หัวข้อ : บทที่ 6 เป็นแม่สื่อช่วยสื่อรัก

โพสต์เมื่อ 28 เม.ย. 2568, 03:31


บทที่ 6 เป็นแม่สื่อช่วยสื่อรัก


ซิงหุนมองเด็กชายที่นั่งดีดพิณอยู่ในป่าไผ่ ดีดเสียงไถลสุดท้ายพร้อมกับเด็กชายผู้นั้น กระทั่งความโค้งของมือที่ยกขึ้นยังเหมือนกันทุกประการ ในเรือนไผ่ปลายเสียงพิณทอดอ้อมขื่อ ซิงหุนคลี่ยิ้มเบือนหน้าไป บนแก้มนวลของเซียนเซิงคนงาม น้ำตาหนึ่งหยดเกาะระริกแต่มิได้ร่วงหยด

ซิงหุนเดินเข้าไปหา ยื่นนิ้วไปเช็ดน้ำตาหยดนั้นทิ้ง แล้วเลยไปลูบเรือนผมยาวสลวยดำขลับของนาง นิ้วเล็กๆ ปัดผ่านติ่งหูดั่งไข่มุกดุจไม่ได้ตั้งใจ

“เด็กบ้า!” เฉิงเตี๋ยอีเอ็ดเสียงเข้ม ยันตัวขึ้นนั่ง ดวงหน้านวลซับสีเรื่อเพราะตกใจ

ซิงหุนพอใจกับการเล้าโลมของตัวเองมาก เบิ่งตากว้างมองนางอย่างใสซื่อ เอ่ยชมว่า “เซียนเซิงช่างงามแท้ ชิงอีซือฝุบอกเสมอว่า หากมีปิ่นหยกขาวสักอันมาเกล้าผมดำขลับของเซียนเซิง ไม่ทราบจะงดงามน่าตะลึงสักเพียงไร!”

เฉิงเตี๋ยอีหน้าตึง ยกมือขึ้นปลดปิ่นอันนั้นลงมา “ซือฝุของเจ้าใช้ให้เจ้าเอามาให้รึ?” แล้วทำท่าจะขว้างทิ้ง

ซิงหุนตกใจจนหน้าถอดสี รีบห้ามทันควัน “ข้าไปตลาด เห็นซือฝุจ้องปิ่นอันนี้กระดากที่จะซื้อ คนเป็นศิษย์ย่อมต้องคิดแทนอาจารย์ ข้าใช้เงินตัวเองซื้อต่างหาก เซียนเซิงจะปฏิเสธใจกตัญญูของซิงหุนได้อย่างไรขอรับ?”

นิ้วเรียวประดุจหยกของเฉิงเตี๋ยอีจิ้มใส่หน้าผากศิษย์น้อย เอ่ยยิ้มๆ “หากซือฝุของเจ้าเป็นคนให้ ข้าต้องทิ้งแน่ละ ในเมื่อเป็นน้ำใจของเสี่ยวซิงซิง ข้าย่อมจะถนอมอยู่แล้ว”

ซิงหุนดีใจยิ่ง ฉวยโอกาสกอดนางแล้วจูบเสียงดังลั่น ไม่รอให้นางโกรธ ชิงกระโดดถอยไปหลายก้าว ตบมือพูดว่า “ชิงอีซือฝุพูดถูกจริงๆ แก้มของเซียนเซิงคนงามทั้งขาวทั้งเนียน!”

แววตกใจระคนโกรธจัดแผ่ซ่านบนดวงหน้างาม ประกายโกรธเกรี้ยววาบขึ้นในดวงตา “ชิงอีก้วยรังแกกันเกินไปแล้ว!”

“เซียนเซิงโกรธแล้วหรือ? ชิงอีซือฝุไม่ได้บอกแบบนี้หรอก ท่าน...ท่านบอกแค่ว่าเซียนเซิงเป็นผู้มีรสนิยมสุนทรีย์อย่างที่สุดเท่านั้น ซิงหุนอยากหอมเซียนเซิงเองดอก” พูดพลางเบะปากนิดๆ ทำหน้าสลด

“เอาเถิด เจ้านี่นะ!” หญิงสาวใจอ่อนยวบ ยื่นมือไปกอดเด็กน้อย

กลิ่นหอมอ่อนๆ กรุ่นมาจากตัวของเฉิงเตี๋ยอี เด็กชายสูดหายใจลึก มึนเมาอยู่ท่ามกลางกลิ่นหอมนี้ มีสาวงามอยู่แนบกายช่างสุขีหาใดปาน น่าเสียดาย...เขาถอนหายใจ เงยหน้าขึ้นพูดยิ้มๆ “เซียนเซิง ท่านยังไม่ได้ให้ของขวัญตอบแทนข้าเลย”

“เจ้าอยากได้อะไร?”

“เซียนเซิง เอาเป็นว่าท่านวาดรูปเหมือนตัวท่านเองสักรูปให้ซิงหุนเป็นอย่างไร? เวลาข้าคิดถึงท่านจะได้เอาออกมาดู ดูท่านแล้วจะได้มีกำลังใจฝึกวิชา อย่างไรก็ดีกว่าดูชิงอีซือฝุ!”

หญิงสาวรับปากอย่างเต็มใจ

เด็กชายรีบจัดแจงปูกระดาษฝนหมึก ล้างพู่กันผสมสีให้โดยไว

เพียงไม่นานบัณฑิตหญิงยุคโบราณบุคลิกสุดเลิศล้ำก็ปรากฏขึ้น ณ ปลายพู่กัน เฉิงเตี๋ยอีวาดเสร็จ วางพู่กันอย่างพอใจ ชื่นชมอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยยิ้มๆ ว่า “เอาไปเถิด! แต่...เจ้าดูได้คนเดียว ขืนชิงอีซือฝุของเจ้าเห็นเข้า ข้าไม่ยอมดอกนะ”

เด็กชายพยักหน้า กลอกตาเล็กน้อย พูดอีกว่า “ซิงหุนแต่งกลอนให้เซียนเซิงหนึ่งบทดีไหมขอรับ?”

เฉิงเตี๋ยอีนึกถึงว่าหลังจากเอื้อน “ตายใต้ดอกโบตั๋น” บาทนั้นแล้ว ไม่เห็นศิษย์คนนี้แต่งกลอนอีก จึงกระตือรือร้นอย่างมากทันที

เด็กชายนิ่งคิด เอื้อนว่า

“นงรามม้วนม่านคุลิกา นั่งเร้นกายามุ่นขนง

เห็นเพียงรอยชื้นอัสสุชล มิทราบใจอนงค์แค้นผู้ใด” [1]

เฉิงเตี๋ยอีตกตะลึง พึมพำท่องอยู่ ๒-๓ รอบ ในดวงตาคู่งามทอแววตัดพ้อจางๆ

“ดีหรือไม่ เซียนเซิง?” ซิงหุนมองนางอย่างคาดหวัง

“ดี” เนิ่นนาน เฉิงเตี๋ยอีค่อยถอนหายใจยาวเอ่ยตอบ

“เซียนเซิง มิสู้เขียนลงบนภาพนะขอรับ?” เด็กชายยุ นึกถึงฉากท่านพ่อของปึงซีเง็กหลอกมัดใจท่านแม่ของปึงซีเง็ก[2] คิดอย่างสบายใจว่า ชาตินี้มีเรื่องที่น่าเสียใจมากมายเกินไป ได้แต่ทำเรื่องที่ชาติก่อนไม่เคยทำบ้าง ถึงค่อยรู้สึกว่ายุติธรรมหน่อย

เฉิงเตี๋ยอีเขียนกลอนบทนี้ลงบนภาพทันที

เด็กชายรีบยอประจบต่อ “ยอดภาพเขียน ยอดอักษร! ซิงหุนขอบพระคุณเซียนเซิงอย่างสูงแล้ว”

“เสี่ยวซิงซิง วันนี้พอแค่นี้ก็แล้วกัน ข้าเหนื่อยแล้ว เจ้ากลับไปเถิด” ดูเหมือนนางจะถูกกระทบใจตรงไหนสักแห่ง อยากจะอยู่ตามลำพัง

เป้าหมายของซิงหุนบรรลุแล้ว ประคองภาพวาดกล่าวลา วิ่งกลับห้องศิลาปานเหินบิน


<>::<>::<>


ชิงอีเหรินกำลังนึกแปลกใจว่าเหตุใดศิษย์น้อยถึงเลิกเรียนเร็วอย่างนี้ ซิงหุนได้ตอกไข่ใส่สีเล่าให้ฟังจ๋อยๆ จากนั้นหยิบภาพวาดให้อาจารย์ด้วยสีหน้าจริงจัง “เซียนเซิงคนงามบอกว่าห้ามให้ท่านเห็นเด็ดขาด ผู้หญิงน่ะนะ บอกว่าอย่าก็คือให้ ซือฝุ ท่านอย่ารานน้ำใจเซียนเซิงเชียวนะ!”

ชิงอีเหรินนิ่งตะลึงไปชั่วอึดใจ พึมพำว่า “เตี๋ยอีสายตาสูงเหนือศีรษะ[3]มาแต่ไหนแต่ไร...”

ซิงหุนยิ่งยิ้มหวานหยด “ซือฝุ ท่านดูรูปนี้ก็เข้าใจได้แล้วนี่ เซียนเซิงคนงามอยู่ในหุบเขานี้เพียงลำพัง ต้องเหงาอย่างแน่นอน หากนางไร้เจตนา มีหรือจะดีกับข้าปานนี้? นี่เรียกว่า ‘รักบ้านรักไปถึงอีกา[4]’ จริงสิ ท่านก็ทราบนิสัยของเซียนเซิงคนงาม ท่านอย่าไปถามนางเด็ดขาดเชียวนะ นางต้องเคืองแน่ อีกอย่าง เซียนเซิงคนงามให้ภาพวาดนี้มา ข้าจึงมอบปิ่นหยกให้นาง บอกว่า...เป็นน้ำใจจากซือฝุ”

ชิงอีเหรินใจหายวาบ “ท...ทำไมถึงเป็นน้ำใจจากข้าได้?”

เด็กชายเหลือกตาใส่อาจารย์ในความมืด แต่ปากพูดด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่นจางๆ “ซือฝุไม่ได้มีเจตนานี้หรอกหรือ? งั้นทำยังไงดี? งั้นข้าไปหาเซียนเซิงคนงามบอกว่าไม่ใช่เจตนาของซือฝุก็แล้วกัน ข้ายังคิดอยู่เลยว่า แต่ละวันเซียนเซิงคนงามเฝ้ารอให้ซิงหุนเลิกเรียนอย่างร้อนใจยิ่งกว่าตัวซิงหุนเองเสียอีก...เฮ้อ แล้วนี่จะทำยังไงดี เกิดเซียนเซิงคนงามเข้าใจผิดขึ้นมาแล้วปักปิ่นนั่นทั้งวัน...ซือฝุ ท่านอย่าบอกเชียวนะว่าเป็นฝีมือข้า! เซียนเซิงต้องตีข้าแน่ๆ!”

“เหลวไหล! เจ้าควรจะออกไปฝึกวิชาได้แล้ว” ชิงอีเหรินทำหน้าดุเอ็ดศิษย์น้อย

ซิงหุนรับคำเสียงใส แล้วเผ่นแผล็วออกจากห้องศิลาอย่างว่องไวปานกระต่าย ก่อนจะหัวเราะก๊ากออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เขานึกภาพชิงอีเหรินอดใจรอไม่ไหวรีบไล่เขาออกมา แล้วไปเพ่งพิศภาพวาดกับกลอนบทนั้นอย่างหลงใหลตามลำพัง ก็แสนจะภูมิใจนัก เขาจะอยู่ในหุบเขานี้ได้อีกไม่นานแล้ว ฝึกวิชาน่าเบื่อจะแย่ เลียนแบบเด็กชายชุดม่วงที่น่าสงสารคนนั้นยิ่งน่าเบื่อเข้าไปใหญ่ สามเดือน...เขาไม่เคยได้ยินเด็กคนนั้นพูดเลยสักคำเดียว ทำให้เขาอึดอัดใจมากพอควร

เขาเคยคาดเดาฐานะของเด็กชายชุดม่วงมาไม่น้อยกว่าหนึ่งครั้ง และอยากจะเล่นกับฝ่ายนั้นสักครู่อย่างมาก

คนของโหยวหลีกู่คิดจะให้เขาทำอะไร ต่อไปย่อมต้องบอกเขาแน่นอน แต่เขาอยากจะรู้เรื่องราวทั้งหมดจากทางอื่นนัก

สถานการณ์ในตอนนี้เหมือนวางจานอาหารไว้ตรงหน้าเขาหนึ่งจาน เพียงบอกเขาว่าอร่อยอย่างไรโดยไม่ให้เขาลงมือกิน ขนมเปี๊ยะที่ใช้จินตนาการวาดขึ้นในอากาศหรือจะสบใจเท่าได้กินเข้าสู่ปาก? เขาเกลียดเรื่องที่ต้องเค้นสมองคิดแบบนี้มาก และพลอยแค้นไปถึงชิงอีซือฝุกับเซียนเซิงคนงามที่รู้ความจริงดี แต่กลับไม่ยอมบอกเขาด้วย ผลลัพธ์ก็คือเขาตัดสินใจเป็นแม่สื่อ หาความบันเทิงจากอาจารย์ทั้งสอง


<>::<>::<>


ผ่านไปสองวัน ตอนชิงอีเหรินมารับศิษย์น้อยเลิกเรียน สายตาได้เหลือบมองไปที่เรือนผมของเฉิงเตี๋ยอีอย่างห้ามใจไม่อยู่

ซิงหุนกล่าวลาเซียนเซิงคนงามอย่างสุภาพจริงจัง สายตาโจรเจ้าเล่ห์ได้มองเห็นสิ่งที่เขาอยากจะเห็น สายตาของชิงอีเหรินทะลุผ่านปิ่นหยกขาวอันนั้นมองไปยังส่วนลึกของป่าไผ่ เฉิงเตี๋ยอีก้มหน้าน้อยๆ จัดผ้าคล้องไหล่บนแขน

คืนนั้น ซิงหุนพบว่าชิงอีซือฝุแอบออกไปจากห้องศิลาเพียงลำพังอย่างเงียบเชียบ

รออยู่ครู่หนึ่ง เด็กชายยิ้มเจ้าเล่ห์ออกไปจากห้องศิลาด้วย เดินทอดฝีเท้าไปทางเรือนไม้ไผ่ของเฉิงเตี๋ยอี ได้ยินแต่ไกลว่ามีเสียงเซียว[5]ดังขึ้นที่นอกเรือนไม้ไผ่ เด็กชายกลับห้องศิลาไปนอนอย่างพอใจ ส่ายหน้าทอดถอน ชิงอีซือฝุเป่าเซียวได้ย่ำแย่ปานนั้นยังกล้ามาเป่าอวดอีก พลังของความรักช่างยิ่งใหญ่แท้!

ซิงหุนกำลังคิดจะเล่นให้หนักข้อขึ้น อารมณ์ดีๆ กลับถูกทำลายลง เมื่อชิงอีเหรินบอกว่า หุยหุน หมอเทวดาของหุบเขาสนใจใบหน้าของเขา อยากจะเสริมความงามให้เขาสักหน่อย


<>::<>::<>


ชิงอีเหรินพาศิษย์น้อยเดินเรื่อยเฉื่อยไปยังกลางหุบเขา กลับไปสู่สถานที่ที่เคยร่วมเข่นฆ่ากับพวกเก้าเก้าอีกครั้ง ซิงหุนสะท้อนใจอยู่บ้าง

ยังคงเป็นทางเส้นเดียวกัน ครั้นลงจากเขาแล้ว ซิงหุนออกจะไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง

เดิมทีที่นี่มีหออยู่สิบหอ ยังมีเรือนหลังเล็กที่หลี่เหยียนเหนียนพักอยู่ บัดนี้...ล้วนไม่มีแล้ว

กลางหุบเขาสกุณาขับขานบุปผชาติกรุ่นกำจาย แมกไม้พงไพรทึบทะมึน ยังมีธารน้อยสายหนึ่งไหลคดเคี้ยวผ่านกลาง ราวกับว่าที่นี่ไม่เคยมีหอไม้ที่ถูกเลือดย้อมจนแดงฉานสิบหอนั้น...ไม่เคยมีหลี่เหยียนเหนียน เรื่องเล่าที่เด็กหนึ่งพันคนเคยกระซวกมีดใส่กันที่นี่ก็เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้น

“ซือฝุ?” เด็กชายจุปากถอนใจชม “สองปี...ก็เปลี่ยนเป็นแบบนี้แล้วหรือ?”

ชิงอีเหรินยิ้ม “ข้าเองก็ไม่รู้ หลังจากเจ้ามาเรียนวิชากับข้า ที่นี่ก็เป็นแบบนี้แล้ว”

ซิงหุนไม่พูดอะไรอีก ดูท่าทางเด็กที่เดินออกจากหออีกสิบหกคนนั้นต่างมีเป้าหมายใช้งานกันหมดแล้ว โหยวหลีกู่ไม่จำเป็นต้องเลือกเด็กอย่างเมื่อก่อนอีก

ริมลำธารมีกระท่อมมุงจากตั้งอยู่หลังหนึ่ง รอบกระท่อมปลูกสมุนไพร ชิงอีเหรินหยุดเดิน “ค่ำๆ หน่อยข้าจะมารับ เจ้าอย่าเดินเพ่นพ่านล่ะ ที่นี่ไม่เหมือนบนเขา”

ในน้ำเสียงชิงอีเหรินแฝงแววกังวลอยู่จางๆ ซิงหุนยิ่งรู้สึกว่าทางหุบเขาทำอะไรประหลาดพิกล

นี่เป็นครั้งแรกที่ชิงอีเหรินเตือนเขาว่าอย่าเดินเพ่นพ่าน จากความทื่อและวิธีจัดการเรื่องราวของอาจารย์คนนี้ ชิงอีเหรินไม่มีทางทำเรื่องละเมิดกฎเด็ดขาด ซิงหุนเดินมุ่งหน้าไปตามทางอย่างเงียบงัน แอบทายเรื่องที่จะได้พบอยู่ในใจ

ใต้เท้าคือถนนปูด้วยอิฐเขียว[6]ก้อนเล็ก เด็กชายไม่ก้าวเข้าไปในพื้นหญ้าแม้แต่ก้าวเดียวอย่างรู้ตัว ที่พักของหุยหุน ใครจะรู้ได้ว่ารอบๆ ปลูกพืชพิษไว้หรือเปล่า

เดินไปถึงหน้ากระท่อม เด็กชายตะโกนเสียงดัง “หุยหุนซือฝุ!”

คนที่ออกมาตามเสียงตะโกนคือเด็กคนหนึ่ง คิ้วกระบี่นัยน์ตาดาว สวมชุดผาวสีขาว ดูแล้วคุ้นตาเป็นที่สุด

นิ้วมือซิงหุนที่ชี้หน้าอีกฝ่ายสั่นระริกอยู่พักใหญ่ สะกิดปลายเท้าโถมเข้าไปหา “เก้าเก้า!”

เก้าเก้าวาบหลบไปด้านข้างเล็กน้อย ขมวดคิ้วฉับ “ไฉนนิสัยเปลี่ยนเป็นแบบนี้เสียแล้ว?”

เวลานี้ซิงหุนลิงโลดดีใจ ไหนเลยยอมให้เก้าเก้าเบี่ยงหลบ? วิชาตัวเบาของเขาดีกว่าเก้าเก้าอย่างเห็นได้ชัด กระโดดไม่กี่ครั้งก็กอดเก้าเก้าไว้หมับ “คิดถึงเป็นบ้าเลย!”

ถ้อยคำนี้เพิ่งหลุดจากปาก ตัวก็อ่อนยวบล้มตึงลงกับพื้น

เก้าเก้าหยิกแก้มอีกฝ่ายอย่างย่ามใจ พูดยิ้มๆ “วิชาตัวเบาแน่นักรึ? มาที่นี่ยังกล้าอวดเก่งอีก!”

“เยว่พ่อ!” หุยหุนปรากฏกายอย่างพอดีถึงที่สุด

เก้าเก้าไม่ทราบเอาอะไรป้ายที่ปลายจมูกซิงหุนอย่างรวดเร็ว แล้วดึงซิงหุนขึ้นมา ร้องเรียกอย่างนอบน้อมว่า “ซือฝุ!”

เรี่ยวแรงภายในตัวซิงหุนกลับคืนมาอีกครั้ง เขายังไม่ทันได้นึกโมโหกับความจริงที่ว่าถูกวางยาจนล้มพับอย่างง่ายดาย ก็ต้องถูกข่าวนี้ทำเอาตกตะลึงจังงัง ชี้หน้าเก้าเก้าถามว่า “เจ้าเรียกท่านว่า ‘ซือฝุ’? เจ้าติดตามเรียนวิชาแพทย์กับท่านมาตลอดเลยรึ?”

“ซิงหุน เข้ามาข้างในกับข้า เยว่พ่อ เจ้าไปดูที่แปลงสมุนไพร!”

ซิงหุนได้เห็นเก้าเก้าผู้โอหังอวดดีในอดีตก้มหน้าหลุบตาจากไป เวลาแค่สองปี ต่างเปลี่ยนไปแล้ว...เขาเปลี่ยนเป็นสดใสร่าเริง เก้าเก้าเปลี่ยนเป็นสุขุมเยือกเย็น

“หุยหุนซือฝุ ฟังว่าท่านสนใจหน้าของข้า?” ซิงหุนถามขึ้นหลังจากเดินตามหุยหุนเข้าไปในกระท่อม

หุยหุนเพ่งมองเขาอยู่ครู่ใหญ่ ถอนหายใจพูดว่า “อ้วนไปนิด แต่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่” ว่าพลางหยิบของจำพวกขวด กระปุก มีด กรรไกรออกมา

ซิงหุนสะดุ้งโหยง ลูบหน้าตัวเอง เขาไม่มั่นใจในศัลยกรรมใบหน้าของยุคโบราณ อย่าว่าแต่แค่ดูเด็กชายคนนั้นแวบเดียว ในใจก็ยิ่งกว่ารู้ดีแล้วว่าความแตกต่างของเขากับเด็กคนนั้นอยู่ตรงไหน “หุยหุนซือฝุ ถ้าคนผู้หนึ่งพักอยู่ข้างนอกครึ่งปีค่อยกลับบ้าน อยู่ข้างนอกกินได้หลับดี เนื้อบนหน้าจะมากขึ้นสักนิดนั้นปกติมาก ท่านแน่ใจนะว่าต้องปาดเนื้อออกจากหน้าของข้าเล็กน้อย?”

หุยหุนชะงักงัน

ซิงหุนยิ้มบางๆ เชิดคางนิดๆ เหยียดปากเล็กน้อย สีหน้าและน้ำเสียงของเด็กชายผู้นั้น เขาเลียนแบบมาครบถ้วนทุกประการ “ข้าคิดว่าไม่จำเป็นแล้วกระมัง?”

หุยหุนขมวดคิ้วแล้วคลายออก ระบายลมหายใจพูดว่า “ถ้าเจ้าผอมลงกว่านี้อีกสักนิดได้ ก็ไม่มีปัญหาแน่นอน!”

ไขมันเด็กน่ะเก็ตมั้ย? [7] ซิงหุนเบ้ปาก

“กินนี่เข้าไปเล็กน้อย...ก็ผอมลงได้ไม่มีปัญหา!” มือซ้ายของหุยหุนล้วงยาขวดหนึ่งออกมา

อายุแปดขวบก็ต้องเริ่มลดความอ้วนแล้ว ซิงหุนไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ยิ้มหน้าระรื่นรับขวดยามา ทางหุบเขาคิดได้รอบคอบจริงๆ แต่จะกินหรือเปล่าน่ะอยู่ที่เขา เหลือบมองขวดเรียงเป็นแถวยาวบนโต๊ะ เด็กชายเดินเข้าไปพลิกๆ ดูอย่างสนิทสนม เห็นหุยหุนยังคงยืนอยู่ข้างหลัง ก็กวักมือเรียก “มานี่สิ หุยหุนซือฝุ บอกข้าหน่อยว่าตรงนี้ขวดไหนเป็นยาบำรุงครอบจักรวาล ข้ากลัวว่าจะกินผิดเข้า”

หุยหุนชักสีหน้าไม่ขยับ “ไม่กลัวเจ้ากินผิด กลัวเจ้ากินแล้วปัญญาอ่อน”

มือซิงหุนหดกลับไปอย่างรู้ตัว พูดยิ้มๆ “ขึ้นชื่อว่ายา มีพิษอยู่สามส่วน ไม่ได้ป่วยทางที่ดีอย่ากินยา หุยหุนซือฝุ ข้าออกไป...เล่นกับเยว่พ่อสักครู่ได้ไหม?”

หุยหุนเดาใจเขาออก พูดเสียงราบเรียบ “ไปเถิด หนึ่งเดือนนี้ เจ้าจงมาที่นี่วันละหนึ่งชั่วยาม เพิ่มพูนความรู้สักหน่อยก็ดีอยู่ จะได้ไม่ออกจากหุบเขาปุบโดนพิษตายทันที”

ซิงหุนพูดยิ้มๆ “มียาที่กินแล้วร้อยพิษไม่กล้ำกรายหรือไม่?”

“มีคนที่ร้อยพิษไม่กล้ำกราย” หุยหุนตอบเนิบๆ

ซิงหุนชักสนใจนิดๆ

“คนตาย”

ซิงหุนหมุนตัวออกจากประตูไป ตัดสินใจใส่หุยหุนไว้ในเป้าหมายล้างแค้นด้วย


<>::<>::<>


ได้พบเยว่พ่ออีกครั้ง ซิงหุนดีใจมาก เดินเข้าไปในแปลงสมุนไพร เห็นเยว่พ่อกำลังใช้ผ้าแห้งเช็ดต้นไม้สีเขียวหน้าตาเหมือนต้นอ่อนผักกาดขาวต้นหนึ่งอย่างระมัดระวัง ก็ยื่นมือไปจะลูบดูอย่างอยากรู้

เยว่พ่อตีมือเขาทันที “ห้ามซี้ซั้วจับ!”

“เยว่พ่อ เฮ้อ ชื่อนี้นี่!” ซิงหุนส่ายหน้า

“ชื่อนี้ทำไมเรอะ? ‘ซิงหุน’ เพราะนักรึไง? ชื่อพิลึกทั้งนั้น!”

นิสัยจริงของเยว่พ่อเผยออกมาจนได้ ซิงหุนกลับรู้สึกสนิทสนม ถอนหายใจพูดว่า “จะดีจะชั่วเจ้าก็ได้ใช้ชีวิตท่ามกลางเสียงนกร้องดอกไม้หอม ข้าสิอยู่แต่ในหลุมศพทั้งวัน มืดมนไร้แสงตะวัน!”

เยว่พ่อเหลือกตาใส่คนพูด ประคองต้นอ่อนสมุนไพรให้ตั้งตรงอย่างระมัดระวัง พูดเสียงขุ่นว่า “แค่ดูผิวของเจ้าก็รู้แล้ว ขาวจนใสเชียว ได้ยินซือฝุบอกว่า คนที่ติดตามชิงอีก้วย ไม่ค่อยมีที่เหมือนคนหรอก!”

“วันนี้ได้เจอกันอีก ให้ของขวัญข้าซะ!” ซิงหุนยิ้มหน้าเป็น คิดในใจว่าโลกนี้มีคนคุ้นเคยแค่ไม่กี่คน พบหน้าไม่ขอของขวัญคือผิดต่อตัวเอง จะมากจะน้อยเขายังคิดอยากได้ของดีจากเยว่พ่อมาบ้าง

เยว่พ่อเหลียวซ้ายแลขวาเห็นไม่มีคน พลันกระซิบชิดริมหูซิงหุน “เจ้าได้เจอคนอื่นบ้างไหม?”

ซิงหุนส่ายหน้า วันนี้ไม่มาที่กระท่อมของหุยหุน แม้แต่เยว่พ่อก็ไม่ได้เจอด้วยซ้ำ

“เจ้าอยากได้อะไร? บอกมา!” เดิมทีเยว่พ่อก็ไม่ได้สนใจคนอื่นอยู่แล้ว แค่ได้พบซิงหุนก็ดีใจมากแล้ว เขาขัดเกลานิสัยกับหุยหุนได้สองปี ไม่ได้อวดเก่งเหมือนเมื่อก่อนอีก และอยากจะคุยกับซิงหุนอย่างเป็นเรื่องเป็นราวอยู่แต่แรก แต่อดทนไว้ ตอนนี้พอประตูทำนบคำพูดเปิดออก ความผูกพันเมื่อวันวานก็หวนกลับมาอีกครั้ง

“ก็ต้องสอนให้ข้ารู้จักพิษกับแก้พิษอยู่แล้ว!” ซิงหุนยักไหล่อธิบายว่า “อีกไม่นานข้าก็ต้องออกจากหุบเขาแล้ว ข้ายังไม่อยากตายอยู่ข้างนอก”

“ออกจากหุบเขา?” ดวงตาเยว่พ่อทอแววขัดเคือง ให้ซิงหุนออกจากหุบเขาทั้งที่ยังเด็กปานนี้ เท่ากับจงใจส่งเขาไปตาย! “ตกลง”

ในใจซิงหุนอุ่นวาบ ลูบศีรษะเยว่พ่ออย่างห้ามใจไม่อยู่

เยว่พ่อตะลึงมองอีกฝ่าย ซิงหุนในตอนนี้แตกต่างจากซิงหุนเมื่อสองปีก่อนมาก เขาขบคิดแล้วพูดว่า “ไม่ว่ายังไง ข้าจะให้ของดีเจ้ามากหน่อยเป็นการส่วนตัว”

ซิงหุนยิ้มแล้ว พลันรู้สึกผิดต่อเยว่พ่อนิดๆ เขามีความคิดหลอกใช้เยว่พ่อมาโดยตลอด แรกเข้าหอน้อยเข่นฆ่ากัน หลอกใช้เยว่พ่อผ่านด่านมาได้โดยสวัสดิภาพ ตอนนี้ได้ยินว่าเยว่พ่อเรียนวิชาแพทย์กับหุยหุน ก็คิดจะหลอกใช้เขาเอายาแก้พิษดีๆ อีกแล้ว ซิงหุนมองต้นสมุนไพร ถามเหมือนไม่ได้ตั้งใจ “เหตุใดผ่านมาสองปีแล้ว เจ้ายังคงดีกับข้าปานนี้?”

“เจ้าโง่นี่! โง่เหมือนน้องชายข้าเลย!” เยว่พ่อมีซิงหุนเป็นคนคุ้นเคยแค่คนเดียว ภาพเมื่อครั้งนั้นที่ซิงหุนก้าวออกมาบอกหลี่จื๋อซื่อว่า เป็นคนออกอุบายเรื่องดำกินดำ ได้กลับมาอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง เยว่พ่อฉีกยิ้มกว้าง “ข้าจะพาเจ้าไปดูสมุนไพร”

ซิงหุนสังเกตดูสมุนไพรในแปลงอย่างละเอียด ตั้งอกตั้งใจจำรูปร่างและสรรพคุณของพวกมัน เยว่พ่อเป็นห่วงสหาย อยากจะบอกความรู้ที่ได้เรียนมาในสองปีนี้ทั้งหมดให้ซิงหุนฟังใจแทบขาด คนหนึ่งยินดีบอก อีกคนยินดีฟัง เวลาจึงไหลผ่านไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

ชิงอีเหรินยืนอยู่ที่ด้านนอก มองดูเด็กทั้งสองอย่างเงียบงัน เนิ่นนานค่อยร้องเรียกว่า “ซิงหุน พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่”

ซิงหุนได้ฟังก็ลุกขึ้นยืน มองเยว่พ่อที่สอนเขาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยแล้วยิ้มอย่างอารมณ์ดี “ได้ยินไหม? พรุ่งนี้ข้ายังจะมาอีก”

รอยยิ้มของสหายน้อยดุจแสงตะวันอันเจิดจ้าพาให้ความอบอุ่นพลุ่งขึ้นในใจเยว่พ่อ เขาหยิกแก้มซิงหุน พูดเสียงจริงจัง “ข้าจะผสมยาปลอมแปลงโฉมให้เจ้า อย่าเที่ยวเอาหน้าน้ำเคราะห์นี่ไปล่อตาหาเรื่องเสียทั่วอยู่ทั้งวัน”

ซิงหุนภูมิใจจนตัวลอยนิดๆ ตอนเดินออกไปด้านนอกเห็นหุยหุนยืนมองเขาอยู่ตรงประตูกระท่อม จึงยิ้มยิงฟันขาววาววับให้หุยหุน


<>::<>::<>


ค่ำคืนที่ชิงอีซือฝุออกจากห้องศิลาถี่ขึ้นเรื่อยๆ ค่ำคืนที่ซิงหุนฝึกวิชาตามลำพังเงียบๆ ก็ถี่ขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน เด็กชายตัดสินใจไม่กินยาลดความอ้วนของหุยหุน กลัวจะมีผลเสียอะไรต่อร่างกาย เขานึกถึงการนวดหน้าทุกวันของบรรดาแฟนสาวในอดีตชาติ แล้วถอนหายใจเริ่มเลียนแบบตาม แต่ไขมันเด็กไม่ยอมหายไปจนแล้วจนรอด เขาได้แต่จำใจเริ่มอดอาหาร

ฉวยโอกาสช่วงที่ชิงอีซือฝุไปเกี้ยวพาเซียนเซิงคนงาม เด็กชายขยันฝึกวิชาตามลำพัง อยู่ต่อหน้าชิงอีเหริน เขายังคงระมัดระวังซ่อนเร้นความสามารถแท้จริงส่วนใหญ่ไว้ดังเดิม

สามเดือน ซิงหุนงอนิ้วนับเวลา จากประสบการณ์ของเขา สามเดือนเป็นช่วงที่ความรักกำลังสุกงอมพอดี เขาอยากรู้ความคืบหน้าด้านความรักของชิงอีเหรินกับเฉิงเตี๋ยอีอย่างมาก จึงบอกชิงอีเหรินว่า “ซือฝุ เซียนเซิงคนงามนิยมชา มักจะบอกเสมอว่าวันเหมันต์เก็บรวบรวมหิมะบนดอกเหมย[8]มาชงชาได้ดี ไม่ทราบที่ใดในหุบเขามีดอกเหมย ข้าจะได้ไปเก็บสักนิดมาน้อมกตเวทีเซียนเซิงคนงาม”

ชิงอีเหรินตกตะลึง เอ่ยว่า “สวนเหมย ตอนนี้เจ้าไปไม่ได้”

เด็กชายถอนหายใจเหมือนผิดหวัง ในหุบเขายังมีสถานที่หนึ่งที่เขาไปไม่ได้ชื่อว่า “สวนเหมย” ด้วย? บางทีเด็กคนอื่นๆ อาจจะกำลังฝึกวิทยายุทธ์อยู่ที่นั่น เขาแอบคาดเดาอยู่ในใจ นอกจากสวนเหมย ภายในดงภูเขาเหล่านี้ยังมีสถานที่มากมายแค่ไหนที่มีคนเหมือนอย่างเขาอาศัยอยู่? ในวันหน้าเมื่อเขาสลัดหลุดจากโหยวหลีกู่ จะเผชิญหน้ากับยอดฝีมือมากมายเท่าไร? ที่เขากลุ้มใจคือเรื่องนี้


<>::<>::<>


เพิ่งผ่านไปสองวัน ซิงหุนก็ได้ดื่มน้ำชาที่ใช้หิมะจากดอกเหมยมาชงในเรือนไม้ไผ่ของเฉิงเตี๋ยอี เด็กชายสูดกลิ่นหอมของน้ำชาอย่างมึนเมาสุดเปรียบปาน “หอมสดชื่นหวานชุ่มคอ รสชาติติดตรึงมิรู้เลือน น้ำชาที่เซียนเซิงชงในวันนี้ช่างให้อารมณ์ที่ต่างออกไป สอนซิงหุนหน่อยเถิด ต้องทำอย่างไรจึงจะชงได้รสชาติเช่นนี้?”

เขาแอบเหลือบมอง บนใบหน้าเฉิงเตี๋ยอีซับสีเรื่อจางๆ อย่างมีพิรุธ แววตาอ่อนเชื่อมดุจธารวสันต์ ซิงหุนเกือบจะเผลอกลืนถ้วยน้ำชาลงท้องไปด้วย

กลับถึงห้องศิลา เด็กชายย่อมจะพูดชมน้ำชาของเฉิงเตี๋ยอีกับสีแดงระเรื่ออย่างเปี่ยมสุขบนใบหน้าของนางเป็นการใหญ่อีกแล้ว

ชิงอีเหรินทำเสียง “อ้อ” แล้วคืนนั้นก็ออกไปอีกครั้ง

กลิ่นอายลอยอ้อยอิ่งอยู่ในห้องศิลา ตอนชิงอีเหรินกลับมา ซิงหุนได้กลิ่นหอมของดอกเหมย


<>::<>::<>


อาจารย์ทั้งสองดีกันแล้ว ตัวเขาย่อมต้องได้รับผลประโยชน์บ้างจริงไหม? ด้วยเหตุนี้ ของขวัญของซิงหุนเริ่มเพิ่มขึ้น ยามเหมันต์มาเยือน เขามีเสื้อกันหนาวขนจิ้งจอกขาวหนึ่งตัว ชิงอีเหรินมีผ้าคลุมขนจิ้งจอกขลิบริมเพิ่มมาหนึ่งตัว เพื่อเป็นการตอบแทน เฉิงเตี๋ยอีได้รับพิณไม้ถง[9]หนึ่งตัว ซิงหุนติดตามชิงอีเหรินไปเยือนร้านของเถ้าแก่อ้วนอีกครั้ง สั่งทำมีดบินเล่มเล็กที่ตีได้ที่พอดีมากหนึ่งชุดในราคาที่น่าพอใจอย่างที่สุด

แน่นอน...ทั้งหมดนี้ต่างดำเนินไปภายใต้เหตุผลที่ว่า “ซิงหุนใกล้จะออกเดินทาง จำเป็นต้องจัดสัมภาระเพิ่ม”


<>::<>::<>


เวลานี้ซิงหุนมีอาจารย์สามคนแล้ว หุยหุนซือฝุไม่ได้ศัลยกรรมใบหน้าให้เขาและไม่ได้สอนอะไรเขา แต่ปล่อยให้เขากับเยว่พ่อผสมยาตามใจชอบ ถือว่าเป็นอาจารย์ของเขาทางอ้อม

อาจารย์ทั้งสามท่านต่างเสมอภาคกัน น้ำหนึ่งถ้วยต้องถือให้ได้ระดับ ห้าม (ลำ) เอียง

เด็กชายถามหุยหุนว่ารู้จักเซียนเซิงคนงามหรือไม่ แววประหลาดในดวงตาของหุยหุนทำให้เขารู้สึกว่า น่าสงสัยว่าชิงอีเหรินจะมีมือที่สาม แม้จะบอกว่าชิงอีเหรินกับเฉิงเตี๋ยอีผูกพันกันมากขึ้นทุกวัน แต่จากประสบการณ์จีบสาวเมื่อชาติก่อนของเขา ซิงหุนเห็นว่า หากไม่มีสิ่งท้าทาย มักไม่ง่ายที่ผู้ชายจะรักเดียวใจเดียว มีความจำเป็นต้องสร้างอุปสรรคเล็กๆ น้อยๆ มาทำให้ความรักของชิงอีเหรินกับเฉิงเตี๋ยอีมั่นคงยิ่งขึ้น

ด้วยเหตุนี้ เขาได้มอบยาตาน[10]ที่หุยหุนตั้งใจปรุงขึ้นให้แก่เฉิงเตี๋ยอี คุยโวยกยอสีวาดรูปที่หุยหุนทำขึ้นถึงขั้นบนสวรรค์ยังยากจะหา พร้อมกันนี้ก็ไปบอกชิงอีเหรินว่า เซียนเซิงคนงามนิยมชมชอบของที่หุยหุนซือฝุส่งไปให้อย่างมาก จัดการทั้งหมดนี้เสร็จ เขาค่อยซ่อนตัวอยู่ด้านข้างรอชมเหตุการณ์บันเทิง


<>::<>::<>


ซิงหุนเดินแต่ทางที่ชิงอีเหรินพาเขาเดินเช่นเดิมอย่างซื่อสัตย์มาก เวลานี้ชิงอีเหรินไม่มารับเขาที่กระท่อมของหุยหุนแล้ว เขาจึงแอบจูงเยว่พ่อออกไปจากกระท่อมของหุยหุน

“ซิงหุน พวกเราตามซือฝุไปทำไมรึ?” เยว่พ่อถามอย่างงุนงง

ซิงหุนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ฟังว่าคืนนี้จะฉายนิยายรักกำลังภายในฟอร์มยักษ์ จันทร์เพ็ญส่องสว่างกลางฟ้า เป็นเวลาดีที่สุดสำหรับผ่อนคลายอารมณ์พอดี”

“อะไรคือ ‘นิยายรักกำลังภายในฟอร์มยักษ์’?” เยว่พ่อสงสัยยิ่ง

“ก็คือดูงิ้วนั่นแหละ แสดงเรื่องของบุรุษสองคนกับสตรีหนึ่งคน สามคนนี้ต่างเป็นยอดฝีมือ เจ้าลองคิดดูสิว่าเวลาต่อสู้กันจะให้อารมณ์แบบไหน?” ซิงหุนย่ามใจมาก

เยว่พ่อค่อยถึงบางอ้อ “คืนนี้ที่นี่จะมียอดฝีมือประมือกัน เจ้าพาข้ามาเรียนรู้ประสบการณ์?”

ซิงหุนกลั้นหัวเราะ “เจ้าฉลาดมาก!”

ดวงตาเยว่พ่อทอแววกระตือรือร้น เดิมทีเขาอยากจะเรียนวิทยายุทธ์อย่างวิชาดาบ ไม่นึกว่ากลับต้องมาเรียนวิชาแพทย์ พอฟังว่าจะได้เห็นยอดฝีมือประมือกัน ก็เฝ้ารอให้งิ้วเรื่องเด็ดเริ่มเบิกโรงตาไม่กะพริบ

หลังจากนั้น ซิงหุนกับเยว่พ่อก็ได้เห็นหุยหุนซือฝุได้พบกับชิงอีซือฝุที่หน้าเรือนไม้ไผ่ของเซียนเซิงคนงามอย่างบังเอิญยิ่ง ในมือของหุยหุนซือฝุกำลังถือสีวาดภาพที่เซียนเซิงคนงามต้องการ ชิงอีซือฝุแสร้งเผลอใช้อาวุธลับซัดโถใส่สีหกคว่ำ เปรอะเรือนไม้ไผ่ของเซียนเซิงคนงาม

เซียนเซิงคนงามร้องอุทานเสียงเกรี้ยว หุยหุนซือฝุเริ่มวางยาสลบแก้แค้น ชิงอีซือฝุซัดอาวุธลับใส่หุยหุนซือฝุอย่างกะให้กลายเป็นเม่น บังเอิญพลาดไปทำแขนเสื้อของเซียนเซิงคนงามขาด...

“ยอดเยี่ยม!” ซิงหุนกับเยว่พ่อนอนแผ่บนพื้นหญ้าแหงนมองดวงจันทร์ที่กลางฟ้า ถอนหายใจอย่างพอใจ

ครั้นเท้าสามคู่มายืนอยู่ตรงหน้าเขาสองคน เยว่พ่อลากซิงหุนไปหลบข้างหลังอีกครั้ง ยอมรับผิดอย่างกล้าหาญ

ผลลัพธ์คือ ซิงหุนสวมเสื้อกันหนาวขนจิ้งจอกขาว นั่งดีดพิณอย่างสบายอารมณ์อยู่ข้างเตาผิง เยว่พ่อพ่นไออุ่นใส่มือที่หนาวจนแข็ง พรวนดินอยู่ในแปลงสมุนไพร หุยหุนซือฝุหมกมุ่นศึกษายาสลบตัวใหม่อยู่ในกระท่อม เสียงเซียวแสบหูของชิงอีซือฝุดังขึ้นที่นอกเรือนไม้ไผ่ของเซียนเซิงคนงามติดต่อกันอยู่หลายคืน

ทั้งหมดนี้ต่างสะท้อนเข้าสู่โสตของชายชราในหุบเขาอย่างเป็นจริง ที่ท่านสนใจมากยิ่งกว่าคือความสัมพันธ์ของซิงหุนกับเยว่พ่อ ท่านยิ้มบางๆ มองหุยหุนกับชิงอีเหริน เอ่ยว่า “เด็กสองคนสนิทกันดีจริงๆ! นี่หาได้ยากยิ่ง อย่าไปทำลายมิตรภาพของพวกเขา เวลาว่างๆ ให้เขาสองคนอยู่ด้วยกันมากขึ้นได้”

หุยหุนรับคำเบาๆ “กู๋จู่กล่าวได้ถูกต้อง”

สายตาชายชราปรายไปทางชิงอีเหริน “ชิงอีไม่ค่อยยินยอม?”

“เวลานี้การบ้านของซิงหุนหนักมาก ข้ากลัวว่าจะรบกวนเรื่องหลักขอรับ”

ชายชราลูบม้วนกระดาษรายงานเรื่องของซิงหุนเบาๆ เอ่ยเสียงราบเรียบ “เจ้าเล่ห์ ว่องไว เฉลียวฉลาด ไหวพริบดีมาก ช่องโหว่เพียงหนึ่งเดียวคืออ่อนไหวเกินไป เขาเหมาะกับภารกิจนี้มาก”

ท่านเงยหน้าขึ้นมองชิงอีเหรินเนิ่นนาน ใบหน้าที่ซีดขาวนั้นราบเรียบ แววตาไร้การเปลี่ยนแปลงแม้เศษเสี้ยว ชายชราถอนหายใจกล่าวว่า “ที่พวกเราสามารถควบคุมได้ ก็คือความผูกพันที่เขามีต่อคนในหุบเขา เช่นเยว่พ่อ ยังมีเจ้า!”

ชิงอีเหรินข่มอารมณ์ให้นิ่ง กล่าวตอบอย่างนอบน้อม “เข้าใจแล้วขอรับ”

“ปีนี้ที่จิงตูหิมะตกหนักมาก ควรให้เขากลับไปได้แล้ว คนทางบ้านจะได้ไม่ต้องรอจนร้อนใจ” ชายชราทำการตัดสินใจครั้งสุดท้าย


<>::<>::<>


ซิงหุนหาทราบไม่ว่า หลังจากงิ้วที่เขากำกับปิดม่าน จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เขารู้สึกขัดแย้งอยู่บ้างกับการกำลังจะเป็นตัวแทนของเด็กชายผู้นั้น

ทั้งที่รู้ดีว่าเป็นภารกิจที่อันตรายมาก แทบจะตายเก้าส่วนรอดหนึ่งส่วน เขากลับยินดีรับงานอย่างยิ่ง เขาอยากไปจากหุบเขาแห่งนี้มากเหลือเกิน ไปบุกเบิกโลกที่เป็นของตัวเขาเอง

การออกไปนั้นอันตรายแน่นอน แต่ก็หลุดพ้นจากขอบเขตอิทธิพลของหุบเขาเช่นกัน

เขาขบคิดอยู่เงียบๆ ทางหุบเขาอาศัยอะไรถึงได้วางใจให้เขาจากไป? ใช้ยาควบคุม หรือวิธีอื่น? เขาเชื่อว่า ว่ากันด้วยเรื่องวิทยายุทธ์ ตัวเขามีแต่จะเก่งขึ้นเรื่อยๆ ตามวันเวลาที่พ้นผ่าน ใช้ยาหรือ? นอกจากเฮโรอีน ยังมีอะไรให้พึ่งได้อีก? ตัวกู่[11]? ซิงหุนยิ้มแล้ว ก็แค่ภายในร่างมีปรสิตเพิ่มมาหนึ่งตัว เขาไม่เชื่อหรอกว่าด้วยประสบการณ์เมื่อชาติก่อนของตัวเขา ยังจะรับมือวิชาแพทย์ของโลกนี้ไม่ได้

ขณะที่ซิงหุนใช้ความคิด สายตาก็มองเด็กชายในป่าไผ่อยู่ตลอด เด็กคนนั้นนิ่งมาก ดูไม่เหมือนถูกบังคับจับตัวมาที่นี่เลย ในดวงตาสงบราบเรียบ

“เซียนเซิง เหตุใดเขาถึงนิ่งปานนี้ได้? ในเมื่อให้ข้าเลียนแบบเขา ไยจึงไม่ให้ข้าคุยกับเขาเล่า?” ซิงหุนประหลาดใจตรงจุดนี้มาก

“เขาเป็นคนที่มีชีวิตอยู่ในโลกของตัวเอง นอกจากเปล่งเสียงเอื้อนบทกวีนานๆ ครั้ง เขาแทบจะพูดไม่เป็นเลย”

ซิงหุนขมวดคิ้ว นิสัยแบบนี้ไม่น่าสนุกเกินไปแล้ว แต่เหมาะจะแสดงดี “หากข้าไปแล้วนิสัยเปลี่ยน ความจะไม่แตกหรือ?”

“ไม่แตกหรอก มีแต่จะทำให้คนที่บ้านเขาดีใจแทบคลั่งเท่านั้น”

“เขาคือใครหรือ?” ในที่สุดซิงหุนก็ถามประโยคนี้ออกมา

เซียนเซิงคนงามยิ้มหยาดเยิ้มพลางจิ้มหน้าผากเขา “อยากรู้หรือ? ข้าไม่บอกเจ้าเสียอย่าง! เสี่ยวซิงซิง เซียนเซิงจะสอนเจ้าอีกหนึ่งข้อ ห้ามล่วงเกินสตรีเด็ดขาด ออกไปเมื่อไรเจ้าย่อมจะรู้เอง ส่วนเวลาครึ่งปีนี้ เจ้าจงพยายามคิดไปเถอะ!”

ซิงหุนตะลึงพรึงเพริด

เฉิงเตี๋ยอีเดินนวยนาดจากไป หันกลับมาทิ้งท้ายอีกประโยค “ซือฝุของเจ้ายังอยากจะมาดื่มน้ำชาที่เรือนข้าอยู่ คิดว่าเขาก็ไม่มีทางบอกเจ้าเหมือนกัน”

สิ่งเดียวที่ซิงหุนทำได้ คือชูนิ้วกลางให้เงาหลังของนาง


_______________

[1] อ่านรายละเอียดของกลอนบทนี้ได้ที่หน้า xxx
[2] ฉากจากภาพยนตร์ชื่อดัง “ปึงซีเง็ก” เวลาท่านพ่อของปึงซีเง็กหลอกมัดใจภรรยา เขาจะแต่งกลอน ต่อให้ท่านแม่ของปึงซีเง็กโกรธมากแค่ไหน ขอแค่สามีทำตาซึ้ง ๆ แล้วเอื้อนกลอนบทนั้น นางก็จะใจอ่อนทันที
[3] สายตาสูงเหนือศีรษะ หมายถึง เย่อหยิ่งทะนงตัว ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา
[4] รักบ้านรักไปถึงอีกา หมายถึง รักใครแล้วก็รักเผื่อแผ่ไปถึงคนที่เกี่ยวข้องกับเขาด้วย เหมือนรักบ้านไหน ก็รักไปถึงอีกาที่เกาะอยู่บนหลังคาบ้านนั้นด้วย
[5] เซียว คือ ขลุ่ยที่ถือเป่าแบบปี่ (ดูภาพที่ x หน้า x)
[6] อิฐเขียว คืออิฐสีเขียวอมเทา (ดูภาพที่ x หน้า x)
[7] ไขมันเด็ก หมายถึง รูปร่างที่จะอ้วนป้อมโดยธรรมชาติของเด็ก
[8] ดอกเหมย คือ ดอกบ๊วย
[9] ไม้ถง คือ ไม้พอโลเนีย (Paulownia) เป็นไม้พื้นเมืองของจีน ทนความร้อนสูง นิยมนำมาใช้ทำเฟอร์นิเจอร์หรืองานแกะสลักต่างๆ
[10] ยาตาน คือคำเรียกยาลูกกลอนที่เล่าขานกันว่าเป็นยาอายุวัฒนะ
[11] ตัวกู่ คือชื่อสัตว์พิษจำพวกหนอนแมลงที่มีคุณสมบัติคล้ายยาสั่ง โดยจะส่งเข้าสู่ร่างกายเหยื่อ แล้วเหยื่อจะต้องทำตามคำสั่ง ไม่อย่างนั้นตัวกู่จะแผลงฤทธิ์ภายในร่างทำให้ทรมานมาก เป็นวิชาคุณไสยของจีน
แก้ไขเมื่อ 28 เม.ย. 2568, 03:33 โดย Admin

Admin เข้าร่วมเมื่อ 28 เม.ย. 2568, 03:31

0 ความคิดเห็น