ที่ให้ซ่อนตัว
หัวเราะแห้งๆ สองครั้ง เด็กชายเปลี่ยนเรื่องพูด “เซียนเซิงเป็นคนยังไงหรือ?”
แววตาสงบนิ่งมืดมิดดั่งบึงน้ำไร้ระลอกของชิงอีเหรินเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย บนใบหน้าซีดขาวราวเปล่งประกายเรื่อๆ น้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยน “เป็นคนดีมาก”
“ดีแค่ไหน?”
“มากวิชาความสามารถ”
เด็กชายเหลือกตาใส่ มากวิชาความสามารถเรียกว่า “คนดี” เรอะ? ตัวเขาแค่สุ่มลอกบทกวีของเสียวหลี่ เสี่ยวตู้ เสี่ยวป๋าย[10]นิดหน่อยก็สอบติดจ้วงหยวน[11]ได้แล้ว เขาไม่สนใจเรื่องไปเรียนหนังสือในวันพรุ่งนี้สักนิด คิดแต่ว่าจะได้เจอพวกเก้าเก้าหรือเปล่า ในใจเต็มไปด้วยความคาดหวัง
_______________
[1] ยุคชุนชิวจ้านกว๋อ หรือ ยุคเลียดก๊ก อยู่ในช่วง 227 ปีก่อนพุทธกาล - พ.ศ. 323 คือยุคที่ประเทศจีนแบ่งออกเป็นแคว้นเล็กแคว้นน้อยหนึ่งร้อยกว่าแคว้นรบพุ่งกันเอง
[2] ยุคราชวงศ์เหนือใต้ อยู่ในช่วงปีพ.ศ. 963 - 1132 ประเทศจีนแตกออกเป็นแคว้นย่อยหลายแคว้น แต่ละแคว้นต่างมีฮ่องเต้ มีการรบพุ่งกัน ชิงบัลลังก์ ผลัดเปลี่ยนราชวงศ์ถี่มาก
[3] “โหยวหลีกู่” แปลว่า หุบเขาปลีกตัว; กู่ แปลว่า หุบเขา, โหยวหลี แปลว่า ปลีกตัว
[4] “ชีพจรชี่ห่าย” คือชื่อจุดชีพจรบนร่างกาย อยู่ใต้สะดือลงไปประมาณ 1 นิ้วครึ่ง (ดูภาพที่ x หน้า x)
[5] “ท่าเท้าท่องคลื่น” คือชื่อวิทยายุทธ์ของต้วนอี้ ตัวเอกในเรื่อง “แปดเทพอสูรมังกรฟ้า” เป็นวิชาก้าวเท้าที่พิสดารเลิศล้ำ ใช้หลบการโจมตีและหนีการไล่ตามของศัตรูได้ผลดีมาก
[6] เสี่ยวต้วน แปลว่า ต้วนน้อย หมายถึง ต้วนอี้ จากเรื่อง “แปดเทพอสูรมังกรฟ้า”; “เสี่ยว” เป็นคำเรียกผู้อ่อนวัยกว่าอย่างสนิทสนม
[7] ส้าวเสีย แปลว่า จอมยุทธ์น้อย หมายถึง จอมยุทธ์ที่ยังอยู่ในวัยเด็กถึงวัยรุ่น
[8] มาจาก “กลางวันแทงรูเหรียญ กลางคืนแทงปลายธูป” ซึ่งเป็นวิธีฝึกความแม่นยำในการใช้อาวุธโจมตีของยอดยุทธ์ชาวจีนที่เล่าลือกันมา
[9] เซียนเซิง ในที่นี้คือคำเรียกครูอาจารย์
[10] เสียวหลี่ คือ หลี่ชิงเจ้า, เสี่ยวตู้ คือ ตู้ฝู่, เสี่ยวป๋าย คือ หลี่ป๋าย ทั้งสามคนคือยอดกวีชื่อดังมากในยุคโบราณของจีน
แก้ไขเมื่อ 28 เม.ย. 2568, 03:30 โดย Admin