หัวข้อ : บทที่ 7 เด็กชายที่นอนหลับ

โพสต์เมื่อ 28 เม.ย. 2568, 03:34


บทที่ 7 เด็กชายที่นอนหลับ


ตอนที่ชิงอีเหรินลอยละล่องกลับมาโดยที่บนตัวมีกลิ่นหอมของชาดอกเหมยจากเรือนของเฉิงเตี๋ยอีอีกครั้ง ท่านบอกศิษย์รักว่า พรุ่งนี้ไปฝึกวิชาที่ริมน้ำตกเอาเอง

......


แสงอาทิตย์ภายนอกห้องศิลาที่สาดต้องพื้นหิมะสะท้อนเป็นแสงแสบตา ทำให้ซิงหุนรู้สึกเพลียนิดๆ อาจเป็นเพราะอยู่ในความมืดมานาน เขาไม่ค่อยชอบเคลื่อนไหวในตอนกลางวันนัก หลังจากซัดมีดบินตัดกิ่งไม้ขาดไปได้ไม่กี่กิ่งอย่างเกียจคร้าน เด็กชายก็รู้สึกได้ว่ามีคนกำลังแอบดูเขา

ผู้แอบดูอยู่ห่างออกไปสามสิบจ้าง เป็นแค่ความรู้สึกว่ากำลังถูกคนแอบดู เขาไม่สามารถสัมผัสกลิ่นอายใดๆ ของผู้แอบดูได้ วิทยายุทธ์ของคนผู้นี้เหนือกว่าหุยหุนซือฝุกับชิงอีซือฝุ เด็กชายลงความเห็นจากความรู้สึกนี้

ใครกันที่มาแอบดูเรา? เด็กชายไม่ได้แสดงท่าทีมีพิรุธใดๆ ฝึกวิชาอย่างขี้เกียจ ดูเหมือนขยัน กลับไม่ได้เผยความสามารถจริงของตน

ชิงอีซือฝุรู้ว่าเขาฝึกวิชาตัวเบาได้ไม่เลว และรู้ว่าวิชาอาวุธลับของเขาก็ไม่เลว แต่พวกท่านต่างไม่รู้ว่า อดีตชาติของเขาคือนักฆ่า มีสัมผัสที่หกซึ่งไม่สามารถอธิบายได้

กับเรื่องรวดเร็ว แม่นยำ อำมหิต เขาจับหลักได้อยู่แต่เดิม หากไม่ใช้วิชาตัวเบา ไม่ใช้อาวุธลับ ไม่มีพลังภายใน เชื่อว่าความว่องไวของเขาสามารถทำให้ชิงอีเหรินต้องแลบลิ้นอย่างตกใจได้เช่นกัน

เดิมทีเขายังพอจะเสแสร้งต่อได้อีกพักหนึ่งอยู่หรอก แต่เขาไม่ชอบการที่มีคนอยู่ข้างหลัง มันทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างที่สุด

เมื่อชาติก่อนเวลานั่งรถเมล์ เขาจะเลือกนั่งที่นั่งหลังสุด เวลาดูภาพยนตร์ เขาจะขอซื้อตั๋วที่นั่งแถวหลังสุด เขาไม่ชินกับการเปิดแผ่นหลังโล่ง การปล่อยให้คนอื่นจ้องเขม็งจากข้างหลังมาตลอดช่วงเช้า ทำให้เขาออกจะสุดทนอยู่นิดๆ

เด็กชายหยุดฝึก อ้าปากหาว เดินเอื่อยๆ ไปถึงริมน้ำตก

เขาเงยหน้าขึ้นดูสายโซ่บนยอดผาไม่ไกลนักด้านหน้า เพียงไม่นานก็รู้สึกว่าสายตาที่เกาะติดกับแผ่นหลังคู่นั้นกำลังทิ่มแทงหลังเขาราวกับเข็ม เด็กชายถอนหายใจ กระโดดขึ้นไปบนศิลาเขียวริมแอ่งน้ำตก

ในแอ่งน้ำตกมีปลาขาวชนิดหนึ่งอยู่มาก ไร้เกล็ด ก้างน้อย เนื้อหนา ฤดูหนาวจะเลิศรสเป็นพิเศษ เขาคิดจะย่างปลาสักตัวให้รางวัลตัวเองที่เหนื่อยฝึก

เด็กชายจ้องปลาที่ว่ายไปมาอยู่ข้างเท้าเขม็ง มือถือกิ่งไม้ที่เหลาปลายจนแหลม เลือกดูว่าปลาตัวไหนโตที่สุด

เสียงน้ำกระเซ็นดัง “ซ่า!” เขาโห่ร้องออกมา ชูกิ่งไม้กระโดดขึ้นบนฝั่ง ปลาขาวอ้วนใหญ่ตัวหนึ่งถูกแทงทะลุหัวใจอย่างน่าสงสาร

เก็บฟืนจุดไฟ เด็กชายใช้มีดแขนเสื้อ[1]ซึ่งตีได้ที่ดีมากเล่มนั้นกรีดเป็นรอยบนตัวปลาไป ๑๗-๑๘ รอย ทาเครื่องปรุงกับเครื่องเทศที่เอามาจากกระท่อมของหุยหุนอย่างระมัดระวัง สองมือทำงานอย่างตั้งใจ ขณะที่สัมผัสรับรู้สายตาคู่นั้นอย่างตื่นตัว

ใจเย็นจริงนะ! เขานึกแดกดันอยู่ในใจ ถือปลาเหนือกองไฟ เริ่มพลิกย่างไปมา

เขานึกได้ว่าเคยมีอยู่ครั้ง เขาออกไปทำภารกิจข้างนอก เป้าหมายกำลังรับประทานอาหารที่ภัตตาคารอาหารทะเล เขาหมอบอยู่บนตึกไม่ห่างออกไปนักทั้งหนาวทั้งหิว ฝ่ายนั้นกินอยู่สามชั่วโมงเต็มๆ เขาก็รออยู่สามชั่วโมง ไม่กล้าผ่อนคลายแม้สักชั่วขณะ กลัวจะพลาดชั่วพริบตาที่เป้าหมายออกจากประตู

เด็กชายยิ้มพลางสูดกลิ่นสุกเกรียมที่โชยมาจากตัวปลา เขาอยากรู้นักว่าคนที่ข้างหลังจะยืนได้ถึงเมื่อไหร่...อดทนได้ถึงเมื่อไหร่

แสงแดดสาดส่องลงมาอย่างอบอุ่น ซิงหุนอยากนอน เขาอยากได้แว่นกันแดดสักอันมาก จะได้ปรับตัวเข้ากับกลางวันได้ดีขึ้น

แต่เขาไม่อาจขยับ...ไม่อาจแสดงออกว่าเขารู้สึกถึงความผิดปกติแล้ว แววหม่นหมองจางๆ วาบผ่านดวงหน้า ชิงอีซือฝุให้เขามาฝึกวิชาที่นี่ตามลำพัง ทั้งยังให้คนแอบดูเขา แต่ไม่ยอมแอบบอกเขาเป็นนัยๆ เลยสักนิด นี่คือเรื่องที่ทำให้เขาเสียใจมากที่สุด

อยู่กับชิงอีเหรินมาสองปี จะมากจะน้อยก็เกิดความรู้สึกผูกพันอยู่บ้าง เขาหวังว่าความรู้สึกที่แฝงความอบอุ่นนิดๆ เช่นนี้จะสามารถยืนหยัดไปตลอดรอดฝั่ง ต่อให้เป็นความฝัน ก็ไม่อยากจะตื่น เขาถึงกับคิดว่าหากไม่ไปคิดถึงความโหดเหี้ยมตอนเข้าหุบเขา ไม่ไปคิดถึงความลึกลับของหุบเขา อยู่ไปอย่างนี้ก็ดีออก แต่สุดท้ายชิงอีซือฝุผู้แสนทื่อและแสนซื่อก็ไม่ได้บอกความจริงกับเขา ซิงหุนยิ้มพลางคิดในใจ นักฆ่าไม่ต้องการหัวใจจริงๆ

ลงมือกินปลา เด็กชายรู้สึกว่ารสชาติไม่อร่อยเท่าที่ผ่านๆ มา ค่อนข้างยากจะกลืนลงคอ แต่เขายังคงกินด้วยท่าทางเอร็ดอร่อยจนหมด หากสายตาที่ด้านหลังยังคงเกาะติดเขาอยู่ เขายังคิดจะย่างอีกตัว ยังไงเครื่องเทศที่หุยหุนใช้สมุนไพรผสมออกมาก็หอมยั่วใจมาก

ยามเมื่อกลิ่นอันหอมหวนของอาหารโชยต้องจมูก ความรู้สึกหิวจะส่งถึงสมองโดยอัตโนมัติ แสดงออกเป็นปฏิกิริยาต่างๆ เช่น กระเพาะจะส่งเสียงร้อง น้ำลายจะสอ ความมุ่งมั่นของคนจะลดหย่อนลง

เด็กชายหยีตาแหงนหน้ามองดวงอาทิตย์ ตะวันตรงศีรษะ เป็นเวลากินข้าวเที่ยงพอดี ตัวเขากำลังย่างปลา คนผู้นั้นหิ้วท้องมองดู เขาไม่ได้เสียเปรียบ คิดเช่นนี้ ซิงหุนค่อยอารมณ์ดีขึ้นบ้าง

เด็กชายละเลียดกินปลาอย่างอ้อยอิ่งจนหมด แล้วอ้าปากหาว เด็ดใบไม้ ๒-๓ ใบปิดใบหน้า บังแสงที่แสบตา ก่อนจะทิ้งตัวลงนอน

จิตและลมหายใจของเขาค่อยๆ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งต่างๆ รายรอบตัว ประสบการณ์ของชาติก่อนกับเวลาสองปีกว่าในห้องศิลาของชาตินี้ ความอดทนของซิงหุนสุดที่คนทั่วไปจะเทียบได้แล้ว

นอนไปได้ครู่หนึ่ง เขารู้สึกว่าคนที่อยู่ไม่ไกลออกไปนั่นขยับเดินอยู่ ๒-๓ ครั้ง ยืนจนเมื่อยแล้วหรือ? เด็กชายอารมณ์ดีกับการค้นพบนี้มาก ต่อให้ผู้แอบดูใจเย็นเหนือธรรมดา วิทยายุทธ์สูงมาก แต่ก็มีเวลาที่หมดความอดทนอยู่ดี

งั้นมาแข่งกันเถอะ ดูว่าใครจะเป็นฝ่ายทนไม่ไหว

คนผู้นั้นกำลังเดินมาทางเขา เด็กชายรอจนอีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้ ค่อยปัดใบไม้บนหน้าออก ได้เห็นหลี่เหยียนเหนียน

ซิงหุนพลิกร่างยันตัวลุกขึ้น มองหลี่เหยียนเหนียนอย่างตกตะลึง ลืมไปชั่วขณะว่าควรทักทายอย่างไร

“เจ้าเยี่ยมมาก เพียงแต่ เขาไม่มีทางจับปลาในแอ่งน้ำนำมาย่างกินกลางป่า” หลี่เหยียนเหนียนพูดเสียงเรียบ

ผู้พูดดูจะยังคงเหมือนเมื่อสองปีก่อน คลุมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกเงิน ดูสูงศักดิ์ยิ่ง ทรงอำนาจยิ่ง

ซิงหุนคลี่ยิ้มกว้าง “อยากกินไหมขอรับ? ซิงหุนย่างสักตัวให้จื๋อซื่อได้” ขณะที่ในใจขบคิดอย่างรวดเร็ว หรือการออกจากหุบเขาครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับหลี่เหยียนเหนียน?

“ขอบใจ” จื๋อซื่อหนุ่มปฏิเสธอย่างนุ่มนวลมีมารยาท สายตาจับจ้องที่ใบหน้าของเด็กชายอยู่เนิ่นนาน ค่อยเอ่ยยิ้มๆ “จงไปฆ่าเด็กคนนั้น พรุ่งนี้เราจะออกจากหุบเขา”

ซิงหุนตกตะลึงนิดๆ ฆ่าเด็กชายอ่อนแอสวมชุดผาวม่วงในป่าไผ่คนนั้น? เร็วอย่างนี้เชียว?

จื๋อซื่อหนุ่มพูดจบก็หมุนตัวจากไป รวบรัดหมดจดเสียจนไม่ให้เวลาและโอกาสซิงหุนได้เอ่ยถามแม้แต่น้อย

เหี้ยมแท้! แม้แต่เด็กยังไม่เว้น! แต่ว่า ไม่ฆ่าเด็กคนนั้น เห็นได้ชัดว่าตัวเขาต้องตายแน่ ในใจซิงหุนค่อนข้างหนักอึ้ง เขาย่างปลาอีกสองตัวอย่างเงียบงัน ใช้ความคิดอยู่เงียบๆ


<>::<>::<>


พระจันทร์ขึ้นแล้ว ซิงหุนไปที่กระท่อมของหุยหุน

เยว่พ่อดีใจที่ได้เห็นสหายรักมาหา เขายัดขวดเล็กๆ ให้หนึ่งใบ พูดยิ้มๆ “เจ้าทายานี่ลงบนผิว ก็จะปิดบังสีผิวได้”

“หุยหุนซือฝุไม่อยู่หรือ?” ซิงหุนรับขวดยามา รู้สึกอุ่นวาบในใจอีกครั้ง

เยว่พ่อส่ายหน้า ซิงหุนห่อเหี่ยวใจนิดๆ รับภารกิจจากหลี่เหยียนเหนียนแล้ว ปรากฏว่าอาจารย์ทั้งสามท่านของเขาต่างหายตัวไปพร้อมกัน ไปเขียนคำประเมินจบหลักสูตรของเขากันหรืออย่างไร?

“ซิงหุน วันนี้เจ้าเป็นอะไรไป? ดูใจลอยพิกล” เยว่พ่อบ่นอุบ

ซิงหุนฉีกยิ้ม พูดเหมือนไม่ได้ใส่ใจ “ข้ากำลังคิดว่า เจ้ามียาที่ทำให้คนหลับไปแล้ว ไม่ตื่นขึ้นมาตลอดกาลหรือไม่?”

เยว่พ่อสะดุ้งสุดตัว ภายในห้องพลันเงียบกริบปานสุสาน

“มี” สุดท้ายเยว่พ่อได้พูดตอบ เขาไม่จำเป็นต้องถามว่าเอายาไปทำอะไร เพราะที่นี่ ชะตาชีวิตของเขาสองคนได้ถูกกำหนดไว้แต่แรก เยว่พ่อไม่สนใจเรื่องตัวเองต้องตกนรก แต่เสียใจที่คนซึ่งเขาห่วงใยมากที่สุดก็ไม่อาจหนีพ้นได้เหมือนกับเขา

ซิงหุนรับยาไป ราวกับไม่อาจทนความเงียบนี้ได้ ล้วงปลาย่างตัวหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อ พูดยิ้มๆ “ให้เจ้า”

“อร่อยมาก!” เยว่พ่อกินพลางนิ้วชี้กระดิก[2]

“เจ้าโง่ เย็นแล้วยังอร่อยอีกรึ?”

“ของที่เจ้าย่าง อร่อยทั้งนั้น”

ซิงหุนมองหน้าสหายแน่วนิ่ง พลันถามว่า “ถ้าวันหน้าเราสองคนแยกจากกัน ยังจะจำกันและกันได้อยู่ไหม?”

เยว่พ่อชะงักงัน นึกถึงวันหน้า เขาก้มหน้าลง ครู่หนึ่งให้หลังจึงเงยหน้าขึ้น หยิกแก้มสหาย “จำได้สิ ข้าต้องจำเจ้าได้แน่ๆ” ตามองซิงหุนด้วยสายตาแน่วแน่

“ในวันหน้าเราจะกลายเป็นศัตรูกันไหม?”

คิ้วกระบี่ของเยว่พ่อชี้ตั้ง ไม่พอใจแล้ว “ไม่มีทาง! ไม่มีทางแน่นอน! ต่อให้เป็นนักฆ่า ก็ไปฆ่าคนอื่นโน่น”

“ถ้าคนในหุบเขาสั่งให้เจ้ามาฆ่าข้าล่ะ?” ซิงหุนมองหน้าสหายอย่างจริงจังมาก เขาสาบานไว้แล้วว่าชาตินี้ไม่ต้องการเพื่อน แต่กับเยว่พ่อ เขาทำใจแข็งมองอีกฝ่ายเป็นคนแปลกหน้าไม่ลงอยู่ดี

คำถามนี้ทำให้เยว่พ่อชะงัก เพราะไม่เคยคิดถึงปัญหานี้มาก่อน และมองหน้าซิงหุนอย่างจริงจังยิ่งเช่นกัน “ไม่มีทางมีวันนั้นหรอก เจ้ารู้ดี ข้าถือเจ้าเป็นพี่น้องมาโดยตลอด”

คำคำนี้ทิ่มแทงประสาทซิงหุนจนเจ็บแปลบ เขายิ้มขื่นพลางคิดในใจ อย่ามาถือข้าเป็นพี่น้องเด็ดขาดเชียวนะ

ฟ้าค่อยๆ มืดลง ซิงหุนถ่วงเวลาต่อไม่ได้แล้ว เดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาหันหน้ากลับไป เห็นสายตาอาลัยอาวรณ์ของเยว่พ่อ พลันแปลบใจนิดๆ


<>::<>::<>


หอน้อย ป่าไผ่ จันทร์กระจ่างดุจวารี

เด็กชายชุดม่วงนอนหลับอย่างสงบ ดั่งตกลงสู่ห้วงฝันอันเป็นนิรันดร์ จวบจนบัดนี้ ซิงหุนยังคงไม่เคยคุยกับเด็กชายชุดม่วงเลย

“นอนหลับเถิด โลกของตัวเองคนเดียวนี่ละมีความสุขมากที่สุด” เขาพึมพำ

นี่แหละคือโชคชะตา ต่อให้เมื่อชาติก่อนตัวเขาเบื่อหน่ายกับชีวิตนักฆ่าแล้ว แต่มาเกิดใหม่ยังคงมาถึงโหยวหลีกู่เป็นนักฆ่าอีกจนได้ สองมือนี้ของเขาถูกกำหนดว่าไม่มีทางสะอาดได้แน่นอนแล้ว ถึงอย่างนั้น...เขาอยากจะมีชีวิตแบบนี้เสียเมื่อไร?

มองดูเด็กชายซึ่งกำลังจะถูกเขาแทนที่ผู้นี้ แววอำมหิตวาบขึ้นบนใบหน้าของซิงหุนแล้วหายวับ “ข้าไม่มีทางกลายเป็นตัวเจ้าคนที่สองเด็ดขาด!” เขาหันหลังกลับเดินออกไปจากป่าไผ่ ชีวิตที่มาเกิดใหม่นี้ สวรรค์ทรงประทานมาให้ ร่างกายนี้ ต่อให้เขาไม่คุ้นเคย...ไม่คุ้นชินมากเพียงไร เขาก็จะกุมชีวิตใหม่ไว้ในมืออย่างมั่นคง!

ชิงอีเหรินยืนเงียบๆ อยู่ที่นอกป่าไผ่ แววตาสับสน

ซิงหุนกระโดดผลุงขึ้นไปเกาะร่างซูบผอมของอาจารย์ กอดเอาไว้แน่น “ซือฝุ เรากลับบ้านกันเถอะ!”

ชิงอีเหรินกอดศิษย์น้อยไว้ สายตามองไปทางป่าไผ่ อดพูดอย่างลังเลไม่ได้ “เด็ก...เด็กคนนั้น...”

“อ๋อ สหายน้อยสวมชุดม่วงคนนั้นน่ะหรือ ข้าเลี้ยงเขากินปลาที่ข้าย่างหนึ่งตัว เขาก็หลับไป หุยหุนซือฝุบอกว่า กินปลาที่ใช้เครื่องเทศชนิดนั้นย่าง เทพเซียนยังต้องหลับไปหนึ่งพันปี” เด็กชายเงยหน้าขึ้นยิ้มตาหยีพลางพูดตอบ

มองดูใบหน้ายิ้มแย้มไร้เดียงสาไร้พิษภัยของศิษย์น้อย ชิงอีเหรินพลันรู้สึกหนาวจนแข็งทื่อ ลังเลอยู่พักใหญ่ สุดท้ายไม่ได้เอ่ยอะไร บางที...ตัวท่านอาจจะสอนศิษย์ที่ดีที่สุดออกมาแล้วจริงๆ ก็เป็นได้

เดินทอดฝีเท้าไปตามทางบนเขา ศิษย์น้อยในอ้อมแขนเหมือนจะง่วงนอนแล้ว พยายามซุกหน้ากับอกท่านอย่างสุดชีวิต ร่างกายกลับกำลังสั่นระริก มือน้อยๆ ขาวผุดผ่องทั้งคู่ขยุ้มแขนเสื้อท่านไว้แน่น ราวกับว่าถ้าคลายออก จะสูญเสียสิ่งพึ่งพิงชั่วชีวิตไปทันที แม้ราตรีจะเย็นเยียบดุจวารี แต่ชิงอีเหรินรู้ดีว่า ศิษย์รักไม่มีทางตัวสั่นเพราะความหนาว ท่านอดไม่ได้ต้องกอดร่างเล็กๆ แน่นขึ้น

แสงดาวพราวทั่วฟ้า แสงจันทร์พาเงาร่างผู้เดินทางบนภูเขาทอดยาวเหยียด สถานการณ์ ณ ยามนี้ ชิงอีเหรินพลันรู้สึกดั่งเคยพบพาน...สามปีก่อนนี่เอง ตัวท่านก็อุ้มซิงหุนเดินไปบนทางน้อยกลางภูเขาสายนี้แบบนี้เช่นกัน ท่านไม่อาจลืมได้ว่าครั้งแรกที่ได้พบซิงหุน เจ้าหนูที่กำลังขโมยกินอาหารคนนั้นกระโดดมาเกาะตัวท่านไว้โดยไม่เกรงกลัวสักนิด พูดว่า “ไปกันเถอะ ซือฝุ”

ท่านมองดูศิษย์น้อยในอ้อมแขน ใต้แสงจันทร์ ใบหน้าเล็กๆ ยิ่งดูขาวผ่องดุจหิมะ นี่คือศิษย์รักของท่าน เด็กน้อยที่ท่านอบรมเลี้ยงดูจนโตมากับมือ

“ซิงหุน...ซิงหุน...”

ท่านแหงนมองฟ้าพร่างดาว วิญญาณของดวงดาวเอ๋ย! ขอเพียงดวงดาวบนท้องฟ้านี้ไม่ร่วงลับชั่วนิรันดร์ เด็กน้อยในอ้อมแขนก็จะไม่มีทางไปจากท่านตลอดกาล รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าชิงอีเหริน ฝีเท้าที่ก้าวเดินยิ่งมั่นคง


<>::<>::<>


กลางดึก ซิงหุนสะดุ้งตื่นกะทันหัน

ตัวเขากลับมาที่ห้องศิลาแล้ว ชิงอีเหรินนั่งอยู่ริมเตียง

เด็กชายมองดูผู้เป็นอาจารย์ มีคำถามมากมายอยากจะถาม ล้วนแต่อัดอยู่ในใจพูดไม่ออก

ชิงอีเหรินเหมือนจะมีถ้อยคำมากมายอยากบอกเขา กลับทำท่าจะพูดแล้วชะงัก

ทั้งสองต่างนิ่งเงียบ ภายในห้องศิลาได้ยินเพียงเสียงลมหายใจแสนแผ่วเบา

เนิ่นนาน ชิงอีเหรินถอนหายใจ จูงมือศิษย์รัก “ตามข้ามา”

ท่านพาซิงหุนมาที่ห้องของท่าน ที่นี่ซิงหุนเคยฉวยโอกาสตอนชิงอีเหรินไม่อยู่เข้ามาดูไม่น้อยกว่าหนึ่งครั้ง มีตู้หินอยู่ชิดกำแพงหนึ่งใบ เด็กชายเคยแอบเปิดดู รู้ว่าข้างในมีแต่อาวุธลับสารพัดชนิด

ชิงอีเหรินจุดตะเกียงหนึ่งดวง ประคองกล่องใบหนึ่งออกมาจากข้างในตู้อย่างเคร่งขรึมยิ่งแล้วเปิดออก “นี่คือเสื้อเกราะทำจากด้ายทองดำ เหนือล้ำตรงเบาบาง แกร่งเหนียว คนฝึกอาวุธลับจะกลัวโดนอาวุธลับมากที่สุดเช่นกัน จะมากจะน้อยก็พอจะสกัดได้บ้าง เจ้าสวมติดตัวเอาไว้ได้”

เด็กชายสะบัดคลี่ชุดเกราะ มองซ้ายมองขวา เสื้อเกราะกันกระสุนยุคโบราณ? “ระบายอากาศได้หรือไม่? สวมตอนหน้าร้อนจะร้อนตายไหม? ซือฝุ ท่านเก็บไว้เถิด!”

“ชั่วชีวิตนี้ของข้าเกรงว่าต้องแก่ตายอยู่ในหุบเขานี้ มีไว้ก็ไร้ประโยชน์ เจ้ายังเด็ก...”

“อย่างนั้นข้าขอรับไว้แล้ว” เด็กชายขยุ้มเสื้อเกราะเป็นก้อนซุกใส่ในอกเสื้อ “ซือฝุยังมีถ้อยคำจะบอกอีกหรือไม่?”

ชิงอีเหรินนิ่งเงียบไปชั่วครู่ เอ่ยว่า “ความลับของเจ้า มีแต่ข้าที่รู้”

หัวใจเด็กชายกระตุกวูบ ถามยิ้มๆ “ข้ามีความลับอะไร?”

มองเห็นแสงตะเกียงที่เต้นระริกอยู่ในดวงตาของศิษย์รักกับรอยยิ้มที่ไร้เดียงสาไร้พิษภัย ชิงอีเหรินเอ่ยอย่างแฝงนัย “หากถูกใครรู้เข้า เจ้าจงหนีไปเถิด! แผ่นดินกว้างใหญ่ ใช่ว่าจะมีแค่แคว้นอานแห่งเดียวที่อาศัยอยู่ได้ เพียงแต่ลำบากเจ้าแล้ว เพิ่งจะเก้าขวบเท่านั้น”

เด็กชายเงยหน้าขึ้นสบตาอาจารย์ พลันยื่นมือออกไปกอดร่างซูบผอม “ซือฝุ ความจริงแล้วข้าไม่อยากจากท่านไปเลย...ข้าไม่อยากฆ่าเด็กคนนั้นด้วย เขาเหมือนกระต่าย...ท่านเป่าเซียวได้แย่มาก!”

ชิงอีเหรินตะลึง เด็กชายยิ้มพลางกระโดดปราดออกห่าง โบกมือให้ “ไว้ข้าโตแล้วจะกลับมาเยี่ยมท่าน! ยังมี เซียนเซิงคนงาม”


<>::<>::<>


ซิงหุนกลับถึงห้องของตัวเอง เอนกายลงบนเตียงคิดจะนอน

รู้สึกว่ามีอะไรเปียกๆ เย็นเฉียบกลิ้งลงจากใบหน้า เขายกมือขึ้นลูบดู ตะลึงลาน กลายเป็นฉายหนังรักไปเสียแล้ว เขากำลังร้องไห้หรือนี่

ภายในห้องศิลา ตะเกียงน้ำมันดับลงแล้ว เด็กชายรู้สึกว่าชิงอีซือฝุยืนอยู่ตรงประตู ถอนหายใจเบาๆ


_______________

[1] มีดแขนเสื้อ คือมีดกลไกชนิดหนึ่ง ซ่อนไว้ใต้แขน สามารถดึงแยกออกมาใช้งานได้ (ดูภาพที่ x หน้า x)

Admin เข้าร่วมเมื่อ 28 เม.ย. 2568, 03:34

0 ความคิดเห็น