ฉันไม่อยากเป็นซินเดอเรลล่า
เขียนโดย...หลิวล่างเตออฺวี๋
ภาคพบพานด้วยโชคชะตา
“ข้อเสนอเรื่องให้พระราชวงศ์หญิงสามารถสืบราชบัลลังก์ได้ ถูกวุฒิสภาตีกลับไปด้วยคะแนนเสียงข้างมาก สมาคมสิทธิและผลประโยชน์ของสตรีที่เป็นผู้เสนอหัวข้อประชุมนี้ ได้แสดงความไม่พอใจอย่างยิ่งต่อผลการประชุม องค์มกุฎราชกุมารทรงมิได้แสดงความเห็นใด
“เนื่องจากข้อเสนอนี้ไม่ได้รับความเห็นชอบ เจ้าหญิงโยวอ้าย พระธิดาองค์โตในมกุฎราชกุมารอิ๋งเฮ่าเต๋อและพระชายา ซึ่งประสูติเมื่อเดือนมีนาคมของปีนี้ จึงจะไม่มีสิทธิ์ในการสืบราชบัลลังก์ และเจ้าฟ้าชายลำดับสาม อิ๋งเฮ่าเยว่ ยังคงเป็นรัชทายาทอันดับสองที่ถูกต้องตามกฎหมายอยู่ดังเดิมค่ะ...”
เสียงหวานใสมีจังหวะจะโคนของผู้ประกาศข่าวสาวดังมาจากวิทยุภายในรถ ซูจิ่นขมวดคิ้ว มองไฟจราจรที่ห่างออกไปห้าสิบเมตรซึ่งเปลี่ยนเป็นสีแดงอีกแล้วพลางเหยียบเบรกอีกครั้งอย่างอ่อนใจ
เวลาหนึ่งทุ่ม เป็นช่วงเวลารถติดมหากาฬตามปกติของวันศุกร์แห่งชาติพอดี หญิงสาวติดอยู่บนถนนเส้นนี้มาเกือบจะสิบนาทีแล้ว
เบือนหน้าไปมองไฟนีออนหลากสีสันข้างทางอย่างแสนหน่าย ซึ่งส่วนใหญ่ได้เปลี่ยนไปเป็นตาแก่พุงโตชุดแดงกับต้นคริสต์มาสประดับไฟกันหมด อีกตั้งหนึ่งเดือนกว่าจะถึงวันคริสต์มาส แต่นักธุรกิจก็เริ่มลงมือกันแล้วอย่างคึกคัก ทุกๆ ที่มีแต่ป้ายกระหน่ำขายของขวัญคริสต์มาสเต็มไปหมด
คุณพ่อคุณแม่ของซูจิ่นไม่มีธรรมเนียมฉลองคริสต์มาส ตัวเธอเองก็เพิ่งจะเริ่มแลกของขวัญคริสต์มาสกับแฟนหลังจากไปเรียนต่อที่อเมริกา แต่ปีนี้เธอกลับประเทศแล้ว...หญิงสาวยิ้มเยาะตัวเองนิดๆ ซื้อของขวัญมา ก็ได้แต่เอาไว้ให้ตัวเองเท่านั้น
“คุณเฉียวเซวียน CFA[1] มือหนึ่งของโลกดีกรีจากอเมริกา รับเชิญมาที่เมืองปู้กลางเดือนหน้า เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นด้านตลาดหลักทรัพย์กับนักเล่นหุ้นทั้งหลาย...”
ในที่สุดก็เปลี่ยนเป็นไฟเขียวเสียที ซูจิ่นขมวดคิ้ว ปิดวิทยุอย่างหงุดหงิดนิดๆ เหยียบคันเร่งเบาๆ ขยับตามรถคันหน้าไปติดๆ ไฟเขียวนี้เธอต้องพ้นไปให้ได้ ไม่งั้นมีหวังไปถึงสาย และถูกเพื่อนกินก๊วนนั้นล้มทับเอาแหงๆ ซึ่งกระเป๋าเงินต้องแฟบลงอีกโขแน่
คิดถึงตรงนี้ หญิงสาวเบ้ปาก กลับประเทศมาครึ่งปี เธอก็ยังไม่ชินกับธรรมเนียมทำงานล่วงเวลาของคนที่นี่อยู่ดี นอกจากต้องทำโอทีโดยแทบจะไม่ได้ค่าโอทีแล้ว ยังต้องทำโอทีไม่ว่าจะมีงานให้ทำหรือเปล่าอีกต่างหาก ทั้งที่กลับบ้านได้ตั้งแต่ห้าโมงครึ่งชัดๆ ทุกคนดันต้องนั่งแช่จนถึงหกโมงครึ่งถึงค่อยเลิกงานด้วยสีหน้าเหมือนกับยังทำโอทีไม่จุใจ
ตอนแรกเธอก็ไม่เอาด้วยหรอก แต่ทุกครั้งที่เธอเริ่มเก็บกระเป๋ากลับบ้านตอนห้าโมงครึ่ง ทุกคนในห้องทำงานแบบเปิดโล่งจะพากันแอบมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสีหน้ามรสุมตั้งเค้าของหัวหน้างานสายตรงของเธอ
อยู่ใต้ชายคาบ้าน จำต้องก้มหัวให้[2] นานวันเข้า เธอได้แต่เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม
ถอนหายใจเฮือกอย่างลืมตัว...หญิงสาวไม่ค่อยจะอาลัยชีวิตในต่างประเทศเท่าไรนัก มีแค่เรื่องนี้แหละที่เธอขัดใจมาก
ถ้าเลิกงานห้าโมงครึ่ง เธอก็จะกลับบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งหน้าทาปาก แล้วค่อยออกจากบ้านทันถมเถสบายๆ ไม่เหมือนตอนนี้...เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ตอนหลังของรถคันโปรดของเธอจึงถูกดัดแปลงเป็นห้องเปลี่ยนเสื้อไปเป็นที่เรียบร้อย
ก้มลงมองชุดทำงานตามระเบียบเป๊ะที่สวมอยู่ ซูจิ่นถอนหายใจอีกเฮือกอย่างเหนื่อยใจ เดี๋ยวต้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ลานจอดรถอีกแล้วสิ
บาร์ซูเหอคือยัปปีบาร์[3]ชื่อดังในเมือง ตกแต่งสไตล์เรียบแต่หรู จัดที่นั่งสบาย สภาพแวดล้อมปลอดโปร่งมีรสนิยม ดังนั้นถึงราคาจะแพงกว่าบาร์เหล้าธรรมดาไม่ใช่น้อย ก็ยังดึงดูดมนุษย์เงินเดือนทั้งระดับทั่วไปและระดับสูงมากมายให้มารวมตัวกันที่นี่อยู่ดี
ซูจิ่นถอดเสื้อโค้ตออก ฝากไว้ที่จุดรับฝากเสื้อผ้าและหมวกตรงทางเข้า เหลือแต่ชุดมินิเดรสสีน้ำเงินแซฟไฟร์โปร่งสบาย กดลิฟต์ตรงขึ้นไปที่ชั้นสาม เนื่องจากชั้นสามคือชั้นปลอดบุหรี่ ดังนั้นพวกเธอเหล่าสาว (ไม่) น้อยผู้ไม่นิยมอมควันจึงเลือกนั่งกันที่ชั้นนี้เป็นประจำ
ทันทีที่ก้าวออกจากลิฟต์ ก็มีสายตาหลายคู่หันมองมา ซูจิ่นกวาดมองไปรอบด้านเหมือนไม่ได้สังเกต และหาใบหน้าคุ้นตาพบอย่างรวดเร็ว เห็นเพิ่งมาถึงแค่สองคน ขาดอีกคนยังไม่มา ก็ถอนใจอย่างโล่งอก เดินเข้าไปหาด้วยสีหน้าสบายอารมณ์
“ฮัลโหล สองสาวคนสวย พักนี้เป็นยังไงบ้างจ๊ะ?”
ชีวิตในเมืองยุ่งมาก พวกเธอจึงนัดออกมาพบปะสังสรรค์กันเป็นประจำแค่เดือนละครั้งเท่านั้น ปกติจะรวมพลกันครบเซตได้ยากมาก
“หึหึ ก็เหมือนเดิมแหละ ไม่ได้ขึ้นเงินเดือน ไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง ไม่ได้เปลี่ยนหนุ่ม” สือเสียวหย่าตอบยิ้มๆ หลังจากเรียกซูจิ่นไปนั่งลงข้างๆ ส่วนหูจิงที่นั่งอยู่อีกด้านแกล้งบ่นว่า
“พวกเราไม่มีใครโชคดีอย่างโหยวโยวกันเล้ย ขานั้นเปลี่ยนหนุ่มอีกแล้วนะจ๊ะ แถมยังสวีตกันสุดๆ คืนนี้ไม่มาแล้วละ”
ซูจิ่นถอนหายใจอย่างฝันหวานตาม
หน้าตาของโหยวโยวไม่ถือว่าเด่นที่สุดในหมู่พวกเธอ แถมยังดูเป็นคนเรียบร้อยมาก ไม่มีใครดูออกเลยว่าคุณเธอนี่แหละคือราชินีเพลย์เกิร์ลตัวจริง
บริกรเดินเข้ามาหาในจังหวะนี้ หลังจากสั่งเบียร์ขิงไปแล้ว ซูจิ่นเห็นหูจิงเขยิบเข้ามาหาอย่างมีลับลมคมใน กระซิบว่า
“แต่วันนี้คุณเธอไม่มานี่ขาดทุนยับเยินเลยแหละ”
ซูจิ่นเห็นคนพูดทำสีหน้า งานนี้เสร็จฉันละ จึงถามอย่างนึกขัน
“เธอไปเจออะไรเด็ดๆ เข้าเหรอ?”
“ผิดจ้ะ ‘พวกเรา’ เจอตะหาก” หูจิงยิ้มกริ่มกว่าเดิม พยักพเยิดให้เพื่อนสาวมองไปที่ฝั่งตรงข้ามของเธอ
ซูจิ่นเหลียวหลังมองไปตามสายตาของเพื่อนสาวอย่างอยากรู้ แล้วต้องตาลุกวาว ฮอร์โมนเพศหญิงภายในตัวเต้นพล่านทันที
อะไรคือคุณชายมาดผู้ดีขนานแท้? ชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตลำลองสีกรมท่าที่นั่งอยู่ตรงมุมห้องโถงได้ให้คำอธิบายที่สมบูรณ์ที่สุดแก่คำคำนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
ภายใต้แสงไฟสลัว เส้นโครงหน้าของเขาดูอ่อนโยนอย่างมาก นุ่มนวลสง่างาม แม้จะนั่งนิ่งไม่ขยับอยู่ตรงนั้นก็ยังเปล่งราศีผู้ดีออกมาอย่างปิดไม่มิด ยิ่งกว่านั้นคือ ความอ่อนโยนนุ่มนวลนี้ไม่ได้ทำให้ความแกร่งกร้าวของเขาจืดจางลงเลย ตรงกันข้าม ในท่านั่งตัวตรงอย่างเป็นธรรมชาติของเขามีความเข้มแข็งและเด็ดขาดแบบทหารอยู่กลายๆ ซึ่งช่วยขับเน้นความรูปงามและสง่างามของเขาพอดี
หนุ่มหล่อเกรดพรีเมียมเลยแหละ
ซูจิ่นเห็นว่าองค์มกุฎราชกุมารที่เผยตัวออกสื่ออยู่บ่อยครั้ง และได้รับคำชมว่าเป็นหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งของราชอาณาจักร ก็เป็นคุณชายมาดผู้ดีตัวอย่างเหมือนกัน แต่ทั้งหน้าตาและราศียังด้อยกว่าชายหนุ่มตรงหน้าอยู่นิดหน่อย
ตอนหันหน้ากลับมา ซูจิ่นรู้สึกว่าถ้าวาดเป็นภาพการ์ตูน สองตาของเธอคงเป็นรูปหัวใจไปแล้วแหงๆ เธอทำท่าเป็นลมล้มลงใส่อ้อมแขนสือเสียวหย่า พูดอย่างโอเวอร์ว่า
“ถ้าเขาออกมาขายนะ คืนเดียวจ่ายเงินเดือนฉันทั้งปีฉันยังยอมเลย”
สือเสียวหย่าหัวเราะคิกคักอย่างไม่ห่วงภาพลักษณ์ ส่วนหูจิงค้อนควักใส่คนพูด
“ไม่ได้เรื่องเลยนะหล่อน จ่ายเงินมันจะไปแน่ตรงไหนยะ”
ซูจิ่นหัวเราะเบาๆ พลางลุกขึ้นนั่งตัวตรง
“งั้นคุณจิงคนสวยช่วยแสดงให้พวกเราดูหน่อยสิจ๊ะว่าจะจีบหนุ่มหล่อติดโดยไม่ต้องจ่ายเงินได้ยังไง”
หูจิงมองคนพูดตาเขียว
“ถ้าไม่ใช่เพราะพวกฉันสองสาวสวยมีเจ้าของแล้วกันทั้งคู่ คงแล่นเข้าไปจีบนานแล้วล่ะย่ะ มีหรือยะจะถึงคิวหล่อน?”
ซูจิ่นยิ้มพลางหันไปมองชายหนุ่มคนนั้นอีกครั้ง ก่อนจะหันกลับมาดื่มเบียร์ในแก้วจนหมดในรวดเดียว แล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ลุกขึ้นยืน
ก็แค่เข้าไปชวนคุยเองไม่ใช่รึ?
หนุ่มหล่อระดับสิบปียังยากจะเจอสักคนแบบนี้ ก็ต้องยอมฆ่าผิดดีกว่ายอมปล่อยให้รอดอยู่แล้ว
ตัวเขาผ่านการฝึกฝนมานานปี ทำให้หูไวกว่าคนปกติทั่วไปมาก จึงรู้ตัวแต่แรกว่าพวกสาวๆ ที่นั่งติดหน้าต่างกลุ่มนั้นพากันจ้องมองมาที่เขาไม่วางตา แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ถึงยังไงไม่ว่าจะไปที่ไหน เขาก็ตกเป็นเป้าสายตาทุกครั้งอยู่แล้ว
คืนนี้ถ้าไม่ใช่เพราะคนคนนั้นยืนกรานขอนัดมาเจอกันที่นี่ เขาคงไม่มีทางโผล่มาในที่สาธารณะอย่างนี้แน่
ก้มลงดูนาฬิกา สองทุ่มสิบนาที คนคนนั้นมาสายไปสิบนาทีแล้ว เขาจะรออีกห้านาที ถ้าคนคนนั้นยังไม่มาอีก เขาก็ต้องไปละ เพราะที่นี่ไม่ปลอดภัยสำหรับเขา
“ถ้าเขาออกมาขายนะ คืนเดียวจ่ายเงินเดือนฉันทั้งปีฉันยังยอมเลย”
คำกระซิบล้อเลียนแว่วมาเข้าโสต ชายหนุ่มชะงัก เงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวผมยาวที่นั่งหันหลังให้ อดอมยิ้มไม่ได้
ถ้าไม่ใช่เพราะสภาพแวดล้อมไม่อำนวย เขาละอยากจะเดินเข้าไปถามจริงๆ ว่าเงินเดือนของเธอเท่าไหร่ เพื่อดูว่าค่าค้างคืนของเขาราคาเท่าไหร่
เขาก้มลงดูนาฬิกาอีกครั้ง สองทุ่มสิบสองนาที คิ้วเข้มยาวได้รูปขมวดมุ่นอย่างลืมตัว เหลือเวลาอีกสามนาที
“ขอเลี้ยงเหล้าคุณสักแก้วได้มั้ยเอ่ย?”
เสียงหวานละมุนดังขึ้น เขาเหลือบตามองอย่างเข้าใจดี ผู้ที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะเขาคือหญิงสาวที่คิดจะ “ซื้อ” เขาคนนั้นเอง
เธอมีขาที่สวย
เขาได้ข้อสรุปนี้เป็นอย่างแรก หลังจากสแกนหญิงสาวในชุดมินิเดรสเปลือยไหล่สีน้ำเงินแซฟไฟร์ตรงหน้าอย่างรวดเร็วด้วยการเหลือบมองแวบเดียว จากนั้นจึงพบว่าหน้าตาของเธอห่างไกลจากที่เขาคิดไว้มาก
ที่ไม่สอดคล้องกับคำพูดก๋ากั่นของเธอที่สุด คือดวงหน้าที่ประณีตงดงามกับลักษณะที่ดูเรียบร้อยใสซื่อคงแก่เรียนอย่างมาก จุดเดียวที่พอจะเห็นวี่แววบ้าง คือดวงตาที่งดงามเหมือนตาแมวคู่นั้น ซึ่งจะทอแววเย้ายวนใจทุกครั้งที่ปรายตามองมา
นางแมวป่าน้อยที่น่าสนใจอย่างมาก หลังจากแอบสรุปอยู่ในใจ เขาค่อยพูดว่า “ขอโทษครับ ผมมีนัดแล้ว”
ตอนที่เขาบอกปฏิเสธอย่างสุภาพ ซูจิ่นมองเห็นแววเย็นชาและห่างเหินในดวงตาสีสนิมเหล็กที่ดูเหมือนอ่อนโยนของเขาอย่างชัดเจน แต่เธอยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ หนุ่มหล่อเกรดพรีเมียมมีหรือจะคั่วสำเร็จกันง่ายๆ และท่าทีแบบนี้ของเขา แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ใช่หนุ่มเพลย์บอยที่ไม่ปฏิเสธทุกคนที่เสนอตัว
ดังนั้นหญิงสาวจึงไม่ได้เดินจากไปอย่างรู้ตัว แต่ล้วงนามบัตรหนึ่งใบออกมาจากกระเป๋าถือ วางลงตรงหน้าเขาแล้วพูดยิ้มๆ
“รู้จักกันซักหน่อยคงจะได้นะคะ?”
นั่นเป็นนามบัตรคบเพื่อนที่จัดทำอย่างงามประณีต บนนามบัตรเขียนแค่ชื่อ เบอร์โทรศัพท์ และอีเมลของเธอ
เธอชื่อซูจิ่นนี่เอง
ชายหนุ่มดูนาฬิกาอีกครั้ง สองทุ่มสิบสี่นาที เขาต้องไปแล้ว
“ขอโทษด้วย ผมไม่ได้พกนามบัตร” เขายิ้มอย่างขออภัย แล้วทำท่าจะลุกไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ แต่เธอยื่นปากกาด้ามหนึ่งมาให้เหมือนเตรียมตัวอยู่ก่อนพร้อมกับยื่นแขนขาวผ่องขวางเขาไว้ ยิ้มอย่างใสซื่อ “ชื่อกับเบอร์โทรก็พอค่ะ”
ไม่เคยพบเคยเห็นผู้หญิงที่หน้าด้านขนาดนี้มาก่อน...
ในสถานการณ์แบบนี้ ผู้หญิงธรรมดาทั่วไปจะขอตัวจากไปอย่างรู้ตัวกันทั้งนั้น เพราะกลัวจะดูไม่ดีในสายตาเขา แต่นี่แม่คุณกลับตื๊อไม่เลิกด้วยสีหน้ายิ้มหวานอย่างใสซื่อ แถมยังเห็นแล้วเกลียดไม่ลงเสียด้วย
ชายหนุ่มรับปากกามาอย่างทั้งฉิวทั้งขัน หลังจากเขียนตัวเลขแถวหนึ่งลงบนแขนแม่เจ้าประคุณด้วยลายมือคล่องแคล่วงดงามเสร็จ ก็จงใจยื่นหน้าไปชิดใบหูของเธอ กระซิบเสียงทุ้มนุ่ม
“ผมชื่อฉินชวน”
เดิมทีเสียงของเขาก็ทุ้มต่ำน่าฟังอยู่แล้ว พอจงใจลดเสียงลงเป็นกระซิบ ก็ยิ่งฟังเซ็กซี่อย่างบอกไม่ถูก ต่อให้ซูจิ่นเตรียมใจเอาไว้ก่อน ยังต้องเผลอหน้าแดงก่ำอยู่ดี
หญิงสาวมองส่งเขาจากไปอย่างมีมาด ก่อนจะดูที่แขนตัวเองแล้วยิ้ม กลับไปถึงที่นั่ง รายงานสองสาวที่คอยืดคอยาวรอฟังอยู่ว่า “ชื่อน่ะคงเป็นชื่อปลอมแหงๆ ไม่รู้ว่าเบอร์โทรเป็นของจริงหรือเปล่า จะว่าไปเสียงเขาก็ชวนฝันมากเลยละ”
<>::<>::<>
เขาถูกวางกับดักเข้าให้เต็มเปาเสียแล้ว
ชายหนุ่มมองหาที่ซ่อนตัวอย่างรีบร้อนท่ามกลางความมืด พลางกุมหัวไหล่ที่เลือดไหลพลั่กๆ
เพิ่งออกจากบาร์เหล้า เขาก็ได้รับ SMS เปลี่ยนสถานที่นัดพบด่วนเป็นถนนสายเปลี่ยวด้านหลังบาร์ซูเหอ เขาเริ่มระแวงแล้ว แต่ยังคงตัดสินใจไปหยั่งดูลาดเลา ไปถึงจุดนัดพบอย่างระวังตัวเต็มที่ ผลคือเจอแต่ศพของคนคนนั้น
ถึงเขาจะตัดสินใจล่าถอยจากที่นั่นทันที ก็ยังถูกยิงไปหนึ่งนัดอยู่ดี ไหล่ซ้ายถูกยิงทะลุไปหนึ่งรู
เขาทนเจ็บ หลอกล่อคนที่สะกดรอยตามให้วกอ้อมถนนไปหลายสาย จนแน่ใจว่าสลัดศัตรูหลุดแล้ว จึงแอบกลับมาที่ถนนสายเปลี่ยวหลังบาร์ซูเหออีกครั้ง คนพวกนั้นไม่น่าจะคิดออกเร็วนักหรอกว่าเขาจะย้อนกลับมายังจุดที่โดนเล่นงานอีกหน ข้อนี้จะทำให้เขาพอมีเวลาพักหายใจนิดหน่อย แต่เขาจำเป็นต้องหาวิธีหนีรอดให้ได้โดยเร็วที่สุด
เขาไม่รู้ว่าศัตรูมีกันกี่คน การขับรถฝ่าวงล้อมไม่ใช่วิธีที่ฉลาด ดังนั้นทางที่ดีคือแอบเข้าไปในรถของคนอื่นให้ได้ แล้วอาศัยให้พาออกไปจากพื้นที่อันตราย
สำรวจดูในมุมมืดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พบว่ากระจกหน้าต่างตอนหลังของรถจี๊ปเมืองคันหนึ่งติดม่านหน้าต่าง หลังจากใช้กุญแจผีเปิดประตูรถ ชายหนุ่มต้องเซอร์ไพรส์เมื่อพบว่าบนเบาะหลังของรถมีเสื้อผ้ากองอยู่พอสมควร จึงกระโดดขึ้นรถทันที ล็อกประตูรถ แล้วกึ่งเอนตัวลงบนพรมปูพื้นระหว่างเบาะที่นั่งด้านหลังกับด้านหน้า ฉีกชุดผ้าฝ้ายชุดหนึ่งพันบาดแผลบนหัวไหล่แบบลวกๆ จนแน่น จากนั้นใช้เสื้อผ้าบนที่นั่งเบาะหลังคลุมร่างของตัวเองไว้ แบบนี้ขอแค่ไม่มีคนนั่งที่เบาะหลัง ต่อให้มองมาจากที่นั่งคนขับ ถ้าไม่ดูให้ดีๆ ก็สังเกตเห็นได้ยากว่ามีเขาอยู่
ถ้าโชคร้ายถูกพบเข้า...ชายหนุ่มหยิบปืนมาถือไว้ในมือ...เจ้าของรถก็น่าจะเชื่อฟังเขาอยู่หรอก
พอประสาทผ่อนคลาย อาการวิงเวียนเนื่องจากเสียเลือดมากเกินไปก็ประดังเข้าโจมตีทันที จึงเผลอตัวหมดสติไป
<>::<>::<>
ถึงจะบอกว่าเข้าไปชวนคุยแล้ว แต่ความจริงซูจิ่นไม่ได้คิดจะพัฒนาความสัมพันธ์อย่างจริงจังอะไร แค่คิดอยากจะชื่นชมความหล่อใกล้ๆ ให้เต็มอิ่มล้วนๆ
เห็นได้ชัดว่าผู้ชายคนนั้นอยู่คนละโลกกับเธอ เป็นเหมือนเส้นขนานที่ไม่มีวันมาบรรจบกัน ถ้าเธอคิดเพ้อฝันไปไกลกับเบอร์โทรศัพท์ที่เขาทิ้งไว้ให้ งั้นเธอก็ไม่ใช่คนรุ่นใหม่แห่งศตวรรษที่ 21 ที่ไอคิว 150 แต่เป็นนางเอกบ้าผู้ชายในนิยายรักปัญญาอ่อนโน่น
ถึงอย่างนั้นการปรากฏตัวของหนุ่มหล่อเกรดพรีเมียมได้กระตุ้นฮอร์โมนเพศหญิงของสามสาวอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นในคืนนี้ทั้งสามจึงคึกคักเป็นพิเศษ คุยกันมากมายในหัวข้อที่ไม่เหมาะกับผู้เยาว์ ทำเอาเธอเผลอดื่มบลัดดี้ แมรี่[4]มากเกินไปหลายแก้ว ตอนจะกลับถึงค่อยรู้ตัวว่าวอดก้าเริ่มออกฤทธิ์ซะแล้ว
สือเสียวหย่ากับหูจิงมีแฟนมารับกลับทั้งคู่ ถึงเมาก็ไม่เป็นไร แต่เธอนี่สิคนเดียวเปลี่ยวเอกา ดื่มแล้วขับมีปัญหาหนักเอาการ
ใช่ว่าซูจิ่นไม่ได้คิดเรื่องโบกแท็กซี่กลับ แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาเอารถ แต่เพราะเธอเป็นคนขี้เกียจมาก แถมยังเกลียดการต้องเข้ามาใจกลางเมืองทั้งที่เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ที่สุด จึงยืนให้ลมเย็นเฉียบเป่าที่หน้าประตูบาร์อยู่ครู่หนึ่ง พอรู้สึกว่าหัวค่อยโปร่งขึ้นมาหน่อย ก็ตัดสินใจจะพยายามขับรถกลับบ้าน ยังไงขับให้มันช้าๆ หน่อยก็พอได้อยู่หรอกน่า
คลำทางขึ้นรถอย่างกึ่งเมา หลังจากเคลื่อนรถ สมาธิทั้งหมดของเธอจดจ่ออยู่ที่สภาพการจราจรบนท้องถนน ขับด้วยสปีดเต่าคลานสุดขีด เส้นทางที่ปกติใช้เวลาขับแค่ 15 นาที คืนนี้ใช้เวลาขับปาเข้าไปร่วมครึ่งชั่วโมง ระหว่างทางยังถูกรถข้างหลังบีบแตรไล่ตั้งหลายหนอีกต่างหาก...
หลังจากรถคลานเข้าไปจอดในที่จอดรถชั้นใต้ดินของคอนโดมิเนียมจนได้ ซูจิ่นต้องถอนหายใจอย่างโล่งอก...ในที่สุดก็กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย เรื่องแบบนี้นอกจากเบื่อชีวิตเต็มที คราวหลังห้ามทำอีกเด็ดขาด
หญิงสาวลงจากรถ คลำทางอย่างมึนๆ ไปจนถึงลิฟต์ ค่อยนึกขึ้นได้ว่าบนเบาะหลังยังมีเสื้อผ้าที่ต้องเอาขึ้นไปซัก ได้แต่เดินโซเซย้อนกลับไปเอาเสื้อผ้าอีกรอบ
พอเปิดประตูรถตอนหลัง ซูจิ่นก็มองเห็นหนุ่มหล่อเกรดพรีเมียมที่คืนนี้เธอไปชวนคุยนั่งอยู่ตรงพรมปูพื้นทันที หน้าเขาซีดขาว แต่มองมาที่เธออย่างเย็นชากว่าเดิม
หญิงสาวหลับตา สะบัดศีรษะแรงๆ สงสัยว่าตัวเองเผลอเมาหลับบนถนนจนเริ่มฝันซะแล้ว
สูดหายใจลึกๆ แล้วลืมตาอีกที ก็มองเห็นปากกระบอกปืนพกสีดำสนิทติดท่อเก็บเสียงชี้ตรงดิ่งมาที่เธอ...
ซูจิ่นไม่ใช่คนชอบกรีดร้องระบายอารมณ์ เวลาไปเล่นเครื่องเล่นจำพวกรถไฟเหาะหรือแกรนด์แคนยอนที่สวนสนุก เธอไม่เคยกรี๊ดเลยสักครั้ง ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าเธอไม่คิดจะกรี๊ดหรอก แต่เธอมักจะกลัวมากจนลืมกรี๊ดต่างหาก
ส่วนครั้งนี้ เมื่อเธอรวบรวมสติได้มากพอ และคิดจะร้องกรี๊ดในที่สุด เสียงทุ้มนุ่มอ่อนโยนที่ตอนนี้เย็นชาสุดใจของชายหนุ่มกลับหยุดเธอไว้ทันกาล “อย่าส่งเสียง”
ซูจิ่นเลิกคิดกรีดร้องทันที
เธอไม่กลัวเขา แต่เธอกลัวปืนในมือเขา...
กระทั่งใบหน้าหล่อระเบิดของหนุ่มรูปงาม เธอก็ไม่มีแก่ใจจะดูอีก สองตาจ้องเขม็งที่ปืนพกสีดำมะเมื่อมในมือซึ่งสวมถุงมือสีดำสนิทของเขา สมองที่ถูกบลัดดี้ แมรี่ทำให้เป็นอัมพาตเริ่มฟื้นตัวอย่างรวดเร็วกลับมาแล่นอีกครั้ง ในที่สุดก็สร่างเมาเต็มที่
เขาคิดจะทำอะไร? ปล้นทรัพย์? หรือปล้นสวาท?
ถ้าปล้นทรัพย์ บ้านเธอไม่ได้สะสมพวกภาพอักษรหรือเพชรพลอยมีค่าอะไร และไม่เคยเก็บเงินสดด้วย...สังหาริมทรัพย์ที่มีค่ามากที่สุด มีแต่รถ BMW X5 ประเภทรถอเนกประสงค์ SUV ที่พ่อซื้อให้ตอนเธอกลับประเทศคันนี้ กับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก CPU Octa-core สุดแกร่งที่เธอเพิ่งซื้อเท่านั้น
เห็นได้ชัดมากว่าเขาแอบเข้ามาในรถคันนี้ตั้งแต่แรก แต่กลับไม่ขับรถหนีไป แสดงว่าเขาไม่สนใจรถคันนี้
ส่วนโน้ตบุ๊กตัวนั้น...สงสัยจะราคาถูกกว่าปืนในมือเขากระบอกนี้เสียอีก...
ดังนั้นความเป็นไปได้เรื่องปล้นทรัพย์จึงถูกตัดทิ้งไปเป็นอย่างแรก
ส่วนปล้นสวาท
เธอรู้สึกว่าถ้าเป็นปล้นสวาท ฝ่ายที่ค่อนข้างเสียเปรียบก็คือเขา…
คิดถึงตรงนี้ หญิงสาวจึงกระแอมให้คอโล่ง แล้วพยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่น “อย่าฆ่าฉันนะ มีอะไรคุยกันได้”
ในสถานการณ์แบบนี้ ผู้หญิงตรงหน้าเขาไม่แค่ไม่ได้เข่าอ่อนตัวสั่นเทา แต่ยังข่มความกลัวลงได้อย่างรวดเร็ว คิดที่จะเจรจาอย่างเยือกเย็น...ผู้หญิงสมัยนี้เขาสตรองอย่างนี้กันหมดเลยหรือ?
อาการเจ็บตรงหัวไหล่รุมเร้าจนชายหนุ่มแทบจะคงสีหน้าเรียบเฉยไว้ไม่อยู่ ถามตรงเข้าประเด็นโดยไม่มีการพูดพล่ามเสียเวลา
“มีกล่องปฐมพยาบาลหรือเปล่า?”
ซูจิ่นตะลึง ค่อยเบนสายตาจากปืนพกแสนกระชากใจกระบอกนั้นในที่สุด และต้องตกใจเมื่อพบกับใบหน้าซีดขาวของเขา
เขาอุตส่าห์มาตั้งไกลโขเพื่อจะปล้นกล่องปฐมพยาบาลเนี่ยนะ?
กวาดสายตาไล่ลงต่ำอย่างรู้สึกถึงความผิดปกติ หญิงสาวเพิ่งมองเห็นช้าไปเป็นนาทีว่าหัวไหล่ของเขาพันผ้าฝ้ายหน้าตาคุ้นๆ เอาไว้ และเวลานี้ผ้าฝ้ายผืนนั้นมีรอยเลือดซึมออกมา
หัวใจน้อยๆ ของซูจิ่นสั่นกระตุกเฮือกใหญ่อีกครั้ง ฝืนข่มอาการหน้ามืดจะเป็นลม...รีบเลื่อนสายตากลับขึ้นไปหาใบหน้าของเขาที่ถึงจะซีดขาว ก็ยังเจริญหูเจริญตาโดยไว
ถ้าเธอเป็นวีรสตรีช่วยหนุ่มหล่อ มีความเป็นไปได้ไหมที่เขาจะยอมสละตัวเคียงคู่?
ภายใต้แรงผลักดันของความคิดบัดสีนี้ ซูจิ่นผู้หน้ามืดตามัวได้กระทำเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตลงไป ด้วยการเก็บชายหนุ่มผู้บอกว่าตัวเองชื่อ “ฉินชวน” กลับบ้าน
ประสบการณ์ด้านการแพทย์และการปฐมพยาบาลของซูจิ่นบ๋อแบ๋ เรื่องจัดการกับบาดแผลปืนยิ่งไร้ความรู้โดยสิ้นเชิง ได้แต่พยายามข่มอาการกลัวเลือดอ่อนๆ ของตัวเองทำตามที่เขาสั่ง ช่วยเขาล้างแผล ฆ่าเชื้อโรค และพันแผลให้ใหม่อย่างแข็งทื่อ เรื่องเดียวที่น่ายินดีคือ กระสุนไม่ได้ฝังอยู่ในตัวเขา ไม่อย่างนั้นเธอคงอดบังคับให้เขาไปโรงพยาบาลไม่ได้แหงๆ
แน่ละว่าความคิดอย่างไปโรงพยาบาลนี้ แค่ผุดขึ้นในสมองเธอวูบเดียวก็ดับไป จากประสบการณ์ที่เธอได้จากหนังบู๊แนวตำรวจกับมาเฟีย ผู้ชายคนนี้ไม่มีทางยอมไปโรงพยาบาลแน่นอน...เพราะจากการวิเคราะห์ของเธอ เขาต้องเป็นมาเฟียที่ถูกยิงในระหว่างหลบหนีการจับกุมชัวร์ป้าบ...
ถึงซูจิ่นจะรู้สึกมาแต่แรกว่าผู้ชายคนนี้อยู่คนละโลกกับเธอโดยสิ้นเชิงก็เถอะ แต่เธอนึกว่าเขาน่าจะมาจากตระกูลผู้ดีชั้นสูง ไม่ก็เป็นลูกหลานผู้มีอิทธิพล ใครจะไปนึกล่ะว่าเธอจะเดาผิดทางซะไกลโข
หญิงสาวจ้องดูใบหน้าของเขาที่ถึงจะนอนหลับ สองคิ้วก็ยังคงขมวดกันแน่น อดสบถในใจไม่ได้ว่า : แม่ง สมัยนี้แม้แต่มาเฟียยังต้องหล่อวัวตายความล้มขนาดนี้ แล้วชาวบ้านชาวช่องจะไปทำมาหากินอะไรได้?
ฉวยโอกาสยามดึกสงัดไร้ผู้คน ลากสังขารที่อ่อนเปลี้ยทั้งกายและใจไปเผาเสื้อผ้าเปื้อนเลือดทิ้งตรงบันไดซึ่งแทบจะไม่มีใครใช้ ค่อยไปเข้าห้องน้ำอย่างโล่งอกได้หน่อย ยืนอาบน้ำอยู่ใต้ฝักบัวนานครึ่งชั่วโมง ค่อยรู้สึกว่าหมดกลิ่นคาวเลือดเสียที
ซูจิ่นเหนื่อยล้าถึงขีดสุด ทิ้งตัวลงบนเตียงแล้วกลับนอนไม่หลับ พอหลับตาลง ก็รู้สึกว่ามีแต่เลือดเต็มไปหมด พลิกตัวกลับไปกลับมาอยู่พักใหญ่ ก็ลุกพรวดขึ้นนั่งอย่างทนไม่ไหว ตัดสินใจไปยลโฉมหนุ่มหล่อที่ห้องพักแขกเสียหน่อย
ผลคือไม่ไปยังพอทำเนา พอไปถึง เธอก็ต้องนึกเสียใจ...เพราะเธอพบว่าหนุ่มหล่อไข้ขึ้นเสียแล้ว
หญิงสาวออกไปหยิบแอลกอฮอล์กับผ้าขนหนูที่นอกห้องอย่างโมโห ถอนหายใจเฮือกๆ อยู่ในใจ...หนุ่มสาวห้าดี[5]อย่างเธอไปทำอะไรใครเขาไว้หรือไงนะ? เธอก็แค่หื่นนิดๆ เอง ต้องมาทรมานกันขนาดนี้เลยเหรอ?
แต่เธอนี่ก็ใจดีเกินไป ถึงจะไม่เต็มใจ ก็ยังทนเห็นหนุ่มหล่อที่ครบสามสิบสองไข้ขึ้นจนเอ๋อกินไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นเธอจึงอดทนเป็นพยาบาลสาวแสนดี เช็ดเลือดกำเดาไปพลาง ใช้แอลกอฮอล์เช็ดตัวให้หนุ่มหล่อรอบแล้วรอบเล่าไปพลาง
ทำไมถึงเลือดกำเดาไหลน่ะเหรอ? ก็เพราะหนุ่มหล่อหุ่นดีมาก...หุ่นดีสุดๆ...หุ่นดีโคตรๆ
เมื่อครู่ก่อนเลือดโชกไปหมดจนไม่มีอารมณ์จะดูให้ละเอียด มาตอนนี้พอดูดีๆ ซูจิ่นพบว่าสัดส่วนของร่างกายเขาเพอร์เฟกต์สุดๆ ไหล่กว้างเอวแคบขายาว กล้ามเนื้องดงามมีพลัง ผิวเนียนลื่นเหมือนผ้าไหม จนถึงบัดนี้เธอค่อยได้ตระหนักอย่างลึกซึ้งว่า แบบไหนที่เรียกว่า “เพิ่มหนึ่งส่วนก็ยาวไป ลดหนึ่งส่วนก็สั้นไป”
เช็ดจมูกแรงๆ อีกหน เธออดแอบนึกเสียดายสุดแสนแทนเขาไม่ได้...ต้นทุนดีตั้งขนาดนี้ ไปเป็นโฮสต์รับรองว่ารายได้มหาศาล ทำไมต้องไปเป็นมาเฟียด้วย?
หรือเขาจะแบกความแค้นลึกล้ำ และศัตรูเป็นอธิบดีกรมตำรวจ จึงจำเป็นต้องใช้วิธีเป็นมาเฟียมาเคลียร์ปัญหา?
พอความคิดนี้ผุดขึ้น ซูจิ่นก็เหงื่อตกกับความคิดตัวเองก่อนใคร
...เหนื่อยเกินไปจริงๆ แฮะเรา...ขนาดพล็อตน้ำเน่าแบบนี้ยังอุตส่าห์คิดออกมาได้
ดูนาฬิกาข้อมือ ใกล้จะหกโมงเช้าแล้ว ข้างนอกยังคงมืดสนิท หญิงสาวยื่นมือไปแตะหน้าผากเขา ดูเหมือนไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่แล้ว ใช้เทอร์โมมิเตอร์วัดดูอีกครั้งอย่างไม่วางใจ แล้วค่อยโล่งอก
ได้หากำไรมาทั้งคืน คราวนี้จะได้นอนสักที ตามพล็อตของนิยายรักปกติทั่วไป ตอนเธอตื่นขึ้นมา หนุ่มหล่อคนนี้ควรจะหายตัวไปอย่างเงียบๆ แล้ว
ก่อนจะนอน ซูจิ่นลองสรุปดู เห็นว่านอกจากโชกเลือดไปนิด นี่ก็ยังถือเป็นการได้พบหนุ่มหล่อที่ไม่เลวอยู่ แต่ขออย่าได้มีเนื้อเรื่องต่อจากนี้เลย...เพราะเธอไม่ใช่มาโซคิสม์...
<>::<>::<>
การใช้ชีวิตในกองทัพมานานปีส่งผลให้ฉินชวนมีสัญชาตญาณระแวงภัยต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัวสูงมาก เพราะเหตุนี้ที่ผ่านมาเขาจึงไม่ได้หมดสติไปโดยสิ้นเชิง และรู้ดีเรื่องที่เธอช่วยใช้แอลกอฮอล์เช็ดตัวลดไข้ให้เขา แถมยังเฝ้าไข้เขาทั้งคืน
ผู้หญิงคนนี้ใจดีอย่างหาได้ยาก...ถึงแม้เขาจะสงสัยว่าที่มาของความใจดีนี้ไม่ค่อยบริสุทธิ์ใจนักก็เถอะ...แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็รู้สึกขอบคุณเธอมากอยู่ดี
หลังจากที่เธอกลับห้องไปนอน เขารวบรวมเรี่ยวแรงอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยแข็งใจลืมตาขึ้น ยกโทรศัพท์ตั้งโต๊ะที่ข้างเตียงขึ้นมา กดหาหมายเลขโทรศัพท์หมายเลขหนึ่ง
“ฮัลโหล ฉันเอง มองเห็นเบอร์โทรศัพท์นี้ไหม?...ฉันบาดเจ็บ...นายมาหาฉันเองนะ...ระวังอย่าให้โดนสะกดรอยตามล่ะ...ยังมีอีกเรื่อง สืบข้อมูลของคนที่พักอยู่ห้องนี้มาหน่อย”
วางโทรศัพท์ลงแล้ว ชายหนุ่มได้ตกลงสู่ห้วงหลับลึกอย่างควบคุมไม่อยู่ในที่สุด
<>::<>::<>
ฉินชวนสะดุ้งตื่นเพราะเสียงผิดปกติจากประตูใหญ่ ชายหนุ่มลืมตาขึ้นทันควัน ฟ้าสว่างจ้าแล้ว เขาคว้าปืนที่ข้างมือขึ้นมากุมโดยสัญชาตญาณ จวบจนใบหน้าที่คุ้นตาปรากฏขึ้นตรงหน้า ตลอดทั้งร่างจึงค่อยผ่อนคลาย
ผู้ที่เข้ามาคือชายหนุ่มสวมเสื้อโค้ตลำลองชายสั้นสีครีม สวมแว่นตากรอบทอง ซ่อนดวงตาที่คมกริบไว้หลังเลนส์ ดูแล้วสุภาพเรียบร้อยไร้พิษภัยมาก
ชายหนุ่มผู้มาใหม่เห็นสีหน้าท่าทางที่ซีดเซียวของฉินชวนแล้ว ต้องขมวดคิ้วอย่างลืมตัว วางกระเป๋าเดินทางในมือลงกับพื้น เปิดกระเป๋าหยิบกล่องใส่ชุดอุปกรณ์ตรวจรักษาของแท้ออกมา สวมถุงมือ แล้วตรงเข้ามาช่วยจัดการบาดแผลให้คนเจ็บก่อนโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ฉินชวนลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงอย่างให้ความร่วมมือ เป็นฝ่ายถามขึ้นก่อนว่า “ไม่ได้ทำให้เธอรู้ตัวสินะ?”
อีกฝ่ายรื้อผ้ากอซที่พันอย่างสะเปะสะปะบนหัวไหล่คนพูดออก พอได้เห็นสภาพอเนจอนาถของแผล คิ้วก็ขมวดแน่นขึ้น ฉีดยาชาไปก่อนหนึ่งเข็ม ค่อยพูดว่า
“ฉันปล่อยควันสลบไปนิดหน่อย เธอน่าจะนอนหลับสบายได้”
ฉินชวนพยักหน้าหลับตาลง ปล่อยให้อีกฝ่ายทำงานมือเป็นระวิงอยู่ข้างๆ นิ่งคิดแล้วพูดเบาๆ
“ในบรรดานายทหารของกองทหารประจำการในอาณานิคมเจมม่า มีคนของทหารกบฏแอบปนเข้ามา เดือนก่อนตอนไปกวาดล้างฐานทหารกบฏตามปกติ พวกเราเสียท่า ไม่กี่วันก่อนนักขายข่าวจิ้งจอกดำติดต่อหาฉัน บอกว่ามีข้อมูลของหนอนบ่อนไส้จะขายให้ฉัน ผลคือพอมาถึงจุดนัดพบ จิ้งจอกดำถูกกำจัดไปแล้ว ฉันเองก็เกือบไม่รอดกลับมา” พูดจบ ลืมตาขึ้นมองชายหนุ่มผู้มาใหม่ใช้เข็มเย็บปากแผลของเขา คิ้วไม่มีขมวดสักนิด
ชายหนุ่มผู้มาใหม่ไม่ได้ต่อคำ ทำการผ่าตัดเล็กตรงหน้าจนเสร็จเรียบร้อยครบถ้วน ค่อยถามว่า
“นายเห็นว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นกับดักสำหรับดักนาย?”
ฉินชวนมองคนถามด้วยสายตาเย็นชา
“นายเห็นว่าไม่ใช่หรือ?”
ชายหนุ่มผู้มาใหม่ช่วยพันแผลให้เขาใหม่อย่างระมัดระวังจนเสร็จ ก่อนจะระบายลมหายใจออกมา เงยหน้าขึ้นสบดวงตาสีสนิมเหล็กของฉินชวน “ในเมื่อนายแน่ใจแล้ว ยังมีปัญหาอะไรอีกรึ?”
ฉินชวนหลุบตาลง ขนตาดกหนาทอดเป็นเงาที่ใต้ดวงตา
“ฉันอยากรู้ว่าเบื้องหลังของเรื่องนี้มีพี่ชายใหญ่กับตาแก่หรือเปล่า”
ชายหนุ่มผู้มาใหม่ก้มลงเก็บขยะจากการรักษาจนเรียบร้อย นิ่งคิดชั่วครู่ ค่อยถามอย่างระมัดระวัง
“นายคิดจะทำยังไง?”
“ฉันอยากให้นายใช้เส้นสายในกองทัพสืบหาตัวหนอนบ่อนไส้ให้ได้ หาหนอนตัวนี้ไม่เจอ ฉันคงได้ตายแบบไม่รู้อีโหน่อีเหน่ในไม่ช้าแน่” เขานิ่งเว้นจังหวะ แล้วแค่นยิ้มเย็นชา “ฉันสงสัยว่าหนอนตัวนั้นจะไม่ใช่คนของทหารกบฏ...”
ชายหนุ่มผู้มาใหม่ขมวดคิ้ว “งั้นตัวนายล่ะ?”
ฉินชวนจ้องหน้าอีกฝ่าย พูดหน้าตาเฉย
“ฉันหายสาบสูญ ถูกเล่นงานหายสาบสูญในระหว่างแลกเปลี่ยนข่าวลับ”
คิ้วชายหนุ่มผู้มาใหม่ขมวดลึกกว่าเดิม
“แบบนี้สงสัยได้กลายเป็นเรื่องใหญ่แน่”
ฉินชวนพูดหน้าตาย “ถ้าหนอนบ่อนไส้แค่มุ่งเล่นงานฉันคนเดียว หลังจากที่ฉันหายสาบสูญ มันจะลดการระวังตัวลง ทำให้ยิ่งสืบหาตัวง่ายขึ้น ส่วนเรื่องใหญ่...” เขาแค่นเสียง “ตาแก่ต้องถูกกดดันเสียบ้างได้แล้ว ควรจะมีใครเตือนเขาสักหน่อยว่าเขาไม่ได้มีลูกชายแค่คนเดียว และราชอาณาจักรนี้ เขาไม่ได้มีอำนาจสิทธิ์ขาดแต่เพียงผู้เดียวอีกต่อไป”
“งั้นนายคิดจะไปซ่อนตัวที่ไหน?” ชายหนุ่มผู้มาใหม่ถามหลังจากนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ฉินชวนย้อนถามแทนคำตอบ
“นายสืบข้อมูลของเจ้าของห้องมาหรือยัง?”
ดวงตาชายหนุ่มผู้มาใหม่ทอแววเข้าใจ “ประวัติเธอสะอาดมาก พ่อเป็นทนายความ แม่เป็นศาสตราจารย์มหาวิทยาลัย เกิดในเมืองปู้ หลังเรียนจบชั้นมัธยมต้นก็ไปเรียนต่อที่อเมริกา หลังจบจากมหาวิทยาลัยเฮย์ ก็เข้าทำงานในบริษัทบัญชีมีชื่ออยู่สามปี ฤดูร้อนปีนี้ค่อยกลับประเทศมาทำงานตำแหน่งรองผู้จัดการฝ่ายการเงินในสำนักงานใหญ่ของเครือบริษัทไฟแนนซ์จั๋วเยว่”
ตามมาตรฐานถือว่าเป็นบุคคลระดับหัวกะทิของสังคมแล้ว แต่ดูจากท่าทางของเธอ ไม่เห็นให้ความรู้สึกว่าเป็นบุคคลระดับหัวกะทิเลย ฉินชวนคิด แล้วถามต่อว่า “ตอนนี้พ่อแม่ของเธอพักอยู่ที่ไหน?”
“ย้ายไปอยู่ทางใต้ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้ว”
ฉินชวนยิ้มอย่างพอใจ สีหน้าเคร่งเครียดเย็นชาหายวับไปจนหมดในพริบตา เส้นโครงหน้าเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนสง่างามทันที สีหน้ากระด้างจัดเมื่อครู่ก่อนเหมือนแค่อุปาทานไปเอง
เมื่อเข้าใจแล้วว่าฉินชวนได้เลือกบ้านสามัญชนแห่งนี้เป็นสถานที่ซ่อนตัว ชายหนุ่มผู้มาใหม่ก็ถามอย่างอยากรู้
“นายแน่ใจหรือว่าเธอจะยอมให้คนแปลกหน้าอยู่ด้วย?”
ฉินชวนนึกถึงสายตาที่ไม่มีการปิดบังสักนิดเวลามองเขาของผู้หญิงคนนั้น ดวงตาทอแววประหลาด
“ฉันมีวิธีของฉันน่า”
อีกฝ่ายมองหน้าเขาอย่างสงสัย เห็นเขาไม่มีทีท่าจะอธิบาย ก็ไม่ได้ซักต่อ ความจริงต่อให้อีกฝ่ายซัก ฉินชวนก็ไม่มีทางบอก เขาบอกไม่ได้แน่ๆ ละว่าผู้หญิงคนนั้นบ้าผู้ชายมาก และเขาคิดจะเสียสละตัวเอง จริงไหมเล่า?
ทั้งสองหนุ่มต่างไม่ใช่คนพิรี้พิไร บอกกล่าวธุระกันเสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มผู้มาใหม่ก็ทิ้งอุปกรณ์หลบหนีฉุกเฉินไว้จำนวนหนึ่งแล้วจากไป ส่วนฉินชวนทิ้งตัวลงบนเตียง หลับสนิทไม่รู้เรื่องรู้ราว
<>::<>::<>
เมื่อคืนนี้เหนื่อยเกินไปจริงๆ ด้วย นอนครั้งนี้ถึงได้หลับลึกมาก
สติของซูจิ่นลอยตัวขึ้นมาจากความดำมืด หญิงสาวลืมตาอย่างง่วงงุน ดูนาฬิกา บ่ายสองโมงกว่าแล้ว หลับตาลงใหม่นอนขี้เซาต่ออีกครู่หนึ่ง คราวนี้ความหิวแล่นเข้าสมองอย่างดีเลย์ไปหนึ่งก้าว จึงได้แต่ลุกไปเข้าห้องน้ำอย่างไม่เต็มใจ หลังจากล้างหน้าแปรงฟันอย่างรวดเร็วปานพายุเสร็จ ก็เดินออกจากห้อง
ตอนเดินไปที่ครัว เห็นประตูห้องพักแขกยังคงปิดสนิท จึงหยุดยืนที่หน้าประตู ลังเลเล็กน้อย แล้วเปิดประตูชะโงกหน้าเข้าไปอย่างห้ามความอยากรู้ไม่อยู่
เมื่อภาพลายเส้นเจ้าชายนิทราสะท้อนเข้าสู่สายตา ซูจิ่นตกตะลึงในวูบแรก จากนั้นความรู้สึกประหลาดก็ผุดขึ้นในใจ คิดว่าตัวปัญหายังไม่ไป ไม่รู้ว่าเธอยังต้องหัวใจจะวายอีกสักกี่หน พร้อมกับคิดว่าได้ยลโฉมหนุ่มหล่อเกรดพรีเมียมนานขึ้นอีกหน่อย ก็น่าดีใจอยู่เหมือนกัน
ความรู้สึกแบบนี้จะบรรยายยังไงดี มันเหมือนกับมีซูเปอร์สตาร์ที่กำลังถูกฝูงนักข่าวรุมทึ้งมาโผล่ในบ้านของเรา ถึงแม้ความเป็นไปได้ในการตกเป็นข่าวอื้อฉาวจะมีสูงมาก แต่ก็ไม่มีใครใจร้ายพอจะตะเพิดเขาออกจากบ้านอยู่ดี
หญิงสาวย่องกริบไปถึงข้างเตียงของฉินชวน ยื่นมือไปอังหน้าผากเขาดู เมื่อแน่ใจว่าไม่มีไข้แล้ว ก็หันกลับไปสู่เส้นทางคุ้ยหาของกินในครัวต่อ ตอนเดินไปถึงหน้าประตู ก็เหลียวกลับมามองทันควันเพราะรู้สึกแปลกๆ ชอบกล และสบเข้ากับดวงตาใสกระจ่างสีสนิมเหล็กคู่สวยของเขาเข้าพอดี
หลังจากตะลึงจ้องสบตากับเขาได้ห้าวินาที ซูจิ่นตัดสินใจไม่ถามประโยคยอดฮิตในนิยายรัก “คุณตื่นแล้วหรือ?” และไม่ถามเขาว่าทำไมถึงไม่หนีหายไปซะตามพล็อตในนิยาย ในเมื่อเธอเป็นคนเมืองตัวเล็กๆ ก็ต้องถามตามสไตล์คนเมือง ดังนั้นเธอจึงถามว่า
“หิวหรือยังคะ?” ข้าวปลาอาหารนี่สิคือพื้นฐานของชีวิตคนเมือง
ดูเหมือนแบบสอบถามชีวิตคนเมืองของซูจิ่นจะผิดความคาดหมายของเขานิดๆ ฉินชวนงงไปเล็กน้อย ค่อยพยักหน้าอย่างสุภาพ หญิงสาวทำมือว่าได้รับคำตอบแล้ว ก่อนจะปิดประตูเดินไปที่ครัว
ความจริงที่ฉินชวนรู้สึกผิดคาด หลักๆ เป็นเพราะเธอไม่คิดจะซักถามประวัติความเป็นมาของเขาเลย บทที่เขาอุตส่าห์เตรียมไว้ตั้งพักใหญ่ดันไม่มีโอกาสได้ใช้สักนิด
นี่ถ้าเขารู้ว่าซูจิ่นตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะไม่พูด ไม่ถาม ไม่ยุ่งเรื่องของเขา เขาคงสบายใจขึ้นเยอะ และถ้าเขาได้รู้ว่าเหตุผลที่ซูจิ่นไม่พูด ไม่ถาม ไม่ยุ่งเรื่องของเขา เนื่องมาจากกฎเหล็กข้อที่สองในสิบข้อของหนังตำรวจกับมาเฟีย : “การคบค้ากับมาเฟีย ยิ่งรู้มาก ยิ่งตายเร็ว” เขามีหวังได้กระอักเลือดเดี๋ยวนั้นแน่
ครู่สั้นๆ ต่อมา เมื่อซูจิ่นเคาะประตู และยกโต๊ะเตี้ยสำหรับวางบนเตียงตัวหนึ่งเข้ามาในห้อง ฉินชวนก็ลุกขึ้นนั่งอย่างให้ความร่วมมือ ให้หญิงสาววางโต๊ะเตี้ยเข้าที่ เธอหันตัวออกไปจากห้อง แล้วยกถาดใบหนึ่งกลับเข้ามา บนถาดมีข้าวต้มเปล่าๆ กับกับข้าวรสไม่จัดหนึ่งจาน เหมาะจะให้คนป่วยรับประทานมาก
ฉากนี้ดูอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก แม้แต่ฉินชวนยังเกือบจะหลงนึกว่าตัวเขาดูคนผิดเป็นครั้งแรกในชีวิต ซูจิ่นไม่ใช่ผู้หญิงเจ้าเล่ห์อย่างที่เขาคิด แต่เป็นกุลสตรีแม่ศรีเรือน
แต่แน่นอน...เขาได้ตระหนักในครู่สั้นๆ ให้หลังว่า โต๊ะเตี้ยตัวนั้น เจตนาเดิมของคนออกแบบคือนำมาใช้ดูแลคนป่วยถูกต้องแล้ว แต่ที่ซูจิ่นซื้อมันมา ต้องไม่ใช่เพราะในบ้านมีคนป่วยอยู่หรอก แต่เป็นเพราะตัวเธอที่เป็นโอตาคุ[6]โปรดปรานการฆ่าเวลาอยู่บนเตียงทั้งวันมาก...ดังนั้นโต๊ะเตี้ยตัวนี้จึงอำนวยความสะดวกให้แก่เธอมากมายอย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากนี้การที่คนประสาททื่ออย่างเธอทำข้าวต้มให้เขากิน ก็ไม่ใช่เพราะตัวเขาที่เป็นคนป่วยเหมาะจะกินข้าวต้มเด็ดขาด แต่เป็นเพราะเธอทำเป็นแค่ต้มข้าวต้มกับต้มน้ำซุป
ดังนั้นเขาก็ไม่ได้ดูคนผิดอยู่ดี...
แต่ไม่ว่ายังไง ณ ที่นี่เวลานี้ เขาก็ยังคงรู้สึกอบอุ่นใจอยู่ดี จึงมองเธออย่างนึกขอบคุณ พูดเบาๆ ว่า “ขอบใจมาก” เสียงทุ้มต่ำอ่อนโยนทำเอาฮอร์โมนของซูจิ่นเดือดพล่านอีกหน
ฉินชวนมารยาทดีมาก
เขารับประทานอาหารเร็วมาก แต่ทุกท่วงท่ากิริยาต่างสง่างามสมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ แล้วยังไม่มีร่องรอยว่าดัดจริตจงใจทำสักนิด เป็นธรรมชาติเสียจนราวกับว่าเขาเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เกิด
เมื่ออยู่รอบตัวเขา การตกแต่งแบบประหยัดเรียบง่ายภายในห้องราวกับได้เปลี่ยนเป็นโอ่อ่าหรูหรา...เวลานี้ซูจิ่นคิดว่า เขาดูเหมือนผู้ดีในหมู่ผู้ดีไม่มีผิด แถมยังเป็นผู้ดีชั้นสูงจากตระกูลขุนนางเก่าแก่ที่มีประวัติตระกูลยาวนานหลายร้อยปีเป็นอย่างต่ำเสียด้วย
หลังจากตระกูลตกต่ำ เลยต้องลงมาคลุกดินหรือ?
เหงื่อตก ดูเหมือนนี่จะเป็นพล็อตชีวิตโสเภณีชื่อดังแฮะ...ซูจิ่นอนาถใจตัวเอง ชักไม่เข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าทำไมผู้ชายแบบนี้ถึงได้มาเป็นมาเฟีย ใช้ชีวิตหลั่งเลือดเลียคมดาบ...แต่เพื่อชีวิตน้อยๆ นี้ เธออย่าไปถามอะไรเลยจะดีกว่า...ไม่ถามเด็ดขาด...
หนุ่มหล่อกินข้าวต้มเสร็จ หญิงสาวเก็บถ้วยชามไป ขณะที่กำลังล้างจานชามอย่างอารมณ์ดี ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ปุบปับจนต้องสลดใจ
ธ...เธอทำอะไรอยู่น่ะ?
นี่เธอกำลังปรนนิบัติผู้ชายอยู่เรอะ?
ถึงฝ่ายนั้นจะป่วยอยู่ อ่อนแอมาก...แต่นี่ไม่ใช่นิสัยของเธอเลยนะ...
ความหล่อทำร้ายคนจริงๆ...เมื่อก่อนเธอมักจะนึกดูถูกพวกผู้ชายไม่ได้ความที่เห็นสาวสวยเข้าหน่อยก็หน้ามืดตามัว แทบจะควักหัวใจออกมาประเคนให้เอาใจสาวเจ้า...มาตอนนี้ได้เจอหนุ่มหล่อของแท้เข้า ถึงค่อยรู้ว่าความหื่นนี่เป็นกันได้ทั้งชายและหญิงเลย...
หญิงสาวกระทืบเท้าแรงๆ ถึงจะเป็นซูเปอร์สตาร์ก็ต้องไล่แล้วละ ไม่งั้นขืนปล่อยไปแบบนี้ มีหวังแย่แน่
ถึงแม้ฉินชวนจะรับรองอย่างมั่นใจกับหนุ่มแว่นลึกลับว่าเขา “มีวิธีของเขา” ที่จะทำให้ซูจิ่นยอมให้เขาพักอยู่ด้วย แต่ความจริงแล้วตัวเขาที่อยากได้อะไรเป็นต้องได้ทุกอย่างมาตั้งแต่เล็กจนโต ไม่ค่อยเข้าใจนักหรอกว่าจะเผชิญหน้ากับสถานการณ์อาศัยใต้ชายคาบ้านคนอื่นแบบนี้อย่างไรดี และเวลาเจอปัญหาที่จัดการยาก เขาติดนิสัยชอบพลิกของใกล้มือเล่น ดังนั้นเมื่อซูจิ่นเคาะประตูเข้ามาด้วยสีหน้าท่าทางเอาเรื่อง จึงได้เห็นชายหนุ่มรูปงามปานเทพบุตร กำลังพลิกหมุนปืนพกที่แผ่รังสีอำมหิตอยู่จางๆ กระบอกนั้นเล่นด้วยกิริยาเรื่อยเฉื่อยสง่างาม
เป็นภาพที่ดูประหลาดน่าหวาดระแวงมาก...บังเอิญว่าเทพบุตรรายนี้ผมดำเสียด้วย ช่างง่ายต่อการโยงให้นึกไปถึงท่านลูซิเฟอร์...เทวดาตกสวรรค์ที่เป็นตัวแทนของความชั่วร้ายและคาวเลือดในหลายพันปีมานี้เหลือเกิน แถมฟังว่าไม่กี่ปีมานี้ เทวดาตกสวรรค์องค์นี้ยังควบรับบทใหม่อีกด้วย นั่นคือเป็นเทพมารกับเจ้าแห่งนรก
น้ำดีขมๆ หลั่งออกมาเต็มปากซูจิ่นทันที อารมณ์ฮึกเหิมที่สั่งสมตอนกำลังล้างจานหายวับในพริบตา ฝืนเค้นรอยยิ้มปั้นยาก
“คุณไม่เป็นไรแล้วนะคะ? ฉันจะได้ไปพักผ่อนบ้าง” พูดจบก็หมุนตัวกลับจะเผ่นหนีโดยไม่รอให้เขาตอบ แต่สวรรค์ไม่สนองใจคน เพิ่งจะเดินไปถึงประตู เสียงทุ้มนุ่มก็ดังมาจากข้างหลัง
“รอเดี๋ยว”
ซูจิ่นร้องไห้ในใจ เธอไม่อยากรอ แต่ได้ไหมล่ะ?
หญิงสาวหันกลับไปด้วยใบหน้าเรียบเฉย รอท่านผู้ยิ่งใหญ่เอ่ยคำ เห็นหนุ่มหล่อยิ้มแทบจะเป็นเขินๆ
“ผมอยากจะขอเช่าห้องของคุณครับ”
เธอเกือบจะตอบไปโดยอัตโนมัติว่า “ห้องฉันไม่เปิดให้เช่า” แต่สายตาดันเผลอเหลือบไปเห็นมือที่กุมปืนไว้แน่นของเขา คำพูดที่มาถึงปากจึงเปลี่ยนเป็น
“คุณจะเช่านานแค่ไหนคะ?”
ฉินชวนไม่มีประสบการณ์ด้านนี้ แต่ก็เคยได้ยินพวกเพื่อนร่วมงานคุยเรื่อยเปื่อยกันว่า เจ้าของบ้านค่อนข้างชอบผู้เช่าที่เช่าระยะยาว เขาจึงนิ่งคิด แล้วตอบว่า
“ครึ่งปีแล้วกันครับ”
มุมปากซูจิ่นกระตุกอย่างห้ามไม่อยู่
ให้มาเฟียเช่าห้อง แถมยังเช่านานขนาดนั้นเนี่ยนะ?
ในสมองหญิงสาวผุดภาพจากหนังตำรวจกับมาเฟียอีกครั้ง ฉากลูกปืนบินว่อน ห้องระเบิดตูม...
เทวดาเจ้าขา ซูจิ่นไปทำบาปทำกรรมอะไรไว้ ท่านถึงต้องส่งเทวดาตกสวรรค์มาช่วงชิงทุกสิ่งทุกอย่างของเธอไป?
หญิงสาวน้ำตาไหลพรากเป็นสายธารอยู่ในใจ พูดกับปืนกระบอกนั้นด้วยสีหน้าแค้นใจว่า “ค่าเช่าเดือนละสองหมื่นไคว่[7] ต้องจ่ายรวดเดียวครึ่งปี ห้ามมีแขกมาหา ห้ามสูบบุหรี่ ไม่คืนเงินให้”
แบบนี้ถือว่าขูดเลือดขูดเนื้อสุดๆ บวกจงใจหาเรื่องแล้ว ถึงจะบอกว่าซูจิ่นพักอยู่ในเขตที่พักระดับหรู นอกหน้าต่างคือสวนสาธารณะที่มีภูเขาและสระน้ำ ออกจากเขตที่พัก แค่ข้ามถนนไปก็เป็นศูนย์การค้าแหล่งช้อปปิ้งขนาดใหญ่ ถือเป็นสุดยอดทำเลเงียบสงบกลางแสงสีที่หาได้ยากในเมืองนี้ แต่สองหมื่นไคว่นี่มากพอจะเช่าคอนโดห้าห้องนอน สี่ห้องน้ำ สองห้องรับแขกทั้งหลังของเธอได้แล้ว ไม่ใช่แค่เช่าห้องเดียว นอกจากนี้ปกติการเช่าห้อง แค่จ่ายค่ามัดจำเท่ากับค่าเช่าห้องหนึ่งเดือน และจ่ายค่าเช่าห้องล่วงหน้าหนึ่งเดือนก็พอแล้ว ไม่มีเหตุผลที่ต้องจ่ายรวดเดียวครึ่งปีอย่างแน่นอน
พูดจบ เธอก็จ้องปืนตาเขม็ง ทันทีที่มันขยับผิดท่า เธอตั้งใจจะเลียนแบบท่านเทพนีโอในเรื่อง The Matrix ลองแสดงท่าหลบกระสุนปืนสักครั้ง...ไม่สำเร็จก็ม่องเท่งละนะ...
ซูจิ่นไม่รู้หรอกว่าฉินชวนเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องความถูกแพง และไม่มีสามัญสำนึกในเรื่องเช่าบ้านเช่าห้อง เขาฟังเธอบอกราคา ก็รับรู้ถึงความจริงแค่ข้อเดียว นั่นคือเธอยอมให้เขาเช่าห้องแล้ว จึงมีสีหน้าโล่งอกทันที มือที่กุมปืนแน่นค่อยคลายลงเช่นกัน ตอบง่ายๆ ว่า
“ผมจะโอนเงินเข้าบัญชีคุณทางอินเทอร์เน็ตทันที”
ซูจิ่นเงยหน้าขึ้นอย่างตกตะลึง เห็นเขาทำหน้าดีใจ ก็นึกสบถอยู่ในใจอย่างห้ามไม่อยู่
‘แม่งเอ๊ย! มาเฟียนี่รวยจริงๆ รู้งี้บอกแพงกว่านี้ก็ดีสิ ฮือ...’
จังหวะนี้ ความคิดหนึ่งได้วาบขึ้นในศีรษะเธอกะทันหัน
“แล้วก็...เนื่องจาก...ง่า...เนื่องจากฐานะของคุณไม่ชัดเจน แถมยังพกของอันตรายติดตัว ฉันต้องการซื้อประกันบ้านและทรัพย์สิน ให้คุณเป็นฝ่ายออกค่าใช้จ่ายด้วยค่ะ”
เป็นบุคคลระดับหัวกะทิจริงๆ คิดได้รอบคอบมากเลยนี่ ฉินชวนมองเธออย่างนึกขัน พยักหน้าอีกครั้ง
“ไม่มีปัญหาครับ” นิ่งคิดเล็กน้อย แล้วเสริมอีกข้อ “ผมออกนอกบ้านไม่ค่อยสะดวก เรื่องอาหารการกินให้คุณเป็นคนรับผิดชอบนะครับ”
“งั้นคิดเงินต่างหาก” ซูจิ่นตอบเสียงดุดัน ได้ “เพื่อนสนิท” ร่วมห้องเพิ่มมาหนึ่งคนอย่างไม่เต็มใจ
ปกติวันเสาร์จะเป็นวันที่หญิงสาวออกไปช้อปปิ้งครั้งใหญ่เพื่อซื้อเสบียงกับของใช้ตุนไว้สำหรับสัปดาห์หน้า ถึงแม้ห้างจะอยู่ห่างออกไปแค่ฝั่งตรงข้ามของถนน แต่คนที่ไม่ยอมขยับแขนขาอย่างซูจิ่น ก็ยังคงขับรถไปที่ลานจอดรถชั้นใต้ดินของห้างอยู่ดี จากนั้นจอดรถไว้ที่ตำแหน่งซึ่งอยู่ใกล้กับประตูทางออกของห้างมากที่สุด
ความจริงแล้วปกติหญิงสาวจะซื้อของกินไม่มากนัก เพราะตอนเที่ยงเธอจะกินข้าวกล่องฟาสต์ฟู้ดร่วมกับเพื่อนร่วมงาน ตกค่ำบางครั้งก็สั่งอาหารเดลิเวอรี่ บางครั้งก็กินเสร็จสรรพจากข้างนอกเสียเลยแล้วค่อยกลับบ้าน
ในฐานะสาวโสดผู้ดีชาวกรุง ชีวิตแบบนี้ย่อมเป็นเรื่องควรอภัย แต่หลังจากที่ในบ้านมีคนเพิ่มมาหนึ่งคน แถมยังเป็นคนที่ไม่สะดวกจะออกนอกบ้านเสียด้วย ก็จำเป็นต้องทำการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย ตอนซื้ออาหาร ต้องคำนึงถึงทั้งมื้อเช้า มื้อเที่ยง และมื้อเย็น เรื่องนี้ถือเป็นประสบการณ์แปลกใหม่สำหรับเธอจริงๆ
ฉินชวนต้องกำลังซ่อนตัวจากการไล่ฆ่าของศัตรูคู่แค้นอยู่แน่ๆ เธอได้ยินเขาบอกว่าไม่สะดวกจะออกนอกบ้านปุบ ก็เดาได้ทันทีว่าต้องเป็นเพราะเหตุนี้ แต่เขาไม่ออกนอกบ้านแหละดีแล้ว ทรัพย์สินและชีวิตของเธอจะได้ปลอดภัยขึ้น ดังนั้นซูจิ่นจึงพยายามซื้ออาหารให้เพียงพออย่างขันแข็ง เขาจะได้ไม่ถูกศัตรูพบเข้าตอนออกไปหาของกินข้างนอกเพราะหิวจนทนไม่ไหว จากนั้นจรวดมิสไซล์ก็จะเล็งมายังห้องคอนโดที่น่าสงสารของเธอ...
ซูจิ่นออกแรงโยนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหนึ่งลังเข้าไปในรถเข็นซื้อของ...สถานการณ์แบบนั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด
ตอนเดินผ่านแผนกซูเปอร์มาร์เก็ตของห้าง เดิมทีหญิงสาวคิดจะหยิบเสื้อผ้าบางตัวกลับไปให้เขา แต่พอนึกถึงพวกเสื้อผ้าที่เขาสวมก่อนหน้านี้...กางเกงในของ CK…เสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีนส์ของ Armani…ถึงเสื้อโค้ตจะไม่มียี่ห้อ ฝีมือตัดเย็บก็ประณีตแบบไม่ธรรมดา ดีไม่ดีอาจจะเย็บด้วยมือทั้งหมด...ของซูเปอร์พวกนี้...ซูจิ่นมองดูอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันหลังเดินจากไปอย่างรังเกียจ
ของที่แม้แต่เธอยังไม่แล เขายอมใส่ก็แปลกแล้ว กลับไปถามเขาก่อนค่อยว่ากันดีกว่า ตอนนี้เสื้อผ้าที่ก่อนหน้านี้เธอซื้อให้พ่อ เขาน่าจะพอใส่ได้อยู่หรอก
เธอช่างเป็นคนดี...แสนจะใจดีเกินไปแล้ว ซูจิ่นถอนหายใจอยู่ในใจ
แต่แล้วความเป็นจริงได้พิสูจน์ว่า ในโลกนี้ คนทำดีนั้นไม่ได้ดีตอบแทนหรอก
หญิงสาวแวะไปที่ร้านฟาสต์ฟู้ดข้างๆ ห้าง สั่งอาหารใส่กล่องกลับบ้านเป็นมื้อเย็น ฉินชวนกินไปแค่คำเดียวก็ขมวดคิ้วมุ่น ถึงจะไม่ได้พูดอะไร แถมยังกินจนหมด แต่ดูจากท่าทางก็รู้แล้วว่าเขาฝืนใจกินแค่ไหน
จะมากไปหรือเปล่ายะ? พวกมาเฟียนี่ไฮโซซะจนของจากร้านอาหารยังกระเดือกไม่ลงแล้วเรอะ?
ภายใต้สายตาสงสัยอย่างรุนแรงของเธอ ชายหนุ่มเช็ดปากอย่างสง่างามเสร็จ ก็วิจารณ์สั้นๆ ว่า
“ใส่ผงชูรสมากเกินไป ไม่ดีต่อสุขภาพ” จากนั้นตามเธอไปที่ครัวอย่างอยากรู้ พอเห็นของที่หญิงสาวซื้อกลับมา ก็ตกตะลึงไปอึดใจใหญ่ หมุนตัวออกไปจากครัวโดยไม่พูดอะไรทั้งสิ้น แล้วหันกลับมาพูดอย่างนึกอะไรขึ้นได้ “ขอผมยืมคอมพิวเตอร์ใช้หน่อย”
ฉินชวนไม่ได้พูดอะไรเลย แต่ซูจิ่นรู้ว่าเธอโดนเขาดูถูกเข้าให้แล้วแหงๆ...นี่หรือมารยาทของคนที่มาอาศัยเขาอยู่?
หญิงสาวต่อว่าอยู่ในใจอย่างเป็นฟืนเป็นไฟ ควานหาโน้ตบุ๊กเครื่องเก่าออกมาโยนไปบนเตียงของเขาหน้างอ แล้วกลับห้องของตัวเองไปก้มหน้าก้มตาอ่านนิยาย
ไม่พูดไม่จากันทั้งคืน ซูจิ่นตื่นมาเช้าวันอาทิตย์ ก็เกือบจะสิบโมงแล้ว หญิงสาวใช้เตาไมโครเวฟอุ่นน้ำเต้าหู้หนึ่งแก้ว ใช้ช็อกโกแลตสเปรดทาขนมปังสองแผ่นกินจนหมด ถือว่าจบปัญหาอาหารเช้า
จังหวะนี้เสียงอินเตอร์คอมได้ดังขึ้น หญิงสาวมองบนหน้าจออินเตอร์คอม เห็นหญิงวัยกลางคนแต่งตัวเรียบๆ คนหนึ่งยืนอยู่ตรงทางเข้าที่ชั้นล่างของตึก ก็ทำท่าจะกดปุ่มเปิดประตูโดยไม่ต้องคิด ฉินชวนมาโผล่อยู่ข้างหลังเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบได้ คว้ามือของเธอไว้ ขมวดคิ้วถามว่า
“ใครน่ะ?”
หญิงสาวปรายตามองเขาอย่างนึกตำหนิในความตื่นตูม
“แม่บ้านที่มาทำความสะอาดตามกำหนดค่ะ”
“บอกให้เธอกลับไปซะ” ชายหนุ่มพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“หา? ไม่ได้หรอกค่ะ บ้านไม่ได้ทำความสะอาดมาตั้งหนึ่งอาทิตย์แล้ว” ซูจิ่นประท้วงทันที
“คุณคิดจะให้คนมาเห็นว่าผมอยู่ในบ้านคุณหรือ?” ชายหนุ่มเดาออกจากสายตาที่ซูจิ่นมองเขาตั้งแต่แรกแล้วว่า เธอต้องนึกว่าเขาเป็นมาเฟียแน่ๆ แต่ในเมื่อเธอคิดแบบนี้ เขาก็ขี้เกียจจะอธิบาย ถึงยังไงสถานการณ์ของเขาในตอนนี้ก็ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ และในเมื่อเธอคิดแบบนี้ ย่อมจะเข้าใจถึงความสำคัญที่เขาต้องซ่อนตัวให้มิดชิดเช่นกัน มีคนเห็นเขาเพิ่มขึ้นหนึ่งคน เขากับเธอก็ต้องแบกรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นหนึ่งส่วน
เห็นได้ชัดว่าซูจิ่นเพิ่งจะนึกถึงประเด็นนี้ได้อย่างช้าไปหนึ่งก้าว และพูดอย่างลำบากใจว่า
“แต่แม่บ้านมาแล้วนี่คะ...” จากนั้นนิ่งคิดเล็กน้อย “ก็ได้ค่ะ หลังจากนี้จะให้แม่บ้านพักสักระยะ ไหนๆ วันนี้เธอมาแล้ว ก็ให้เธอขึ้นมาเถอะค่ะ อย่างมากคุณก็ซ่อนตัวอยู่ในห้องซะ แล้วไม่ต้องให้เธอเข้าไปในห้องนั้นก็แล้วกัน”
ชายหนุ่มนิ่งคิด แล้วเสริมว่า
“เวลาผมอยู่ ทางที่ดีคุณเองก็อย่าพาเพื่อนกลับมาบ้านล่ะ”
เดิมทีซูจิ่นก็ไม่ชอบชวนเพื่อนมาเที่ยวที่บ้านอยู่แล้ว เพราะหลังจากทุกคนเฮฮากันเสร็จและกลับบ้าน เธอมักต้องเก็บกวาดทำความสะอาดทั้งน้ำตาไปครึ่งคืน ดังนั้นจึงเริ่มชินกับการนัดกันออกไปเที่ยวข้างนอกมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้หลายปีแล้ว
หลังจากที่หญิงสาวพยักหน้าตกลงอย่างไม่เกี่ยงงอน ชายหนุ่มก็กล่าวขอบคุณอย่างมีมารยาท แล้วกลับห้องไปล็อกประตู แต่หลังจากนั้นเมื่อได้ยินคำพูดที่ซูจิ่นใช้อธิบายกับแม่บ้าน เขาก็ต้องสุดเซ็ง
“เมื่อคืนนี้ลูกผู้พี่ฉันพาผู้หญิงเข้าไปน่ะ จนป่านนี้ยังไม่ออกมาเลย เพราะงั้นไม่ต้องไปสนใจห้องนั้นนะคะ”
...ฉินชวนพูดไม่ออกบอกไม่ถูก จำเป็นต้องอธิบายแบบติดเรตอย่างนี้ด้วยเรอะ? สาวหื่นก็คือสาวหื่นจริงๆ
ชายหนุ่มเลิกสนใจความเคลื่อนไหวที่นอกห้อง หันมาท่องเว็บดูเมนูอาหารต่อ
ตั้งแต่เล็กจนโต อาหารการกินของเขาจะมีคนรับผิดชอบโดยเฉพาะตลอด ต่อให้อยู่ในกองทัพก็เหมือนกัน หลังจากที่เมื่อคืนนี้ได้ประจักษ์ถึงระดับของผู้หญิงคนนี้ เขาก็คิดว่าจะฝากท้องของตัวเองไว้กับคุณเธอไม่ได้เสียแล้ว ได้แต่ขวนขวายด้วยตัวเอง เรียนรู้แล้วใช้งานทันที
ชายหนุ่มเขียนวัตถุดิบรายการสุดท้ายลงบนกระดาษ แล้วมองดูรายการซื้อของยาวเหยียดเป็นหางว่าวอย่างพออกพอใจ
เดี๋ยวต้องบังคับให้เธอออกไปซื้อของอีกรอบ...เมนูอาหารของสัปดาห์หน้าจะเน้นบำรุงเลือดเป็นหลักนี่แหละ
หลับตาลงคิดอยู่ครู่หนึ่ง เสื้อผ้า อาหาร ที่พัก เดินทาง...ชีวิตเร้นกาย เดินทางนี่ไม่ต้องไปคิดถึงได้ อาหารกับที่พักลงตัวเรียบร้อยแล้ว ส่วนเสื้อผ้า...เสื้อผ้าของเขาทางวังจะจัดส่งมาให้ตามกำหนดเวลาตลอด ซึ่งก็ไม่ต้องให้เขามานั่งคิดเองมาแต่ไหนแต่ไร แต่การนี้ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ทราบยี่ห้อของเสื้อผ้าเหล่านั้น และไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ทราบว่า ในโลกนี้ยังมีเรื่องอย่างการซื้อของทางอินเทอร์เน็ตอยู่ด้วย...
ชายหนุ่มพิมพ์ชื่อยี่ห้อของเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ค่อนข้างบ่อยลงไปบนแถบสำหรับค้นหาอย่างรวดเร็ว...เขาสั่งออเดอร์ไปพลาง นึกทอดถอนอยู่ในใจอย่างรุนแรงไปพลาง
มิน่าเล่าพวกโอตาคุถึงได้มากขึ้นเรื่อยๆ ที่แท้โลกปัจจุบันนี้ ไม่ต้องย่างเท้าออกจากบ้านก็ทำสิ่งที่ต้องการได้จริงๆ
-------------------------------------
.
[1] CFA (Chartered Financial Analyst : นักวิเคราะห์การเงิน) เป็นคุณวุฒิทางด้านวิชาชีพการเงินและการลงทุนระดับสากล ผู้ที่ผ่านการทดสอบและมีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่กำหนดจะมีสิทธิ์ได้รับ CFA Charter และได้รับการยกย่องให้เป็น CFA Charterholder (ข้อมูลจาก http://cfathailand.blogspot.com/2012/04/cfa.html)
[2] “อยู่ใต้ชายคาบ้าน จำต้องก้มหัวให้” เป็นสำนวนจีน หมายถึง อยู่ใต้อำนาจคนอื่น จึงต้องยอมลงให้เขา
[3] ยัปปีบาร์ (Yuppie bars) หมายถึง บาร์เหล้าสำหรับคนวัย 20-30 ปีที่มีรายได้สูง
[4] บลัดดี้ แมรี่ (Bloody Mary) คือชื่อค็อกเทลสูตรหนึ่ง ผสมจากน้ำมะเขือเทศกับเหล้าวอดก้า (Vodka)
[5] หนุ่มสาวห้าดี ได้แก่ เรียนดี คิดดี ทำงานดี วินัยดี นิสัยดี เคยเป็นมาตรฐานในการวัดหนุ่มสาวระดับหัวกะทิ
[6] โอตาคุ มี 2 ความหมาย คือ 1. ผู้ที่นิยมเก็บตัวอยู่กับบ้าน ไม่ค่อยชอบเข้าสังคม 2. ผู้ที่คลั่งไคล้การอ่านนวนิยาย หนังสือการ์ตูน ชมแอนิเมชัน ชมภาพยนตร์ และเล่นเกมต่างๆ ซึ่งคำ “โอตาคุ” ในนิยายเรื่องนี้ ใช้ครอบคลุมทั้งสองความหมาย
[7] 20,000 ไคว่ ประมาณ 100,000 – 120,000 บาท (1 ไคว่ หรือ 1 หยวน = 5-6 บาท โดยประมาณ)
แก้ไขเมื่อ 21 เม.ย. 2568, 00:01 โดย Admin