หัวข้อ : บทที่ 5 หญิงงามดั่งบุปผา ณ สุดปลายเมฆา
โพสต์เมื่อ 28 ก.พ. 2560, 07:17
บทที่ 5 หญิงงามดั่งบุปผา ณ สุดปลายเมฆา
ยืนนอกเรือนไม้ไผ่ เสียงพิณใสเสนาะแว่วมาจากข้างใน ชิงอีเหรินจูงมือศิษย์น้อยยืนฟังเงียบๆ อยู่ข้างนอกได้ครู่หนึ่ง พูดเบาๆ ว่า “ไปเถิด ตอนบ่ายซือฝุจะมารับเจ้าเลิกเรียน”
สถานการณ์นี้...ซิงหุนอยากจะหัวเราะงอหาย ชีวิตในหุบเขามีรสชาติมากขึ้นทุกที ไม่รู้เวลาเซียนเซิงข้างในนั้นโมโห จะเป่าหนวดถลึงตาหรือเปล่า? ถ้าเขาสอบไม่ผ่าน ชิงอีซือฝุต้องไปยิ้มประจบพูดขอโทษขอโพยเซียนเซิงเหมือนพ่อของเขาเมื่อชาติก่อนไหม?
เด็กชายกลั้นหัวเราะ ย่องกริบเข้าไปในเรือนไม้ไผ่ เสียงพิณเต็มโสตทอดกังวาน ทำให้ใจใสสงบ เขาพินิจดูการจัดแต่งของเรือนไม้ไผ่ นึกชมดังๆ ในใจ เซียนเซิงของที่นี่ต้องเป็นผู้ที่ประดุจเซียนผู้วิเศษอย่างแน่นอน เด็กชายคิดพลางเก็บอารมณ์คึกคะนอง ยืนก้มหน้าที่หน้าประตูเหมือนนักเรียนเรียบร้อยว่าง่ายทุกกระเบียดนิ้ว
“เจ้าหรือคือซิงหุน?” เสียงพิณหยุดลง แทนที่ด้วยเสียงถามแผ่วเบานุ่มนวล
เด็กชายตกตะลึงเงยหน้าขึ้น อ้าปากค้าง “เจี่ยเจีย[1]เทพเซียน?”
เซียนเซิงคนงามหัวเราะคิกออกมา เสียงเสนาะโสตดุจเดียวกับเสียงพิณ
ซิงหุนยืนตะลึงจังงัง ปล่อยให้ฝ่ามือขาวผ่องทั้งคู่ของนางลูบไล้ใบหน้าเขา “จุ๊ๆ ใบหน้านี้...มิน่าเล่าถึงได้ส่งมาที่ข้า! ต่อไปข้าก็คือเซียนเซิงของเจ้า เมื่อกี้นี้เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ? ปากหวานเสียจริง! หน้าตาท่าทางอย่างข้าเหมือนเทพเซียนจริงๆ?”
เด็กชายพยักหน้า จ้องตาไม่กะพริบ มีหญิงงามอยู่ตรงหน้าห้ามทำตัวบ้าๆ ขอดูเป็นบุญตาก็ยังดี เขามองนางอย่างมีความสุข “ข้าชอบเรียกท่านว่าเจี่ยเจียเทพเซียน!”
“ข้าก็ชอบ!” นิ้วเรียวประดุจหยกของนางจิ้มหน้าผากเด็กชายเบาๆ ซิงหุนยิ่งวิงเวียน “ไม่นึกเลยว่าชิงอีก้วย[2]มีศิษย์น้อยน่ารักปานนี้ได้ด้วย ต่อไปมาติดตามเซียนเซิง อย่ากลับไปแล้ว ขืนอยู่ต่อจนโตมาเหมือนผีอย่างซือฝุผู้นั้นของเจ้า ข้าไม่ชอบดอกนะ”
เสียงบ่นเจือสะบัดนิดๆ ทำหัวใจของเด็กชายลอยละล่องขึ้นไปถึงชั้นเมฆ ปล่อยให้มือขาวผ่องทั้งคู่ลูบไล้ใบหน้าเขาอยู่ไปมา สมองยิ่งวิงเวียนหนักกว่าเดิม
“ชอบข้าหรือไม่?”
เด็กชายพยักหน้า
“ข้าสอนอะไรเจ้า เจ้าต้องเชื่อฟัง ตั้งใจเรียนล่ะ”
เขาพยักหน้าอีกครั้ง พลันได้ยินเสียงอีกฝ่ายเปลี่ยนเป็นเย็นชา “หลงนารีปานนี้แต่ยังเล็ก โตขึ้นจะผ่านด่านหญิงงามได้รึ?”
ซิงหุนได้สติทันควัน ถอยหลังไปสองก้าว ความระแวงผุดขึ้นในใจ ใบหน้ายังคงยิ้มหวานดังเดิม “ใต้หล้านี้ไม่มีหญิงใดงดงามยิ่งไปกว่าเซียนเซิงอีกแล้ว”
เซียนเซิงคนงามได้ฟังก็ชะงัก ถอนหายใจอย่างหม่นเศร้า “ข้าชราแล้ว คนงามสุดท้ายก็ต้องชรา เมื่อเจ้าโต ข้าก็กลายเป็นยายเฒ่าแล้ว”
ครั้นได้ฟังถ้อยคำนี้ ซิงหุนก็เริ่มปวดศีรษะ ผู้หญิงที่ได้พบเมื่อชาติก่อนพูดแบบนี้ ผู้หญิงในชาตินี้ก็พูดแบบนี้อีก ผู้หญิงนี่ยุ่งยากเป็นบ้า แต่ความยุ่งยากนี้ดันรัดตัวเขาแน่นอนแล้วนี่สิ
“อย่ามัวแต่ยืนทื่อสิ เดิน ๒-๓ ก้าวให้ข้าดูหน่อย” เพียงพริบตาเซียนเซิงคนงามก็เปลี่ยนสีหน้าอีกครั้ง ออกคำสั่งเสียงจริงจัง
เด็กชายตะลึง นึกขึ้นได้ว่ามาเป็นลูกศิษย์นาง จึงก้าวเท้ายาวๆ จากด้านนี้ของเรือนไปยังด้านนั้น คิดในใจ คงไม่ใช่ว่ามาที่นี่แล้วยังต้องเดินตามเส้นตรงอีกหรอกนะ?
“เฮ้อ เดินยังไม่เป็นเลย เดินน่ะ ต้องเดินแบบนี้” เซียนเซิงคนงามบิดเอวบางเบาๆ ก้าวบงกชเยื้องกรายสั้นๆ ซิงหุนมองจนกลืนน้ำลายไม่ได้หยุด
“เจ้าหนูหลงนารี ดูพอหรือยัง? หัดเป็นแล้วเดินใหม่อีกรอบ” เสียงของนางดุจลมราตรีแรกคิมหันต์ เด็กชายขนลุกเกรียวไปทั้งตัว
เขามองนาง ถอยหลังไปถึงประตูเรือนอย่างลืมตัว เสียงสั่นสะท้าน ชี้หน้านางร้องว่า “ท่าน...เหล่าจือ[3]ไม่เป็นเฉิงเตี๋ยอี[4]!” แล้วตีลังกากลางอากาศเผ่นหนีออกไปข้างนอก เทพเซียนรึ? ปิศาจต่างหาก! เขาอยากจะงอกปีกบินออกไปได้ใจแทบขาด
ข้อเท้าตึงวูบ ตัวถูกกระชากกลับไป ล้มตึงลงกับพื้นโดยแรง
“กล้าเรียกชื่อข้าตรงๆ...ชิงอีก้วยบอกเจ้ารึ? ไม่รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่! เฮอะ!” เซียนเซิงคนงามกระตุกมือ เก็บผ้าคล้องไหล่ในมือกลับคืน น้ำเสียงเปลี่ยนไป แฝงแววเย็นชาอยู่จางๆ
ซิงหุนโมโหจนนึกขำ เซียนเซิงคนงามชื่อ “เฉิงเตี๋ยอี” หรือนี่? เด็กชายพลิกตัวกระโดดขึ้นยืน พูดย้ำทีละคำว่า “เหล่า จือ ไม่ หัด เดิน แบบ ผู้ หญิง!”
“ตามใจเจ้าได้รึ?” เฉิงเตี๋ยอีไม่ทราบชักแผ่นไม้ไผ่หนาเตอะ กว้างประมาณสามชุ่นออกมาจากไหน มองหน้าเด็กชายยิ้มๆ
สตรีที่วิวาทจักเสียบุคลิก! “บุรุษที่ดีไม่สู้กับสตรี! เหล่าจือขอพูดอีกครั้ง จะ ไม่ หัด เดิน แบบ ผู้ หญิง!”
แค่วิทยายุทธ์ที่นางใช้จับตัวเขากลับมา ตัวเขาก็ห่างไกลจากการเป็นคู่ต่อกรของนางแล้ว แต่ซิงหุนรู้อย่างหวาดผวาเสียแล้วว่าต้องเรียนอะไรจากนาง ความหวาดกลัวในใจนี้ทิ่มแทงหัวใจเขาประดุจเข็ม ถึงตายก็ไม่ทำ
เสียงลมพลันดัง เด็กชายลอยขึ้นตามลมดั่งปุยเมฆ
เฉิงเตี๋ยอีเอ่ยชมว่า “วิชาตัวเบายอดเยี่ยม ชิงอีก้วยสอนได้ไม่เลวเลย”
ซิงหุนสัมผัสการเปลี่ยนแปลงของกระแสปราณในอากาศ หลบหลีกแผ่นไม้ไผ่ที่หวดลงใส่เหมือนหลบอาวุธลับ กระนั้นอย่างไรร่างกายยังคงเป็นร่างกายของเด็ก พลังภายในก็ใช้ไม่ได้
แผ่นไม้ไผ่ตวัดขึ้นเป็นเงา แรงกดดันตามหลังมาติดๆ น่องเล็กๆ โดนฟาดใส่ไปหนึ่งไม้ ความเร็วตกลงทันที ตามด้วยถูกเงาแผ่นไม้ไผ่สีเขียวหม่นปกคลุมใส่
“ว้ากกกก เซียนเซิงไว้ชีวิต!” พริบตาเดียวไม่ทราบโดนฟาดใส่ไปกี่ไม้ เจ็บจนต้องร้องขอความเมตตาอยู่ลั่นๆ
เฉิงเตี๋ยอียิ้มเยื้อนพลางเก็บแผ่นไม้ไผ่ “ต่อไปห้ามเรียกตัวเองว่า ‘เหล่าจือ’ อีก อยู่กับชิงอีก้วยนี่ไม่ได้เรียนไอ้ที่ดีๆ เลย”
“อั๊วรู้แล้ว” เด็กชายตอบหน้าม่อยพลางคลำซาลาเปาลูกโตบนศีรษะป้อยๆ
“อั๊ว?” เฉิงเตี๋ยอีขมวดคิ้ว “ภาษาถิ่นก็ต้องเปลี่ยนด้วย!”
ซิงหุนพูดไม่ออกโดยสิ้นเชิง
เห็นเจ้าหนูที่มาถึงปุบก็เอะอะมะเทิ่งคนนี้ยอมแพ้ เฉิงเตี๋ยอีอารมณ์ดีขึ้นมาก “เอาละ วันนี้ไม่ตีเจ้าแล้ว ข้าไม่ได้ให้เจ้าหัดเดินแบบสตรี ข้าให้เจ้าหัด...เดินอย่างเขา!”
มองตามที่มือเรียวยาวชี้ ซิงหุนเห็นเด็กชายผู้หนึ่งที่นอกม่านไม้ไผ่
นั่นเป็นเด็กที่ซูบผอมอ่อนแอ สวมชุดผาว[5]สีม่วง เอวคาดสายรัดแพรถัก หรูหราสูงค่ากว่าเสื้อผาวผ้าดิบที่ตัวเขาสวมอยู่มาก ในมือเด็กคนนั้นถือหนังสือเล่มหนึ่ง เดินทอดฝีเท้าอยู่บนทางน้อยในป่าไผ่
ท่าเดินของเด็กคนนั้นก็ไม่ถือว่าแปลกอะไร แต่ระหว่างย่างก้าวกลับให้อารมณ์อ่อนโยนงดงาม
“คนฝึกวิชาตัวเบาอีกคนหรือ?” เด็กชายถาม
“เปล่า เจ้าต้องหัดเดินอย่างเขา หัดดีดพิณอย่างเขา หัดเขียนหนังสืออย่างเขา หัดเลียนแบบ...สีหน้ากิริยาของเขา” เฉิงเตี๋ยอีพูดทีละคำๆ
ในใจซิงหุนเครียดเขม็ง เข้าใจทันที เขากะพริบตาแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง เบ้ปากพูดว่า “มีอะไรน่าหัดกัน? เหล่าจือเก่งกว่าเขาตั้งเยอะ”
“ตายใต้ดอกโบตั๋น เป็นผีก็สำราญ...เจ้าเป็นคนพูดสินะ!” เฉิงเตี๋ยอีเอามือปิดปากหัวเราะร่วน “กล่าวถ้อยคำนี้ออกมาได้ คิดว่าเรื่องร่ายโคลงต่อกลอนก็คงไม่ด้อยนัก”
สายตานางอ่อนโยนดุจธารวสันต์ แต่หัวใจซิงหุนดั่งร่วงสู่ธารน้ำแข็ง
นี่คือภารกิจแรกของเขาหรือ? ไปเป็นมนุษย์โคลน? ข้อดีคืออีกไม่นานเขาจะได้ไปจากหุบเขา ข้อเสียคือ คนในบ้านรู้เรื่องในบ้าน ภารกิจมนุษย์โคลนแบบนี้ มีแต่ทางตายไร้ทางรอดจริงแท้แน่นอน
หึหึ ขอแค่ออกจากหุบเขาได้ แผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล พวกเจ้าจะทำอะไรข้าได้? เขาตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะเผ่นหนี
“ข้าได้ตายแบบรู้เรื่องก็พอแล้ว เหตุใดต้องเลียนแบบเขา?” เด็กชายเห็นว่าหมดหนทางต่อรอง จึงถามออกไปตรงๆ
เฉิงเตี๋ยอีถอนหายใจ ลูบศีรษะเขา “เจ้าลองดู...ใบหน้าเด็กผู้นั้นอีกครั้งสิ”
เขาเพ่งสายตามองไป เด็กคนนั้นเลี้ยวมาจากด้านข้างทางน้อยพอดี ตัวเขาอยู่ในห้องศิลามาสองปีกว่า สายตาได้คมกล้าเกินคนธรรมดาจะเทียบเทียม เขามองเห็นใบหน้าของเด็กคนนั้นอย่างชัดเจน และเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง...อย่างนี้นี่เอง! “ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยแข็งแรง! หน้าซีดนิดๆ...”
“ผิวของเจ้าก็พอๆ กัน”
“เขาน่ะซีดเพราะป่วย!” ซิงหุนนึกเคืองในใจ เอ่ยปากเถียง “อีกอย่าง เขาผอมแห้ง ไม่ได้แข็งแรงอย่างข้า!”
“อืม เจ้าสังเกตได้ละเอียดมาก...นับจากวันนี้ไป เจ้าไม่มีข้าวเย็นกินแล้ว จนกว่าเจ้าจะผอมเหมือนเขา” เฉิงเตี๋ยอีตัดสินใจอย่างอ่อนโยนแต่โหดเหี้ยม
ซิงหุนโมโหทันที
“อย่าหาว่าเซียนเซิงไม่เตือนเจ้าล่ะ ไม่ขยัน ชีวิตน้อยๆ จะยากรักษาไว้ ที่ผ่านมาของปลอมที่ถูกจับได้ต่างมีผลลัพธ์นี้ทั้งสิ้น!”
“ข้าเข้าใจแล้ว นับแต่พรุ่งนี้ไป หากข้ามีของอร่อยกิน ข้าจะแบ่งให้เขาก่อนหนึ่งส่วน ข้าไม่อยากผอม เขาก็ได้แต่อ้วน!” ซิงหุนยิ้มแล้ว เซียนเซิงคนงามไม่กลัวว่าเขาจะปฏิเสธสักนิด คนในหุบเขาก็ไม่กลัวว่าเขาจะปฏิเสธ เพราะเวลานี้วิทยายุทธ์ของเขาไม่แข็งแกร่งพอ ชีวิตน้อยๆ อยู่ในมือคนพวกนี้ นี่คือการข่มขู่กันเห็นๆ และเขาได้แต่ยอมรับ
เฉิงเตี๋ยอีตะลึง แล้วหัวเราะคิก นางหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา วางลงตรงหน้าเด็กชาย “พวกนี้คือผลงานที่ผ่านมาของเด็กคนนั้น เจ้าจำให้ขึ้นใจทั้งหมดล่ะ รวมทั้ง...คำอรรถาธิบาย ยังมีนี่...เลียนแบบลายมือนี้”
“ข้าตัดสินใจว่าจะลืมให้หมด เพราะว่า...ข้ามีบทกวีชิ้นใหม่แล้ว บทกวีในอดีตน่าละอายยิ่งนัก ไม่อยากเอ่ยถึงอีก! ส่วนลายมือนี้หรือ...เซียนเซิงโปรดวางใจ ซิงหุนจะพยายามสุดความสามารถแน่นอน” ชาติก่อนเขาเป็นมือดีด้านแกะตราราชการปลอม ตราประทับปลอม เลียนแบบลายมือคนคนเดียวจะไปยากอะไร?
ซิงหุนยืนมองใบหน้าที่เหมือนกับตัวเขามากอย่างน่าตกใจของเด็กชายที่นอกม่านไม้ไผ่ เด็กคนนั้นจะเป็นอะไรของเขากันนะ? หรือว่า...ที่เขาไม่ถูกกำจัดทิ้งตอนปัญญาอ่อน เป็นเพราะใบหน้านี้?
เฉิงเตี๋ยอีเอนพิงอยู่บนตั่งนอนอย่างเกียจคร้าน ชุดลายเมฆพลิ้วสีสดใสห้อยระลงถึงพื้น ดุจดั่งนางเซียน นางจัดเส้นผมเบาๆ กิริยาเล็กๆ น้อยๆ ยังแผ่กลิ่นอายชวนให้ลุ่มหลง นางเห็นซิงหุนยืนนิ่งไม่ขยับ ก็ถอนหายใจเอ่ยว่า “ตอนนี้ข้าเหนื่อยแล้ว ตรงนั้นมีแท่นน้ำชา[6] หัดชงชาก่อนเถิด!”
ชงชาเป็นเรื่องเล็ก ไม่เคยกินเนื้อหมูหรือไม่เคยเห็นหมูวิ่ง[7]? เห็นบนเตาเล็กจิ๋วข้างแท่นน้ำชามีกาที่น้ำเดือดแล้ว ซิงหุนจึงเริ่มต้นเลือกใบชาล้างถ้วยชา
“สมาธิน่ะดีพอแล้ว เพียงแต่...เสี่ยวซิงซิง[8] เวลาเจ้าสงบใจชงชา เงยหน้าขึ้นมามองข้าสักหน่อยไม่ได้หรือ?” น้ำเสียงเฉิงเตี๋ยอีแฝงแววตัดพ้อ เป็นฝ่ายเรียกชื่อเด็กชายอย่างสนิทชิดเชื้อมาก
ซิงหุนอดใจไม่อยู่เหลือบสายตาขึ้นมองนาง
“หึหึ สายตานี้ต้องอ่อนโยนกว่านี้อีกนิด เหมือนอย่างข้านี่” เฉิงเตี๋ยอีชม้ายชายตา
“โอ๊ย!” น้ำร้อนลวกโดนมือ เด็กชายโยนกาทิ้งทันที แสบร้อนจนสะบัดมืออยู่เร่าๆ “ไม่ไหวแล้ว!”
เฉิงเตี๋ยอีเอนอิงอยู่บนตั่ง หัวเราะจนสั่นไปทั้งตัว
เด็กชายถลึงตาเขียวปัดใส่อย่างทุลักทุเล “ห้ามหัวเราะนะ! ขืนหัวเราะอีก พรุ่งนี้ข้าจะไม่มาเรียนแล้ว”
“อ้อ? เจ้าไม่อยากเรียน ข้าอยากจะสอนเสียอย่าง เสี่ยวซิงซิง เจ้านี่น่าสนุกเสียจริง น่าสนุกมาก คิกๆ!”
“เซียนเซิง ท่านงามพอจะทำให้สรรพสัตว์ต่างลุ่มหลงแล้ว โปรดละเว้นศิษย์เถิดขอรับ!”
“เฮ้อ ถ้าเจ้าเรียนของพวกนี้ไม่ได้ภายในครึ่งปี ข้าจะไม่อาจส่งมอบงานให้กู๋จู่[9]ได้น่ะสิ”
ความคิดซิงหุนไหววาบ กรอกน้ำชงชาใหม่อย่างไม่กระโตกกระตาก “กู๋จู่บอกว่า ต้องให้ข้าเลียนแบบเจ้าเด็กน่าเบื่อคนนั้นหรือขอรับ?”
“น่าเบื่อมากจริง แต่จะทำอย่างไรได้เล่า?”
นั่นสิ จะทำยังไงได้? เขาอดไม่ได้ต้องเงยหน้าขึ้นดูเจ้าหนูที่กำลังตั้งใจอ่านหนังสือคนนั้นอีกครั้ง ในดวงตาของเด็กคนนั้นเหมือนไม่มีอะไรอื่น นับตั้งแต่เขามองเห็นเด็กคนนั้นจนถึงตอนนี้ ไม่ได้ยินเด็กคนนั้นพูดเลยสักคำ ความคิดจิตใจทั้งมวลของเด็กคนนั้นเหมือนจดจ่อที่หนังสือในมือเล่มนั้นทั้งหมด
กลิ่นหอมของชาลอยอบอวลในอากาศ หอมตลบไปทั้งห้อง
เด็กชายยื่นน้ำชาถ้วยแรกไปให้เฉิงเตี๋ยอีอย่างนอบน้อม “เซียนเซิงโปรดชิมชา”
เขามองยามริมฝีปากแดงสดของนางเผยอน้อยๆ ดูเย้ายวนอย่างบอกไม่ถูก แล้วตะลึงนิดๆ เมื่อชาติก่อนเขาพบเห็นสตรีเพศมามากมาย จะอวบอิ่มหรืออ้อนแอ้นก็เรียกว่าหญิงงามได้ทั้งนั้น แต่ผู้ที่มีกลิ่นอายสตรีอย่างแท้จริงดังเช่นเฉิงเตี๋ยอีกลับมีน้อยมาก หญิงงามยุคโบราณต่างเป็นเช่นนี้กระนั้นหรือ?
“เสี่ยวซิงซิงโตขึ้น ก็ไม่ด้อยเหมือนกัน” เฉิงเตี๋ยอีเกิดอารมณ์สุนทรีย์มิใช่น้อย สายตาวนเวียนไปมาบนใบหน้าของซิงหุน แล้วพลันกะพริบตา “ในเมื่อเจ้าชอบเซียนเซิงมากปานนี้ เซียนเซิงแต่งงานกับเจ้าดีหรือไม่?”
ซิงหุนตกใจจนถอยหลังไปหลายก้าว พลันสัมผัสกลิ่นอายของชิงอีเหรินได้ที่นอกเรือนไม้ไผ่ จึงเหมือนได้รับพระราชทานอภัยโทษ รีบร้อนโค้งคารวะเฉิงเตี๋ยอี “ชิงอีซือฝุมารับซิงหุนเลิกเรียนแล้ว พรุ่งนี้ซิงหุนค่อยมาใหม่ขอรับ” ไม่รอให้เฉิงเตี๋ยอีตอบคำ พลิ้ววูบออกไปจากเรือนไม้ไผ่ดุจนางแอ่น
เฉิงเตี๋ยอีเพ่งมองเงาร่างเล็กๆ ที่เร้นหายเข้าป่าไผ่ เรียวปากค่อยๆ เผยรอยยิ้มรำไรอย่างแช่มช้า “เจ้าหนูที่น่าสนุก...ชิงอีก้วย เจ้าช่างปิดบังได้เก่งนัก”
<>::<>::<>
ตอนออกมาฝึกวิชาช่วงค่ำ ซิงหุนนึกถึงสีหน้าแปรผันยากหยั่งคาดของเฉิงเตี๋ยอี ช่าง...แกล้งกันเหลือเกิน อดไม่ได้ต้องถอนหายใจบอกชิงอีเหริน “เซียนเซิงคนงามช่างมากวิชาความสามารถจริงแท้ เป็นประดุจเทพเซียนบนสวรรค์เลยเทียว!”
ในดวงตาชิงอีเหรินวาบประกายที่ทำให้เขาเห็นแล้วอยากจะหัวเราะอีกครั้ง แน่นอน ยังมีสีแดงเรื่ออย่างมีพิรุธที่ซ่านขึ้นจางๆ บนใบหน้าวูบหนึ่งด้วย
ในใจเด็กชายจับเค้าได้แล้ว เขาคิดอย่างภูมิใจ ต่อให้ถูกพวกเจ้าวางแผนหลอกใช้แรงงานเด็กเป็นตัวแสดงแทน จะมากจะน้อยก็ต้องหาความบันเทิงกลับมาสักหน่อยละ
เขาไม่เคยถามเลยว่าเด็กคนนั้นมีฐานะอะไร เขาต้องได้ทราบไม่เร็วก็ช้า แต่เขามักจะคาดหวังในตัวชิงอีเหรินอยู่เล็กน้อย ดังนั้นยังคงเอ่ยออกไปว่า “ซือฝุ เซียนเซิงคนงามบอกให้ข้าเลียนแบบคนผู้หนึ่ง เลียนแบบทั้งหมดของเขา ต้องให้เหมือนหมดทุกอย่าง”
ชิงอีเหรินนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน เอ่ยว่า “ข้าจะไปคุยกับกู๋จู่ เจ้าไม่เหมาะกับภารกิจนี้”
เด็กชายตกตะลึงนิดๆ กับการตัดสินใจของผู้เป็นอาจารย์ กอดเอวท่านไว้พึมพำว่า “ซือฝุช่างแสนดีนัก!”
<>::<>::<>
หยดน้ำพุดุจไข่มุก ดังติ๋งๆ ก้องกังวานไปทั้งห้อง
หอไม้หลังน้อยปลูกอิงผนังผา ภายในหอวางโต๊ะน้ำชาไม้มะเกลือหนึ่งตัว มีไอน้ำเกาะเล็กน้อย เนื้อไม้มันขลับแวววาวดุจหยกดำ มือขาวผ่องดุจหยกขาวข้างหนึ่งยกกาน้ำชาขึ้นสูงอย่างมั่นคง เอียงเทน้ำเดือด กลิ่นชาที่พลุ่งขึ้นหอมจรุงใจ
เฉิงเตี๋ยอีก้มหน้าหลุบตาชงน้ำชาอย่างมีสมาธิ ในถ้วยกระเบื้องเคลือบขาวใบจิ๋วสีน้ำชาเขียวหม่น ดวงตานางทอแววพอใจอยู่จางๆ
ชายชราที่นั่งอยู่ด้านข้างใบหน้ามีเมตตา ผมเผ้าหนวดเคราล้วนขาวโพลน ยื่นมือออกประคองถ้วยชาขึ้นหนึ่งถ้วย หรี่ตาลงเล็กน้อยรอที่ปลายจมูกสูดกลิ่น เรียวปากคลี่ยิ้มบางๆ หมุนปากถ้วยมา จิบกลืนลิ้มชิมทีละนิด
เฉิงเตี๋ยอีมองดูอย่างพอใจ ตรงหน้าพลันมีมือเรียวยาวซูบผอมข้างหนึ่งยื่นผ่าน หยิบขึ้นหนึ่งถ้วยดื่มอึกลงไปในคำเดียว แล้วไปหยิบถ้วยที่สอง สีหน้านางเปลี่ยนเป็นโมโห แต่ไม่สะดวกจะเอาเรื่อง ถลึงจ้องชิงอีเหรินที่ไม่รู้จักความสุนทรีย์ตาเขียว
“ฝีมือชงชาของเตี๋ยอีก้าวหน้าขึ้นอีกแล้ว ได้ดื่มชาเจ้าหนึ่งถ้วย เป็นโชคดีทั้งชีวิต!” ชายชราถอนหายใจ
“เพียงแต่ถ้วยเล็กไปหน่อย” ชิงอีเหรินก็ถอนหายใจด้วย
เฉิงเตี๋ยอีแค่นเสียงอย่างดูหมิ่น เปลี่ยนเรื่องว่า “ซิงหุนไม่เลวเจ้าค่ะ ไหวพริบดีมาก เวลาครึ่งปีเพียงพอ”
“กู๋จู่ เขายังเรียนไม่สำเร็จ ทั้งยังไม่รู้เรื่องราวในโลก อายุยังน้อย เรื่องนี้ทำไม่ได้ขอรับ!” ชิงอีเหรินคัดค้านต่อคำ
ชายชรายังคงลิ้มรสน้ำชา จวบจนดื่มไปได้สามถ้วย ค่อยเหยียดคิ้วอย่างพอใจ กล่าวเนิบช้า “ยอดชา!”
ชิงอีเหรินร้อนใจนิดๆ คิดทบทวนซ้ำไปมาอยู่ในใจหลายตลบ สุดท้ายเอ่ยปากอีกครั้ง “วิทยายุทธ์ของเขายังอ่อนด้อย ข้ากลัวว่า...เสร็จงานไม่พอ เสียงานเกินพอ!”[10]
“บ่อยครั้งที่ไม่ได้พึ่งพาวิทยายุทธ์ทำงานให้สำเร็จ ในหุบเขามียอดฝีมือมากมายปานนี้ หรือยังเดือดร้อนกับการขาดเขาแค่คนเดียว?” ในดวงตาชายชราทอประกายคมกริบเจิดจ้า แล้วกลับเป็นเมตตาดังเดิมในพริบตา
ชิงอีเหรินก้มหน้าลง นึกถึงดวงตาทอประกายสดใส ผิวพรรณผุดผ่อง แล้วยังท่าทางที่กอดเขาอย่างอาลัยอาวรณ์ของศิษย์น้อย อย่างไรก็ตัดใจไม่ลง จึงเอ่ยปากอีกครั้ง “แต่ว่าเขา...เพิ่งจะแปดขวบเท่านั้น!” ประโยคนี้แม้แต่ตัวเขาเองยังรู้สึกว่าพูดอย่างไม่เต็มเสียง จึงอดท้อใจไม่ได้
“ชิงอี เจ้าอยู่ในหุบเขามาหลายปี ใจพลอยถูกขุนเขาสายธารนี้หลอมละลายแล้วหรือไร? เจ้าลืมคำสาบาน...ที่เจ้าเคยกล่าวเมื่อครั้งนั้นแล้วรึ?” น้ำเสียงชายชราราบเรียบ กลับคมกริบปานคมมีด
“กู๋จู่กล่าวได้ถูกต้อง” แววหม่นหมองจางๆ วาบผ่านดวงตาชิงอีเหรินอย่างรวดเร็ว เขาไม่กล้าบอกเหตุผลแท้จริงที่คัดค้านออกมา และไม่อาจพูดได้ เขาแอบคิดในใจว่า หัวใจเขาถูกรอยยิ้มของศิษย์น้อยหลอมละลายเสียแล้วจริงๆ หรือ?
“เตี๋ยอี เจ้าทุ่มเทหน่อยล่ะ มีเวลาเพียงครึ่งปี แต่ข้าคิดว่า น่าจะใช้ได้แล้ว”
“เจ้าค่ะ กู๋จู่” เฉิงเตี๋ยอีกล่าวตอบอย่างนอบน้อม สายตากลับจับนิ่งที่ตัวชิงอีเหรินซึ่งยืนนิ่งเงียบไม่เอ่ยอะไรเลยอยู่ด้านข้าง ราวกับจะหยั่งเข้าไปดูส่วนลึกสุดในใจเขา ขยุ้มความลับทั้งมวลของเขาออกมา เห็นชิงอีเหรินเอาแต่ยืนเฉย ในใจอดนึกสงสารนิดๆ ไม่ได้
สายตาสองคู่สบประสาน ชิงอีเหรินเบนสายตาหนีอย่างรวดเร็ว เดินออกจากหอไม้
<>::<>::<>
ชิงอีซือฝุบอกว่าวันนี้ไม่ต้องไปที่เรือนของเซียนเซิงคนงามได้เป็นกรณีพิเศษ ทั้งยังบอกว่าวันนี้ไม่ต้องฝึกวิชา ซิงหุนรู้สึกว่ามีแผนร้ายอย่างไรชอบกล
ไม่เพียงเท่านี้ ชิงอีซือฝุยังพูดยิ้มๆ ว่า “ข้าจะพาเจ้าไปตลาด!”
วันหยุด? ช้อปปิ้ง? เขาถามอย่างจริงจัง “ซื้อของจากตลาดได้ด้วยหรือเปล่า?”
“ก็ต้องได้สิ ตั้งแต่เจ้าเริ่มเรียนวิชา ซือฝุไม่เคยพาเจ้าไปเที่ยวเลย วันนี้เจ้าอยากซื้ออะไรก็ได้ทั้งนั้น ไปกันเถิด ขืนไปสาย ตลาดจะวายเสียก่อน”
เด็กชายเก็บความสงสัยไว้ในใจ มุ่งความสนใจไปที่ตลาดอีกครั้ง เขาคิดอย่างตื่นเต้น จะได้เห็นตลาดยุคโบราณกับตา หายากขนาดไหน!
ผู้คนที่คลาคล่ำ ร้านรวงเปิดเต็มสองข้างทาง ธงเขียวร้านสุราพลิ้วสะบัดตามแรงลม บนหอมีหญิงงามเอนอิงกวักแขนเสื้อแดง...ซิงหุนเคลิบเคลิ้มไปกับจินตนาการของตัวเอง จะเยี่ยมที่สุดถ้าได้นั่งในร้านน้ำชาฟังชาวยุทธจักรคุยเรื่องต่างๆ กันอย่างปากกล้า มีสาวน้อยขายเสียงถูกกงจื่อ[11]อันธพาลรังแก ตัวเขายืดอกเข้าช่วย อ้อ ไม่สิ ใช้ตะเกียบแทนอาวุธลับทิ่มมันทั้งตัวให้เป็นเม่น...
“ถึงแล้ว ไปดูสิว่ามีของที่ชอบไหม ซือฝุซื้อให้เจ้า” เสียงราบเรียบของชิงอีเหรินทำให้ศิษย์น้อยที่ยิ้มแป้นฝันหวานตื่นจากภวังค์
นี่เรอะคือ “ตลาด”? ซิงหุนหมดอารมณ์ทันที
ไม่มีร้านน้ำชาและร้านเหล้า ไม่มีโชว์รำดาบใหญ่ริมถนน ไม่มีฝูงคน ไม่มีหญิงงาม...หอไม้หลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่กลางป่าอย่างโดดเดี่ยว อย่าว่าแต่ฝูงคน กระทั่งเงาผียังไม่เห็นสักเงา ตลาดแบบนี้มาถึงสายแล้วยังมีการ “วาย” ด้วย?
ชิงอีเหรินไม่ได้หยุดเดิน ซิงหุนตามหลังเขาไปอย่างเกียจคร้าน ไม่มีอารมณ์ เดิมทีเขาเตรียมตัวต่อราคามาเต็มที่ มาตอนนี้ช่างน่าผิดหวังมากกกกกกกกก
เข้าไปในหอ มีเถ้าแก่เข้ามาต้อนรับ ปั้นยิ้มเต็มที่กุมหมัดคารวะให้คนทั้งสอง “ร้านเราสินค้าครบครัน ราคายุติธรรม เชิญท่านทั้งสองทางด้านนี้ขอรับ!”
“ซือฝุ ท่านมีเงินอยู่เท่าไร?” ซิงหุนเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของเถ้าแก่แล้วนึกถึงพ่อค้าหน้าเลือดที่ “สามปีไม่ได้ขาย ขายทีกินไปสามปี” ขึ้นมาทันที อุตส่าห์มีลูกค้าโผล่มาหนึ่งคน ไม่ขูดรีดให้เต็มที่ได้ยังไง?
ชิงอีเหรินงุนงง แล้วคลี่ยิ้ม “ตั้งแต่เจ้าเริ่มเรียนวิชากับซือฝุ ก็ได้สองตำลึงทุกเดือน ต่างฝากอยู่ที่ซือฝุทั้งหมด มีทั้งสิ้นหกสิบสองตำลึง เงินของเจ้าใช้ได้ตามใจชอบ เงินไม่พอ ซือฝุให้เจ้า”
เถ้าแก่พูดยิ้มๆ “เชิญกงจื่อตามสบายขอรับ เลือกได้แล้วให้ไปคิดเงินที่โต๊ะเก็บเงิน ต้าเหริน[12]เชิญไปดื่มน้ำชาที่ห้องด้านนอกขอรับ!”
เป็นห้างแบบเลือกของเองด้วย? เด็กชายถอนหายใจ เขาเป็นคนมีเงินเดือนแล้วเหมือนกันหรอกหรือ ใช้ซะเถอะ ไม่ใช้ก็เสียเปล่า ปกติกินฟรีอยู่ฟรี มีเงินก็ไม่มีที่ให้ใช้ไม่ใช่รึ?
ข้างในหอกว้างมาก กว้างเจ็ดจ้างยาวแปดจ้าง เสื้อผ้า ถุงน่อง รองเท้า เครื่องเขียน เครื่องดนตรี เพชรพลอย เครื่องประดับ จัดวางเต็มห้อง
เด็กชายเดินดูอย่างตั้งใจไปหนึ่งรอบ แต่ว่า...เขาเหลียวกลับไปมองเถ้าแก่ที่ยิ้มจนตาหยี ราคานี้โหดเกินไปแล้วมั้ง? เสื้อบางๆ ตัวเดียวติดราคาสิบตำลึง? เขานึกถึงเซียนเซิงคนงาม ความคิดผุดขึ้นในใจ สายตาเหลือบไปทางปิ่นอันหนึ่ง ตัวปิ่นทำจากหยกขาว แกะสลักเป็นรูปผีเสื้อ ประณีตมีรสนิยม คู่ควรกับเซียนเซิงคนงามดีอยู่ ดันไม่ติดราคานี่สิ
ของที่ไม่ติดราคาจะแพงทั้งนั้น เอาไว้ใช้ขูดรีดลูกค้า “เถ้าแก่ เครื่องประดับพวกนี้ไม่ได้ติดราคา!”
เถ้าแก่วิ่งก้นอ้วนใหญ่ส่ายไหวเข้ามาหา ก้อนเนื้อบนอกสั่นกระเพื่อม ทำให้ซิงหุนนึกถึงเถ้าแก่เนี้ยหรูฮัว[13]จากหนังเรื่องไหนสักเรื่องที่เคยดู จนต้องก้มหน้าลงกลั้นหัวเราะ
“กงจื่อ ของที่ไม่ได้ติดราคาให้เสนอราคาทั้งนั้นขอรับ แล้วแต่ว่ากงจื่อจะเสนอราคาเท่าไร”
“แล้วแต่ว่าข้าจะเสนอราคาเท่าไร?” ซิงหุนไม่อยากเชื่อ
เถ้าแก่พยักหน้าอย่างจริงใจยิ่ง “นึกไม่ถึงว่าแม้กงจื่ออายุยังน้อย ก็มีพักตร์ชาดผู้รู้ใจ[14]แล้ว ปิ่นอันนี้ทำจากหยกเนื้อดีเลิศ นวลใสตลอดทั้งอัน เป็นของชั้นเลิศสำหรับมอบแก่ยาใจโดยแท้!”
“ซือฝุ ท่านว่าเซียนเซิงคนงามจะชอบปิ่นนี้ไหม?”
ชิงอีเหรินเหลือบมองแวบหนึ่ง หมุนตัวเดินไปข้างนอก “ไม่รู้”
“หนึ่งตำลึง!” ซิงหุนแอบหัวเราะพลางเสนอราคา
เถ้าแก่ยิ้มพลางส่ายหน้า “กฎคือข้าตั้งราคา กงจื่อต่อราคาขอรับ! แต่ต่อได้แค่ครั้งเดียว ร้านข้าเล็กคนงานน้อย หากต่อราคากันไม่จบไม่สิ้น ข้าคงได้เหนื่อยตายขอรับ”
ดวงตาเด็กชายเปล่งประกายสุกใส เขาไม่เหมือนผู้ชายคนอื่นๆ ที่ช้อปปิ้งทีไรปวดหัวทุกที หนึ่งในความบันเทิงเมื่อชาติก่อนคือออกไปช้อปปิ้ง บรรดาแฟนสาวของเขาต่างวิจารณ์ว่า นี่คือข้อดีข้อหนึ่งของเขา
ซิงหุนก็ยิ้มแล้ว น้ำเสียงแฝงความกระตือรือร้น “เถ้าแก่เชิญตั้งราคา!”
“สองร้อยตำลึง!”
ต่อได้แค่ครั้งเดียว? เด็กชายไม่แสดงอาการใดๆ วางปิ่นลง หยิบเสื้อผาวตัวหลวมตัวหนึ่งขึ้นมา “ชิ้นนี้ไม่ต้องต่อราคาแล้ว ข้าซื้อในราคาสิบตำลึงนี่แหละ”
เถ้าแก่เอ่ยรับพลางหัวเราะหึหึห่อเสื้อให้ “กงจื่อช่างเป็นคนรวบรัดดีแท้ ชั้นบนคือร้านอาวุธ กงจื่อขึ้นไปชมที่ชั้นบนได้ขอรับ”
เด็กชายเหลือบมองห้องด้านนอก เห็นชิงอีเหรินนั่งดื่มน้ำชาอย่างสบายอารมณ์ ก็เดินขึ้นไปที่ชั้นบน
สารพัดศัสตราวุธวางยืนที่ชั้นบน นอกจากนี้ยังมีของจำพวกธนู อาวุธลับ ก็ไม่ติดราคาเช่นกัน เขาคิดว่าของพวกนี้ต้องยิ่งแพงแน่ๆ แต่ชิงอีซือฝุบอกว่าถ้าเงินไม่พอ ท่านจะซื้อให้เขาเป็นของขวัญ งั้นก็เลือกอาวุธเถอะ
เขาเดินไปหนึ่งรอบ สุดท้ายอดใจไม่อยู่หยิบมีดสั้นเล่มหนึ่งขึ้นมา น้ำหนักและขนาดไม่ได้น่าพอใจเป็นพิเศษ แต่ก็พอทนใช้ได้ เขากุมไว้ในมือกวัดแกว่งเบาๆ เรียกความรู้สึกคุ้นเคยเมื่อชาติก่อนกลับมาได้
“ลองได้ไหม?”
“เชิญกงจื่อตามสบาย”
“ได้จริงๆ นะ? ไม่คิดเงินนะ?”
“ได้ขอรับ” เถ้าแก่ยิ้มแย้มดังเดิม
เด็กชายพยักหน้า ตวัดมีดสั้นลงใส่ดาบยาวอีกเล่มทันที มีดดาบปะทะกันเสียงดังเคล้ง เขาถอนหายใจ โยนมีดสั้นทิ้ง ไม่ได้คมกริบสุดเปรียบปานอย่างที่เขาคิดไว้
ด้วยเหตุนี้เขาจึงทยอยไล่ทดสอบอาวุธของที่นี่ไปทีละชิ้นๆ จนครบ สุดท้ายหยิบมีดบินขนาดเล็กแผงหนึ่งขึ้นมา
“กงจื่อ...” ใบหน้าเถ้าแก่เหงื่อแตกพลั่ก ปากอ้าตาค้างมองดูอาวุธชำรุดเสียหายเกลื่อนพื้น
“ข้าซื้อแค่อันนี้ อันอื่นไม่ซื้อ”
“แต่ว่า...”
“ท่านบอกนี่ว่าลองได้ เฮ้อ เพียงแต่ตีมาไม่ดี ลองแค่นิดเดียวก็พังเสียแล้ว จะฝืนใจเลือกของแย่ๆ พวกนี้นิดหน่อยก็แล้วกัน คิดเงินเถอะ!” เด็กชายส่ายหน้าถอนหายใจ ในใจหัวเราะลั่น
เถ้าแก่ถูกคำพูดของตัวเองอุดปากเสียสนิท ทำหน้าจะร้องไห้ จะโวยวายก็ไม่ได้ หน้านิ่วคิ้วขมวดคิดเงิน “ขอบคุณที่อุดหนุน...หกสิบตำลึงขอรับ”
ซิงหุนหยิบปิ่นหยกขาวขึ้นมาดูอีกครั้ง ถอนหายใจ “อันนี้สองตำลึงก็แล้วกัน”
เถ้าแก่กำลังจะส่ายหน้าปฏิเสธ ได้ยินเด็กชายพึมพำว่า “ไม่รู้แข็งแรงหรือเปล่า?” สองมือหนีบปิ่นทำท่าจะหัก
“สองตำลึงก็สองตำลึง กงจื่อเชิญกลับได้!” เถ้าแก่ขายได้สองตำลึงก็สองตำลึงเถอะ รีบรับปากทันควัน
ซิงหุนยิ้มระรื่นพลางเก็บปิ่นไว้ในอกเสื้อ หันไปบอกชิงอีเหรินเสียงใส “ซือฝุ ของที่นี่สวยงามราคาย่อมเยา วันหลังเรามากันบ่อยๆ นะ เถ้าแก่ อย่าลืมเตรียมของดีๆ ไว้เยอะๆ หน่อยล่ะ!”
ดวงตาเถ้าแก่แทบจะลุกเป็นไฟ เด็กชายขยิบตาให้ เถ้าแก่รู้ดีว่าปิ่นหยกอันนี้แหละต้นเหตุ ทว่าได้แต่แอบร้องในใจว่าโชคร้าย หน้านิ่วคิ้วขมวดอยากให้ซิงหุนไม่ต้องมาอีกเลยใจแทบขาด
ออกจากป่าแล้ว ซิงหุนหัวเราะดังลั่น ยื่นเสื้อผาวตัวนั้นให้ชิงอีเหรินอย่างภูมิใจ “นี่คือกตเวทีซือฝุขอรับ ส่วนปิ่นเอาไว้กตเวทีเซียนเซิงคนงาม”
ชิงอีเหรินส่ายหน้าพูดยิ้มๆ “เถ้าแก่นั่นไม่ใช่คนธรรมดานะ”
ซิงหุนถือปิ่นเล่นโดยทำเป็นไม่ได้ยิน เขามีหรือจะไม่รู้ คนในหุบเขานี้มีใครบ้างเป็นคนธรรมดา? เด็กชายคิดในใจ ไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำในวันนี้ เถ้าแก่จะเขียนรายงานแบบไหนส่งให้กู๋จู่?
“เจตนาของกู๋จู่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีก ครึ่งปีให้หลัง เจ้าต้องพึ่งดวงของตัวเองแล้ว หากไม่อยากถูกใครจับได้ ต้องเชื่อฟังเซียนเซิงให้มากไว้ ปิ่นอันนั้นนางต้องชอบแน่”
ซิงหุนตะลึง ยิ้มแล้ว นี่ต่างหากคือเหตุผลที่แท้จริงในการพาเขาไปเที่ยวตลาดในวันนี้ เพราะว่าครึ่งปีให้หลัง เขาจะออกจากหุบเขาไปใช้ชีวิตด้วยฐานะของเด็กชายคนนั้น ดังนั้นจึงสงสารเขา อยากให้เขามีความสุข เขาคาดเดาได้แต่แรกแล้วว่าภารกิจไม่อาจเปลี่ยนแปลง...จะหาคนที่หน้าตาเหมือนเด็กชายผู้นั้นอีกคนนั้นยาก แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่ได้เตรียมตัวเลย
คนทุกคนต่างต้องคิดเพื่อตัวเองบ้างกันทั้งนั้น ไม่ใช่หรือ? ซิงหุนพึมพำทอดถอนอยู่ในใจ
_______________
[1] เจี่ยเจีย แปลว่า พี่สาว
[2] ชิงอีก้วย แปลว่า ตัวประหลาดชุดเขียว เป็นอีกฉายาของชิงอีเหริน
[3] เหล่าจือ แปลว่า พ่อ และเป็นสรรพนามแทนตัวที่ยกตัวเองขึ้นเป็นพ่อของคู่สนทนา
[4] เฉิงเตี๋ยอี คือตัวเอกในภาพยนตร์ “ฉู่ป้าหวางจากสนม” เป็นเด็กชายที่ถูกบังคับให้เล่นเป็นตัวนางจนเกิดความสับสนในเพศของตัวเอง
[5] ชุดผาว หรือ เสื้อผาว คือเสื้อตัวนอกชายยาวแบบจีน (ดูภาพที่ x หน้า x)
[6] แท่นน้ำชา ใช้สำหรับรองกาน้ำชาและถ้วยชา บางชิ้นจะออกแบบให้มีพื้นที่สำหรับเทน้ำชาทิ้ง (ดูภาพที่ x หน้า xx)
[7] มาจากสำนวน “ไม่เคยกินเนื้อหมู ก็ต้องเคยเห็นหมูวิ่ง” ใช้เปรียบว่า แม้จะไม่เคยทำเรื่องนั้นมาก่อน ก็ต้องพอจะเคยได้ยิน หรือเคยเห็นคนอื่นทำมาก่อน ไม่ถึงกับไม่รู้เรื่องโดยสิ้นเชิง
[8] เสี่ยวซิงซิง แปลว่า ซิงซิงน้อย หรือ ดวงดาวน้อย เป็นการเรียกผู้อ่อนวัยกว่าที่ในชื่อมีคำว่า “ซิง” (ดาว) อย่างเอ็นดูและสนิทสนม
[9] กู๋จู่ แปลว่า เจ้าของหุบเขา หรือ ประมุขของหุบเขา
[10] “เสร็จงานไม่พอ เสียงานเกินพอ” หมายถึง ทำงานไม่สำเร็จ แถมจะทำเสียเรื่องอีกด้วย
[11] กงจื่อ คือคำเรียกบุตรชายขุนนาง หรือบุตรชายเศรษฐีคหบดี แปลได้ว่า คุณชาย
[12] “ต้าเหริน” คือคำเรียกแสดงความยกย่อง แปลได้ว่า ท่าน, ท่านผู้สูงศักดิ์ ในอดีตแปลคำนี้ว่า “ใต้เท้า”
[13] เถ้าแก่เนี้ยหรูฮัว คือตัวละครจากภาพยนตร์เรื่อง《果宝特攻》(อ่านรายละเอียดที่หน้า x)
แก้ไขเมื่อ 28 เม.ย. 2568, 03:30 โดย Admin