หัวข้อ : บทที่ 3 เซ่นความรักที่จากไป

โพสต์เมื่อ 21 เม.ย. 2568, 00:58



“นายท่าน ส.ส.จางมาแล้วขอรับ” หลังจากที่ชายวัยกลางคนในชุดพ่อบ้านเคาะประตูเข้ามา ก็พูดรายงานเสียงเป็นพิธีรีตอง

ชายชราผมขาวที่สวมแว่นสายตายาวอ่านหนังสือพิมพ์ ลดหนังสือพิมพ์ลงมองพ่อบ้าน พูดช้าๆ

“ให้เขามาที่ห้องทำงานเถอะ ชงชาแดงให้เขาสักกานะ ใส่มะนาวด้วย”

พ่อบ้านค้อมกายเล็กน้อย แล้วถอยออกไปทันที ครู่หนึ่งให้หลังก็นำชายวัยสี่สิบกว่าปีรูปร่างสันทัดคนหนึ่งเข้ามา ชายผู้มาใหม่โค้งกายลงสามสิบองศาตั้งแต่ที่ประตู พูดอย่างนอบน้อม

“ท่านเคานต์เซียนอวี๋ ซิ่นหงมารบกวนแล้วขอรับ”

ชายชราผมขาวร่างอ้วนใหญ่หัวเราะหึหึ ถอดแว่นตาลงเรียกส.ส.จางมานั่งตรงข้ามโต๊ะน้ำชาด้วยสีหน้าอารมณ์ดี

“เรื่องการประชุมของเธอคงราบรื่นดีกระมัง?”

“ขอรับ ด้วยบารมีท่านคุ้ม”

“ไม่หรอกน่า” ท่านเคานต์เซียนอวี๋ยิ้ม ดูเหมือนผู้พันที่หน้าประตูร้านไก่ทอด KFC แต่ก็แค่ “ดูแล้วใจดี” เท่านั้น ทักทายตามมารยาทไป 2-3 คำก็มุ่งตรงเข้าประเด็น

“เธอมาเพราะเรื่องของหลิงซีสินะ?”

ผู้เป็นแขกพยักหน้า

“ฟังว่าท่านยอมปล่อยหุ้นในมือแล้วหรือขอรับ?”

ฝ่ายเจ้าบ้านถอนหายใจ ไม่ได้พูดตอบตรงๆ แต่ย้อนถามว่า

“เรื่องท่านรัฐมนตรีป๋ายถูกสั่งย้าย เธอเห็นว่ายังไง?”

จางซิ่นหงนิ่งคิด “ท่านรัฐมนตรีป๋ายน่าจะถูกใส่ร้ายขอรับ”

ชายชราพยักหน้า ถามต่อว่า “เธอคิดว่าพวกเรารู้กันหมด เป็นไปได้หรือที่ใต้ฝ่าพระบาทจะไม่ทรงทราบ?”

จางซิ่นหงตะลึง “ท่านหมายความว่า...?”

“ตระกูลป๋ายไม่เป็นที่โปรดปรานอีกแล้ว” ดวงตาชายชราเปล่งประกายคมปลาบ ใบหน้าสูงวัยเหมือนหนุ่มขึ้นหลายปีในทันที

“ดังนั้นท่านจึงมองว่าหลิงซีไม่ไหวแล้วหรือขอรับ?” ผู้เป็นแขกเผลอขมวดคิ้ว

“เป็นเรื่องไม่เร็วก็ช้านั่นแหละ” ชายชรากลับคืนสู่ท่าทีเรื่อยเฉื่อยไร้พิษภัย

“แต่จั๋วเยว่เป็นแค่เครือไฟแนนซ์ของสามัญชน จะพึ่งได้หรือขอรับ?” ผู้อ่อนวัยกว่าอดข้องใจไม่ได้

“เครือไฟแนนซ์ของสามัญชน?” ชายชราหัวเราะเสียงหยัน “แม้แต่เธอยังถูกหลอกได้ ความจริงหวงเจี้ยน ประธานกรรมการของจั๋วเยว่ เป็นหมาแสนภักดีที่ตระกูลชุยเลี้ยงเอาไว้ต่างหาก”

“ตระกูลชุย?” พอได้ยินคำว่า “ตระกูลชุย” คิ้วคนฟังยิ่งขมวดมุ่น

“อย่าดูถูกตระกูลชุยเชียวนะ ถึงชุยหย่าจื้อจะเป็นแค่ขุนนางตำแหน่งเล็กๆ แต่ก็เป็นขุนนางรับใช้ใกล้ชิดของใต้ฝ่าพระบาท อย่าว่าแต่เหวินฉี่ตงเองก็ไม่ธรรมดาอย่างมาก...เฮ้อ ที่สำคัญคือใต้ฝ่าพระบาททรงป้องกันพวกเราเหล่าตาแก่แน่นหนาขึ้นทุกทีนั่นแหละ”

“ซิ่นหงเข้าใจแล้วขอรับ” ต้องรีบสลัดความสัมพันธ์กับตระกูลป๋ายแต่เนิ่นๆ เป็นดี พึงตัดแต่ไม่ตัด มีหวังได้พลอยฟ้าพลอยฝนแน่

จังหวะนี้พ่อบ้านได้ส่งชาแดงใส่มะนาวเข้ามา ส.ส.จางดื่มน้ำชาไปหนึ่งคำ ก็เห็นท่านเคานต์เซียนอวี๋หยิบซิการ์คิวบาหนึ่งมวนออกจากกล่องบุหรี่เงินมาจุด สูบแรงๆ หนึ่งคำ แล้วหลับตาลงพ่นควันออกมา ดื่มด่ำอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยลืมตาขึ้น

“พักนี้ซิ่นหงได้ยินข่าวลือประหลาดเรื่องหนึ่งบ้างไหม?”

ผู้อ่อนวัยกว่ามองคนถามอย่างสงสัย ได้ยินชายชราพูดช้าๆ ว่า

“ความจริงก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเราหรอก...เจ้าฟ้าชายลำดับสามซึ่งไม่เป็นที่โปรดปรานท่านนั้น หายสาบสูญไปในระหว่างดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐที่อาณานิคมเจมม่า”

“หา? เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทำไมถึงไม่มีข่าวอะไรจากฝ่ายราชการเลยล่ะขอรับ?” ส.ส.จางยืดตัวนั่งตรงอย่างตกตะลึง

“น่าจะถูกใต้ฝ่าพระบาทกับทางจวนผู้ว่าฯ ที่เจมม่าปิดข่าวไว้น่ะ” ท่านเคานต์เซียนอวี๋ตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก “ได้ยินว่าถูกกลุ่มไม่ทราบฝ่ายโจมตีในระหว่างแลกเปลี่ยนข่าวลับ จากนั้นไม่ทราบร่องรอย”

ท่านเคานต์เซียนอวี๋นิ่งคิด แล้วยิ้มอีกครั้ง ในรอยยิ้มแฝงอารมณ์สมน้ำหน้านิดๆ “ตอนนี้สงสัยใต้ฝ่าพระบาทคงจะทรงหัวปั่นน่าดู ก็พระราชินีกับกองทัพน่ะรับมือไม่ง่ายทั้งคู่นี่นะ”

“ใต้ฝ่าพระบาททรงลำเอียงมากเกินไปจริงๆ ขอรับ ส่งฟ้าชายสามไปประจำยังอาณานิคมที่วุ่นวายที่สุดเสียได้ แถมครบวาระประจำการสี่ปีแล้ว ยังไม่ทรงส่งใครไปเปลี่ยนตัวกลับมาอีก”

“ใครใช้ให้ฟ้าชายสามมีชาติกำเนิดสูงส่ง ส่วนองค์มกุฎราชกุมารกลับมีฐานอำนาจอ่อนยวบยาบเล่า? หึ แต่เรื่องพวกนี้เราอย่าเข้าไปยุ่งจะดีกว่า บางทีครั้งนี้อาจจะเป็นการโหมโรง ก่อนที่ฟ้าชายสามผู้แสนเชื่องจะโจมตีกลับก็ได้”

 
<>::<>::<>

 

ผลสุดท้ายซูจิ่นก็ยอมกัดฟันควักกระเป๋าซื้อ “Final Fantasy” ชุดนั้นจนได้ เพราะเธอไม่มีเวลาไปหาชุดอื่นแล้วจริงๆ

วันจันทร์ พอเริ่มทำงาน หญิงสาวก็เริ่มเข้าประชุม จบประชุมรอบนี้เสร็จไปประชุมรอบนั้นต่อ จบประชุมรอบนั้นเสร็จก็ไปประชุมรอบโน้นต่อ ประชุมกับธนาคารที่ออกทุน ประชุมกับคนของฝ่ายบัญชี ประชุมกับคนของฝ่ายกฎหมาย...

ถึงแม้อุตสาหกรรมหนักหลิงซีจะไม่ถึงกับเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการอุตสาหกรรม แต่ก็ไม่ใช่เล็กๆ เหมือนกัน ดีไม่ดีอาจต้องใช้สินทรัพย์ถึงหลายหมื่นล้าน ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ซูจิ่นกับผอ.หยวนสองคนจะจัดการได้ครบถ้วนทุกด้านอย่างแน่นอน ดังนั้นคนทั้งสองจึงต่างเริ่มเตรียมการกันล่วงหน้ามาตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ก่อน โดยส่งมอบรายชื่อบุคคลที่เลือกมาอยู่กลุ่มเฉพาะกิจไปหนึ่งชุด หลังจากผ่านปีใหม่ ก็จะมีพนักงานของกลุ่มทั้งชุดมาเข้าร่วม ถึงเวลานั้นซูจิ่นก็จะเบาแรงขึ้นมาก

แต่ ณ ตอนนี้ เมื่อหญิงสาวเหนื่อยจนลิ้นห้อยกลับมาถึงบ้านในแต่ละวัน ฉินชวนก็หลับไปแล้ว รุ่งเช้าตอนเธอออกจากบ้าน ฉินชวนยังไม่ตื่น...สถานการณ์แบบนี้มันพิลึกจริงๆ ทั้งที่ทั้งสองคนพักอยู่ใต้ชายคาเดียวกันแท้ๆ กลับไม่ได้พบหน้ากันเลยตลอดทั้งสัปดาห์ แม้แต่ตอนซูจิ่นลองสวมชุดราตรี ฉินชวนก็ไม่ได้เห็น

เดิมทีกะจะให้เขาได้เห็นสักนิดนะเนี่ย

ซูจิ่นเปลี่ยนเสื้อผ้าและแต่งหน้าในห้องพักของโรงแรมที่จัดงานเลี้ยงราตรีเสร็จ มองดูหญิงสาวมาดภูมิฐานงดงามในกระจก รู้สึกทั้งเหมือนและไม่เหมือนเป็นตัวเธอ

ทำไมตัวเธอที่นิสัยเสียและหัวดื้อ ถึงดันมีหน้าตาเรียบร้อยหัวอ่อนได้ล่ะหนอ? เพราะหน้าตาแบบนี้แหละ ตั้งแต่เล็กจนโต พวกผู้ชายที่พาตัวเองมาเข้าใกล้เธอเพราะถูกหน้าตาของเธอดึงดูด ถึงได้ตกใจเผ่นหนีกันหมดหลังจากได้รู้นิสัยแท้ๆ ของเธอ ส่วนแฟนของเธอทุกคน เธอจะเป็นฝ่ายพยายามจีบจนติดทั้งนั้น มันน่าเซ็งไหมล่ะ?

ทั้งที่เรียกได้ว่าเป็น “สาวสวย” แท้ๆ กลับไม่เคยได้รับอภิสิทธิ์ของการเป็นสาวสวยเลย ในโลกนี้ยังมีเรื่องที่น่าเซ็งยิ่งกว่านี้อีกไหม?

หญิงสาวแลบลิ้นใส่กระจก แล้วค่อยลงไปที่ห้องโถงจัดงาน

ปกติเวลาบริษัทจัดงานเลี้ยงราตรี มักจะเหมาโรงแรมระดับห้าดาวทั้งหลังทุกครั้ง หลังงานเลี้ยงเลิก พนักงานจะสามารถขึ้นไปนอนพักผ่อนในห้องพักที่ชั้นบนได้หนึ่งคืน แล้วตอนสายวันรุ่งขึ้นค่อยกลับบ้าน

ตลอดทางไม่ได้เห็นหนุ่มหล่อเลยสักคน ซูจิ่นชักจะคิดถึงฉินชวนขึ้นมาตงิดๆ ใบหน้าหญิงสาวปั้นรอยยิ้มหวาน ตรงเข้าไปนั่งยังที่นั่งซึ่งกำหนดไว้ก่อนท่ามกลางเสียงทอดถอนชมเชยของบรรดาเพื่อนร่วมงานหญิงที่ปกติค่อนข้างจะสนิทกัน แต่ในใจกลับเผลอคิดไปว่าสายวันพรุ่งนี้ตอนกลับไปบ้าน ฉินชวนจะกำลังทำอะไรอยู่นะ?

“ชุดที่เธอใส่นี่คงไม่ใช่ ‘Final Fantasy’ ที่วาเลนติโน่ปล่อยออกมาหรอกนะ?” ซูจิ่นเพิ่งนั่งลงเรียบร้อย แอนนี เพื่อนร่วมงานในฝ่ายการเงินก็ถามขึ้นทันที

ชุดราตรีชุดนี้เผยโฉมในนิตยสารแฟชั่นถี่มาก คิดจะไม่รู้ยังยากเลย...แน่นอน คนที่จะอ่านนิตยสารแฟชั่นก็เฉพาะเวลาเข้าแถวรอจ่ายเงินในซูเปอร์มาร์เก็ตอย่างซูจิ่น ถือเป็นข้อยกเว้น

ซูจิ่นพยักหน้าอย่างเปิดเผย แล้วได้ยินเฉินเหม่ยที่นั่งอยู่ข้างๆ แซวเล่นว่า “คุณซูเธอเป็นเศรษฐีนี ใครแต่งกับเธอ จะทุ่นเวลาที่ต้องฝ่าฟันลงไปได้เป็นสิบยี่สิบปีเลยแหละ”

ซูจิ่นแกล้งทำเป็นเหล่ใส่คนพูดตาขวาง

“งั้นฉันยังจะออกมาทำงานไปเพื่อ?”

“หึหึ ก็คุณยังขาดสามีไม่ใช่เหรอ? อยู่แต่กับบ้าน สามีน่ะไม่มีทางตกลงมาจากฟ้าหรอกค่ะ” เฉินเหม่ยกระเซ้าพลางหัวเราะคิกคัก

ที่บ้านมีอยู่หนึ่งคนจริงๆ ด้วยแฮะ...ซูจิ่นหัวเราะชั่วร้ายตามคนแซว ในศีรษะผุดภาพใบหน้าหล่อลากดินนั่น...แต่น่าเสียดายที่เธอกับเขาอยู่กันคนละโลก ถูกกำหนดแน่นอนว่ายากจะเดินไปด้วยกันได้ ไม่อย่างนั้นต่อให้เขาจนไปนิด เธอเองก็ไม่ได้รังเกียจที่จะเลี้ยงหนุ่มหล่อระเบิดไว้ในบ้านสักคนอยู่แล้ว...แต่แน่นอนละว่าก็ได้แค่คิดเท่านั้น...

งานเลี้ยงราตรีที่บริษัทจัดมีกิจกรรมหลายอย่าง นอกจากจับสลากรางวัลรอบแล้วรอบเล่า ที่ได้รับการจับตาดูมากที่สุดคือการแสดงในฐานะแขกรับเชิญของหานเยี่ย นักร้องชื่อดังระดับท็อป ทันทีที่เขาก้าวขึ้นเผยโฉมบนเวที ทุกๆ คนไม่ว่าจะชายหรือหญิงต่างแห่กันไปเบียดอยู่ที่ใต้เวที บ้างก็ถ่ายรูป บ้างก็กรีดร้อง ซูจิ่นถูกเฉินเหม่ยบังคับลากให้ไปออที่ด้านหน้า หลังจากดูอยู่พักหนึ่ง ก็เห็นว่าหานเยี่ยหน้าตาดีจริงๆ นั่นแหละ เสียงก็ดี แต่สำหรับคนที่ไม่ได้คลั่งดาราอย่างเธอ เขาก็เป็นแค่ผู้ชายที่ร้องเพลงเก่งเท่านั้น จึงยากที่เธอจะนึกตื่นเต้นเหมือนอย่างคนอื่นๆ

ตอนที่หานเยี่ยเริ่มร้องเพลงที่สอง หญิงสาวก็ยกข้ออ้างว่าขอไปห้องน้ำปลีกตัวออกมา ไม่นึกว่าจะได้พบเหวินฉี่ตงซึ่งกำลังสูบบุหรี่เข้าที่หน้าประตูห้องจัดงาน เขาสวมชุดสูท Armani ตลอดทั้งตัวเหมือนเคย แม้แต่ตอนสูบบุหรี่ ชุดสูทก็แนบสนิทกับรูปร่างสูงเพรียวได้ส่วนของเขาอย่างเรียบกริบ สง่างามน่ามองอย่างบอกไม่ถูก

เหวินฉี่ตงเป็นผู้ชายที่เหมาะจะสวมชุดสูทมากที่สุดเท่าที่เธอเคยพบมาอย่างไม่ต้องสงสัย ฉินชวนสวมชุดสูทก็น่าจะไม่เลวเหมือนกัน แต่ไม่รู้ทำไมเธอมักจะรู้สึกว่าเขาเหมาะจะสวมเครื่องแบบทหารของราชอาณาจักรที่มีพื้นสีดำประดับด้วยสีเงินมากกว่า บางทีอาจจะเพราะบุคลิกเป็นเหตุละมัง

ซูจิ่นเพิ่งคิดจะทำเป็นมองไม่เห็นเหวินฉี่ตงและเดินหนีไป เขากลับหันหน้ามาเหมือนจับสัมผัสอะไรได้ และสบเข้ากับสายตาที่กำลังจะรั้งกลับของเธอพอดี ซูจิ่นยิ้มเก้อๆ ได้แต่เดินเข้าไปหาเรื่องชวนคุย

“คุณเหวินถูกรางวัลบ้างหรือเปล่าคะ?”

ตอนจับสลาก ใช้แต่หมายเลขพนักงานทั้งหมด จึงไม่ทราบว่ามีใครบ้างที่ถูกรางวัล

เหวินฉี่ตงเห็นเธอเดินเข้ามาใกล้ ก็กดบุหรี่ดับอย่างรู้ตัวดีมาก โยนไปลงถังขยะข้างๆ

“ไม่ถูกครับ ผมไม่ค่อยมีโชคด้านนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”

“ฉันก็ด้วยค่ะ” พอซูจิ่นพบว่าเขากับเธอมีชะตากรรมเหมือนกัน ก็รู้สึกเข้าใกล้กันกว่าเดิมโขขึ้นมาทันที

ชายหนุ่มยิ้ม ดูการแต่งตัวของเธอ เอ่ยด้วยแววตาชื่นชมอย่างไม่ปิดบัง “คืนนี้คุณสวยมาก”

“ขอบคุณค่ะ” ซูจิ่นยิ้มหวาน พูดขอบคุณตรงๆ

เขาและเธอต่างเคยไปเรียนที่ต่างประเทศ...ได้รับการกล่อมเกลาจากวัฒนธรรมตะวันตกกันมาหลายปี ดังนั้นจึงรู้ใจกันดีในเรื่องเอ่ยชมและถูกชม ไม่มีทางที่จะเข้าใจผิดว่าอีกฝ่ายมีเจตนาเป็นอื่น และไม่มีทางแสร้งทำเป็นถ่อมตัวอย่างกระดาก

ด้วยความเคยชินจากวัฒนธรรมตะวันตกอีกเหมือนกันที่ทำให้คนทั้งสองต่างไม่อยากจะคุยถึงเรื่องงานในเวลาแบบนี้ แต่นอกจากเรื่องงานแล้ว เวลานี้ก็ไม่มีเรื่องอะไรอื่นที่จะคุยกันได้ ดังนั้นหลังจากทักทายกันง่ายๆ 2-3 คำ จึงต่างคนต่างแยกย้าย

งานเลี้ยงดำเนินไปจนถึงห้าทุ่ม หลังจากที่รางวัลใหญ่รางวัลสุดท้ายถูกคนอุ้มออกไป ทุกคนก็เริ่มต่างคนต่างออกจากงานเลี้ยงไปหาที่ฉลองกันต่อ ซูจิ่นเองก็โดนลากไปร้องคาราโอเกะเหมือนกัน ร้องจนถึงตีสามตีสี่จึงค่อยกลับโรงแรมไปนอน

 

ตอนเช้าตื่นขึ้นมากินอาหารเช้าฟรีซึ่งทางโรงแรมมีให้ที่ห้องอาหารแล้ว ซูจิ่นค่อยเช็กเอาต์กลับบ้าน พอเข้าประตูบ้าน ที่ต้อนรับเธอกลับเป็นใบหน้าบึ้งจัดคิ้วขมวดแน่นของฉินชวน

“เมื่อคืนนี้คุณไม่ได้กลับบ้าน” เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตำหนิโดยไม่รอให้เธอเอ่ยปากทัก

“คุณรู้แล้วไม่ใช่หรือคะว่าเมื่อคืนนี้บริษัทฉันจัดงานเลี้ยงราตรี? คุณเป็นคนช่วยเลือกชุดราตรีให้เองด้วยซ้ำไป” ซูจิ่นไม่เห็นด้วยนักกับการตำหนิของเขา

“แต่คุณไม่ได้บอกนี่ว่าจะไม่กลับทั้งคืน! ผมนึกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณเสียอีก” ชายหนุ่มตะคอกเสียงดัง ไม่เหลือความสุภาพอ่อนโยนอย่างไม่เคยได้เห็น

ซูจิ่นถูกสีหน้ากิริยาของเขากดดันจนรู้สึกผิด อุบอิบว่า

“งานเลี้ยงราตรีก็ต้องค้างคืนข้างนอกอยู่แล้วนี่คะ” เห็นเขาทำท่าจะพูดอีก ก็รีบเอาใจว่า “เอาน่า ครั้งต่อไปจะบอกคุณก่อนแน่ๆ ค่ะ”

ฉินชวนสงบสติอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าตัวเขาทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่อยู่เหมือนกัน สามัญชนมีหรือจะเจอเรื่องแปลกๆ กันง่ายๆ ได้? ขอแค่ไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ เธอก็จะปลอดภัย

ชายหนุ่มมองหน้าเธออย่างไม่รู้ควรจะพูดอะไรดี แล้วเดินกลับห้องไป

 

เวลานี้ผู้หญิงคนนั้นกับเขาถือว่ามีความสัมพันธ์แบบไหนต่อกันกันแน่?

ฉินชวนกลับห้องเปิดทีวีอย่างโมโหกรุ่น ดูรายการของวันเสาร์ที่ปกติมักจะไม่มีสาระอะไร ขณะที่ในใจวนเวียนอยู่กับปัญหานี้

ผู้มีพระคุณช่วยชีวิต? เจ้าของบ้าน? คนร่วมชายคา?

ทำไมคนที่ไม่ใช่แม้แต่จะเป็นเพื่อนกันแท้ๆ เขากลับนึกแคร์ขึ้นมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว?

สัปดาห์นี้เธอกลับบ้านดึกทุกคืน ถึงเขาจะเข้านอนแต่หัวค่ำ แต่ก็ต้องได้ยินเสียงปิดประตูจากการกลับบ้านของเธอดังขึ้นเสียก่อนถึงจะวางใจหลับลงได้ นี่มันนิสัยเสียที่ติดมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

ฉินชวนที่ตกอยู่ท่ามกลางความงุนงงทิ้งตัวลงบนเตียงเต็มแรง มองฝ้าเพดานอย่างใจลอย

ชีวิตแบบในตอนนี้ เป็นชีวิตที่เขาไม่คุ้นเลย

เขาไม่เคยลองอยู่ร่วมชายคากับผู้หญิงที่อายุใกล้เคียงกัน อยู่ด้วยกันทุกเช้าค่ำในระยะประชิดมาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพฤติกรรมแปลกประหลาดจำพวกทำอาหารให้ผู้หญิงกิน เลือกเสื้อผ้าให้เธอ เฝ้ากังวลเป็นห่วงเธอทั้งคืน

เขารู้สึกว่ามีการเปลี่ยนแปลงแปลกๆ บางอย่างกำลังเกิดขึ้นภายในตัว

ฉินชวนไม่ใช่ผู้ถือพรหมจรรย์อย่างแน่นอน แต่ก็ไม่ใช่เพลย์บอยที่สนใจเพศหญิงมากกว่าคนปกติทั่วไป ในช่วงเวลาสิบปีหลังจากที่เขาบรรลุนิติภาวะ ชายหนุ่มเคยมีแฟนมาแล้วหลายคน ถึงอย่างนั้นอย่าว่าแต่อยู่ด้วยกันเลย แม้แต่เรื่องค้างคืนที่บ้านแฟนสาวยังมีน้อยมาก ถึงเรื่องนี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับประวัติของเขาที่เข้าสู่มหาวิทยาลัยการทหารแห่งราชอาณาจักร และรับการศึกษาอบรมสำหรับทหารอย่างเข้มงวดตั้งแต่อายุ 17 ปีก็ตาม แต่เหตุผลที่ลึกไปกว่านั้น เกรงว่าจะเป็นเพราะกำแพงโดยธรรมชาติอันเกิดจากชาติกำเนิดที่สูงศักดิ์ของเขาได้ครอบตัวเขาไว้ นอกจากเพื่อนๆ ไม่กี่คนที่คอยอยู่เคียงข้างเขามาแต่เด็กในฐานะพระสหายร่วมเรียนแล้ว ยากมากที่เขาจะสลัดความรู้สึกสุภาพแต่ห่างเหินเวลามีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นได้

กับแฟนสาวคนก่อนๆ ของเขาก็เป็นแบบนี้ พวกเธอต่างเป็นลูกผู้ดีมีตระกูล ตอนที่คบกับเขา พวกเธอต่างวางตัวสุภาพเรียบร้อยและระมัดระวัง กลัวว่าจะเผลอทำให้เขาโกรธหรือไม่พอใจ แม้แต่ตอนร่วมรักกัน ยังถึงขนาดผมไม่ยุ่งสักเส้นได้

เดิมทีเขาก็ไม่ได้นึกขัดแย้งอะไรนักกับเรื่องนี้ เขาเคารพวิธีการใช้ชีวิตของแต่ละคน ซึ่งนี่ก็เป็นหนึ่งในการอบรมที่เขาได้รับ แต่หลังจากที่เขาบุกรุกเข้าไปในชีวิตของแม่สาวโอตาคุซูจิ่น หรือควรพูดว่าซูจิ่นบุกรุกเข้ามาในชีวิตของเขา เรื่องที่ควรจะเป็นไปตามสูตรเหล่านั้นก็เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง

นับตั้งแต่นาทีที่เขาถูกเธอเก็บกลับมาบ้านในช่วงเวลาที่เขาทุลักทุเลที่สุด กำแพงโดยธรรมชาติของเขาก็ไม่มีผลต่อเธอโดยสิ้นเชิงเสียแล้ว และดูเหมือนเป็นเพราะเขาโผล่เข้ามาในชีวิตส่วนตัวที่ลับที่สุดของเธอโดยตรง เธอจึงไม่เคยตระหนี่ที่จะแสดงด้านที่เป็นเนื้อแท้ที่สุดของเธอต่อหน้าเขาเช่นกัน...มีบางครั้งเธอถึงขนาดสวมชุดนอนเดินไปเดินมาอยู่ในบ้านเสียด้วยซ้ำ ทำเหมือนไม่มีเขาอยู่ด้วยโดยสิ้นเชิง...เขาไม่เคยพบเคยเห็นผู้หญิงที่ใจกล้าหน้าด้าน ไม่สำรวมไร้มารยาทมากเท่านี้มาก่อนเลย...

แต่ดูเหมือนเป็นเพราะถูกเธอปฏิบัติด้วยอย่างไม่มีการสร้างภาพและไม่มีการระแวดระวังแบบนี้ ในใจเขาจึงเหมือนมีบางอย่างผ่อนคลายลงเช่นกัน เริ่มที่จะกระเซ้าเธอเล่น ทำตัวแย่ๆ กับเธอ แม้แต่วันนี้ยังถึงขนาดตะคอกใส่เธอ นี่เป็นเรื่องที่เมื่อก่อน ฉินชวนผู้รักษาความสุภาพอ่อนโยนกับผู้หญิงตลอดกาลไม่กล้าที่จะนึกถึงเด็ดขาด

นี่คือความรู้สึกแบบไหนกัน? จะพูดยังไงดี มันเหมือนกับว่าก่อนที่ต่างฝ่ายจะต่างได้รู้จักกันและกันอย่างลึกซึ้ง เขากับเธอก็สนิทสนมกันอย่างลึกซึ้งเสียก่อนแล้ว

ฉินชวนลุกพรวดขึ้นนั่งกะทันหัน สะบัดศีรษะ พยายามสลัดความคิดเมื่อกี้นี้ออกไปให้ไกลที่สุด คนเรานี่ห้ามว่างจริงๆ พักผ่อนมาสองสัปดาห์ เขาก็เริ่มจะมีความคิดแปลกๆ เยอะขนาดนี้แล้ว...

เสียงเคาะประตูดังขึ้น ซูจิ่นเปลี่ยนมาสวมชุดอยู่กับบ้านแล้ว ชะโงกหน้าเข้ามา ฉินชวนจ้องหน้าจอโทรทัศน์เขม็งด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้มองหน้าเธอ

หญิงสาวแลบลิ้นนิดๆ

“คือว่า...ทำให้คุณต้องเป็นห่วง ขอโทษนะคะ”

ชายหนุ่มค่อยหันมามองเธอ ดวงตาทอแววงุนงงที่ไม่มีใครสังเกตเห็นจางๆ “ผมสิควรต้องเป็นฝ่ายขอโทษ ผมไม่มีสิทธิ์อะไรไปก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวของคุณสักหน่อย” ไม่รู้ว่าจิตวิทยาแบบไหนผลักดัน เขาได้ฟื้นคืนสู่ความสุภาพห่างเหินในตอนแรกเริ่ม

ความรู้สึกใจหายนิดๆ ปัดผ่านหัวใจของซูจิ่นเบาๆ เหมือนขนนก คันยิบๆ อย่างประหลาด พอคิดจะสำรวจดูให้ละเอียด ก็ดับสลายไร้ร่องรอยเสียแล้ว ดังนั้นหญิงสาวจึงยิ้มอย่างไม่อนาทร

“งั้นคุณพักผ่อนเถอะค่ะ ฉันเองก็จะไปนอนต่อแล้วเหมือนกัน”

ทั้งสองต่างไม่ได้ตระหนักว่า เคยมีนาทีหนึ่งที่เขากับเธอใกล้ชิดกันและกันอย่างลึกซึ้ง แต่แล้วกลับลอยกระเพื่อมออกห่างกันโดยไม่ได้ตั้งใจ

ถ้าเรื่องนั้นไม่เกิดขึ้น บางทีเขากับเธออาจจะลอยห่างออกจากกันมากขึ้นเรื่อยๆ จวบจนเมื่อต่างมองไม่เห็นกันและกันโดยสิ้นเชิง ก็ลืมเลือนกันและกันไป

แต่อย่างไรชีวิตก็ไม่ใช่เส้นตรง ทว่าเป็นฟังก์ชันคอมโพสิทที่มีปัจจัยตัวแปรมากมาย

 

<>::<>::<>

 

วันที่ 18 ธันวาคม วันพฤหัสบดี อีกหนึ่งอาทิตย์จะถึงวันคริสต์มาส

ตอนที่ใกล้จะเลิกงาน ซูจิ่นได้รับโทรศัพท์สายหนึ่ง เป็นหมายเลขที่ไม่รู้จัก หญิงสาวลังเลเล็กน้อยค่อยกดรับ

“ฮัลโหล สวัสดีค่ะ ซูจิ่นพูดสาย”

“ฮัลโหล Renée (เรอเน่) ผมเอง ตอนนี้ผมอยู่ที่เมืองปู้ อยากเจอกันหน่อยมั้ย?” เสียงห้าวทุ้มที่คุ้นเคยพูดด้วยภาษาฉินที่ไม่ชัดนัก เรียกชื่อภาษาฝรั่งเศสของเธอถูกต้องชัดเจนมาก

เขามาแล้ว...

ใบหน้าซูจิ่นซีดเผือดจนเหมือนศพทันที นิ่งเงียบไปอึดใจใหญ่ ค่อยได้ยินเสียงเบาหวิวไม่แน่ใจของตัวเอง

“ได้ค่ะ อยู่ที่ไหนคะ?”

 

โรงแรม New Century Intercontinental หนึ่งในโรงแรมระดับหกดาวที่มีอยู่น้อยนับนิ้วได้ในเมืองนี้ เมื่อซูจิ่นเดินเข้าสู่ห้องอาหาร ก็มองเห็นเฉียวเซวียนที่ริมหน้าต่างในทันที เขายังคงดูหล่อคมคายสดใสเหมือนเดิม แต่งตัวดูลำลองมาก เสื้อเชิ้ตสีครีมลายตารางสีน้ำตาล สวมทับด้วยเสื้อขนสัตว์คอวีสีน้ำตาลอ่อน ท่อนล่างคือกางเกงสีครีม ผมยังคงตัดสั้น ดูทันสมัยและคล่องแคล่ว เหมาะสมกับฐานะระดับหัวกะทิของวอลล์สตรีทไฟแนนซ์ของเขาเป็นอย่างมาก

เมื่อซูจิ่นปรากฏตัวขึ้นที่ประตูห้องอาหาร ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นเข้ามาต้อนรับ กอดทักทายกับเธอ

“คุณผอมลงนะ แต่สวยขึ้น”

“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวยิ้มบางๆ นั่งลงบนเก้าอี้ที่เฉียวเซวียนดึงออกมาให้เธอ เขารอจนเธอนั่งลงเรียบร้อย ค่อยนั่งลงยังที่นั่งของตัวเอง

หลังจากคนทั้งสองนั่งลงเรียบร้อย บริกรก็เข้ามาช่วยเปิดขวดไวน์ให้ทั้งคู่ทันที ซูจิ่นมองดู อย่างที่คิด...ไวน์ลาฟิต ปี 1982[1] ผลิตที่ประเทศฝรั่งเศสเหมือนเคย

หลังจากชนแก้ว จิบไปหนึ่งคำ ก็วางแก้วไวน์ลง เฉียวเซวียนจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างลึกล้ำด้วยดวงตาสีน้ำเงินเข้มอันเป็นลักษณะเฉพาะของลูกครึ่งฉินอเมริกา พูดขึ้นปุบปับว่า

“ทำไมถึงไม่ยอมรับโทรศัพท์ผม และไม่ตอบอีเมลผมเลย?”

ซูจิ่นหลุบตาลง ยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มอีกอึกใหญ่ เมื่อรู้สึกว่ารสฝาดของไวน์แดงแผ่ซ่านอยู่ในช่องปาก ค่อยพูดว่า

“เพราะฉันอยากจะลืมคุณค่ะ”

ชายหนุ่มเหมือนนึกไม่ถึงว่าเธอจะตรงไปตรงมาแบบนี้ ตะลึงงงไปชั่วขณะ ค่อยเม้มปากพูดอย่างไม่พอใจ

“Renée...คุณหนีออกจากบ้านโดยไม่แม้แต่จะให้โอกาสผมได้อธิบายเลย คุณไม่คิดว่าตัวคุณทำเกินไปหรอกหรือ?”

ซูจิ่นยิ้มหยัน

“แล้วที่คุณกอดจูบกับผู้หญิงอื่นอย่างร้อนแรงนี่ไม่เกินไปหรือ?”

ชายหนุ่มสะอึก ขมวดคิ้ว อึดใจใหญ่ค่อยระบายลมหายใจออกมา

“ผมขอโทษ ได้มั้ย?” เขาพูดพลางยื่นมือมากุมมือของเธอ “กลับมาเถอะ แล้วปีหน้าเราแต่งงานกันนะ?”

หญิงสาวดึงมือกลับอย่างนุ่มนวล ยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มอีกอึกใหญ่

“ถ้าคุณมาเร็วกว่านี้หลายเดือนหน่อย ฉันอาจจะรับปากก็ได้ค่ะ” แต่ว่าเขาไม่มาเลย เขาปล่อยให้เธอรอแล้วรอเล่าเพียงลำพังจนสิ้นหวัง และตัวเธอในตอนนี้...ได้เคยชินกับชีวิตที่ไม่มีเขาไปแล้ว

“คุณก็รู้ดีว่าผมยุ่งมาก และผมอยากจะให้เวลาคุณมากพอที่จะทำใจให้เย็นลงด้วย” เมื่อพบว่าเธอเฉยชาไม่หวั่นไหว ชายหนุ่มจึงชักจะร้อนใจขึ้นมานิดๆ คิดจะใช้วิธีอธิบายมารั้งสิ่งที่ได้สูญเสียไปแล้วคืนกลับมา

ซูจิ่นยิ้มละไม “ใช่ค่ะ ฉันใจเย็นลงแล้ว...ดังนั้น...ฉันไม่แค้นคุณแล้ว...แต่ก็ไม่รักคุณแล้วด้วย”

เรื่องราวมากมายสามารถอภัยให้ได้ แต่ไม่มีทางหวนกลับไปอีก

บางทีความงดงามของความรักอาจจะอยู่ที่มันผ่านพ้นไปในพริบตา ชั่ววูบที่เบ่งบาน งดงามเจิดจ้าดั่งดอกไม้ไฟ จากนั้นดับหายไปจนไร้ร่องรอยในชั่วพริบตา ทำให้ถึงคิดจะไขว่คว้าก็ไขว่คว้าไว้ไม่อยู่

ความเงียบงันแผ่ขยายอยู่ระหว่างคนทั้งสอง จังหวะนี้บริกรได้เดินเข้ามาถามว่า “สองท่านจะสั่งอาหารหรือยังครับ?”

ซูจิ่นยิ้มน้อยๆ พูดกับเฉียวเซวียนว่า

“ฉันยังมีธุระอื่น ต้องขอตัวไปก่อนแล้วค่ะ” จบคำก็ลุกขึ้นยืน ยื่นมือออกไปอย่างสง่างาม “Joseph ขอให้คุณมีความสุขนะคะ”

เฉียวเซวียนหน้าตึง แต่ยังคงรักษามาดสุภาพบุรุษ ลุกขึ้นจับมือกับเธอ

“ลองคิดดูให้ดีๆ ล่ะ Renée ผมจะรอคุณ”

หญิงสาวยิ้มเรียบๆ ไม่พูดอะไรอีก หันกายเดินจากไปโดยไม่หันกลับมา

ความรักมาราธอนหกปี สุดท้ายได้วิ่งมาถึงเส้นชัยอันมืดมนเช่นนี้เอง

ปล่อยวาง ใจหาย เสียใจ ยังมีความรู้สึกที่บรรยายไม่ได้อีกมากมายพันสุมกันเป็นก้อนอยู่ในอก หญิงสาวสุ่มพุ่งเข้าไปในบาร์เหล้าแห่งหนึ่ง ดื่มเหล้าคำโตๆ มาเซ่นความรักที่จากไป

เธอพยายามไล่ตามเงาหลังของเขามาตลอด แต่แล้วกลับเป็นฝ่ายรามือเสียเองในตอนที่เขาหันกลับมามองเธอในที่สุด อาจเป็นเพราะอายุมากแล้ว จึงรู้สึกเหนื่อยจนได้

เฉียวเซวียนเป็นรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยเฮย์ของซูจิ่น ตอนที่เธอเข้ามหาวิทยาลัย เขาก็กำลังเรียนปริญญาเอกแล้ว แถมยังควบตำแหน่งอาจารย์ผู้สอนวิชาการเงินของเธออีกด้วย เฉียวเซวียนที่โดดเด่นทั้งหน้าตาและวิชาการได้เป็นบุคคลระดับเจ้าชายของมหาวิทยาลัยอยู่แต่แรก ส่วนซูจิ่นก็กำลังอยู่ในวัยช่างฝันพอดี จึงตกลงสู่พล็อตโหลๆ ของละครน้ำเน่าหลังข่าวอย่างง่ายดาย...นั่นคือ หลงรักเฉียวเซวียนแต่แรกพบ หลังจากนั้นเธอยิ่งแสดงนิสัยกล้าหาญชาญชัยที่ไม่เข้ากันอย่างมากกับหน้าตาภายนอกของเธอออกมา ตามจีบเฉียวเซวียนทั้งแบบเปิดเผยและไม่เปิดเผย แทบจะเป็นตื๊อสุดชีวิตจนกระทั่งจีบเขาติด

หลังจากเริ่มคบกันได้สามเดือน เขากับเธอก็อยู่ด้วยกัน

ต่อมาเฉียวเซวียนเรียนจบก่อนกำหนด ไปทำงานที่ธนาคารชื่อดังบนถนนวอลล์สตรีท หลังจากเธอเรียนจบก็ตามหลังเขาไป กลายเป็นหนึ่งในกองทัพหัวกะทิของแมนฮัตตัน

ชีวิตมาถึงจุดนี้ ดูแล้วก็แทบจะสมบูรณ์แบบ แต่เมื่องานยุ่งมากขึ้นเรื่อยๆ เขากับเธอก็ยิ่งไม่มีเวลาได้พูดคุยกัน เธอเคยคิดจะเปลี่ยนไปทำงานที่เครียดน้อยกว่านี้ แต่ก็รู้สึกว่าถ้าทำอย่างนั้น เธอก็จะยิ่งห่างไกลจากเขามากขึ้น เธอเฝ้าหวังมาตลอดว่า ตัวเธอจะสามารถเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขาได้ ไม่ใช่ว่ายืนอยู่ข้างหลังเขา

แม้ว่านี่จะเป็นความเห็นแก่ตัวของซูจิ่น แต่ในอีกแง่หนึ่งก็กล่าวได้ว่า เฉียวเซวียนไม่เคยทำให้เธอรู้สึกมั่นคงมากพอเลย สายตาของเขาทอดไกลเกินไป วิ่งเร็วเกินไป ทำให้เธอไล่ตามอย่างลำบากเกินไป

ในที่สุดในจังหวะเวลาเช่นนี้ ความได้แตกออก ซูจิ่นได้รับจดหมายนิรนามในตู้จดหมายของคอนโดที่คนทั้งสองพักอยู่ด้วยกัน ในซองจดหมายมีรูปถ่ายเฉียวเซวียนกับผู้หญิงที่ไม่รู้จักกำลังจูบกันแค่ใบเดียว

บางทีการที่จูบกันนั้นอาจจะไม่ใช่ปัญหาหนักหนาสาหัสอะไร และตัวซูจิ่นเองก็ไม่ได้ใส่ใจวิธียุให้แตกแยกกันแบบลับๆ ล่อๆ อย่างนี้อยู่แล้ว แต่ประสาทของเธอที่เครียดเขม็งมาเป็นเวลาเนิ่นนานได้ขาดผึงลงในที่สุดด้วยการดีดใส่ไม่หนักไม่เบานี้ เธอจึงไม่พูดอะไรทั้งสิ้น ลาออกจากงานแล้วเก็บกระเป๋ากลับประเทศโดยไม่บอกไม่กล่าว ตอนจากไป เธอแค่ทิ้งรูปถ่ายใบนั้นไว้บนโต๊ะกินข้าวภายในบ้าน เหตุผลมากพอแล้วกระมัง?

ความจริงแล้วในตอนนั้น ในใจซูจิ่นยังคงคาดหวังอยู่ คาดหวังให้เขาใจกว้างยอมอภัยให้แก่ความเอาแต่ใจของเธอ คาดหวังให้เขาหันกลับมามองเธอ

แต่เฉียวเซวียนไม่ได้มา เขาปล่อยให้ไฟรักที่ไหววูบวาบกลางสายลมของเขาและเธอดับสนิทลงโดยสิ้นเชิง

การสิ้นสุดของความรัก บางครั้งก็บอกไม่ได้ว่าเป็นความผิดของใคร สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจว่าไม่มีบุญร่วมกันกระมัง

 

<>::<>::<>

 

“หนอนบ่อนไส้ถูกปิดปากแล้ว”

ที่อยู่บนหน้าจอคือหนุ่มแว่นผู้ลึกลับซึ่งโผล่มาที่ห้องของฉินชวนเมื่อวันก่อน

ฉินชวนแค่นเสียง “หึ” อย่างไม่ตกใจเลย

“อย่างที่คาด มีเบาะแสอะไรไหม?”

“อืม เบาะแสที่น่าสนใจมาก” ชายหนุ่มลึกลับยิ้มอย่างนึกสนุก “นายกลับไปก็จะเห็นเอง ว่าแต่นายจะกลับไปเมื่อไหร่รึ?”

“ด้านตาแก่เป็นยังไงบ้างแล้ว?” ฉินชวนย้อนถามกลับไปสีหน้าเรียบเฉยโดยไม่ตอบ

“ฮึฮึ จะพูดว่าไงดีนะ...ทุลักทุเล?” สีหน้าของชายหนุ่มลึกลับแทบจะเป็นสมน้ำหน้า

ฉินชวนหลุบตาลง “ฉันจะตั้งใจคิดดู” เขาเพิ่งจะตอบคำถามก่อนหน้านี้ของชายหนุ่มลึกลับ

เสียงเปิดประตูดังมาจากประตูใหญ่ ฉินชวนขมวดคิ้ว รีบพูดว่า

“ไว้ค่อยติดต่อกันใหม่” ก่อนจะกดปุ่มออกจากหน้าต่างอย่างรวดเร็ว หน้าจอกลับคืนสู่ภาพแบกกราวด์ตามปกติ

คืนนี้เสียงฝีเท้าของซูจิ่นซวนเซนิดๆ ชายหนุ่มฟังอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจออกไปดูเสียหน่อย ผลคือเปิดประตูปุบ ก็ทันช่วยประคองหญิงสาวที่เกือบจะเสียหลักล้มลงพอดี

ได้กลิ่นเหล้าตลบอบอวลมาจากตัวของเธอ ฉินชวนขมวดคิ้ว เหน็บอย่างฉุนๆ ว่า

“ไม่นึกว่าคุณยุ่งมากขนาดนี้ ยังจะมีอารมณ์ไปเมาเหล้าอีก”

ซูจิ่นยิ้มแป้นแล้นอย่างไม่ค่อยมีสตินัก “ฉันอกหักแล้ว”

ความรู้สึกประหลาดพลุ่งขึ้นในอกของชายหนุ่ม เขายังไม่ทันได้ใคร่ครวญจนรู้ว่ามันคืออะไร ปากก็โพล่งถามออกไปเสียก่อน

“คุณมีแฟนแล้วรึ?”

ดูไม่เห็นออกสักนิด เขากับเธออยู่ร่วมบ้านกันมานานขนาดนี้ ไม่มีการออกเดต ไม่มีการโทรหา...ถ้าเป็นแฟนแบบนี้อย่าไปเอาจะดีกว่า

กลายเป็นว่าคำตอบอ้อแอ้ของซูจิ่นทำเอาเขาแทบเสียหลัก

“เมื่อครึ่งปีก่อนมี”

มุมปากฉินชวนกระตุก ในใจกลับโล่งอกนิดๆ อย่างประหลาด กระเซ้าว่า “ระบบของคุณดีเลย์หนักเกินไปแล้วมั้ง? ควรจะเปลี่ยน CPU ได้แล้วหรือเปล่า?”

ซูจิ่นเมามากพอสมควร คำพูดล้อเล่นของเขา เธอกลับขมวดคิ้วคิดอย่างจริงจังอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพึมพำว่า

“ควรจะเปลี่ยนได้แล้วจริงๆ...”

ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรที่ควรจะเปลี่ยนได้แล้ว...อย่าบอกนะว่าเธอนึกว่าตัวเองเป็นคอมพิวเตอร์จริงๆ สามารถเปลี่ยน CPU ได้?

ฉินชวนพูดไม่ออก ประคองเธอไปถึงห้องนอน เห็นซูจิ่นถอดเสื้อโค้ตออก แล้วเดินโซเซไปเข้าห้องน้ำ

เมาขนาดนี้ยังอาบน้ำได้อยู่หรือเปล่าน่ะ? ตอนที่ชายหนุ่มจะกลับห้องไปนอน ได้ยืนลังเลที่หน้าประตูห้องนอนของเธออยู่พักหนึ่ง แล้วตัดสินใจอยู่ต่อ ตั้งใจจะรอจนเธอปลอดภัยออกมาจากห้องน้ำแล้วค่อยไป

แต่เขานึกไม่ถึงว่า “ฉากนอนหลับ/เป็นลมในห้องน้ำ” ที่เขากังวลไม่ได้มีอยู่ในพล็อตของเรื่องนี้ แต่ฉากที่มีในพล็อต คือฉากที่น้ำเน่ายิ่งกว่า...ซูจิ่นอาบน้ำเสร็จแล้ว ดันสวมแต่ชุดนอนสายเดี่ยวผ้าไหมชายสั้นกุดแค่ต้นขา ก็เดินเทิ่งๆ ออกมาเลย บนตัวเธอยังชื้นอยู่นิดๆ ชุดนอนเกาะแนบกับเรือนร่างในสภาพกึ่งโปร่งใส มองเห็นได้ชัดเจนกระทั่งยอดถันที่ตั้งเชิดเพราะถูกูน้ำ และบริเวณเซ็กซี่ของกายท่อนล่าง...

เธอไม่ได้สวมอะไรข้างใต้ชุดนอนเลย เมื่อได้ตระหนักถึงข้อนี้อย่างชัดเจน ฉินชวนรีบเมินหน้าหนีอย่างกระอักกระอ่วน กล้ามเนื้อตลอดทั้งร่างเกร็งเขม็ง

ซูจิ่นเป็นผู้หญิงที่สวยมาก และเขาก็ไม่ใช่พระโสดาบัน

ชายหนุ่มใช้ความมุ่งมั่นสูงลิบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว หวังเผ่นหนีไปก่อนที่เธอจะสังเกตเห็นเขา แต่อย่างไรเขาก็ไม่ใช่อากาศธาตุ สายตาที่เลื่อนลอยของซูจิ่นกวาดมองมาทางทิศที่เขาอยู่จนได้ ฉินชวนตัวแข็งทื่อ

หลังจากที่เธอมองเห็นเขา ตอนแรกก็งงไปเล็กน้อย เหมือนไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงมาโผล่อยู่ในห้องนอนของเธอได้ จากนั้นแววตาค่อยสว่างวาบเหมือนเข้าใจอะไรแล้ว ถามเสียงค่อนข้างอ้อแอ้ว่า

“ฮ่า ในที่สุดคุณก็ตัดสินใจยอมสละตัวแทนคุณแล้วเหรอ?”

ชายหนุ่มมองคนพูดอย่างไร้คำบรรยาย

สมองยายคนนี้พัฒนามายังไงเนี่ย? เธอไม่มีประสาทด้านความสำรวมในฐานะที่เป็นผู้หญิงอยู่บ้างสักนิดเลยหรือ?

เขาปรายตามองซูจิ่น แล้วเดินออกไปข้างนอกต่อโดยไม่พูดอะไร หญิงสาวกลับยื่นมือมาคว้าตัวเขาไว้อย่างไม่ทราบประสาทเส้นไหนเกิดผิดปกติ

“บอกไว้ก่อนนะ ฉันไม่รับผิดชอบแน่”

ถ้าฉินชวนได้ยินประโยคนี้ สงสัยได้โมโหจนควันออกหูแน่

น่าเสียดายที่ในจังหวะที่มือเย็นเฉียบของเธอแตะถูกตัวเขา เส้นสายบางเส้นในตัวชายหนุ่มก็ขาดผึง เสียงขาดผึงนี้ดังเกินไปจนเขาได้ยินไม่ถนัดว่าซูจิ่นพูดอะไร หรืออาจจะได้ยินแล้ว แต่เกิดอาการระบบประสาทดีเลย์

ไม่ว่ายังไง เวลานี้เขาได้ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดมาควบคุมความใคร่ของตัวเอง หันไปมองเธอด้วยสีหน้าเรียบสนิท ถามอย่างเย็นชา

“คุณรู้หรือเปล่าว่าผมคือใคร?” เขาไม่คิดจะขึ้นเตียงกับผู้หญิงแล้วยังถูกเข้าใจว่าเป็นตัวแทนของคนอื่นแน่

ซูจิ่นยิ้มแป้น

“คุณก็ต้องเป็นพ่อหนุ่มรูปงามนามฉินชวนอยู่แล้วสิ”

ฉินชวนมุมปากกระตุก ในที่สุดก็อุ้มเธอขึ้นอย่างสุดจะข่มกลั้น โยนขึ้นไปบนเตียง ส่วนตัวเองตามขึ้นไปทาบทับ...

น้ำหนักของเขาดูจะทำให้เธอพอใจไม่น้อย ริมฝีปากแดงสดเผยอนิดๆ ถอนหายใจอย่างเคลิบเคลิ้ม ยื่นแขนขาวผ่องทั้งสองข้างรั้งศีรษะเขาลงต่ำ เป็นฝ่ายจุมพิตริมฝีปากที่ดูแล้วเหมาะแก่การจูบอย่างมากของเขา

ความจริงถึงจะบอกว่าซูจิ่นเมาแล้ว แต่ก็ยังห่างไกลจากระดับไม่มีสติโดยสิ้นเชิงอีกมาก ตัวเธอในเวลานี้คืออาศัยเหล้าย้อมใจเพิ่มความกล้านิดหน่อย ลงมือทำเรื่องที่ปกติเธอไม่กล้าทำ และการแกล้งทำเป็นเมายังมีข้อดีอีกข้อ นั่นคือหลังจากกินเสร็จแล้วไม่ต้องรับผิดชอบได้ รอจนสร่างเมาพรุ่งนี้ก็บอกปัดให้หมดว่าจำไม่ได้แล้ว

คนที่สติมีปัญหา ไปฆ่าคนยังไม่ต้องถูกดำเนินคดีเลย ดังนั้นการที่เธอล่อลวงข่มขืนตอนสติไม่สมบูรณ์ ก็น่าจะไม่ต้องถูกเรียกร้องการรับผิดชอบทางกฎหมายเหมือนกัน

พอมีความคิดแบบนี้ พฤติกรรมของซูจิ่นจึงยิ่งเหิมเกริม ขณะที่จูบกับเขาอย่างเร่าร้อน ขาเรียวสวยก็รัดเอวแข็งแรงไว้ พื้นที่เซ็กซี่อยู่แนบชิดความต้องการที่ขยายตัวของเขาโดยมีเพียงกางเกงใส่ในบ้านที่ไม่หนานักคั่นกลาง เสียดสีกันเบาๆ

จุมพิตที่เนิ่นนานอวลด้วยกลิ่นน้ำเมาเข้มข้น เมื่อจูบกันจนคนทั้งสองต่างใกล้จะขาดใจ อยู่ๆ เขาก็ผลักเธอออกกะทันหัน กดเธอลงนอนบนเตียง เมื่อก้มหน้าลงมองเธอ เห็นสายตาเธอเลื่อนลอย สายของชุดนอนเลื่อนหลุดลงจากไหล่ อกที่ไม่ใหญ่นักแต่งามงอนอวบอิ่มกึ่งๆ เผยตัว ดูเย้ายวนยิ่งเสียกว่าเผยให้เห็นทั้งหมด

ณ ที่นี่เวลานี้ สติเสี้ยวสุดท้ายในดวงตาของฉินชวนได้ดับวูบลงในที่สุด มือแข็งแรงได้รูปกุมเอวคอดกิ่วสองมือแทบจะโอบได้รอบ โน้มตัวลงประทับจุมพิตที่ไม่สู้จะอ่อนโยนนักลงบนเรือนร่างดั่งสลักเสลาจากหยกขาวเนื้อดีครั้งแล้วครั้งเล่า

ซูจิ่นไม่ชอบเป็นฝ่ายรับมาแต่ไหนแต่ไร เวลาร่วมรักก็เหมือนกัน ตอนที่ฉินชวนยุ่งอยู่กับการใช้ริมฝีปากสำรวจความงามสมบูรณ์ของเธอ เธอก็ยุ่งอยู่กับการช่วยถอดเสื้อผ้าให้เขา ถอดเสื้อผ้าเขาไปพลาง ควานหาริมฝีปากเขาจุมพิตกันเป็นระยะๆ เมื่อร่างกายสมบูรณ์แบบของชายหนุ่มปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอ แววตาที่เลื่อนลอยของซูจิ่นก็ลุกวาวอย่างปิดไม่มิด

เธอรู้มาตั้งแต่คืนวันที่เก็บเขากลับมาบ้านแล้วว่า ความงดงามของรูปร่างและหน้าตาระดับเขา เธอเพิ่งจะเคยได้พบเจอเป็นครั้งแรกในชีวิตจริงๆ นั่นเป็นใบหน้าและรูปร่างที่งดงามปานเทพบุตร กล้ามเนื้อทุกมัดเหมือนแฝงเร้นความแข็งแกร่งและพละกำลัง เธอมักจะรู้สึกว่าเขาเป็นเหมือนสุดยอดกระบี่วิเศษที่มีฝักอันงดงามหรูหรา แม้ยามปกติจะซ่อนเร้นคมไว้ภายในฝักที่ไร้พิษภัย แต่รังสีกระบี่ที่คุกคามคนนั้น กลับปิดอย่างไรก็ไม่มิด

หญิงสาวครางออกมาเบาๆ อย่างชื่นชม ใช้มือและริมฝีปากบูชาเรือนร่างของเทพบุตรตรงหน้าต่อไป ส่วนความปรารถนาที่ร้อนรุ่มของเขาได้วนเวียนอยู่บริเวณส่วนสงวนของเธอ อีกหนึ่งจุมพิตอันยาวนาน ในที่สุดเขาก็แยกสองขาเรียวสวยที่รัดเอวเขาแน่นออกจากกันอย่างห้ามใจไม่อยู่ ทำท่าจะรุกล้ำเข้าสู่ร่างของเธออย่างอดใจรอไม่ไหว

ใครจะไปนึกว่าในจังหวะนี้ ซูจิ่นจะพูดเสียงอ้อแอ้ขึ้นมากะทันหันว่า “รอเดี๋ยว!”

ฉินชวนตะลึง ร่างกายพลอยชะงักค้าง เหงื่อหนึ่งหยดไหลลงมาจากหน้าผาก หยาดลงบนอกเปลือยที่เชิดชูของเธอ

เขาหรี่ตาก้มลงมองเธอ ตลอดทั้งร่างแผ่กลิ่นอายอันตราย

ผู้หญิงบ้าคนนี้คงไม่บอกให้หยุดเอาในเวลาแบบนี้หรอกนะ? สายตาวาบประกายทรมาน ถ้าเธอบอกให้หยุดจริงๆ เขาจะทนช้ำในจากไปอย่างสุภาพบุรุษ หรือบังคับขืนใจเธอก่อนแล้วค่อยว่ากันดี?

ซูจิ่นลังเลเล็กน้อย ค่อยถามเสียงลิ้นคับปากว่า

“คุณไม่มีเชื้อ HIV นะ?”

เหงื่อฉินชวนหยดติ๋งอีกหนึ่งหยด ขมวดคิ้วดันร่างเข้าไปอย่างหมดความอดทน เมื่อเสียงครางเหมือนเจ็บปวดคล้ายพอใจหลุดออกมาจากริมฝีปากเธอ ค่อยพูดตอบเสียงจริงจังที่ริมหูของเธอ

“ผลเลือดเป็นลบ”

หญิงสาวค่อยผ่อนคลายอย่างเต็มที่รับความใหญ่โตของเขาไว้ และแล้วค่ำคืนอันบ้าคลั่งอย่างแท้จริงก็ได้เปิดม่านขึ้น ณ เวลานี้

 

ตอนเช้าตื่นขึ้นมา ยังไม่ทันได้ลืมตา ซูจิ่นก็ขบคิดถึงปัญหาที่ซีเรียสมากมายหลายข้อ

ก่อนอื่น ไม่ใช่คนทั่วไปเขาว่ากันว่าความสามารถด้านนั้นของหนุ่มหล่อจะค่อนข้างด้อยหรอกหรือ? ทำไมตอนนี้เธอถึงเหนื่อยจนกระดิกตัวไม่ไหวเลยล่ะ? ร่างกายงี้อย่างกับไม่ใช่ร่างกายของตัวเองยังไงยังงั้น

คนเรานี่ดูแต่หน้าตาไม่ได้จริงๆ...ถูกหน้าตาหลอกเอาอีกแล้ว...

ถัดไป ตำแหน่งที่ชอบในการร่วมรักของเขากับเธอไม่สอดคล้องกันอย่างเห็นได้ชัด ฉินชวนผู้เป็นฝ่ายรุกชอบเข้าจากด้านหลัง แต่ซูจิ่นชอบเป็นฝ่ายอยู่ข้างบน เมื่อคืนนี้เขาหลอกล่อให้เธอตามใจเขาก่อน แต่เธอพบว่ารอจนเขาได้สมใจ เธอก็หมดแรงจะขึ้นไปอยู่ข้างบนแล้ว ดังนั้นลำดับก่อนหลังนี้ครั้งต่อไปต้องเปลี่ยนเสียใหม่

ต่อไป ถึงเธอจะไม่อยากมีความรักกับเขา แต่เธอพบว่าเธอชอบร่วมรักกับเขา...ต้องคิดหาวิธีทำให้ความสัมพันธ์กำกวมที่ไม่รับผิดชอบนี้ดำเนินต่อไปเสียแล้ว วิธียังไม่มี...ถ้าเขาคิดแบบนี้เหมือนกันย่อมจะดีที่สุด...แต่ถ้าไม่ใช่...ระหว่างชายหญิง มีครั้งแรกแล้ว ก็ยากที่จะไม่มีครั้งที่สอง ครั้งที่สาม...สังเกตดูสถานการณ์ไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน

อีกอย่าง เมื่อคืนนี้เขากับเธอไม่ได้ป้องกันด้วยกันทั้งคู่ ถึงสุดท้ายเขาจะไม่ได้หลั่งในตัวเธอก็เถอะ แต่ก็ยังมีโอกาสเจอแจ็กพอตอยู่ดี ไปซื้อยาคุมฉุกเฉินดีไหม?

แต่ถ้าเป็นลูกของเขา...มีหน้าตาเหมือนเขาและมีสมองเหมือนเธอ เด็กคนนี้ก็เพอร์เฟกต์เกินไปแล้ว (ตัวซูจิ่นเห็นว่าอย่างนี้) ถ้าเจอแจ็กพอต ถึงเธอจะไม่มีบุญกับหนุ่มหล่อรุ่นใหญ่ ในบ้านก็ยังเลี้ยงหนุ่มหล่อรุ่นเยาว์ได้ ก็ไม่เลวเหมือนกันเนอะ งั้นอย่าเพิ่งไปซื้อยาคุมฉุกเฉินเลย

ปัญหาสุดท้าย ตอนนี้กี่โมงแล้ว?

หญิงสาวแข็งใจลืมตามองนาฬิกา เก้าโมง สรุปว่าวันนี้ต้องลาป่วยอีกแล้ว...

ในขณะที่ซูจิ่นกำลังกลุ้มใจกับปัญหาที่เป็นสภาพจริงของชีวิตอย่างมาก ฉินชวนกลับกลุ้มใจในปัญหาที่เป็นเรื่องของจิตใจอย่างมากอยู่อีกฟากของเตียง

เขาค้างคืนบนเตียงของเธอซะแล้ว

เขายกครั้งแรกในชีวิตให้เธอหลายอย่างเกินไปแล้ว

ใช้ชีวิตร่วมบ้านกับผู้หญิงเป็นครั้งแรก

ทำอาหารให้ผู้หญิงเป็นครั้งแรก

นอนค้างคืนบนเตียงของผู้หญิงเป็นครั้งแรก

ร่วมรักกับผู้หญิงที่ไม่ได้กำลังคบกันเป็นครั้งแรก...

ปัญหาวกกลับไปสู่ประเด็นที่เขาหงุดหงิดกลุ้มใจเมื่อวันเสาร์ที่แล้วอีกครั้ง

เขากับเธอมีความสัมพันธ์แบบไหนต่อกันกันแน่?

ที่แท้การร่วมรักจบลงแล้ว เรื่องราวกลับเพิ่งจะเริ่มต้น...

 

 

 



[1] ชื่อเต็มว่า ไวน์ ชาโต ลาฟิต-รอธส์ชิลด์ (Chateau Lafite-Rothschild) แบ่งเป็นสองยุค ยุคเก่าได้แก่ปี 1797, 1801, 1805, 1811, 1870, 1893, 1895 และ 1900 สำหรับยุคใหม่ ปีทองประกอบด้วยปี 1945, 1949, 1952, 1953, 1955, 1959, 1966, 1970, 1982, 1986, 1988, 1989, 1990 และ 1995

Admin เข้าร่วมเมื่อ 21 เม.ย. 2568, 00:58

0 ความคิดเห็น