นาฬิกาปลุกส่งเสียงดัง
ซูจิ่นใช้ฝ่ามือกดปุ่มปิดเสียงอย่างรำคาญแล้วหลับต่อ ผ่านไปสิบนาที เมื่อนาฬิกาปลุกดังขึ้นอีกครั้ง หญิงสาวค่อยลืมตา ปิดนาฬิกาปลุก
เวลาแบบนี้ เธอมักจะคาดหวังอย่างสุดใจให้ตัวเองเป็นมอดข้าวสาร ได้หลับสนิทจนตื่นขึ้นมาเองทุกวัน นั่นจะเป็นชีวิตที่มีความสุขขนาดไหน น่าเสียดายที่เธอต้องทำงาน
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสนใจอย่างมาก หลังจากไม่ต้องกังวลเรื่องเสื้อผ้าอาหาร ก็จะเริ่มไขว่คว้าหาสิ่งที่เรียกว่า “ผลงาน” ไขว่คว้าหาความรู้สึกได้รับการยอมรับจากสังคม และหลังจากที่เหนือศีรษะมีวงแหวนรัศมีของบุคคลระดับหัวกะทิ ในบางแง่ก็จะพลอยตกเป็นทาสของวงแหวนรัศมีนั้นไปด้วย เพราะต้องแบกรับความคาดหวังของผู้คนไว้บนตัวมากเกินไป ดังนั้นจึงจะแพ้ไม่ได้ และจะเอาแต่ใจไม่ได้
หรือบางที ความจริงแล้วไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความคาดหวังของคนอื่นหรอก เพียงแต่ตัวเธอเองขี้ขลาดเกินไป จึงซ่อนตัวอยู่ลึกๆ ในวงแหวนรัศมีที่สว่างไสวงดงามนั้น ทำตัวเป็นลูกสาวในโอวาทที่พ่อแม่ภูมิใจ เป็นหญิงเก่งที่ใครต่อใครพากันชื่นชม เสพสุขกับความภาคภูมิใจของการได้เป็นเดือนเฉิดฉายในหมู่ดาว ละทิ้งความต้องการในส่วนลึกที่สุดของใจตัวเอง
ความจริงแล้ว จริงๆ ตัวเธออยากจะใช้ชีวิตแบบไหนกันแน่ แม้แต่ตัวเธอเองก็คงจะลืมไปแล้ว ชีวิตเริ่มงานเก้าโมงเช้าเลิกงานห้าโมงเย็นวันแล้ววันเล่า ได้กัดกร่อนความฝันของเธอมากมายเกินไป
หญิงสาวออกแรงลุกขึ้น แล้วรูดม่านเปิดเป็นอย่างแรก
06:45 น. ข้างนอก ฟ้าเพิ่งจะเริ่มสาง
วันจันทร์ อยากจะลาป่วยมันทุกทีสิน่า
ซูจิ่นเปิดหน้าต่าง หลังจากสูดอากาศเย็นเฉียบข้างนอกเข้าไปเต็มปอด ตัวก็สั่นสะท้านไปหนึ่งเฮือก ค่อยรู้สึกสดชื่นขึ้นมาก หลังจากอาบน้ำแปรงฟัน ก็ดื่มน้ำเต้าหู้หนึ่งแก้ว กินขนมปังสองแผ่นเหมือนทุกวัน แล้วกลับห้องไปแต่งหน้า สวมเสื้อผ้า
07:45 น. ออกจากบ้านตรงเวลา คอนโดของเธออยู่ไม่ไกลจากบริษัทมากนัก แต่ตอนเช้ารถมักจะติด จึงจำเป็นต้องเผื่อเวลารถติดไว้ด้วย
ต้นไม้สองข้างทางใบร่วงจนโกร๋นหมด ดูแล้วชวนหดหู่ใจ ไร้ความรู้สึกคึกคักศิวิไลซ์ของแสงสีเช่นในยามค่ำคืนโดยสิ้นเชิง
ตอนนี้อยู่ๆ ซูจิ่นก็รู้สึกว่าจากคืนวันศุกร์ถึงวันนี้ เธอแค่ฝันแปลกๆ เท่านั้น ในฝันมีเจ้าชาย มีเทวดา มีซาตาน...แล้วนาฬิกาปลุกของเช้าวันจันทร์ก็ปลุกเธอให้ตื่นจากความฝัน
ถ้าเธอกลับบ้านไปในตอนนี้ และพบว่าในบ้านว่างเปล่าไม่มีใคร ก็คงจะไม่ตกใจสินะ? ทั้งหมดเหมือนเพ้อฝันไปเอง รวมทั้งอาหารมื้อใหญ่สุดเจิดจาระยิบระยับเมื่อคืนนี้ที่มีคุณเจ้าชายเป็นคนกำกับ และเธอเป็นคนลงมือทำ
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ของที่ปรุงออกมาตามเมนูอาหารที่ดาวน์โหลดมาจากในอินเทอร์เน็ตจะกินได้จริงๆ ด้วย รสชาติก็ไม่เลวอีกต่างหาก แถมยังมีประโยชน์ช่วยบำรุงเลือดอย่างมาก...ยังไงคุณเจ้าชายก็ว่าอย่างนี้ละนะ...
มานึกได้เอาตอนนี้ว่า ดูเหมือนพอมีหนุ่มหล่ออยู่ด้วย จะทำอะไรก็ดูเจิดจาระยิบระยับไปหมด...ดังนั้นเมื่อเธอย้อนนึกถึงตลอดทั้งสุดสัปดาห์ที่ทำให้เธอเหนื่อยสุดๆ จึงรู้สึกเจิดจาระยิบระยับมากถึงขนาดให้อารมณ์ไม่ใช่ความจริง
มิน่าเล่าพวกศิลปินถึงได้ชอบคนหล่อคนสวย...คนหล่อคนสวยนี่ช่วยกระตุ้นทักษะที่แฝงอยู่ได้มากมายจริงๆ...อาทิเช่นทักษะด้านทำอาหารของเธอที่หลายปีมานี้ไม่เคยถูกค้นพบมาก่อน...
08:25 น. ก้าวเข้าสู่ที่ทำงาน ก็ได้ยินเสียงใสๆ ของเฉินเหม่ย เลขานุการที่เธอกับผู้จัดการฝ่ายบัญชีใช้งานร่วมกันดังมา
“รองผู้จัดการซูคะ ผอ.หยวนแจ้งให้คุณขึ้นไปประชุมที่ชั้นบนตอนเก้าโมงค่ะ”
ยังดีที่วันนี้เธอไม่ได้ลาป่วย ไม่งั้นมีหวังโดนจับได้อีกแหงๆ...ซูจิ่นแอบโล่งอกพร้อมกับนึกเสียวไส้อยู่ในใจ
ซูจิ่นจัดเป็นหนึ่งในบุคคลมีปัญหาของบริษัทเรียบร้อยแล้ว ชอบมาสายและชอบลา ถ้าไม่ใช่เพราะได้ชื่อว่าเป็นบุคลากรฝีมือดีที่กลับมาจากเมืองนอก บวกกับมีฝีมือในสาขางานที่ทำจริงๆ ละก็ คิดว่าเธอคงถูกยื่นซองขาวไปนานแล้ว
“เสาร์อาทิตย์นี้เป็นยังไงบ้างจ๊ะ?” ยังไงก็ยังไม่ถึงเวลาทำงาน ซูจิ่นจึงพอใจจะทักทายสร้างความสนิทสนมกับลูกน้อง
เฉินเหม่ยทำหน้าเซ็ง
“เหมือนเดิมแหละค่ะ ไปเป็นคนใช้ทำงานฟรีที่บ้านแฟน”
เมื่อก่อนซูจิ่นมักจะพูดอย่างเห็นใจว่า “เด็กน้อยที่น่าสงสารเอ๋ย” แต่วันนี้เธอกลับถอนใจเฮือกไปด้วย...เพราะเธอรู้สึกว่าตัวเธอเองก็เป็นคนใช้มาเหมือนกัน...
สถานการณ์แบบนี้จะดำเนินต่อไปไม่ได้เด็ดขาด! รอให้แผลเขาหายดีแล้ว เธอต้องบังคับให้เขาเป็นคนทำอาหารให้ได้ ไม่มีเหตุผลเลยที่คนอยู่กับบ้านทั้งวันจะไม่เป็นคนทำกับข้าว
เห็นซูจิ่นมีสีหน้าแปลกๆ โดยไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เลขาฯ สาวก็นึกขึ้นได้กะทันหันว่าดูเหมือนรองผู้จัดการที่อายุน้อยที่สุดในบริษัทคนนี้จะยังไม่มีแฟน จึงคิดจะพูดปลอบใจอีกฝ่ายอย่างสงสาร แต่ก็ไม่รู้จะปลอบใจยังไงดี สายตากวาดผ่านวาระของการประชุมตอนเก้าโมงเช้าที่ได้รับมาเมื่อครู่ก่อน แล้วจึงปิ๊งไอเดีย ทำหน้ามีเลศนัย
“คุณซูเคยเจอ CEO ที่เข้ามารับตำแหน่งเมื่อตอนต้นเดือนหรือยังคะ?”
ซูจิ่นส่ายหน้า “พลร่ม[1]คนนั้นน่ะเหรอ? วันที่เขามารับตำแหน่งแล้วเปิดประชุมพนักงานครั้งใหญ่ ฉันลาพอดีน่ะค่ะ ฟังว่าเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาจากบริษัทสาขาในอาณานิคมนี่คะ”
เฉินเหม่ยค้อนใส่จนตาคว่ำ
“นี่ไม่ใช่ประเด็นที่คุณควรจะสนใจมั้งคะ?”
ซูจิ่นถามงงๆ “งั้นฉันควรจะสนใจประเด็นไหนเหรอ?”
เฉินเหม่ยตวัดค้อนใส่จนตาคว่ำอีกครั้ง
“ในฐานะสาวโสด คุณควรจะสนใจเรื่องที่ว่าเขาอายุเท่าไหร่ หล่อรึเปล่า แต่งงานรึยัง อะไรแนวๆ นี้ไม่ใช่รึไงคะ?”
ซูจิ่นยิ้มขัน “ฉันถือคติสมภารไม่กินไก่วัดน่ะ ความรักในออฟฟิศ พลาดนิดเดียวก็เสียทั้งคู่...เสียทั้งใจเสียทั้งงาน และฉันไม่ชอบเสี่ยงมาแต่ไหนแต่ไรแล้วจ้ะ”
เลขาฯ สาวเบ้ปาก “เลือกมากจัง ระวังจะขึ้นคานนะคะ”
ซูจิ่นดูนาฬิกาบนโต๊ะของเลขาฯ สาว เลยแปดโมงครึ่งมานิดหน่อยแล้ว จึงยิ้มโดยไม่ได้โต้แย้งอีกฝ่าย แล้วโบกมือพลางหยิบวาระการประชุมชุดหนึ่ง ก่อนจะไปรายงานตัวที่ที่นั่งของตัวเอง
ถ้าโดนตาผู้จัดการฝ่ายบัญชีนั่นมาเห็นเธอเนียนคุยเล่น มีหวังได้ทำหน้าหงิกใส่เธออีกแหงๆ
08:55 น. ซูจิ่นจัดข้อมูลที่เตรียมไว้ตามในวาระการประชุมเสร็จเรียบร้อย ก็ลุกจากที่นั่ง เตรียมขึ้นลิฟต์ไปยังห้องประชุมชั้นบนสุด
ชั้น 21 คือฝ่ายการเงิน ชั้น 22 คือห้องทำงานของผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร ผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน และกรรมการบริษัท ชั้น 23 คือห้องประธานกรรมการและห้องประชุมผู้บริหาร
ชั้น 22 กับชั้น 23 จะมีลิฟต์เฉพาะตรงขึ้นไปหา ดังนั้นถึงจะบอกว่าชั้น 21 กับชั้น 22 ห่างกันแค่ชั้นเดียว แต่ก็อยู่คนละระดับกันโดยสิ้นเชิง
ความจริงแล้วทุกชั้นจะมีห้องประชุมเฉพาะของแผนกนั้นๆ เอง เวลามีประชุมภายในแผนก จะแทบไม่ขึ้นไปที่ชั้น 23 เลย ส่วนวันนี้ ในเมื่อเป็นการประชุมที่ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินเป็นคนจัด จึงคิดว่าน่าจะมีระดับหัวหน้าของแผนกอื่นมาเข้าร่วมด้วย
เมื่อครู่นี้ซูจิ่นทำความเข้าใจวาระการประชุมอยู่พักใหญ่ เห็นว่าความสำคัญของการเข้าร่วมประชุมของเธอมีไม่มากนัก แต่ไม่ว่ายังไงในเมื่อเจ้านายให้โอกาสเนียนเข้าร่วมประชุมแก่เธอ เธอย่อมจะยินดีขึ้นไปเสพสุขกับกาแฟนำเข้าบลูเมาน์เทนของห้องประชุมชั้นบนสุดสักหน่อยอยู่แล้ว
ลิฟต์ทั้งสามตัวดันลงไปข้างล่างกันหมด ซูจิ่นดูนาฬิกาข้อมืออย่างหงุดหงิด เหลืออีกสามนาที ถ้าเธอไม่คิดจะเป็นคนสุดท้ายที่เข้าไปในห้องประชุม ก็ได้แต่ขึ้นบันไดสถานเดียว
ซูจิ่นไม่ชอบขึ้นบันได เพราะตรงบันไดไม่มีหน้าต่าง ต่อให้เปิดไฟ ก็มืดสลัวมาก ให้บรรยากาศวังเวงสุดๆ เธอมักจะรู้สึกว่าที่แบบนี้ เป็นที่ที่จะโดนผีหลอกกันบ่อยๆ และเธอก็เคยดูหนังผีที่เกิดขึ้นตรงทางหนีไฟจริงๆ เสียด้วย...คนที่เจอผีคนนั้นอยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกับเธอนี่แหละ คือทนรอลิฟต์ไม่ไหว...
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกขนลุกซู่ หญิงสาววิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ ตอนวิ่งไปถึงชั้นบนสุด เธอถึงกับหอบแฮก ขณะที่กำลังจะโผเข้าสู่แสงสว่างอยู่รอมร่อ ตรงมุมมืดก็มีคนเดินออกมากะทันหัน ซูจิ่นตกใจสุดขีดจนเข่าอ่อนนั่งแปะลงกับพื้น
ความเป็นจริงได้ยืนยันว่าเธอกลัวผียิ่งกว่ากลัวคน เพราะอย่างน้อยตอนที่ฉินชวนถือปืนเล็งใส่เธอ เธอยังไม่ดูน่าอนาถเท่านี้เลย
คนที่เดินออกมาคงนึกไม่ถึงว่าเธอจะมีปฏิกิริยารุนแรงขนาดนี้ จึงทำหน้าตกตะลึง แล้วจึงกลั้นยิ้ม เข้ามายื่นมือช่วยดึงเธอ
“ขอโทษครับที่ทำให้คุณตกใจ”
ซูจิ่นลังเลเล็กน้อย ตัดสินใจได้ว่าผู้ชายคนนี้น่าจะเป็นคน ไม่ใช่ผี จึงค่อยจับมือเขาอาศัยพยุงตัวลุกขึ้นอย่างยังไม่หายตกใจดี ปลายหางตากวาดไปเห็นบุหรี่ที่คีบอยู่ในมืออีกข้างของเขา ค่อยรู้ว่าเขาน่าจะหลบมาสูบบุหรี่ที่บันได
พอมีคนอยู่ด้วย ทางตรงบันไดก็ดูไม่น่ากลัวนักอีก หลังจากยืนมั่นคงแล้ว หญิงสาวก็รู้สึกว่าเมื่อครู่นี้เธอทำตัวน่าขายหน้ามาก จึงแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ว่า
“ไม่ได้ตกใจคุณสักหน่อย ฉันวิ่งเร็วเกินไปเองต่างหาก” คิดเล็กน้อย ก็นึกเจ็บใจที่เผลอตกใจไปเปล่าๆ ปลี้ๆ จึงเงยหน้าขึ้นพูด “อย่างหวังดี” ด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง “แต่สูบบุหรี่ไม่ดีต่อสุขภาพ ต่อไปคุณอย่าสูบอีกจะดีกว่านะคะ”
อีกฝ่ายหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างกลั้นไม่อยู่จนได้
“ทราบแล้วครับ ขอบคุณในความหวังดี”
จังหวะนี้เธอค่อยมองเห็นหน้าตาของอีกฝ่ายชัดเจน เป็นใบหน้าที่ดูแล้วสบายตามาก จะว่าหล่อมากเท่มากก็ไม่ใช่ แต่เห็นแล้วรู้สึกสบายใจ มีความสุภาพนุ่มนวลแผ่ออกมาจากในตัว แตกต่างจากความเฉียบคมที่ขัดเกลามาจากคาวเลือดและเปลวไฟ ซึ่งถูกห่อหุ้มไว้ภายใต้ความสุภาพสง่างามของฉินชวนโดยสิ้นเชิง
เขาอายุประมาณสามสิบปี ไม่ถือว่าแก่เกินไป น่าจะเป็นผู้จัดการของแผนกไหนสักแผนกละมั้ง? ซูจิ่นแอบทายอยู่ในใจ เห็นเขาดึงประตูเปิดให้เธอเดินเข้าไปก่อนอย่างเป็นสุภาพบุรุษมาก หญิงสาวค้อมตัวนิดๆ เป็นการขอบคุณ แล้ววิ่งเหยาะๆ ไปที่ห้องประชุม
การประชุมน่าเบื่ออย่างที่คิดไว้จริงๆ เป็นงานประชุมใหญ่รวมพลปิดงบปลายปีของฝ่ายการเงินล้วนๆ ให้ทุกแผนกให้ความร่วมมือกับงานคิดบัญชีของฝ่ายการเงิน
ซูจิ่นดื่มกาแฟที่คุณเลขาฯ ยื่นมาให้ สังเกตเห็นอย่างผิดคาดว่าชายหนุ่มที่ได้พบตรงบันไดเมื่อครู่ก่อนไม่ได้อยู่ในห้องประชุมนี้ด้วย
คงไม่ใช่ว่าเจอผีเข้าให้แล้วจริงๆ หรอกนะ?
คิดถึงตรงนี้ หญิงสาวหันไปมองด้านหลังอย่างหวาดระแวง เห็นไม่มีอะไรเลย ค่อยนึกโล่งอกพลางนั่งให้เรียบร้อย
...ไม่น่าจะใช่หรอก มือของเขาอุ่นออก
การประชุมรวมพลผู้บริหารระดับกลางแบบนี้ รองผู้จัดการต๊อกต๋อยอย่างเธอไม่มีสิทธิ์จะสอดปากอยู่แล้ว และเธอเองก็ไม่มีเจตนาจะเสนอหน้าอะไรที่นี่ด้วย จึงวางท่าใช้ความคิดอย่างจริงจังด้วยสีหน้าซีเรียส แต่ความจริงคือนั่งใจลอยไปนอกโลก
ซดกาแฟไปซะหลายแก้วกว่าจะถึงเวลาเลิกประชุมเสียที ขณะจะชิ่งหนี ก็ได้ยินท่านใต้เท้าหยวน ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินเปล่งวาจา ระบุชื่อเธอให้อยู่รอ
ซูจิ่นเสียววาบทันที หรือความจะแตกซะแล้วว่าเมื่อกี้นี้เธอนั่งเหม่อ?
หรือผอ.หยวนสุดทนกับเธอจนได้ เลยคิดจะยื่นซองขาวให้เธอ?
หญิงสาวรอจนคนออกไปหมดห้องด้วยใจตุ๋มๆ ต้อมๆ แข็งใจเดินไปถึงตรงหน้าผอ.หยวน ไม่นึกว่าท่านจะแค่ยิ้มใจดี แล้วแสดงกิริยาบอกใบ้ให้เธอเดินตามท่านไป
วิจารณ์กันอย่างยุติธรรม ผอ.หยวนเป็นหนุ่มใหญ่ผู้สุขุมที่นิสัยดีมากคนหนึ่ง อายุประมาณห้าสิบปี เป็นคนทำงานจริงจังและเป็นมืออาชีพ เป็นหนึ่งในคนที่เธอนับถือมากในบริษัทนี้
“คุณซูกลับประเทศมาทำงาน พอจะชินบ้างแล้วหรือยัง?”
เดิมทีซูจิ่นทอดฝีเท้าให้ช้ากว่าผู้เฒ่าหยวนครึ่งก้าว แต่ท่านกลับจงใจเดินช้าลงเล็กน้อยมาเดินเคียงไหล่กับเธอ
ซูจิ่นพยักหน้านิดๆ พูดอย่างใจกว้าง
“ยังไงดิฉันก็เกิดและโตที่นี่แหละค่ะ ก็ต้องคุ้นอยู่แล้ว”
ผู้เฒ่าหยวนยิ้ม “งั้นก็ดีแล้วละ”
หญิงสาวสังเกตเห็นแต่แรกแล้วว่า ทางที่เธอกับผอ.หยวนกำลังเดินไปคือห้องทำงานของประธานกรรมการ ระหว่างที่คุยกัน ทั้งสองก็เดินมาถึงหน้าประตูห้องทำงานของประธานกรรมการ เลขาฯ ท่านประธานเห็นเธอกับผอ.หยวนมาถึงแล้ว ก็รีบกดสายภายในแจ้งเข้าไป แสดงว่านัดหมายกันไว้ก่อน เลขาฯ แจ้งเสร็จก็วางหูโทรศัพท์ลง แล้วลุกขึ้นนำคนทั้งสองเข้าไปในห้อง
ซูจิ่นเข้ามาทำงานในบริษัทนี้ได้ครึ่งปี นี่เป็นครั้งแรกที่มีบุญได้มาเยี่ยมชมห้องทำงานของประธานกรรมการ
ห้องทำงานของประธานกรรมการซึ่งกินพื้นที่ครึ่งหนึ่งของชั้นบนสุด ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นห้องสันทนาการมากกว่า นอกจากโต๊ะทำงานขนาดมหึมาซึ่งกินพื้นที่ตรงกลางชิดริมหน้าต่างยาวจดพื้นแล้ว ทางซ้ายคือบาร์และโซนรับแขก ทางขวามีชุดมินิกอล์ฟและอุปกรณ์ออกกำลังกายสารพัดชนิด กับมีประตูที่ปิดอยู่หนึ่งบาน คาดว่าน่าจะเป็นห้องนอน
ซูจิ่นสงสัยว่า คนแบบไหนกันนะที่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงภายใต้สภาพแวดล้อมแบบนี้? หรือว่าโต๊ะทำงานเคลือบเงาสะอาดหมดจดตัวนั้นมีไว้สำหรับตั้งโชว์เฉยๆ อยู่แล้ว?
หญิงสาวนึกถึงข่าวที่ลือกันในบริษัทเรื่องท่านประธานเป็นประธานแต่ชื่อ ไม่ได้มีอำนาจจริงขึ้นมาทันที และอดเชื่อเพิ่มขึ้นโขไม่ได้
เลขาฯ นำทางผอ.หยวนกับซูจิ่นตรงไปยังโซนรับแขก
อันที่จริงตั้งแต่ตอนที่เข้าประตูมา ซูจิ่นก็มองเห็นแล้วว่า บนโซฟาหนังแท้สีดำที่วางล้อมรอบโต๊ะน้ำชา มีคนสองคนนั่งหันหน้าให้กันอยู่ คนที่หันหน้ามาทางเธอกับผอ.หยวนคือชายสูงวัยผมสีดอกเลา ร่างท้วมนิดๆ แต่งตัวให้อารมณ์ผู้ดีอังกฤษยุคเก่าอย่างมาก ก็คือท่านประธานกรรมการของเครือบริษัทไฟแนนซ์จั๋วเยว่นั่นเอง ส่วนผู้ชายที่นั่งหันหลังให้เธอกับผอ.หยวน เห็นได้ชัดว่าหนุ่มกว่ากันมาก สวมชุดสูทเข้ารูปสีเทาอ่อน ส่งให้เส้นเค้าโครงแผ่นหลังของเขาเพรียวยาวและตรงดิ่ง
คนทั้งสองกำลังคุยอะไรกันอยู่ตลอด เมื่อซูจิ่นกับผอ.หยวนเดินมาถึงตรงหน้า จึงค่อยหยุดคุย หันมามองผู้มาใหม่ทั้งสอง เลขาฯ ท่านประธานเอ่ยปากตามมารยาทว่า
“ท่านประธานคะ ผู้อำนวยการหยวนกับรองผู้จัดการซูมาถึงแล้วค่ะ”
ผอ.หยวนกับซูจิ่นต่างโค้งตัวนิดๆ เอ่ยทักทายท่านประธานกรรมการ จากนั้นผอ.หยวนหันไปพูดทักทายชายหนุ่มสวมชุดสูทสีเทาต่อ เห็นได้ชัดว่าคุ้นเคยกันพอสมควร ซูจิ่นหันไปมองตาม ปรากฏว่าคือผู้ชายที่แอบสูบบุหรี่ตรงบันไดคนนั้นเอง เขาไม่ได้จะไปร่วมประชุม แต่มารายงานตัวที่นี่ต่างหาก เขาก็ลำบากน่าดูเหมือนกัน ในออฟฟิศห้ามสูบบุหรี่ มีแต่ตรงบันไดที่สูบได้ หลายต่อหลายคนจึงพากันเลิกบุหรี่ แต่เขายังสูบต่อ ถือว่ามีความเด็ดเดี่ยวอย่างมาก
เนื่องจากไม่มีใครคิดจะแนะนำเขา ซูจิ่นจึงได้แต่โค้งตัวแสดงความเคารพลวกๆ อย่างกระอักกระอ่วนเป็นอันจบเรื่อง
จังหวะนี้ท่านประธานกรรมการยิ้มพลางชี้ไปที่ที่นั่งข้างๆ แล้วพูดกับผอ.หยวนว่า
“ซื่อหรง มานั่งตรงนี้” จากนั้นมองมาที่ซูจิ่น “คุณซูก็นั่งลงเถอะ” ความหมายก็คือ เธอจะนั่งตรงไหนก็ได้ ซูจิ่นจึงเลือกนั่งเก้าอี้โซฟาเดี่ยวตัวที่อยู่ชิดด้านนอกที่สุด
“คุณซูอายุน้อยมากเลยนี่” หลังจากซูจิ่นนั่งลงเรียบร้อย ท่านประธานก็พูดขึ้นเหมือนจะเอ่ยชม และเหมือนจะแฝงนัยอะไร หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองท่านประธานอย่างไม่รู้ว่าควรจะตอบยังไงดี และพบว่าท่านไม่ได้กำลังมองเธอ คำพูดนี้ไม่ได้พูดกับเธอ แต่พูดกับ “หนุ่มสูบบุหรี่” ต่างหาก
จริงดังคาด “หนุ่มสูบบุหรี่” ยิ้มละไม
“ท่านประธานอย่าเห็นว่าเธออายุยังน้อยเชียวนะครับ ความจริงแล้วเคสการควบรวมและการซื้อกิจการที่เธอเคยเข้าร่วม ไม่ได้น้อยไปกว่าท่านและผมเลยครับ”
ซูจิ่นตะลึง หนุ่มสูบบุหรี่รู้ประวัติของเธอได้ยังไง? ตอนเธอทำงานในบริษัทบัญชีที่เมืองนอก เธอทำงานอยู่แผนกให้คำปรึกษาด้านการควบรวมและการซื้อกิจการจริงๆ เคสการควบรวมและการซื้อกิจการที่ผ่านมือเธอ ลำพังเคสใหญ่ๆ ก็ตั้ง 5-6 เคสเข้าไปแล้ว ยังไม่นับพวกเคสเล็กๆ
แต่เรซูเม่ของเธอ นอกจากฝ่ายบุคคล ก็มีแต่ผู้บริหารระดับสูงเท่านั้นที่มีสิทธิ์ขอดูได้ และคนของฝ่ายบุคคล เธอรู้จักหมดทุกคน แต่ไม่เคยเห็นเขาเลยนี่นา...นอกเสียจากว่า...เขาคือ CEO ที่มาใหม่?
ถ้าใช่ เธอก็หน้าแตกครั้งใหญ่ซะแล้ว เมื่อครู่ก่อนดันไปเตือนเขา “อย่างหวังดี” ว่าอย่าสูบบุหรี่เสียด้วย
หญิงสาวมองหนุ่มสูบบุหรี่อย่างไม่กระโตกกระตาก ขณะที่กำลังประเมินความเป็นไปได้นี้ ก็ได้ยินท่านประธานหัวเราะหึหึ หันหน้ามาทางเธอ
“อย่างนั้นคิดว่าคุณซูคงมีความรู้ด้านการซื้อกิจการไม่ใช่น้อยสินะ?”
ในที่สุดกาแฟบลูเมาท์เทนที่ซูจิ่นดื่มไปห้าแก้วเมื่อเช้านี้ก็เริ่มเกิดประโยชน์ โดยกระตุ้นให้สมองของเธอทำงานด้วยความเร็วไม่แพ้ CPU Octa-core วิเคราะห์สถานการณ์ตรงหน้า
จากคำพูดกระท่อนกระแท่นของผู้บริหารระดับสูงทั้งหลาย หญิงสาวฟังออกอย่างง่ายดายว่า ทางบริษัทมีเจตนาจะซื้อกิจการอะไรสักอย่าง และกำลังรวบรวมบุคลากรที่เหมาะสมมารับผิดชอบเคส ซึ่งในด้านบุคลากร ความเห็นของระดับสูงไม่สอดคล้องกัน หากเอ่ยถึงอายุการทำงาน ของซูจิ่นยังน้อยเกินไป คงไม่ตรงกับความต้องการนัก ท่านประธานจึงไม่ค่อยจะเห็นด้วย แต่ถ้าเอ่ยถึงประสบการณ์ ทั้งบริษัทนี้นอกจากผอ.หยวนแล้ว คนที่มีประสบการณ์ในเรื่องนี้โดยตรงอย่างเธอแทบจะหาไม่ได้ ดังนั้นหนุ่มสูบบุหรี่ที่สงสัยว่าจะเป็น CEO คนนั้นจึงได้พยายามเสนอชื่อเธอ
ด้วยเหตุนี้ เวลานี้ท่านประธานจึงได้มาสัมภาษณ์เธอ
อย่างอื่นเธอไม่กล้าพูด แต่เรื่องสอบสัมภาษณ์นี่ เป็นความถนัดของเธอเลย
ซูจิ่นนิ่งคิดเล็กน้อย แล้วพูดตรงเข้าประเด็นว่า
“ปกติการซื้อกิจการ จะแบ่งเป็นขั้นตอนเตรียมการ ขั้นตอนดำเนินการ และขั้นตอนปรับแต่ง เวลานี้ข้างนอกยังไม่มีข่าวลือว่าทางบริษัทจะซื้อกิจการอะไรที่ไหน คิดว่าทางบริษัทน่าจะยังอยู่ในขั้นตอนเตรียมการสินะคะ?”
ท่านประธานนึกไม่ถึงว่าเธอจะมุ่งตรงเข้าประเด็นโดยไม่มีการถ่อมตัวบ่ายเบี่ยงสักคำ นิ่งงงไปเล็กน้อย ค่อยตอบว่า
“เพิ่งจะมีเป้าหมายเท่านั้น”
เขาไม่ได้เข้าร่วมในการรับสมัครพนักงานมานานมากแล้ว จึงไม่รู้ว่าแวดวงการทำงานในปัจจุบัน การถ่อมตัวไม่ได้หมายถึงมีมารยาทดี แต่เป็นการแสดงออกถึงความไม่มั่นใจไปเสียแล้ว
“ถ้าทางบริษัทมีเป้าหมายอยู่แล้ว ในขั้นตอนปัจจุบัน ก็ต้องขอให้บริษัทที่ปรึกษาด้านการลงทุนมืออาชีพ รวมถึงฝ่ายการเงินและฝ่ายกฎหมายของบริษัทเรา ดำเนินการวิเคราะห์กิจการ ตลอดจนตรวจสอบสภาพทางการเงินและสถานภาพทางกฎหมายของบริษัทเป้าหมาย พร้อมกันนี้ให้เริ่มเตรียมการเจรจาค่ะ”
ข้อสอบจำพวกเน้นเก่งแต่ทฤษฎีแบบนี้ ซูจิ่นเคยผ่านมาเยอะตั้งแต่สมัยเรียนอยู่มหาวิทยาลัยแล้ว อย่าว่าแต่ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลที่เป็นรูปธรรมอะไรให้เธอสักอย่าง ความยากจึงไม่ถึงแม้แต่ระดับวิเคราะห์เคสเสียด้วยซ้ำ
แต่สองทัพตั้งประจัน บางครั้งก็แข่งขันกันที่เชิง ท่านประธานประเมินศัตรูผิดพลาดมาแต่ต้นจนต้องตกเป็นฝ่ายตั้งรับ ปล่อยให้ซูจิ่นเป็นฝ่ายชักนำการสนทนา ถึงตอนนี้นอกจากส่งมอบเคสนี้ให้เธอทำทันทีแล้ว ท่านก็ไม่มีอะไรที่จะพูดได้อีก
นิ่งเงียบไปชั่วครู่ ท่านประธานเปลี่ยนไปมองหน้าผอ.หยวน
“ซื่อหรงก็เห็นว่าไม่มีปัญหาหรือ?”
ผอ.หยวนยิ้มใจดี “ปณิธานไม่ได้ขึ้นกับวัย เวลานี้เป็นโลกของคนหนุ่มสาวเขาแล้วครับ”
ท่านประธานหัวเราะหึหึ “ในเมื่อผู้อำนวยการเหวินกับซื่อหรงเห็นว่าไม่มีปัญหากันทั้งคู่ งั้นก็ตกลงตามนี้เถอะ” พูดจบก็ยกถ้วยน้ำชาขึ้น เอนหลังพิงพนัก ใช้กิริยานี้แสดงความหมายว่า หลังจากนี้ไม่มีธุระของเขาแล้ว
ผู้อำนวยการเหวิน? เหวินฉี่ตง?
ใช่ CEO ที่มาใหม่คนนั้นจริงๆ ด้วย ซึ่งก็คือผู้อำนวยการบริหารนั่นเอง ยังหนุ่มชะมัด
พอเทียบกับเขา เธอก็ไม่ถือว่าประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อยแล้ว เธอมีปัญญาเลื่อนเป็นผู้อำนวยการฝ่ายการเงินตอนอายุสามสิบกว่าได้ก็หรูแล้ว
เหวินฉี่ตงได้ฟังท่านประธานว่าดังนี้ ก็คลี่ยิ้มนุ่มนวล หันไปทางซูจิ่น
“ทางบริษัทได้ตัดสินใจที่จะซื้อบริษัทอุตสาหกรรมหนักหลิงซี นับจากพรุ่งนี้ไป ให้คุณเป็นผู้ช่วยพิเศษของผู้อำนวยการหยวน ช่วยผู้อำนวยการหยวนจัดการเรื่องทั้งหมด” เว้นจังหวะเล็กน้อย แล้วเสริมว่า “แน่นอน จะมีการปรับขึ้นเงินเดือนให้ด้วย ที่เหลือแล้วแต่ผู้อำนวยการหยวนจะจัดการนะครับ”
<>::<>::<>
กระโดดรวดเดียวจากชั้น 21 ไปชั้น 22? นั่นเป็นการกระโดดข้ามระดับเชียวนะ หมายถึงว่าขาข้างหนึ่งของซูจิ่นได้ก้าวเข้าไปในระดับบริหารแล้ว
เรื่องส้มหล่นลูกเบ้อเริ่มแบบนี้ ถือว่าดาวโชคลาภสถิตอยู่กลางดวงแล้ว
เมื่อพระเจ้าทรงปิดประตูทุกบาน พระองค์จะต้องทรงเปิดหน้าต่างไว้ให้คุณที่ไหนสักแห่ง[2]
ซูจิ่นจำไม่ได้แล้วว่าใครเป็นคนพูดประโยคอันโด่งดังนี้ แต่ประโยคนี้เข้ากันอย่างมากเมื่อนำมาใช้กับตัวเธอที่พลาดหวังในเรื่องรัก สมหวังในเรื่องงาน
จนถึงเวลาเลิกงาน เข้าไปนั่งในรถคันโปรดของตัวเอง ซูจิ่นยังคงรู้สึกเหมือนนี่ไม่ใช่ความจริง
พอออกจากห้องทำงานท่านประธานพร้อมกับผอ.หยวน ผอ.หยวนก็เริ่มสาธยายประเด็นหลักๆ ทั้งหลายแก่เธอ เช่น ที่ทำงานของเธอจะย้ายมาเป็นอยู่ติดกับห้องทำงานของผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน เลขานุการจะใช้ร่วมกับผอ.หยวน จะมีคีย์การ์ดใบใหม่ให้เธอ ให้เธอใช้ลิฟต์เฉพาะของชั้น 22 ได้...และหน้าที่สำคัญในตอนนี้ของเธอ คือติดต่อกับหน่วยงานที่ปรึกษาด้านทรัพย์สินมืออาชีพที่เธอพูดถึงก่อนหน้านี้ พร้อมกับช่วยผู้เฒ่าหยวนตรวจอ่านข้อมูลที่ทางหน่วยงานที่ปรึกษาด้านทรัพย์สินให้มา จากนั้นทำการบรรยายสรุปให้ผอ.หยวนกับหนุ่มสูบบุหรี่ และอีกสักพักถ้ายุ่งมากเกินไป ยังจะให้เธอเป็นหัวหน้าตั้งกลุ่มเฉพาะกิจได้
ซูจิ่นนึกถึงสายตาแปลกๆ ที่มองมาที่เธอของผู้จัดการตอนที่เธอย้ายของเมื่อตอนบ่ายแล้วนึกสะใจอยู่ในใจ นี่ดีนะที่เป็นผู้ช่วยพิเศษให้ผอ.หยวน เพราะผอ.หยวนสำรวมมากจนขึ้นชื่อ แถมยังเป็นที่นับหน้าถือตา จึงไม่มีทางมีข่าวลือด้านชู้สาวอะไรแพร่ออกมาอย่างแน่นอน นี่ถ้าไปเป็นผู้ช่วยพิเศษให้เหวินฉี่ตง สงสัยทุกคนต้องคิดว่าเธอขึ้นเตียงกับเหวินฉี่ตงไปแล้วแน่ๆ
พูดถึงเหวินฉี่ตง เมื่อเที่ยงตอนที่ซูจิ่นกินข้าวกับเฉินเหม่ย เธออดใจไม่อยู่เมาท์ถามจนได้ และได้ทราบข้อมูลบางอย่างที่ไม่รู้ว่าผ่านมาแล้วกี่ปากต่อกี่ปาก
ปรากฏว่าเหวินฉี่ตงก็เป็นพวกนักเรียนนอกเหมือนกัน หลังเรียนจบจากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์บริดจ์ของอังกฤษ ก็เข้าทำงานในบริษัทสาขาของจั๋วเยว่ซึ่งตั้งอยู่ในอาณานิคมอิ๋งถาย และเพิ่งจะถูกย้ายมาที่สำนักงานใหญ่เมื่อไม่นานมานี้เอง
ว่ากันตามปกติแล้ว คนที่เลื่อนตำแหน่งได้เร็วขนาดนี้โดยไม่ใช่จำพวกทายาทรุ่นที่สอง จะต้องมุ่งมั่นกับการทำงานอย่างมาก ดังนั้นคาดว่าไม่น่าจะมีเวลาและไม่น่าจะสนใจมีแฟนหรือแต่งงาน ยังไงจนถึงตอนนี้ เขายังคงเป็นหนุ่มโสดระดับเพชรน้ำเอก บวกกับหน้าตาดูดี นิสัยก็อ่อนโยน ทำให้บรรดาสาวๆ ในบริษัทต่างกระเหี้ยนกระหือรือกันถ้วนหน้า แต่จนบัดนี้ยังไม่เคยได้ยินว่ามีใครทำสำเร็จ
“ฉันว่าต่อให้เขายังไม่แต่งงาน ก็ต้องมีแฟนแล้วแน่ๆ” ซูจิ่นฟังเฉินเหม่ยพล่ามมาพักใหญ่ สุดท้ายได้ข้อสรุปแบบนี้
เฉินเหม่ยค้อนใส่จนตาคว่ำอีกครั้ง
“ผู้หญิงสมัยนี้ ต่อให้แต่งงานแล้วก็ลงมือแย่งอยู่ดี ยังไม่แต่งนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง แค่แฟนจะไปสำคัญอะไร้?”
สีหน้าซูจิ่นหมองลงอย่างนึกอะไรขึ้นได้ ดื่มน้ำอึกใหญ่ ค่อยยิ้มหยันตัวเอง
“ก็ใช่ละนะ”
ตัวเธอไม่ใช่ตัวอย่างเห็นๆ หรอกหรือ?
ความรัก...ในเมืองแห่งกิเลสที่เต็มไปด้วยความฟุ้งเฟ้อ...ก็เป็นแค่ผลลัพธ์ของการที่ฮอร์โมนหลั่งมากเกินไปจนกระตุ้นอวัยวะเพศเท่านั้น เมื่อการหลั่งของฮอร์โมนกลับเป็นปกติ ก็ไม่เหลืออะไรทั้งสิ้น
ความรักคือโรคชนิดหนึ่ง เป็นสภาวะที่ผิดปกติอย่างหนึ่ง
และในยุคสมัยนี้ การที่ผู้หญิงคิดจะอาศัยความรักเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไปนั้นเป็นเรื่องโง่ ผู้หญิงที่มีแต่ความรัก สุดท้ายจะต้องกลายเป็นคนน่าสมเพช ดังนั้นเมื่อซูจิ่นกลับมายังเมืองที่ตัวเองเกิดเพียงลำพังเมื่อครึ่งปีก่อน ก็ได้ตัดสินใจแล้วว่า เธอจะเป็นผู้หญิงที่มีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขได้โดยไม่ต้องการความรัก
<>::<>::<>
ลงจากรถแล้วขึ้นลิฟต์ ซูจิ่นก้มลงดูนาฬิกา ยังไม่ถึงหนึ่งทุ่ม
เดิมทีคืนนี้เธอควรจะออกไปกินข้าวมื้อใหญ่กับพวกเพื่อนร่วมงานที่ค่อนข้างสนิทกัน 2-3 คน ฉลองที่ได้เลื่อนตำแหน่งและขึ้นเงินเดือน แต่เธอนึกขึ้นได้ว่าที่บ้านยังมีคนป่วยรอให้เธอทำอาหารให้อยู่ แถมคนป่วยคนนั้นยังเลือกกินถึงขนาดไม่ชอบกินอาหารจากร้านอาหารเสียด้วย หญิงสาวจึงได้แต่บอกปัดการเป็นเจ้ามือเลี้ยงฉลอง รอให้ฉินชวนทำอาหารกินเองได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน ดูเขาก็ฟื้นตัวได้เร็วเอาการอยู่หรอก คาดว่าสุดสัปดาห์นี้ก็น่าจะได้แล้วละ
เดินเข้าห้อง ถอดเปลี่ยนเสื้อผ้า ไปดูที่ห้องของฉินชวนก่อน เห็นเขากึ่งเอนหลังอยู่บนเตียง ในมือถือหนังสือ “ตำนานวีรบุรุษแห่งทางช้างเผือก[3]” เวอร์ชันปกแข็งของเธออ่านอย่างเพลิดเพลิน
“ฉันกลับมาแล้ว คืนนี้คุณจะกินอะไรคะ?” ซูจิ่นไม่พอใจนิดๆ ที่ตัวเองถูกมองข้ามโดยสิ้นเชิง จึงอดส่งเสียงขัดจังหวะเขาไม่ได้
ชายหนุ่มค่อยวางหนังสือลงอย่างไม่เต็มใจ ดึงรายการอาหารหนึ่งแผ่นออกมาจากลิ้นชักหัวเตียง แล้วเดินไปที่ครัวกับเธอ
อาหารของคืนนี้คือผักกาดหอมผัดน้ำมันถั่วลิสง เห็ดหูหนูและแครอทผัดผักกาดขาว กับซุปไก่ดำใส่โสมอีกหนึ่งหม้อ
จากที่ฉินชวนพูด ปกติคนขาดเลือด ระบบย่อยอาหารจะไม่ค่อยดี จึงต้องกินอาหารรสจืดๆ หน่อย แต่จะไม่บำรุงก็ไม่ได้ จึงต้องบำรุงด้วยน้ำซุป
ทฤษฎีเยอะเป็นบ้า ซูจิ่นแอบค่อนอยู่ในใจ แต่ยังคงก้มหน้าก้มตาทำตามวิธีการที่เขาบอกจนเสร็จไปทีละอย่างๆ แล้วยกขึ้นโต๊ะ เพราะถึงฉินชวนจะทำตัวเป็นผู้คุมงานกลายๆ แต่คำพูดและน้ำเสียงสุภาพนุ่มนวลอย่างมาก ทำให้ถึงอยากจะโกรธก็โกรธไม่ลง
ทำกับข้าวจานสุดท้ายเสร็จ หญิงสาวมานั่งลงตรงข้ามฉินชวน ส่วนเขาก็รอจนเธอมานั่งโต๊ะแล้วค่อยลงมือกิน ฉินชวนยืนกรานที่จะนั่งกินข้าวกับเธอในห้องอาหารมาตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว ดังนั้นคืนนี้จึงเป็นแบบนี้เหมือนเดิม
ความจริงการมีใครสักคนนั่งกินข้าวเป็นเพื่อน มันก็รู้สึกไม่เลวอยู่หรอก เมื่อก่อนที่ซูจิ่นไม่ค่อยได้กินข้าวที่บ้าน เหตุผลหนึ่งก็คืออาหารส่วนของคนเดียวทำลำบากเกินไปและรสชาติแย่
ถึงจะบอกว่ากินข้าวด้วยกัน แต่ดูแล้วก็เหมือนแค่นั่งกันสองคนเฉยๆ เวลาฉินชวนกินข้าวจะเงียบมาก ดูเหมือนจะยังคงรักษากฎ “ยามกินไม่พูด ยามนอนไม่จา” ของท่านศาสดาขงจื๊ออย่างเคร่งครัด...
สมแล้วที่เป็นลูกหลานผู้ดีที่ตกยากมาเป็นมาเฟีย ซูจิ่นกินไปๆ ก็อดใจไม่อยู่เริ่มเล่นเกม “ยอดนักสืบxนัน” คาดเดาฐานะความเป็นมาของฉินชวน ฆ่าเซลล์สมองส่วนเกินของตัวเองเล่น
แต่เห็นพูดกันว่า “พักตร์ชาดน้ำเคราะห์[4]” ถึงอย่างนั้นพอฉินชวนมาปุบ เธอกลับมีเรื่องดีๆ มาเยือนทันที...หรือเธอกับเขาจะดวงสมพงศ์กันผิดคาด ตัวซวยของคนอื่น ถึงได้กลายเป็นตัวนำโชคสำหรับเธอ?
ซูจิ่นคิดเพลินๆ แล้วเผลอขมวดคิ้วจ้องหน้าฉินชวนเขม็งด้วยสายตาคาดคะเนโดยไม่รู้ตัว คิดจะดูว่าเขามีโหงวเฮ้งตัวนำโชคอยู่ตรงส่วนไหน
ขนคิ้วทอดตรงเป็นระเบียบ แสดงว่าไม่เจ้าชู้หลายใจ จมูกโด่งตรงได้รูปสวย แสดงว่านิสัยเด็ดขาดกล้าหาญ ไม่เหลาะแหละโลเล ริมฝีปากหยักลึกชัดเจน แต่กลับให้ความรู้สึกว่านุ่มมาก เหมาะจะใช้จูบ...เฮ้ย! คิดไปถึงไหนกันนี่?
ซูจิ่นนึกทุเรศตัวเองจนพูดไม่ออก ก้มหน้าก้มตากินข้าวอย่างละอายใจ จังหวะนี้ฉินชวนกินข้าวเสร็จแล้ว วางถ้วยและตะเกียบลง รอให้เธอกินเสร็จเงียบๆ ค่อยใช้เสียงทุ้มต่ำนุ่มนวลพูดว่า
“คุณอยากจะถามอะไรก็ถามเถอะ ผมจะพยายามตอบให้”
ฉินชวนคิดจะบอกความจริงแล้วจริงๆ เขารู้สึกว่าเธอเป็นคนไว้ใจได้ อีกอย่าง เขาสุดทนกับการถูกเธอแอบจ้องอย่างระแวงสงสัยตลอดทั้งวันแล้วด้วย
แต่คำพูดปกติดีๆ พอเข้าสู่หูของโอตาคุที่อ่านนิยายมากเกินไปอย่างซูจิ่น ก็กลายเป็น “ผมฆ่าคุณไม่ลง จึงอยากจะบอกความลับบางอย่างกับคุณ บีบให้ตัวเองต้องฆ่าคุณปิดปาก” ไปเสียนี่
ฉากนี้คลาสสิกเกินไปแล้ว ฉินชวนคิดจะหลอกให้เธอเอ่ยปากถาม ไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก ไม่ถาม...ไม่ถาม...ไม่ถามเด็ดขาด
ดังนั้นหลังจากคิดอยู่พักใหญ่ ซูจิ่นค่อยถามอย่างระมัดระวังว่า
“คุณชอบอ่าน ‘ตำนานวีรบุรุษแห่งทางช้างเผือก’ หรือคะ?”
คำถามนี้ปลอดภัยพอแน่ๆ ใช่ไหมล่ะ?
นี่มันคำถามอะไรกัน? ชายหนุ่มมองคนถามอย่างข้องใจ ไม่เข้าใจว่าแม่คุณกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ (การที่คนปกติทั่วไปจะตามวิธีคิดของสาวโอตาคุทัน เป็นเรื่องยากมากจริงๆ) แต่ในเมื่อเธอถามออกมาแล้ว และก่อนหน้านี้เขาก็รับปากแล้วด้วยว่าจะตอบ อย่างนั้นไม่ว่าจะเป็นคำถามอะไร ก็ต้องตอบทั้งหมด
“ผมหยิบมาจากห้องทำงานวันนี้น่ะ เป็นนิยายสงครามระหว่างดาวที่จินตนาการบรรเจิดมาก”
“คุณตาถึงมากเลยนี่ หยิบสุ่มๆ มาเล่มเดียวก็เป็นผลงานระดับมาสเตอร์พีซเลย ฉันคิดว่าจนถึงตอนนี้ ในบรรดาผลงานประเภทเดียวกัน ก็ยังไม่มีเรื่องไหนที่แซงเรื่องนี้ได้เลยค่ะ” พอได้พูดถึงหนังสือที่ตัวเองชอบ ซูจิ่นก็ภูมิใจเสียอย่างกับว่าตัวเองเป็นคนเขียนเสียเอง ความจริงเธอไม่รู้หรอกว่าเหตุผลที่ฉินชวนเลือกนิยายเรื่องนี้มาอ่าน เพราะนิยายเรื่องนี้เป็นนิยายสงครามนี่แหละ
อีกด้านหนึ่ง ถึงแม้ชายหนุ่มจะไม่ค่อยเข้าใจนักว่า ทั้งที่เธออยากจะรู้ความเป็นมาของเขาใจแทบขาดแท้ๆ แต่ทุกครั้งที่พาดพิงถึงเรื่องนี้ ทำไมเธอถึงต้องเปลี่ยนเรื่องพูดอย่างแข็งทื่อตลอด แต่เห็นเธอมีสีหน้าหลงใหล ก็อดอมยิ้มไม่ได้
“ก่อนที่จะอ่านจบ ผมจะไม่วิจารณ์ครับ”
<>::<>::<>
ซูจิ่นยังไม่ทันมีเวลาได้คุ้นเคยกับที่ทำงานใหม่ ก็ต้องทุ่มตัวเข้าสู่งานใหม่ที่ยุ่งสุดขีดเสียก่อน
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปอย่างง่ายดาย บ่ายวันศุกร์ ผอ.หยวนออกไปประชุม ภายในห้องผู้อำนวยการฝ่ายการเงินเหลือแค่ซูจิ่นกับเลขานุการจูลี่
อย่าได้ยินชื่อ “จูลี่” ปุบ ก็นึกว่าเธอเป็นตุ๊กตาบาร์บีที่ดีแต่สวย ทำงานไม่เป็นเชียวนะ ความจริงจูลี่อายุเลยสี่สิบแล้ว แถมยังเป็นเลขานุการที่เป็นมืออาชีพอย่างมากเสียด้วย
คนมากมายต่างมีอคติว่าเลขานุการเป็นอาชีพที่เป็นไม้ประดับอย่างมาก ขอแค่พิมพ์ดีดเป็น รับโทรศัพท์เป็น ดื่มเหล้าเป็นเพื่อนแขกได้ก็ใช้ได้แล้ว แต่นั่นเป็นคำจำกัดความที่เก่าและตกยุคสุดๆ
ในยุคที่ทุกเรื่องต่างเน้นความเป็นมืออาชีพอย่างยุคนี้ เลขานุการมืออาชีพไม่จำเป็นต้องต้อนรับแขกเป็นเพื่อนนายจ้างอีก แต่ต้องมีทักษะความสามารถที่ซับซ้อนกว่านั้นมาก เช่น วางแผนจัดสรรเวลาให้นายจ้าง เลือกเฟ้นแขกให้ จัดสรรการนัดหมายต่างๆ สารพัดแบบให้ รู้ตำแหน่งที่จัดวางแฟ้มข้อมูลทุกชนิดเป็นอย่างดี สามารถหาข้อมูลที่เจ้านายต้องการออกมาได้ในทันทีที่เจ้านายต้องการ และแบ่งประเภทข้อมูลได้อย่างมีระเบียบ สามารถประเมินความเกี่ยวข้องของข้อมูล...ฯลฯ
และจูลี่กับเจนนี่ของห้องผู้อำนวยการฝ่ายบริหารที่อยู่ติดกัน ก็คือเลขานุการประเภทนี้นี่แหละ พวกเธอต่างเป็นผู้หญิงระดับซ้อใหญ่แล้ว
แน่นอน เห็นจะต้องบอกว่า การที่ทางบริษัทจงใจว่าจ้างผู้หญิงที่อายุค่อนข้างมากมาเป็นเลขาฯ ของผู้อำนวยการ ส่วนหนึ่งก็เพื่อจะอวดถึงสไตล์การทำงานที่หนักแน่นไม่เหลาะแหละของบริษัท และในความเป็นจริง ในโลกธุรกิจ เครือบริษัทจั๋วเยว่ก็ใช้ภาพลักษณ์แนวอนุรักษ์ที่เข้มงวดมาดำรงบทบาทผู้นำทัพจริงๆ
สรุปก็คือ ซูจิ่นชื่นชมจูลี่มาก...ชื่นชมมากๆ แต่ที่หญิงสาวชื่นชมจูลี่มากขนาดนี้ ไม่ใช่แค่เพราะความเป็นมืออาชีพของจูลี่เพียงอย่างเดียว ที่เหนือกว่านั้นคือจูลี่เป็นเหมือนกับตัวเธอเอง คือเป็นคนเคร่งครัดเรื่องเวลามาก และการเคร่งครัดเรื่องเวลามาก สำหรับซูจิ่นมีหมายความว่า มาทำงานตรงเวลา และปฏิเสธที่จะทำโอที
ห้าโมงครึ่ง ซูจิ่นมองผ่านกระจกไปเห็นจูลี่เริ่มเก็บกระเป๋าอย่างตรงเวลา หญิงสาวรั้งสายตากลับ ดูรายการข้อมูลที่รอให้อ่านบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ถอนหายใจเฮือก เริ่มดาวน์โหลดข้อมูลลงในแฟลชไดรฟ์ เตรียมจะนำกลับบ้าน ถึงยังไงวันนี้ก็อ่านไม่หมดแน่แล้ว สุดสัปดาห์ต้องทำโอทีอยู่ที่บ้านเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้เห็นๆ สู้ฉวยโอกาสตอนเจ้านายไม่อยู่ เสพสุขกับการได้เลิกงานตรงเวลาดีกว่า
เพิ่งเก็บกระเป๋าเสร็จ คิดจะชิ่งไปจากที่นี่อย่างรวดเร็ว อยู่ๆ ก็มีคนผลักประตูเดินเข้ามา ซูจิ่นมองทะลุกระจกไปเห็นร่างสูงเพรียวของเหวินฉี่ตงปรากฏขึ้นในสายตา หัวใจจึงเย็นเฉียบไปครึ่งดวงทันที คาดว่าแผนชิ่งหนีคงล้มเหลวซะแล้ว
เหวินฉี่ตงเดินตรงดิ่งมาที่ห้องทำงานของเธอจริงๆ ซูจิ่นลุกขึ้นเปิดประตูให้อย่างว่าง่าย
“ผู้อำนวยการมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ?”
ชายหนุ่มลังเลเล็กน้อย ค่อยถามว่า
“คุณซูพักอยู่ตรงถนนถาวซู่[5]ใช่ไหมครับ?”
“คะ?” มุมปากซูจิ่นกระตุก มองอีกฝ่ายอย่างสงสัย
ถึงแม้สัปดาห์นี้จะเข้าประชุมกับเขาแทบทุกวันก็เถอะ แต่เขากับเธอไม่เคยคุยกันเป็นการส่วนตัวมาก่อน จึงน่าจะยังไม่สนิทกันถึงขั้นมาถามที่อยู่ของอีกฝ่ายมั้ง?
ถ้าเป็นการมาจีบ นี่ก็เป็นการเริ่มต้นที่เห่ยมาก...แล้วจะว่าไป เธอนึกไม่ออกเลยว่าตัวเองไปสะดุดตาเขาที่ตรงไหน ถึงทำให้เขาอดใจไม่อยู่จนต้องมาจีบเธอ? หรือจะเป็นเพราะฮอร์โมนเพศหญิงที่เธอหลั่งออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ?
ถึงเขาจะสอดคล้องกับเงื่อนไขเรื่องแฟนสี่ข้อใหญ่ของเธอ “หน้าตาดี การงานดี นิสัยดี มีสตางค์” อย่างมากก็ตาม แต่ก็ยังไม่ดึงดูดใจเธอถึงขั้นทำให้เธอยอมทิ้งหลักการ “สมภารไม่กินไก่วัด” ได้ ฉะนั้นจะปฏิเสธแบบอ้อมค้อมยังไงดีนะ?
“Sorry, you are not my cup of tea.”
ขอโทษค่ะ คุณไม่ใช่น้ำชาถ้วยนั้นของฉัน?
ซูจิ่นคิดมาตลอดว่าประโยคนี้เท่มาก เพียงแต่ไม่เคยมีโอกาสได้ฝึกใช้เลย...หรือในที่สุดโอกาสก็มาถึงแล้ว?
ขณะที่ซูจิ่นกำลังแสดงพลังจินตนาการของสาวโอตาคุอย่างเต็มที่ มโนไปอย่างไร้ขอบเขต เหวินฉี่ตงก็ยิ้มอย่างขออภัย
“ขอโทษทีครับ ผมเห็นมาจากก่อนหน้านี้ตอนที่อ่านเรซูเม่ของคุณน่ะ ผมก็พักอยู่ที่ถนนเส้นนั้นเหมือนกัน วันนี้คนขับรถขอลาหยุดกะทันหัน คุณช่วยพาผมกลับไปบ้านด้วยได้มั้ยครับ?”
“หา?” ปรากฏว่าไม่ใช่วันสารภาพรักแฮะ “อ๋อ ได้สิคะ”
ความจริงแล้วชีวิตมักจะธรรมดาและจืดชืด โอกาสที่ฉากจำพวกสารภาพรักแบบน้ำเน่า “โปรดคบกับผมเถอะครับ” จะเกิดขึ้นมีต่ำมาก
ขึ้นรถแล้ว ซูจิ่นบอกกล่าวด้วยสีหน้าซีเรียส
“เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ มีอยู่เรื่องที่ต้องระวังเป็นพิเศษ...นี่เป็นรถที่ห้ามสูบบุหรี่ค่ะ”
เหวินฉี่ตงหัวเราะพรืดออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ มุมปากปรากฏรอยย่นจากการยิ้มจางๆ 2-3 รอย ดูแล้วเซ็กซี่มาก
ซูจิ่นเมินหน้าหนี หัวใจเต้นเร็วขึ้นสองจังหวะ ได้ยินเขาพูดกลั้วหัวเราะว่า “คุณซูมีอารมณ์ขันอย่างนี้เสมอหรือครับ?”
อารมณ์ขัน? เธอเห็นว่าควรจะจัดเข้าจำพวกขวานผ่าซากมากกว่ามั้ง? แต่ในเมื่อเจ้านายลงความเห็นไปแล้ว งั้นก็อารมณ์ขันเถอะ
“พอไหวค่ะ” เธอตอบเสียงราบเรียบ
อาจเป็นเพราะขี้เกียจ และอาจเป็นเพราะดูถูกสิ่งที่เรียกกันว่า “ทางลัด” ซูจิ่นจึงต่อต้านการสนิทสนมเป็นการส่วนตัวกับหัวหน้างานเกินกว่าในเรื่องงานอย่างมากมาโดยตลอด และนี่ก็เป็นความตั้งใจแรกสุดในการเลือกที่จะเป็นบุคลากรมืออาชีพของเธอ...อาศัยความสามารถของตัวเองหาเลี้ยงตัวเอง ไม่จำเป็นต้องจงใจไปประจบเอาใจใคร
ดังนั้นทันทีที่ออกจากบริษัท หญิงสาวจึงคิดโดยอัตโนมัติว่า ไม่มีหน้าที่ต้องเอาใจเหวินฉี่ตงอีก หลังจากเริ่มออกรถ เธอจึงไม่คิดจะหาเรื่องมาชวนคุยเพื่อสลายความรู้สึกกระอักกระอ่วนจากการที่คนซึ่งไม่ค่อยสนิทกันนักสองคนมานั่งอยู่ด้วยกันในที่แคบๆ
แต่เห็นได้ชัดว่า CEO คนใหม่รู้สึกอึดอัดเล็กน้อยท่ามกลางความเงียบกริบแบบนี้ หลังจากคิดอยู่พักใหญ่ ชายหนุ่มจึงเป็นฝ่ายชวนคุยเสียเองว่า “คุณซูคงพอจะคุ้นกับงานใหม่อยู่นะครับ?”
ซูจิ่นไม่ได้หันหน้าไป ใช้หางตามองเขาแปลกๆ
เธอจะคุ้นหรือไม่คุ้น เขาน่าจะรู้ดีที่สุดมั้ย เวลาประชุมกันในแต่ละวัน เขาไม่ได้กำลังรับแบ่งผลงานจากงานใหม่ของเธออยู่รึไง?
แต่คำพูดแบบนี้ ต่อให้สมองของซูจิ่นขาดออกซิเจนมากแค่ไหน ก็ไม่มีทางพูดออกมาเด็ดขาด ดังนั้นเธอจึงแค่พยักหน้า ตอบว่า
“พอไหวค่ะ” จังหวะนี้ หญิงสาวนึกถึงคำถามที่นึกอยากจะถามเขามาตลอดขึ้นได้กะทันหัน “คือว่า...ทำไมคุณเหวินถึงเลือกฉันหรือคะ?”
เธอทั้งไม่ได้ติดสินบน และไม่ได้อ่อยเขา แถมยังขาดประชุมในการประชุมใหญ่พนักงานตอนที่เขามารับตำแหน่งอีกต่างหาก ทำไมเขาถึงสังเกตเห็นเธอจากบรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินที่มีอยู่มากมายในบริษัทได้?
ชายหนุ่มเหมือนจะนึกไม่ถึงว่าอยู่ๆ ซูจิ่นจะเปลี่ยนประเด็นไปไกลโข จึงงงไปนิด ก่อนจะหัวเราะเบาๆ ตอบว่า
“ง่ายมากครับ ผมเอาเรซูเม่ของนักบัญชีกับนักการเงินที่มีใบอนุญาตทุกคนในบริษัทมาอ่านดู และประสบการณ์การทำงานของคุณเข้าข่ายมากที่สุด”
ซูจิ่นแอบนึกโล่งอกอยู่ในใจ เป็นการพิจารณาจากการทำงานล้วนๆ ไม่มีเรื่องส่วนตัวใดๆ ปน เธอนิยมสไตล์การทำงานแบบนี้มากที่สุด ซึ่งบ่งบอกว่าเขาไม่มีทางคาดหวังอะไรอย่างอื่นจากเธอนอกเหนือจากเรื่องงาน
คิดถึงตรงนี้ หญิงสาวยิ้มหวานให้เขา
“ขอบคุณค่ะ ฉันคิดว่างานนี้เหมาะกับฉันมาก ฉันจะพยายามพิสูจน์ให้เห็นว่าคุณเหวินไม่ได้ดูคนผิดค่ะ”
เมื่อซูจิ่นยิ้ม ชายหนุ่มค่อยรู้ตัวว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ดูเย้ายวนมาก เพียงแต่ส่วนมากความเย้ายวนของเธอจะถูกความสำรวมของเธอบดบังไว้
บางทีเธออาจจะไม่ได้เป็นคนสุภาพเรียบร้อยอย่างที่เห็น ความคิดนี้วาบขึ้นในศีรษะของเหวินฉี่ตง แต่ก็ยังไม่ได้นึกอยากจะค้นหาให้ลึกซึ้งไปกว่านี้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงแค่ยิ้มละไม
“ไม่จำเป็นต้องกดดันตัวเองมากเกินไปก็ได้ครับ สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือประเมินค่าของหลิงซีอย่างถูกต้อง ส่วนเรื่องจัดซื้อ...” เขาลังเลเล็กน้อย แล้วตัดสินใจบอกข้อมูลเบื้องลึกแก่ซูจิ่น “ไม่ว่าจะเจรจากับฝ่ายนั้นสำเร็จหรือเปล่า พวกเราก็จะบังคับซื้ออยู่ดีครับ”
“คะ?” ซูจิ่นตกตะลึงอย่างห้ามไม่อยู่ คำนวณสภาพเงินทุนที่บริษัทสามารถระดมทุนได้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะพูดอย่างข้องใจว่า “การบังคับซื้อต้องการสภาพคล่องทางการเงินสูงมาก ทางบริษัทคิดยังไงกันคะ?”
ดวงตาเหวินฉี่ตงทอประกายชื่นชม
“ธนาคารอิ๋งฮุ่ยรับปากแล้วว่าจะร่วมมือกับเราครับ นอกจากนี้ผมเองก็แอบติดต่อกับผู้ถือหุ้นรายค่อนข้างใหญ่ของหลิงซี 2-3 รายเป็นการส่วนตัวแล้วด้วย แรงต่อต้านการจัดซื้อน่าจะไม่มากนักหรอกครับ”
หญิงสาวใช้หางตาเหลือบมองคนพูดอย่างตกตะลึง เขาไม่ได้มองเธอ แต่กำลังมองไปที่นอกหน้าต่างรถ
เขาเพิ่งจะกลับมาจากอาณานิคม ก็มีพาวเวอร์ในการเคลื่อนไหวมากขนาดนี้แล้วหรือ? ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าเหวินฉี่ตงกับการจัดซื้อครั้งนี้มีอะไรลึกซึ้งแอบแฝงอยู่มากกว่าที่มองเห็นกันนะ?
แม้จะมีข้อสงสัยผุดขึ้นในใจ แต่ซูจิ่นคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่เธอควรจะเอ่ยปากถาม ดังนั้นเวลานี้หญิงสาวจึงหุบปากนิ่ง
เหวินฉี่ตงพักอยู่ใกล้ๆ บ้านของซูจิ่นจริงๆ อันที่จริงเขตที่พักที่เขาพักอยู่ อยู่ติดกับเขตที่พักของเธอนี่เอง
ถึงจะบอกว่าถนนถาวซู่เป็นแหล่งรวมของที่พักอาศัยระดับไฮโซ แต่...โลกนี้มันจะแคบเกินไปแล้วมั้ง?
หลังชายหนุ่มลงจากรถและกล่าวขอบคุณยิ้มๆ เขายังพูดอีกว่า
“อาทิตย์หน้าจะเลี้ยงข้าวคุณนะครับ”
ซูจิ่นก็ตอบยิ้มๆ เช่นกัน
“ได้ค่ะ สุขสันต์วันหยุดนะคะ” แต่ในใจคิดว่าอย่าเลยดีกว่า เกิดมีใครมาเห็นเขากับเธอกินข้าวด้วยกันสองต่อสองเข้าให้ ข่าวลือมีหวังแพร่ไปทั่วบริษัทแหงๆ เธอยังไม่อยากถูกเข้าใจผิดเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องหรอกนะ
กลับถึงบ้าน ซูจิ่นได้พบกับเรื่องที่ทำให้เธอตื้นตันใจอย่างมาก นั่นก็คือฉินชวนเข้าครัวทำอาหาร
แน่นอน เธอไม่ได้รู้หรอกว่า สาเหตุที่ฉินชวนเข้าครัวทำอาหาร เป็นเพราะเขารู้สึกว่าตัวเขาสามารถทำได้ดีกว่าเธอ ถ้าเธอรู้เข้า คงจะตื้นตันน้อยลงกว่านี้เยอะแน่ๆ
“ร่างกายคุณไหวนะคะ?” หลังจากยืนดูตรงประตูครัวอยู่ครู่หนึ่ง ซูจิ่นค่อยถามขึ้นอย่างยังเป็นห่วงอยู่นิดๆ
“ไม่เป็นปัญหาอะไรมากแล้วครับ ปากแผลสมานตัวแล้ว”
ฉินชวนไม่ได้หันหน้าไป ตั้งอกตั้งใจหั่นผักต่อ เรื่องรสชาติตอนนี้ยังไม่รู้ แต่ฝีมือใช้มีดของเขาดีกว่าซูจิ่นตั้งไม่รู้กี่เท่าเห็นๆ
หลังจากที่ซูจิ่นทอดถอนใจให้กับพลังชีวิตและการฟื้นตัวอันแข็งแกร่งประหนึ่งคุณปีเตอร์ของฉินชวนแล้ว ก็กลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ค่อยออกมาชมรายการหนุ่มหล่อเข้าครัวที่เจริญหูเจริญตาต่อ และรับบทตัวประกอบเป็นผู้ช่วยในครัวเป็นระยะๆ
แน่นอน ให้ตายซูจิ่นก็ไม่มีทางยอมรับหรอกว่า เธอเป็นห่วงว่าหนุ่มหล่อจะหมดแรงกลางคันเป็นลมล้มลง เพราะเธอไม่เคยเป็นคนใจดีขนาดนั้น
อาหารที่ฉินชวนทำรสชาติไม่เลวเลย...ซูจิ่นกินไปพลางวิจารณ์ในใจไปพลาง ถึงรสชาติจะด้อยกว่าที่เธอทำนิดหน่อยก็เถอะ (แน่นอนว่านี่เป็นความเห็นส่วนตัวของซูจิ่น) แต่หน้าตาดูดีกว่า แถมมีคนทำอาหารให้ ต่อไปเธอกลับบ้านก็ได้กินของที่ทำเสร็จแล้ว...
เนื่องจากความเห็นต่างๆ ข้างต้น หลังจากกินข้าวเสร็จ ซูจิ่นจึงชมฝีมือทำอาหารของฉินชวนเป็นการใหญ่ แถมยังสนับสนุนให้เขาพยายามทำอาหารมากขึ้นหลังจากนี้ไป เพื่อเพิ่มพูนทักษะที่เขามีแววไปได้สวยอย่างมาก
ซูจิ่นดีดลูกคิดรางแก้วอะไรอยู่ และมีเจตนาแอบแฝงอะไร ชายหนุ่มย่อมจะมองออกทะลุปรุโปร่งอย่างง่ายดาย เขายิ้มอย่างขี้เกียจจะแฉเธอ แล้วเดินกลับห้องไป
แต่หลังจากซูจิ่นเก็บโต๊ะอาหาร ล้างหม้อชามรามไหเสร็จแล้ว กลับไม่ได้พุ่งตรงไปที่ห้องนอนอย่างทุกวัน แต่เป็นเลี้ยวไปทางห้องทำงานแทน
ซูจิ่นมีความเคยชินอย่างหนึ่ง เวลาทำเรื่องจริงจัง จะไม่นอนใช้โน้ตบุ๊กบนเตียง ดังนั้นเมื่อในคืนนี้เธอคิดจะทำโอทีสักหน่อย จึงเลือกที่จะไปใช้คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะที่ห้องทำงานของเธอ
แต่หญิงสาวนึกไม่ถึงว่า พอเดินเข้าไปในห้องทำงาน เธอกลับไม่ใช่คนคนเดียวที่อยู่ในห้องทำงาน บนเก้าอี้นวดอัตโนมัติรอบทิศทางที่เธอจ่ายเงินกว่าหมื่นหยวน[6]ซื้อกลับมา มีนายท่านคนหนึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้ว หญิงสาวอดตะลึงไม่ได้
ฉินชวนมองเห็นเธอ ก็ตะลึงไปเหมือนกัน เห็นได้ชัดว่าคาดไม่ถึงว่าเธอจะมาโผล่ในห้องทำงาน
ซูจิ่นมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ นึกขึ้นได้ว่าดูเหมือนเธอจะไม่ได้เข้ามาในห้องทำงานมานานมากแล้วจริงๆ มองดูท่าทางแสนสบายอารมณ์ของเขาอีกครั้ง บนโต๊ะเตี้ยข้างเก้าอี้นวดยังวางกระติกเก็บความร้อนกับแก้วน้ำไว้เสียด้วย คาดว่าคงจะมาลงหลักปักฐานที่นี่นานพอสมควรแล้ว จากสภาพการณ์ในปัจจุบัน เหมือนว่าเธอต่างหากที่เป็นฝ่ายบุกรุก แถมในสัญญาเช่าห้องก็ไม่ได้ห้ามเขาใช้ห้องทำงานจริงๆ นั่นแหละ ด้วยเหตุนี้คำพูดจะไล่เขาออกไปในตอนแรกจึงถูกฝืนกลืนกลับลงไปหลังจากขึ้นมาถึงปลายลิ้น
ถึงยังไงเขาก็แค่อ่านหนังสือเอง งั้นก็ช่างเขาเถอะ
พอหายตะลึง ซูจิ่นก็เดินเข้าไปนั่งลงที่หน้าคอมพิวเตอร์โดยทำเป็นมองไม่เห็นฉินชวน แล้วเปิดเครื่อง จากหางตา เธอมองเห็นว่าฉินชวนยังคงพินิจมองเธออย่างสนใจเหมือนไม่เคยเห็นเธอมาก่อน สายตาแบบนั้น...เหมือนเห็นคนตาบอดอ่านหนังสือยังไงยังงั้น...มันสายตาอะไรกันยะ?
เวลานี้ซูจิ่นนึกอยากจะเลียนแบบเด็กสก๊อยข้างถนนสุดใจ ตะโกนใส่หน้าเขาว่า “ดูอะไรยะ ไม่เคยเห็นสาวสวยรึไง?” แต่นั่นไม่ใช่สไตล์ของเธออย่างแรง แถมเธอยังทำกิริยาที่มีระดับความยากสูงมากออกมาต่อหน้าคุณชายกำมะลออย่างฉินชวนไม่ออกเสียด้วย ดังนั้นเธอจึงจ้องคอมพิวเตอร์เขม็ง พูดขู่โดยไม่หันหน้าไปว่า
“ขืนดูอีก ฉันจะฟ้องคุณฐานล่วงละเมิดทางเพศ”
ผลลัพธ์ไม่เลว ฉินชวนสำลักลมหายใจตัวเองจนหน้าแดงก่ำ ดื่มน้ำลงไปหนึ่งแก้วถึงค่อยหยุดสำลัก หญิงสาวหันหน้าหาคอมพิวเตอร์ ยิ้มออกมาอย่างย่ามใจ
ชายหนุ่มนิ่งคิด ก็เห็นว่าน่าขันมาก จึงโต้กลับอย่างมีอารมณ์ขันว่า “งั้นผมมิฟ้องจนคุณหมดเนื้อหมดตัวได้ไปแล้วหรือ?”
“หา? คุณตอบแทนผู้มีพระคุณของคุณแบบนี้หรือยะ?” ซูจิ่นแกล้งทำเป็นถลึงตาใส่เขาอย่างมีโมโห ท่าทางนั้นเหมือนลูกแมวที่แยกเขี้ยวกางเล็บ แต่ดูไม่น่ากลัวโดยสิ้นเชิง
ชายหนุ่มอมยิ้ม “งั้นคุณคิดว่าควรจะตอบแทนแบบไหน?”
ซูจิ่นทำเป็นนิ่งคิดอยู่ครู่ใหญ่ ค่อยพูดเสียงจริงจัง
“บางทีฉันอาจจะค่อนข้างยินดีต้อนรับวิธีสละตัวแทนคุณก็ได้นะ”
อยู่ด้วยกันมาหนึ่งสัปดาห์ ฉินชวนชินกับนิสัยเสียของผู้หญิงคนนี้ที่เดี๋ยวๆ ก็ปากเปราะ ชอบพูดแซวจีบเขาเล่นเป็นเรื่องสนุกไปแล้ว และมองทะลุถึงเนื้อแท้ของเธอที่กล้าหื่นแต่ไม่กล้าเอาจริงมาได้พักใหญ่แล้วอีกเหมือนกัน ดังนั้นพอได้ยินคำพูดนี้ จึงพยักหน้าโดยหน้าไม่เปลี่ยนสี
“ได้สิ ไว้ผมอาการดีขึ้นกว่านี้อีกนิด ก็พอจะพิจารณาได้”
“หา?” คราวนี้ถึงตาซูจิ่นสำลักบ้าง สำลักจนหน้าแดงก่ำ หันกลับไปดูหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเธอ แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินว่าเมื่อกี้เขาพูดอะไร
ชายหนุ่มมองดูเธออย่างนึกขัน ไม่ได้คิดจะเข่นฆ่าให้สิ้นซาก จึงก้มหน้าลงอ่าน “ตำนานวีรบุรุษแห่งทางช้างเผือก” ต่อ
เธอเป็นอย่างที่เขาคาดไว้จริงๆ พอเอาจริงเข้าหน่อยก็ถอยกรูด ต่อไปถือว่ามีวิธีจัดการคุณสาวหื่นคนนี้แล้วละนะ
ความจริงซูจิ่นรู้ดีหรอกว่าฉินชวนจงใจแกล้งให้เธอไปต่อไม่ถูก แต่เธอเป็นผู้หญิงปกติ แถมยังเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวที่ไม่ได้ใช้ชีวิตคู่มาตั้งครึ่งปีแล้ว ดังนั้นบทสนทนาต้องห้ามที่ล่อแหลมแบบนี้ ทำให้ตัวเธอร้อนวูบวาบไปหมด ต้องนั่งจ้องคอมพิวเตอร์อยู่พักใหญ่กว่าจะสงบลงได้
ช่วยไม่ได้ ก็ฉินชวนเป็นหนุ่มที่ชวนให้ผู้หญิงจินตนาการมากเกินไปนี่นา
ดูท่าทางต่อไปจะซี้ซั้วแซวเขาไม่ได้ซะแล้ว ซูจิ่นคิดอย่างเสียดายนิดๆ...ไม่งั้นคงได้เป็นการหาเรื่องใส่ตัวแน่
จะว่าไป เขาปรับตัวได้เร็วชะมัด...
ซูจิ่นใช้ความมุ่งมั่นขั้นเทพจดจ่อสมาธิกับผลการค้นหาตรงหน้า หลังจากกวาดสายตาอ่านอยู่ครู่หนึ่ง ก็ต้องขมวดคิ้ว
ราชอาณาจักรฉินเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในโลกยุคปัจจุบันที่ปกครองโดยระบอบกษัตริย์ ในบรรดาประเทศที่ปกครองโดยระบอบกษัตริย์เพียงไม่กี่ประเทศนี้ มีแต่พระราชวงศ์ของฉินเท่านั้นที่ยังคงมีอิทธิพลอย่างสูงต่อการเมืองและเศรษฐกิจ ซึ่งเหตุผลสำคัญที่ราชวงศ์ยังคงยืนยงไม่มีล้มมานานปี เป็นเพราะจักรพรรดิไม่เคยวางมือจากการควบคุมกองทัพ นายกรัฐมนตรีของราชอาณาจักรฉินยังคงเป็นแค่ขุนนางบุ๋น
แต่จะอย่างไรโลกนี้ก็ได้เข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์แล้ว ส่วนใหญ่กองทัพจะมีไว้แค่ใช้เป็นเครื่องข่มขู่คุกคามโดยไม่สามารถนำมาใช้บริหารประเทศได้ เพราะฉะนั้นในด้านการเมือง ฉินก็เป็นเหมือนกับประเทศประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแบบมาตรฐาน นั่นคือมีคณะรัฐมนตรี วุฒิสภา และรัฐสภา
แต่ที่จำเป็นต้องเอ่ยถึงคือ สมาชิกรัฐสภาและรัฐมนตรีที่ค่อนข้างมีอำนาจจริง ส่วนมากยังคงมาจากตระกูลขุนนางที่มีอิทธิพล ส่วนพระจักรพรรดิจะรักษาอำนาจในการปกครองประเทศผ่านทางตระกูลขุนนางที่มีอิทธิพลเหล่านี้ แน่นอนว่าความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลขุนนางที่มีอิทธิพลกับพระจักรพรรดิ ก็ไม่ได้มั่นคงกลมเกลียวอย่างที่เห็นโดยเปลือกนอก พวกตระกูลขุนนางจะใช้สิ่งที่เรียกว่า “การปฏิรูป” สารพัดรูปแบบมาช่วงชิงอำนาจทางการเมืองจากจักรพรรดิให้มากขึ้นอย่างไม่ได้หยุดได้หย่อน ส่วนพระราชวงศ์ก็จะอาศัยการแต่งงานดองญาติกับตระกูลขุนนางใหญ่ และการดันขุนนางหน้าใหม่ให้ขึ้นมามีบทบาท ในการคานอำนาจของตระกูลขุนนางเก่าที่แผ่ขยายมากเกินไป
อีกด้านหนึ่ง อิทธิพลในด้านเศรษฐกิจของพระราชวงศ์และตระกูลขุนนางยิ่งมองเห็นได้อย่างชัดเจน เบื้องหลังขององค์กรธุรกิจผูกขาดรายใหญ่หลายรายต่างมีเงาของบุคคลเหล่านี้อยู่ และเถ้าแก่ใหญ่ขององค์กรธุรกิจผูกขาดรายใหญ่เหล่านั้น เป็นแค่เพียงตัวแทนในที่แจ้งของเงาเหล่านั้นเท่านั้น
อุตสาหกรรมหนักหลิงซีก็คือหนึ่งในองค์กรธุรกิจแบบนี้ ตระกูลขุนนางที่อยู่เบื้องหลังของมันคือตระกูลป๋ายแห่งหลิงเป่ย และประมุขของตระกูลป๋าย ก็คือป๋ายเจิ้นหัว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมที่เพิ่งจะถูกเด้งไปอยู่ภูธรเพราะข่าวอื้อฉาวนั่นเอง
จริงอยู่ว่าการที่จั๋วเยว่เริ่มคิดเรื่องจัดซื้อหลิงซีในจังหวะนี้เป็นความคิดที่ไม่เลวเลย แต่การจะซื้อให้สำเร็จโดยไม่สนใจว่าจะต้องจ่ายเท่าไรนั้น เป็นอีกอารมณ์ที่ต่างออกไป แล้ววันนี้เหวินฉี่ตงยังพูดถึงธนาคารอิ๋งฮุ่ย ซึ่งเป็นหนึ่งในสามธนาคารใหญ่ที่มีประวัติยาวนานที่สุดในประเทศ และดูเหมือนจะมีเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดาอย่างมากเช่นกัน
เรื่องนี้ชวนให้นึกโยงไปถึงการงัดข้อด้านการเมืองในราชสำนักอย่างมาก หรือเครือไฟแนนซ์จั๋วเยว่ก็หวังจะก้าวหน้าไปอีกก้าว เบียดขึ้นเป็นตระกูลขุนนางตระกูลใหม่ผ่านทางการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์?
หรือตัวมันเองก็อยู่ภายใต้การครอบครองของตระกูลขุนนางที่มีอิทธิพลอยู่แล้ว?
ประธานกรรมการมีแต่ชื่อ เพราะเป็นแค่ตัวแทนที่ตระกูลขุนนางใหญ่ตระกูลไหนสักตระกูลส่งมาเท่านั้นใช่ไหม?
แล้วเหวินฉี่ตงเป็นใครกัน ทำไมถึงสามารถติดต่อกับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของหลิงซี ที่ต้องเป็นคนในตระกูลขุนนางอย่างแน่นอนได้อย่างง่ายดาย ทั้งที่เพิ่งกลับประเทศมาเป็นเวลาสั้นๆ แค่เดือนเดียว?
ซูจิ่นไม่ค่อยจะสนใจเรื่องการเมืองนัก เป็นเพราะวันนี้ได้ยินเหวินฉี่ตงพูดออกมา 2-3 คำล้วนๆ ถึงค่อยสัมผัสกลิ่นผิดปกติได้จางๆ
ถ้าซูจิ่นรู้มากกว่านี้อีกหน่อย ก็จะทราบว่านี่คือการงัดข้อกันระหว่างตระกูลขุนนางใหม่กับตระกูลขุนนางเก่านั่นเอง
และสมรภูมินี้ไม่ได้มีอยู่แค่ระหว่างจั๋วเยว่กับหลิงซีเท่านั้น[7]
ซูจิ่นกวาดตาดูเวลาที่โชว์อยู่ตรงมุมล่างขวาของหน้าจอคอมพิวเตอร์ สี่ทุ่มกว่าแล้ว หันไปเหลือบดูฉินชวนที่นั่งอยู่อีกมุมหนึ่งของห้องทำงาน เห็นยังคงตั้งอกตั้งใจอ่านหนังสือนิยาย จึงขมวดคิ้วพูดว่า
“คุณควรไปนอนได้แล้วมั้ง? คนเจ็บต้องพักผ่อนให้เพียงพอ”
ฉินชวนค่อยเงยหน้าขึ้นดูนาฬิกาข้างฝาเหมือนเพิ่งตื่นจากภวังค์
“ควรไปนอนแล้วจริงๆ” ก่อนจะวางหนังสือลง หลับตานวดหัวตา 2-3 ครั้ง “ตอนแรกนึกว่าคืนนี้จะอ่านจบได้เสียอีก” ชายหนุ่มไม่เหมือนซูจิ่น เขาเป็นคนควบคุมตัวเองได้ ถ้าเปลี่ยนเป็นซูจิ่น ต่อให้ใกล้จะตายแล้ว ก็ขออ่านให้จบก่อนค่อยว่ากัน
หญิงสาวกวาดตาดูเลขเล่มของหนังสือเล่มที่เขาเพิ่งจะวางลง เป็นเล่มสุดท้ายจริงๆ ด้วย แถมยังอ่านไปแล้วกว่าครึ่งเล่ม เขาอ่านหนังสือเร็วใช้ได้เลย ขนาดว่าต้องนอนวันละสิบชั่วโมงขึ้นไป ยังอ่านนิยายความยาวสองล้านกว่าตัวอักษรจบได้ภายในสี่วันเท่านั้น ควรจะบอกว่าสปีดขั้นเทพได้แล้ว (นิยายเรื่องนี้ ถ้าแปลเป็นภาษาไทย น่าจะได้ประมาณ 10 เล่มจบ หนาเล่มละประมาณ 300 หน้า)
“คุณมองว่าไรน์ฮาร์ตเป็นยังไง?” ฉินชวนลืมตา ไม่ได้ลุกขึ้นกลับห้องนอนในทันที แต่ดูเหมือนมีอารมณ์จะชวนคุย อยากจะหาใครมาคุยแลกเปลี่ยนความรู้สึกหลังจากอ่านนิยายสักหน่อย
ซูจิ่นตั้งอกตั้งใจคิดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะพูดออกมาด้วยสีหน้าเคลิ้มฝันสามพยางค์
“เขาหล่อมาก” หนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งจักรวาลเชียวนะ แค่คิดก็ชวนให้ฝันหาแล้ว
หญิงสาวหนาวเยือกกะทันหัน พอได้สติก็เจอะเข้ากับสายตาแทบจะอยากฆ่าคนของฉินชวน จึงกระแอมแล้วทำหน้าเคร่ง พูดว่า
“เกิดจากตระกูลผู้ดีตกยาก ตอนอายุสิบขวบเนื่องจากพี่สาวถูกจักรพรรดิบังคับรับเป็นสนม จึงเกิดความปรารถนาในอำนาจอย่างแรงกล้า หลังจากนั้นได้เลื่อนตำแหน่งเป็นใหญ่เป็นโตอย่างรวดเร็วด้วยการช่วยเหลือดูแลของพี่สาว ตอนอายุยี่สิบปีได้ขึ้นเป็นจอมพลของจักรวรรดิ อายุยี่สิบสามปีชิงบัลลังก์ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิ และหลังจากนั้นได้รวบรวมจักรวาลเป็นหนึ่งเดียวอย่างรวดเร็ว ยุติสภาพแตกแยกเป็นสามฝ่ายตั้งประจันของจักรวาล...เขาคือวีรบุรุษที่เจิดจ้าที่สุดในจักรวาลอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ในตอนที่อาณาจักรกำลังรุ่งเรืองถึงขีดสุด เขาก็ลาจากโลกนี้ไป มีชีวิตอยู่แค่ช่วงสั้นๆ ยี่สิบห้าปีเท่านั้น” พูดถึงตอนท้าย ซูจิ่นอดถอนหายใจไม่ได้
ชั่วชีวิตที่ยิ่งใหญ่อลังการของไรน์ฮาร์ต เป็นชั่วชีวิตแห่งการทำสงครามเช่นกัน ราวกับว่าความหมายทั้งหมดของการมีอยู่ของเขาอยู่ที่การทำสงคราม เผาผลาญชีวิตของตัวเองอย่างโชติช่วง ไม่เคยสิ้นเปลืองแม้แต่วินาทีเดียว
นี่คือชีวิตที่สมบูรณ์แบบของวีรบุรุษอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ชีวิตแบบนี้ เป็นชีวิตที่มีความสุขหรือน่าเศร้ากันหนอ?
ยามเมื่อไรน์ฮาร์ตยืนอยู่บนจุดสูงสุดของจักรวาล เขาเคยรู้สึกยินดีที่ดวงดาวนับล้านล้านดวงกะพริบพราวอยู่ใต้เท้าเขาหรือไม่?
หรือสุดท้ายเขาได้ถูกความมืดมิดและอ้างว้างของดวงดาวนับล้านล้านดวง กัดกร่อนชีวิตที่หนุ่มแน่นของเขาก่อนเวลาอันควร?
ไม่ว่าอย่างไร ในแง่มุมมองต่อชีวิต ซูจิ่นมีความเห็นสอดคล้องกับหยางเหวินหลี่ วีรบุรุษอีกคนของ “ตำนานวีรบุรุษแห่งทางช้างเผือก” ผู้ถือคติ “ตายดีมิสู้อยู่อย่างอัปยศ” มากกว่า...ถึงแม้ตัวเขาเองก็ถูกบีบให้ก้าวเดินไปบนเส้นทางสร้างตำนานแห่งวีรบุรุษเหมือนกัน...แม้ว่าเขามักจะถูกสมองที่รู้ดีเกินไปของตัวเองเคี่ยวกรำอยู่ตลอดเวลา จนสุดท้ายถึงกับสูญเสียความต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ก็ตาม...
บางทีคำ “วีรบุรุษ” เองอาจจะเป็นคำนามที่เป็นโศกนาฏกรรม
“ดูเหมือนใครๆ ต่างมองข้ามไปนะว่า เขาเป็นขุนนางกบฏที่ชิงบัลลังก์” ฉินชวนชี้บอกเสียงเรียบ
ซูจิ่นหัวเราะพรืดเสียงหยัน มองคนพูดเหมือนได้เห็นตัวประหลาด
“ขนาดเด็กมัธยมยังรู้เลยว่า ผู้ชนะเป็นเจ้า ผู้แพ้เป็นโจร และประวัติศาสตร์เขียนโดยผู้ชนะตลอดกาล”
ฉินชวนนิ่งใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง แล้วลุกขึ้นยืนโดยไม่แสดงความเห็นอะไร พูดว่า “ราตรีสวัสดิ์” ก่อนจะกลับห้องไปนอน
ซูจิ่นไม่รู้ตัวหรอกว่า ถ้อยคำสนทนาสั้นๆ นี้ ได้ทำให้ฉินชวนตัดสินใจเดินไปบนเส้นทางที่เขาไม่ค่อยอยากจะเดินนัก แต่จำเป็นต้องเดินในที่สุด และกงล้อยักษ์ของประวัติศาสตร์ได้แอบเริ่มหมุนอย่างแช่มช้าในช่วงเวลาที่ไม่สะดุดตานี้...
ซูจิ่นไม่ทราบเช่นกันว่าในสุดสัปดาห์นี้ มีเรื่องซวยเรื่องหนึ่งรอคอยเธออยู่ ในภายหลังเธอได้เรียกมันว่า :
“คดีอนาถที่มีเครื่องเล่นเกมเป็นชนวนเหตุ”
<>::<>::<>
วันเสาร์
ซูจิ่นเป็นโรคล้าเรื้อรัง[8]มาแต่ไหนแต่ไร เวลาเหนื่อยมากเกินไปมักจะนอนไม่ค่อยหลับ อุตส่าห์เป็นวันเสาร์อาทิตย์ที่นอนตื่นสายได้ทั้งที หญิงสาวกลับตื่นมาแต่เช้า กลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงอยู่พักใหญ่คิดจะนอนต่อ แต่ก็ไม่สมหวังจนแล้วจนรอด ได้แต่ลุกขึ้นอย่างไม่เต็มใจ ไปเล่นโยคะด้วยเกมออกกำลังกายที่เธอเพิ่งซื้อมาใหม่
ด้วยเหตุนี้พอฉินชวนออกจากประตูห้องมา จึงเห็นซูจิ่นหมอบอยู่หน้าจอทีวี LCD ขนาดยักษ์ด้วยท่าประหลาดๆ
เนื่องจากเคยชินกับลูกเล่นประหลาดสารพัดของซูจิ่นไปแล้ว ชายหนุ่มจึงเดินเข้าครัวไปเหมือนมองไม่เห็น รินน้ำร้อนแก้วหนึ่งออกมา ค่อยนั่งลงบนโซฟาข้างๆ เธอ ชมซูจิ่นทำกิริยาต่างๆ หลากหลายแบบตามบุคคล 3D บนจอทีวีอย่างสบายอารมณ์
ครึ่งชั่วโมงเต็มๆ หญิงสาวถึงค่อยหยุด บนตัวมีเหงื่อออกบางๆ เธอลุกขึ้นยืนทำท่าจะไปอาบน้ำ ก่อนจะเดินไปก็ถามเขาว่า
“คุณจะลองบ้างไหมคะ?”
ชายหนุ่มนึกถึงกิริยาท่าทางประหลาดพิกลก่อนหน้านี้ของคนถาม มุมปากกระตุก ส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ
“ผมขอพักนิ่งๆ ไปก่อนดีกว่า”
“ตามใจค่ะ ถ้าคุณอยากจะเล่นเกมก็หยิบเองนะ” หญิงสาวชี้ไปที่ตู้ใต้โทรทัศน์ แล้ววิ่งไปอาบน้ำ
เครื่องเล่นเกมรุ่นใหม่เครื่องนี้เขาก็มีอยู่หนึ่งเครื่อง ฟังว่าเธอยังมีเกมอื่นอีก จึงไปดูเกมที่เธอมีอย่างอยากรู้ พบว่าซูจิ่นซื้อเกมระดับขึ้นหิ้งเอาไว้ทุกเกม
ก่อนหน้านี้เขายุ่งมาก ดังนั้นถึงจะมีเครื่องเล่นเกมก็ไม่มีเวลาเล่น ตอนนี้หยุดพักมีเวลาพอดี เล่นเกมที่อยากเล่นให้เคลียร์เลยก็แล้วกัน
ภายใต้แรงผลักดันของความคิดนี้ ฉินชวนจึงดึงแผ่นเกมผลงานชิ้นเอกของปีนั้น “The Legend of Zelda : Twilight Princess” สอดเข้าไปในเครื่องเล่นเกม
เวลานี้ตัวเขาไม่ได้ตระหนักเลยว่า หลังจากอยู่ร่วมกับสาวโอตาคุซูจิ่น ต่อจากซื้อของทางออนไลน์ เขาได้ก้าวเดินไปบนเส้นทางของหนุ่มโอตาคุอีกก้าวใหญ่
ผลคือตลอดทั้งเสาร์อาทิตย์นั้น ผ่านไปโดยที่...ฉินชวนเป็นคนเล่นเกม ส่วนซูจิ่นโบกธง ตะโกนเชียร์ แถมด้วยกินขนมอยู่ข้างๆ และนานๆ ครั้งก็แวะไปทำงานที่ห้องทำงานสักครู่อย่างรู้สึกผิด...
คืนวันอาทิตย์ หลังจากที่ซูจิ่นได้รับ Line ข้อความหนึ่ง ก็ร้องอุทานเสียงหลงออกมา
ฉินชวนแบ่งสมาธิจากภาพกราฟิกที่สวยงามอลังการของเกมหันมามองเธออย่างประหลาดใจ เห็นซูจิ่นพึมพำด้วยสีหน้าอมทุกข์ว่า
“เสร็จกัน ดันลืมเรื่องนี้ซะสนิทเลย...”
เห็นท่าทางน่าสงสารของเธอ เขานึกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงกดปุ่มหยุดเกมชั่วคราว ขมวดคิ้วถามว่า “มีอะไรหรือ?”
“ลืมซื้อชุดราตรีที่จะใส่ในงานเลี้ยงคืนคริสต์มาสของบริษัทอาทิตย์หน้า...” ซูจิ่นตอบในอาการคอตก
มุมปากชายหนุ่มกระตุก มันเรื่องใหญ่ตรงไหนกัน?
“อาทิตย์หน้าไปซื้อก็สิ้นเรื่อง”
“อาทิตย์หน้าฉันมีประชุมข้างนอกกับต้องทำโอทีทุกวัน...” ซูจิ่นพูดอย่างหมดเรี่ยวแรงยิ่งกว่าเดิม
“ก็ใส่ชุดเก่าไป” ชายหนุ่มกดปุ่มสตาร์ต เริ่มการเดินทางผจญภัยของเขาต่ออย่างหมดความอดทน
“ไม่มีชุดเก่าค่ะ” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงใกล้สิ้นชีวา
“เป็นไปได้ยังไง?” ผู้หญิงอายุขนาดนี้ ยังไงก็ต้องมีชุดราตรีสัก 2-3 ชุดอยู่ในตู้เสื้อผ้ามั้ง? ชายหนุ่มปรายหางตามองเธออย่างไม่เชื่อ
“เมื่อก่อนฉันใช้วิธีเช่าเอาทั้งนั้น” ซูจิ่นถอนหายใจ
“หา?” ฉินชวนกดปุ่มหยุดอีกครั้ง หันมามองเธอ เธอน่าจะยังไม่จนถึงขนาดไม่มีปัญญาซื้อชุดราตรีมั้ง? คนที่ขับ BMW เนี่ยนะ...
แค่ดูจากสายตา ซูจิ่นก็รู้แล้วว่าเขากำลังคิดอะไร จึงอธิบายอย่างอดทนว่า “คุณลองคิดดูสิ ชุดราตรีราคามากกว่าหมื่นไคว่พวกนั้น ซื้อมาแล้วก็ใส่ได้แค่คืนเดียว ครั้งหน้ามีงานอะไรอีกก็หมดสิทธิ์ใส่ละ เพราะทุกคนจะสังเกตเห็นว่าคุณใส่ชุดเดิม แล้วฉันก็ไม่ใช่พวกเซเลปดาราที่เอาชุดราตรีเก่ามาประมูลขายได้สักหน่อย...แบบนั้นน่ะนอกจากไม่มีทางขาดทุนแล้ว เผลอๆ ยังอาจจะกำไรด้วยซ้ำ ชุดราตรีพวกนั้นถูกชาวบ้านต๊อกต๋อยอย่างฉันซื้อมา จะมีความหมายก็แค่อย่างเดียว คือกินที่ในตู้เสื้อผ้าฉันเท่านั้น เพราะงั้นคิดสะระตะแล้ว ยังไงเช่าเขาเอาก็คุ้มกว่า เงินที่ซื้อชุดราตรีหนึ่งชุด มากพอให้ฉันเช่าชุดราตรีได้ตั้งหลายครั้งแล้ว”
ฉินชวนย่อมจะไม่เคยคิดถึงเรื่องพวกนี้มาก่อน พอฟังเธอว่าแบบนี้ก็พอจะเข้าใจบ้างแล้ว จึงพูดอย่างไม่รู้ว่าประชดหรือชื่นชม
“ดูไม่ออกเลยนะว่าคุณบริการการเงินในบ้านเก่งมาก”
พอถูกชม ซูจิ่นก็คึกคักขึ้นมาทันที พูดอย่างภูมิใจ
“แน่นอนค่ะ ถ้าคุณมีเงินเหลือ แล้วเอามาเก็บไว้ที่ฉันนะ รับรองว่าเปอร์เซ็นต์เงินปันผลจากการลงทุนสูงกว่าดอกเบี้ยของธนาคารซะอีก”
ต้องรอพิสูจน์แหละนะ...ชายหนุ่มคิดในใจ
“ชุดราตรีของคุณเข้าไปสั่งซื้อออนไลน์ได้” เขาเสนอขึ้นหลังจากนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ในเน็ตจะไปดูเนื้อผ้ากับอารมณ์ออกได้ยังไงล่ะคะ? ฉันไม่ชินกับการซื้อเสื้อผ้าทางเน็ต” หญิงสาวแสดงความกังขาต่อข้อเสนอแนะของเขา
ก็ใช่อยู่หรอก ชุดราตรีราคากว่าหมื่นไคว่ ซี้ซั้วซื้อในอินเทอร์เน็ต ออกจะลวกเกินไปจริงๆ ฉินชวนขมวดคิ้วอย่างรำคาญ ใช้ดวงตาสีสนิมเหล็กที่ดูเหมือนอ่อนโยนแต่ความจริงคมกริบมองซูจิ่นขึ้นๆ ลงๆ อย่างพิจารณาอยู่เป็นนาน แล้วนึกถึงชุดราตรีชุดนั้นที่เจ้าที่ดินสาว เคาน์เตสโหยวอานสวมเมื่อสองเดือนก่อนที่อาณานิคม ตอนเขาเข้าร่วมในงานเลี้ยงวันเกิดของเธอขึ้นมาได้ รูปร่างของเคาน์เตสโหยวอานใกล้เคียงกับซูจิ่นมาก
จำได้ว่าเคาน์เตสปลื้มชุดราตรีชุดนั้นมาก คืนวันนั้นเธอลากเขาไปฟังเธอสาธยายตำราว่าด้วยชุดแฟชั่นอยู่เป็นนานสองนาน โดยไม่ได้สนใจเลยว่าเขาฟังอยู่หรือเปล่า และดูเหมือนชุดราตรีชุดนั้นจะเป็นชุดใหม่ของปีนี้ที่วาเลนติโน่ปล่อยออกมา ชื่อว่า “Final Fantasy”
เหตุที่เขาจำชื่อนี้ได้ เป็นเพราะชื่อนี้คือชื่อเดียวกับเกมระดับขึ้นหิ้งเกมหนึ่งล้วนๆ...
ชายหนุ่มลุกจากโซฟา เดินไปหยิบโน้ตบุ๊กออกมา เข้าอินเทอร์เน็ตเริ่มต้นค้นหา ซูจิ่นเห็นเขาทำหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ก็รีบกระแซะเข้าไปใกล้ พอได้เห็นภาพถ่ายของ “Final Fantasy” ก็ถอนหายใจอย่างชื่นชม นี่เป็นดีไซน์ที่ฮิตที่สุดในปีนี้ เหมาะกับรูปร่างของสาวตะวันออกเป็นพิเศษ ผสมผสานระหว่างความโบราณกับความทันสมัยได้อย่างลงตัวไร้ที่ติ
เธออดมองฉินชวนอย่างประหลาดใจไม่ได้ ก่อนหน้านี้ไม่เคยสังเกตเลยว่าเขามีความรู้เรื่องนี้ด้วย
เลื่อนลงมาดูพอเห็นราคา ซูจิ่นแอบเหวอนิดๆ ถ้าซื้อชุดนี้ เดือนนี้ทั้งเดือนก็เท่ากับว่าเธอทำงานฟรี ในโลกนี้มีเรื่องไหนที่น่าอนาถยิ่งไปกว่านี้อีกไหม?
“ชุดนี้เป็นยังไง?” ฉินชวนตื่นจากภวังค์ เพิ่งรู้ตัวว่าซูจิ่นอยู่ใกล้มากจนแทบจะแนบชิดกับตัวเขา กลิ่นกายสะอาดสดชื่นได้อวลมาแตะจมูก หัวใจเขาไหววูบ รีบเบี่ยงตัวออกห่างอย่างแนบเนียน พร้อมกับคิดอย่างเคืองนิดๆ ว่าเขาไม่ได้นอนกับผู้หญิงมานานเกินไปแล้วจริงๆ ถึงได้เกิดอารมณ์กับยายโอตาคุนิสัยเสียแบบนี้ได้
ซูจิ่นนึกเสียดายเงินไปพลางพิจารณาชุดราตรีบนหน้าจอไปพลาง ย่อมจะไม่ได้สังเกตเห็นอาการทุลักทุเลของเขา เธอนิ่งคิดแล้วถามว่า “ใส่คู่กับเครื่องประดับแบบไหนดีคะ?”
ฉินชวนนึกถึงการแต่งตัวในคืนนั้นของเคาน์เตส แล้วตอบทันที
“ก็ต้องไข่มุกสิถึงจะเข้ากัน”
“รองเท้าล่ะ?” ระหว่างที่ตกตะลึงกับระดับความเซนสิทีฟในเรื่องแฟชั่นของเขา ซูจิ่นก็ถามต่อ
“สีเงินก็ไม่เลวอยู่”
“คุณมีผู้หญิงเยอะเลยละสิท่า?”
“หา?” ฉินชวนเงยหน้าขึ้นงงๆ ก็เห็นซูจิ่นกำลังมองเขาอย่างเป็นต่อเหมือนแมวที่ขโมยกินปลาได้สำเร็จ ราวกับกำลังพูดว่า ถูกฉันจับได้แล้วละสิ?
ชายหนุ่มโยนโน้ตบุ๊กให้เธออย่างฉุนๆ
“คุณไปคิดเอาเองเถอะไป๊!”
-----------------------
[1] “พลร่ม” ในที่นี้หมายถึง คนที่ร่วงลงมาจากฟ้า หรือก็คือ อยู่ดีๆ ก็โผล่มารับตำแหน่งใหญ่โต
[2] ดัดแปลงมาจากสำนวนเดิมว่า “when God closes a door, He opens a window.” (เมื่อพระเจ้าปิดประตู พระองค์ทรงเปิดหน้าต่าง)
[3] ตำนานวีรบุรุษแห่งทางช้างเผือก (Legend of Galactic Heroes) (อ่านคำอธิบายได้ที่หน้า xx)
[4] “พักตร์ชาดน้ำเคราะห์” หมายถึง ผู้หญิงสวยเป็นตัวนำโชคร้าย; พักตร์ชาด (หน้าแดง) หมายถึง ผู้หญิงสวย
[5] ถนนถาวซู่ (桃树大街 : Tao shu da jie : ถาวซู่ต้าเจีย) แปลว่า ถนนต้นท้อ
[6] 10,000 หยวน ประมาณ 50,000 - 60,000 บาท
[7] อรรถาธิบาย : ตระกูลขุนนาง หมายถึง ชนชั้นผู้ดีมีสกุล ในนิยายเรื่องนี้ สองคำนี้มีความหมายเดียวกันค่ะ
[8] โรคล้าเรื้อรัง (Chronic fatigue syndrome, CFS) คือกลุ่มอาการอิดโรยเรื้อรังที่ยังไม่ทราบสาเหตุ มีความผิดปกติหลากหลายระบบทั่วร่างกาย ทั้งทางกายภาพ (physical) ทางจิตและจิตประสาท (neuropsychological) มีอาการอิดโรย เหนื่อยล้า อ่อนแรง เป็นหลัก อีกทั้งมีอาการไม่เฉพาะเจาะจงอีกมากมายหลายอย่าง (ข้อมูลจาก https://th.wikipedia.org/wiki/อาการล้าเรื้อรัง)