ข้อมูลส่วนตัว
|
ข้อความ
0
|
เข้าสู่ระบบ
/
สมัครสมาชิก
เลือกฟอร์ม
ตัวอย่างนิยายสามชาติสามภพ ย่างก้าวเกิดปทุม
ห้องคุยเรื่อง Honzuki no Gekokujou (หนอนหนังสือยึดอำนาจ)
ศึกจอมขมังเวท
ราชาแห่งราชัน
มนตร์อสูร
จอมนางคู่บัลลังก์
พิภพพญามังกร
BOSS จินตนาการพิสดาร
สามชาติสามภพ ป่าท้อสิบหลี่
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนย
ฉันไม่อยากเป็นซินเดอเรลล่า
หย่งเยี่ย
ม่านม่านชิงหลัว
เรื่องย่อละครสี่องก์
เรื่องย่อวันวานดั่งดอกไม้สองภพชาติ (ชื่อเดิมเดือนปีคือดอกสองชีวิต)
เรื่องย่อ หนอนหนังสือยึดอำนาจ (Honzuki no Gekokujou)
ตัวอย่างศึกจอมขมังเวท
หัวซวีอิ่น...เพลงพิณแดนนิทรา
หย่งเยี่ย เล่ม 1
หย่งเยี่ย เล่ม 2
หย่งเยี่ย เล่ม 3
หย่งเยี่ย เล่ม 4
หย่งเยี่ย เล่ม 1 (แก้ไข)
อาหาร-ขนมของจีน
ปรัชญา / สำนวน / วรรณกรรม
เพลงจีนเก่า ๆ
ภาพยนตร์และซีรีส์จีน
สถานที่ท่องเที่ยว
เครื่องแต่งกายของจีน
การนับเวลาของจีน
ประเพณีและวัฒนธรรมของจีน
ตำนานจีน
เชิงอรรถบางส่วนจากเรื่อง หัวซวีอิ่น เพลงพิณแดนนิทรา
ห้องโปรโมทหนังสือ + แจ้งข่าวหนังสือ + กิจกรรมสำนักพิมพ์
ห้องประวัติศาสตร์จีนทั่วไป
ประวัติบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์จีน
ตำนานต่างๆ ของจีน
ตำราพิชัยสงครามซุนอู่
ห้องส่วนตัวของซีเรีย/หลินโหม่ว
ห้องเล่านิยาย
ห้องเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องลี้ลับ
คุยเรื่องหนังสือ
ติดต่อ-สอบถาม-สนทนาเรื่องทั่วไป
หน้าแรก
|
เว็บบอร์ด
|
สินค้าทั้งหมด
|
วิธีการสั่งซื้อ
|
การชำระเงิน
|
การจัดส่ง
|
ติดต่อเรา
หน้าแรก
ห้องโพสต์นิยาย
หย่งเยี่ย
บทที่ 8 การฝึกซ้อมความเคยชินที่บ้านพัก
เลือกขนาดตัวอักษร :
ก
ก
ก
ก
ก
หัวข้อ : บทที่ 8 การฝึกซ้อมความเคยชินที่บ้านพัก
โพสต์เมื่อ 28 เม.ย. 2568, 03:36
บทที่ 8 การฝึกซ้อมความเคยชินที่บ้านพัก
ยามเหม่า[1] บนฟ้ามีดาว ๒-๓ แต้ม จันทร์เสี้ยวดุจตะขอ พื้นหิมะเงียบสงัดไร้สุ้มเสียง
ชิงอีเหรินมองดูศิษย์รักที่สองตาเป็นประกายด้วยแววตาสับสน ยื่นมือไปกลัดกระดุมคอให้เด็กชาย “มีเพียงผู้ไม่สำรวมที่เปิดคอยามหน้าหนาวเปลือยอกยามหน้าร้อน ยังเล็กปานนี้ อย่าหัดจนเสียคนข้างนอกเล่า”
เสียงที่พูดไม่ดังและไม่เบา พอให้ทุกคนในที่นั้นได้ยินพอดี
ซิงหุนตอบดังๆ อย่างให้ความร่วมมือยิ่ง “ซือฝุสั่งสอนได้ถูกต้อง!”
ตัวเขายังเล็ก ห่อเสื้อกันหนาวขนจิ้งจอกขาวจากเฉิงเตี๋ยอีตัวนั้น บนศีรษะยังครอบหมวกขนสัตว์อีกใบ ใบหน้าจมหายในขนสัตว์ไปกว่าครึ่ง ข้างเอวห้อยถุงหนังที่เสียบมีดบินไว้ เด็กชายรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเจ้าหนูที่กินแฮมเบอร์เกอร์จนอ้วนตุ๊ยังไงยังงั้น คิดถึงตรงนี้ เขาเหลือบมองหุยหุน
หุยหุนกำลังขมวดคิ้วดูหน้าเขาอยู่
“หุยหุนซือฝุ ข้าจะพยายามลดความอ้วนแน่นอน!”
“เสี่ยวซิงซิง...”
“เซียนเซิงคนงาม!” ซิงหุนโถมเข้าสู่อ้อมแขนเฉิงเตี๋ยอี ถูไถศีรษะกับอ้อมอกอันหอมกรุ่นและนุ่มนิ่มไปมาแรงๆ อยู่หลายรอบ ค่อยยืดตัวตรงอย่างพอใจ กะพริบตากระซิบว่า “ชิงอีซือฝุเป็นเซี่ยงกง[2] หุยหุนซือฝุเป็นชู้รัก ไม่ปล่อยไปแม้แต่คนเดียว!”
เฉิงเตี๋ยอีตกตะลึง เอามือปิดปากหัวเราะจนตัวสั่น
คราวนี้เด็กชายค่อยคุกเข่าโขกศีรษะอย่างจริงจังให้แก่ซือฝุทั้งสาม ถือเป็นพิธีขอบคุณอาจารย์
เขาได้เห็นว่าสายตาของซือฝุทั้งสามท่านต่างอ่อนโยนยิ่ง จึงคิดในใจอย่างพอใจ แม้แต่ความสุขในวันหน้าของพวกท่าน ข้ายังจัดการให้เสร็จสรรพ นับแต่นี้ข้าไม่ติดค้างพวกท่านละ
รถม้าถูกเตรียมไว้เรียบร้อย ลากโดยม้าแปดตัว ทั้งสิ้นแปดคัน ด้านหน้าขบวนรถมีทหารม้ายี่สิบนาย ท้ายขบวนรถก็มียี่สิบนาย เด็กชายเพิ่งจะเคยเข้าร่วมขบวนทัวร์ม้าลากรถแบบนี้เป็นครั้งแรก รู้สึกแปลกใหม่สุดเปรียบปาน
“ทางนี้” หลี่เหยียนเหนียนกวักมือเรียกเขาอยู่ที่ด้านหน้าของรถม้าคันแรกสุด
เด็กชายวิ่งเข้าไปหา สะกิดปลายเท้ากระโดดขึ้นบนรถ ตอนเลิกม่านรถขึ้น กลิ่นเปลือกส้มพลุ่งมาปะทะใบหน้าอีกแล้ว ซิงหุนถอนหายใจ นึกถึงภาพตอนเดินเข้าไปในเรือนของหลี่เหยียนเหนียนเมื่อสามปีก่อน เพียงแต่ครั้งนี้เขาไม่ได้คุกเข่า แต่เป็นนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามของจื๋อซื่อหนุ่ม
ตัวรถไหววูบ ขบวนรถเคลื่อนขบวนออกจากหุบเขา
เด็กชายสังเกตเห็นว่าหน้าต่างรถทุกบานถูกผ้าปิดไว้ ไม่เผยรอยร่องแม้เศษเสี้ยว หรือตลอดทางนี้ล้วนไม่อนุญาตให้เขาออกจากรถม้า?
“เจ้าชื่อ หลีหย่งเยี่ย เป็นซื่อจื่อ[3]ของวังตวนหวาง[4] ตวนหวางมีเจ้าเป็นโอรสเพียงคนเดียว” หลี่เหยียนเหนียนเริ่มพูดเรื่องงานหลัก
เด็กที่เขาฆ่าคนนั้นคือซื่อจื่อของตวนหวาง? ซิงหุนยิ้มแล้ว
รอยยิ้มนี้ทำให้จื๋อซื่อหนุ่มข้องใจนิดๆ “ไยจึงยิ้ม?”
“ข้าจะไปเป็นซื่อจื่อเทียวรึ!” ล้อเล่นหนักข้อมากจริงๆ รอยยิ้มของซิงหุนยิ่งกว้างขวาง
หลี่เหยียนเหนียนเองก็อดยิ้มไม่ได้ “หึหึ ถูกต้อง เจ้าคือซื่อจื่อของวังเจ้า! ซื่อจื่อของตวนหวางผู้มีอำนาจมากที่สุดในแคว้นอาน!”
“เขาไม่ชอบพูดมาตลอดเลยหรือ?”
“ข้อมูลอยู่บนโต๊ะเตี้ยด้านซ้ายมือของเจ้า จำมันให้ขึ้นใจได้”
เด็กชายมองเห็นแต่แรกว่าบนโต๊ะไม้มีหนังสือวางอยู่หนึ่งเล่ม จึงหยิบมาดู หนังสือมีภาพประกอบพร้อมสรรพ เรื่องใหญ่ถึงขั้นสภาพภูมิประเทศของวัง เรื่องเล็กถึงขั้นตำแหน่งของกระโถนในห้องนอน รายละเอียดยิบย่อยอย่างตอนอายุสามขวบคลานเข้าไปในถ้ำของเขามอในเขตเรือนพัก ให้สาวใช้เอากระดูกหมูหนึ่งชิ้นล่อออกมา ล้วนมีหมดครบครัน
เขาอ่านอย่างออกรสออกชาติ ถือเป็นการฆ่าเวลา
ซื่อจื่อของหวางเยี่ย[5]ผู้มีอำนาจมากที่สุดของแคว้นอานตายด้วยมือของเขา? ตอนจะออกจากหุบเขา โหยวหลีกู่ไม่ได้ให้เขากินยาอะไรเลย...เด็กชายพลันรู้สึกว่าอุณหภูมิภายในรถม้าลดฮวบลงอย่างรวดเร็ว
โหยวหลีกู่มั่นใจเรื่องควบคุมเขาอย่างยิ่ง หากเขาไม่เชื่อฟัง เพียงแค่บอกตวนหวางว่าเขาฆ่าซื่อจื่อของท่าน ตวนหวางก็จะสับเขาเป็นหมูบะช่อ! ถ้าเขาถูกจับได้ว่าเป็นตัวปลอม ทางหุบเขาก็จะฆ่าเขาปิดปากเช่นกัน เขามีหนทางแค่สายเดียว ก็คือเชื่อฟัง ทั้งยังต้องเลียนแบบซื่อจื่อให้เหมือนจนแยกจริงเท็จไม่ออก หรือไม่ก็...หนี? มองดูรอยยิ้มของหลี่เหยียนเหนียน เด็กชายไม่มีความมั่นใจ
“คิดอะไรอยู่รึ?” จื๋อซื่อหนุ่มถามเสียงเรียบ
“นิสัยของซื่อจื่อ”
“แต่เดิมเขาก็ถูกส่งไปรักษาตัวที่หุบเขาอยู่แล้ว รักษาหายแล้ว นิสัยย่อมจะเปลี่ยนไปเป็นธรรมดา”
ซิงหุนค่อยคลายใจ หวางเยี่ยผู้มีอำนาจมากที่สุดในแผ่นดินกังวลว่าโอรสของท่านเป็นโรคอะไร โหยวหลีกู่มีหมอเทวดาอย่างหุยหุน หวางเยี่ยย่อมต้องคิดหาทางเชิญมารักษา และคนในหุบเขาพบว่าตัวเขากับซื่อจื่อหน้าเหมือนกันมาก ด้วยเหตุนี้จึงเกิดความคิดสลับตัวขึ้น
“จะให้ซิงหุนทำอะไรขอรับ?”
“เป็นซื่อจื่อที่ดี วันหน้า...ยังคงเป็นหวางเยี่ยที่มีอำนาจมากที่สุดของแคว้นอาน!”
สองตาซิงหุนเป็นประกาย แม้จะยากมาก แต่ก็เป็นอนาคตที่ดีเลิศจริงๆ ต้องดูว่าจะกุมอำนาจไว้ในมือตัวเอง ไม่ใช่ให้โหยวหลีกู่อย่างไรเท่านั้น
ฟ้าค่อยๆ สว่าง ระหว่างทางได้ยินแต่เสียงกีบเท้าม้าย่ำหิมะดังสวบๆ ซิงหุนวางหนังสือในมือลง พริ้มตานอนหลับ
ลมหายใจของหลี่เหยียนเหนียนทอดยาวและเสถียร ความอดทนของจื๋อซื่อหนุ่มก็สูงมากเช่นกัน
สองชั่วยามให้หลัง รถม้าชะลอลง จื๋อซื่อหนุ่มลงจากรถ
ซิงหุนค่อยลืมตาขึ้น สอดสองมือรองใต้ศีรษะขบคิดเรื่องราวอย่างวางใจ
ในหนังสือเขียนไว้ว่า : ตวนหวางหลีกู่ คือพระอนุชาร่วมอุทรของอวี้เจียตี้ ฮ่องเต้แห่งแคว้นอานองค์ปัจจุบัน ควบตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ปราบอุดร ตวนหวางเฟย[6]คือธิดาโทนของมหาเสนาบดีจางฉีหลิ่ง สองสามีภรรยาคนหนึ่งมือกุมอำนาจทหาร อีกคนมีเส้นสายปวงขุนนาง ประกอบกับอวี้เจียตี้ไว้วางพระทัยอย่างมาก การบอกว่าตวนหวางคือหวางเยี่ยที่มีอำนาจมากที่สุดของแคว้นอานจึงมิได้เกินจริง
ที่เขาสนใจคือ เหตุไฉนโหยวหลีกู่ถึงได้กล้าวางแผนกับตวนหวาง และเบื้องหลังมีใครคอยสนับสนุน? ฟังจากถ้อยคำของหลี่เหยียนเหนียน ในวันหน้าตัวเขาจะสืบทอดบรรดาศักดิ์หวาง กลายเป็นหวางเยี่ยที่มีอำนาจมากที่สุด ยอมเสียเวลารอนานปานนี้ให้เขาโต เพราะอะไร?
ซิงหุนขบคิดอยู่นานก็ไม่เข้าใจ เมื่อคิดว่าไปถึงวังแล้ว คนของโหยวหลีกู่ย่อมจะบอกเขาเองว่าต้องทำอย่างไร จึงหลับตาลงนอนหลับไปจริงๆ
<>::<>::<>
ยามโพล้เพล้ รถม้าหยุดวิ่งแล้ว ซิงหุนลืมตาขึ้น หลงนึกว่าแค่กางกระโจมค้างคืนกันที่นี่ หารู้ไม่ว่าพอลงจากรถม้า กลับได้เห็นคฤหาสน์แห่งหนึ่ง
“นี่คือบ้านพัก จะพักอยู่ที่นี่กันไปก่อน จงจำไว้ นับตั้งแต่ย่างเข้าประตู เจ้าก็คือซื่อจื่อหลีหย่งเยี่ย!” หลี่เหยียนเหนียนพูดเสียงเรียบเฉย
ท่ามกลางม่านราตรี หน้าประตูบ้านพักจุดโคมไฟสีแดงสดสองดวง หน้าประตูมีคนยืนอยู่กลุ่มหนึ่ง หลี่เหยียนเหนียนเดินนำเข้าไปก่อน ซิงหุนตาไว มองเห็นหลี่เอ้อร์
“จื๋อซื่อ ทุกอย่างเตรียมพร้อมหมดแล้ว จะรับอาหารก่อนหรือพักผ่อนก่อนขอรับ?” หลี่เอ้อร์รับผ้าคลุมของเจ้านายไป ถามหน้าระรื่น
จื๋อซื่อหนุ่มเหลือบมองซิงหุน สั่งว่า “เชิญซื่อจื่อกลับห้องไปพักผ่อนก่อน ส่งอาหารไปให้ซื่อจื่อรับประทานที่ห้อง”
“ขอรับ!” หลี่เอ้อร์หันกลับไปกวักมือ
สาวใช้สองนางเดินมาถึงตรงหน้าซิงหุน ย่อกายคารวะเขา เอ่ยอย่างนอบน้อม “ซื่อจื่อตรากตรำมาตลอดทาง โปรดตามหนูปี้[7]มาเจ้าค่ะ!”
เด็กชายหันไปมองจื๋อซื่อหนุ่ม ฝ่ายนั้นยืนยิ้มกว้างอยู่ตรงประตูใหญ่ แสดงท่าทีให้เขาเดินนำไปก่อน
หลี่เหยียนเหนียนก็เป็นแค่จื๋อซื่อของทางวัง คนรับใช้คอยรองมือรองเท้าเราเท่านั้น ซิงหุนหน้าบานอยู่ในใจ เดินเนิบช้าอย่างสำรวมเข้าไปในบ้านพัก ตอนเดินผ่านหน้าหลี่เหยียนเหนียน ฝ่ายนั้นพูดเบาๆ ว่า “ซื่อจื่อเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทาง พักผ่อนแต่เนิ่นๆ เถิด วันพรุ่งค่อยพาซื่อจื่อทำความคุ้นเคยกับบ้านพัก”
น้ำเสียงของอีกฝ่ายทำให้เด็กชายพอใจและอารมณ์ดีมาก พยักหน้า เดินตามสาวใช้จากไป
ภายใต้แสงโคมสลัวมัว บ้านพักแห่งนี้แลดูเป็นเงาทะมึนเป็นหย่อมๆ กินพื้นที่กว้างมิใช่น้อย หลังจากเลี้ยวผ่านระเบียงกอดอก[8] เด็กชายพลันเอ่ยปากถามว่า “เจี่ยเจีย ข้างหน้ามีประตูวงเดือน[9]ใช่หรือไม่?”
สาวใช้นางหนึ่งเอามือปิดปากแอบหัวเราะ “ซื่อจื่อฉลาดแท้ ผ่านประตูวงเดือนไป ก็คือเรือนที่ซื่อจื่อพักอยู่เจ้าค่ะ”
ซิงหุนเข้าใจกระจ่างแจ้งแล้ว บ้านพักกลางเขาหลังนี้สร้างขึ้นโดยเลียนแบบวังตวนหวาง จุดประสงค์ก็คือ เพื่อให้เขาคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมมากขึ้น “เจี่ยเจียคืออี่หงใช่หรือไม่?”
“ซื่อจื่อจำข้าไม่ได้แล้วหรือเจ้าคะ? เพิ่งจากไปแค่ครึ่งปี ก็จำหล่านชุ่ยเป็นอี่หง ข้ารู้อยู่แล้ว ซื่อจื่อชอบอี่หงมากกว่ามาแต่ไหนแต่ไร” หล่านชุ่ยตัดพ้อ กะพริบตามองเด็กชาย กลับไม่กลัวแม้แต่น้อย
ซิงหุนพลันยื่นมือไปลูบใบหน้านางกะทันหัน ไม่เหมือนผิวเนื้อจริงๆ ที่แท้ก็ปลอมแปลงโฉมมา โหยวหลีกู่กลัวว่าเขากลับวังไปแล้วจะจำผิดคน กระทั่งเรื่องนี้ยังคิดถึงด้วย เขานึกนับถือพลางหัวเราะเบาๆ เอ่ยว่า “เจี่ยเจียอย่าได้ตำหนิ ต่อไปหย่งเยี่ยยังต้องพึ่งพาเจี่ยเจียช่วยเตือน”
หล่านชุ่ยก็ยิ้ม “ได้ปรนนิบัติซื่อจื่อ ถือเป็นบุญของหล่านชุ่ยเจ้าค่ะ เพียงแต่ต่อไปซื่อจื่ออย่าได้ทำรุ่มร่ามเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ หวางเยี่ยเห็นเข้าจะไม่โปรด”
อี่หงมองดูฉากนี้อยู่ด้านข้างพลางแอบยิ้ม ซิงหุนกลอกตาคิด เดินไปหยุดยืนตรงหน้าอี่หง “แบก!”
อี่หงตะลึง ย่อตัวลงอย่างจนใจ “ฟังว่าอาการป่วยของซื่อจื่อหายดีแล้ว ไฉนยังคงไม่ยอมเดินเหมือนตอนยังเล็กอยู่อีกเล่าเจ้าคะ?”
ซิงหุนกลั้นหัวเราะไม่ตอบคำ เป็นซื่อจื่อนี่ต่างกันจริงๆ ขอลมได้ลมขอฝนได้ฝน ขอฟุบอยู่บนหลังหญิงงามให้นางแบก นางก็ไม่กล้าปฏิเสธแม้แต่คำเดียว เสียดายก็แต่...พวกนางไม่ใช่คนที่เขาจะเข้าใกล้ได้
ไปถึงเรือนพัก เด็กชายเดินวนภายในห้องไปหนึ่งรอบ เห็นอี่หงกับหล่านชุ่ยไม่มีทีท่าว่าจะจากไป คิ้วเขาขมวดฉับ “เวลาข้านอน ไม่ชอบให้ข้างๆ มีคนอยู่”
“ซื่อจื่อเจ้าคะ! ตอนยังเล็กท่านกลัวความมืด ต้องให้คนนอนเป็นเพื่อนเสมอเจ้าค่ะ” อี่หงเอ่ยเตือน
“นั่นมันสมัยยังเล็ก ตอนไปขอรับการรักษา ท่านหมอเทวดาบอกว่าจะรักษาอาการป่วยของข้า ต้องให้ข้าชินกับความมืดด้วยตัวเอง ข้าหายดีแล้ว นิสัยเสียเหล่านั้นย่อมจะไม่มีแล้วเช่นกัน ออกไปเถอะ!” เด็กชายพูดยิ้มๆ
“แต่หลี่จื๋อซื่อบอกว่า...”
“เขาเป็นซื่อจื่อหรือข้าเป็นซื่อจื่อ? ออกไป!”
ตอนแรกอี่หงกับหล่านชุ่ยเห็นซิงหุนหน้าตายิ้มแย้ม ยังเป็นเด็ก นึกไม่ถึงว่าพริบตาเดียวก็เปลี่ยนท่าที ทั้งสองมองหน้ากัน ย่อกายคารวะ พูดเสียงใส “บัดนี้ซื่อจื่อหายป่วยแล้ว แตกต่างจากกาลก่อนอย่างมาก หนูปี้พึงไปรายงานข่าวดีนี้ให้หลี่จื๋อซื่อรับทราบ ท่านต้องดีใจแน่นอนเจ้าค่ะ!”
ซิงหุนโบกมือ ไม่ว่ายังไง เขาไม่มีทางปล่อยงูสองตัวไว้ข้างกายตอนนอนหลับแน่ วันนี้วางอำนาจในฐานะซื่อจื่ออย่างเต็มที่แล้ว ไม่รู้ว่าหลี่เหยียนเหนียนจะพอใจกับการแสดงของเขาหรือเปล่า?
เดินวนช้าๆ ไปรอบห้อง ๒-๓ รอบ เขาจำตำแหน่งสิ่งของภายในห้องจนขึ้นใจ ตรวจเทียบกับที่ในหนังสือเขียนไว้ ในใจเริ่มจะคลำทางได้
เป่าเทียนดับ นอนลงบนเตียง เด็กชายสัมผัสกลิ่นอายภายในและภายนอกห้องอย่างเงียบงัน
ภายในเขตเรือนพักแห่งนี้มีคนอย่างน้อยสิบคนกำลังเฝ้ายามช่วงกลางคืนให้เขาอยู่ ซิงหุนหัวเราะโดยไร้เสียง เริ่มต้นฝึกวิชา
<>::<>::<>
เช้าตรู่วันถัดมา ประตูห้องซิงหุนถูกเคาะและเปิดออกอย่างแผ่วเบา อี่หงถืออ่างเงินใส่น้ำร้อนและผ้าสำหรับเช็ดหน้าเดินเข้ามา
“ซื่อจื่อ ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ” นางรวบม่านเตียงขึ้น แล้วตะลึงมองเตียงที่ว่างเปล่าไม่มีใครสักคน คิ้วเรียวขมวดมุ่น พุ่งปราดออกจากประตูห้องไปอย่างรวดเร็ว
ซิงหุนพลิ้วลอยจากบนขื่อลงสู่พื้นโดยไร้เสียง มองดูว่าน้ำในอ่างเงินยังร้อนอยู่ ก็หยิบผ้าสำหรับเช็ดหน้ามาชุบน้ำบิดหมาดเช็ดหน้า เขาพอใจกับการคาดการณ์ของตัวเองอย่างมาก อี่หงเป็นวิทยายุทธ์จริงๆ
ขณะที่เด็กชายกำลังนั่งพิงเก้าอี้บุนวมดื่มน้ำชาที่ตัวเองชง หยิบหนังสือเรื่องราวของวังมาอ่านเล่น หลี่เหยียนเหนียน หลี่เอ้อร์ อี่หง และหล่านชุ่ยก็ปรากฏตัวขึ้นที่ประตู
“มันเรื่องอะไรกัน?” จื๋อซื่อหนุ่มจ้องหน้าเด็กชายพลางเอ่ยถาม
“หลี่จื๋อซื่อ ข้าหิวแล้ว” ซิงหุนวางหนังสือลง กะพริบตา
“เมื่อครู่นี้ไปไหนมา?”
เด็กชายชี้ที่ขื่อห้อง พูดเสียงตัดพ้อนิดๆ “ข้าไม่เคยชินกับการนอนที่อื่นนอกจากห้องศิลา จึงขึ้นไปนอนบนนั้น ข้ายังไม่ทันได้ร้องเรียกอี่หงเจี่ยเจีย นางก็วิ่งออกไปเสียแล้ว”
หลี่เหยียนเหนียนมองหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยเสียงอ่อนโยน “ไปกินข้าวเช้าที่ห้องโถงกลางสวน[10]เถิด”
อี่หงถลึงตาเขียวปัดใส่เด็กชาย
ซิงหุนยิ้มแล้ว เข้าไปคว้ามือนางไว้ “อี่หงเจี่ยเจียวิทยายุทธ์สูงส่ง ตอนเข้ามาข้าไม่ได้ยิน”
อี่หงอยากสะบัดมือเขาออก กลับถูกเขาจับไว้แน่น “เจี่ยเจียโกรธแล้วหรือ?”
“หย่งเยี่ย!” หลี่เหยียนเหนียนเรียกเขาเสียงหนัก
“หลี่จื๋อซื่อเรียกข้าว่าอะไร? ชื่อนี้ท่านเรียกได้งั้นหรือ?” ซิงหุนตัดบทเขาเสียงเรียบ
หลี่เหยียนเหนียนชะงัก ไม่ได้ถือสา หัวเราะออกมาเบาๆ ประสานมือคารวะเด็กชาย “ซื่อจื่ออยากจะรับประทานในห้องหรือไปรับประทานที่ห้องโถงกลางสวนขอรับ?”
“ห้องโถงกลางสวน” พูดจบซิงหุนค่อยแสดงสีหน้าขอโทษขอโพย “ซิงหุนล่วงเกิน จื๋อซื่ออย่าได้ตำหนิ”
จื๋อซื่อหนุ่มชักสีหน้าทันที “ท่านชื่ออะไร? เรียกข้าว่าอะไร?”
“หย่งเยี่ย...ข้าคือซื่อจื่อแห่งวังตวนหวาง หลีหย่งเยี่ย! หลี่จื๋อซื่อเชิญนำทางข้างหน้า”
ทั้งสองต่างยิ้มแล้ว เบื้องหลังรอยยิ้มของแต่ละคนต่างแฝงความคิดของใครของมัน
สีหน้ายามพูดจาของซิงหุนทำให้จื๋อซื่อหนุ่มรู้สึกว่า ตรงหน้าคือหลีหย่งเยี่ย ซื่อจื่อแห่งวังตวนหวางจริงๆ จึงอารมณ์ดียิ่ง
หย่งเยี่ยกลับรู้สึกว่าสามารถเหยียบหลี่เหยียนเหนียนไว้ใต้ฝ่าเท้าได้ช่างสะใจเหลือแสน แต่เด็กชายนึกไม่ถึงว่าจะทิ้งชื่อ “ซิงหุน” เร็วปานนี้ จึงหดหู่ใจอยู่บ้าง
<>::<>::<>
อาหารเช้าเรียบง่ายแต่หลากหลาย อาหารง่ายๆ สี่อย่าง หมั่นโถวลูกเล็กหนึ่งจาน โจว[11]หมูเนื้อแดงใส่ยอดหน่อไม้
หย่งเยี่ยชักจะหิวนิดๆ แล้วจริงๆ ที่โหยวหลีกู่ เขายังไม่เคยเห็นอาหารเช้าที่ประณีตปานนี้มาก่อน เด็กชายหยิบตะเกียบงาช้างขึ้นมาเริ่มลงมือกิน
ตะเกียบคีบผัดไข่ยังไม่ทันยัดเข้าปาก เสียงลมได้มาถึงหน้าผาก เด็กชายเบี่ยงหลบโดยสัญชาตญาณ จื๋อซื่อหนุ่มลงมือพลาดเป้าอดตะลึงไม่ได้ ฟาดออกอีกหนึ่งฝ่ามืออย่างโมโหนิดๆ ครั้งนี้หย่งเยี่ยไม่กล้าหลบอีก มองดูตะเกียบในมือกับผัดไข่ที่ตะเกียบคีบอยู่ถูกฟาดกระเด็นอย่างปวดใจ
“ซื่อจื่อโปรดไปยืนเรียนรู้มารยาทที่ด้านข้างขอรับ” หลี่เหยียนเหนียนเอ่ยเสียงเรียบเฉย
หย่งเยี่ยมีสีหน้าหวาดหวั่น จำใจลุกขึ้นยืน คิดในใจว่าแย่แล้วสิ ถึงหลี่เหยียนเหนียนจะย้ำอยู่ตลอดว่าเมื่อเข้าสู่บ้านพัก เขาก็คือซื่อจื่อ แต่กลับไม่อนุญาตให้เขาทำตัววางอำนาจจริงๆ อย่างไรที่นี่ก็ยังไม่ใช่วังตวนหวาง ตัวเขาแสดงได้เหมือนนัก จะเหมือนว่าหลี่เหยียนเหนียนเป็นบ่าวทาสจริงๆ แล้ว เห็นได้ชัดว่าคำพูดเมื่อครู่ก่อนทำให้จื๋อซื่อหนุ่มไม่สบอารมณ์ ของปลอมก็คือของปลอมวันยังค่ำ หลี่เหยียนเหนียนทำแบบนี้ ก็แค่ต้องการให้เขารู้ไว้ว่า ต่อหน้าคนอื่นๆ ในวังตวนหวาง ตัวเขาคือซื่อจื่อ ต่อหน้าหลี่เหยียนเหนียน เขาไม่ใช่
จื๋อซื่อหนุ่มคีบอาหารรับประทานอย่างสุภาพ เลือกเนื้อแดงในถ้วยออกมาอย่างระมัดระวัง กลืนโจวไปหนึ่งคำอย่างเนิบช้า อี่หงรีบส่งผ้าเช็ดปากสีขาวสะอาดผืนหนึ่งไปให้ จื๋อซื่อหนุ่มรับไปเช็ดปากอย่างระมัดระวัง ค่อยเหลียวไปดูหย่งเยี่ย “ข้าว เขากินกันอย่างนี้”
หย่งเยี่ยหลงนึกว่าตอนนี้กินได้แล้ว มิคาดหลี่เหยียนเหนียนพูดต่ออีกประโยค “กินแล้วคายออกมาให้หมด! แค่เรียนรู้มารยาทเท่านั้น”
กินแล้วยังต้องคายออกมา? เด็กชายรู้สึกว่าแรงกดดันที่จื๋อซื่อหนุ่มเคยทำให้เขารู้สึกเมื่อหลายปีก่อนได้คุกคามเข้าใส่อีกครั้ง เขาไม่ได้ปริปาก รู้ว่าตัวเขาประมาทหลี่เหยียนเหนียนเอง หลงเข้าใจว่าฝ่ายนั้นอนุญาตให้เขาแสดงได้เหมือนจริง ไม่นึกว่ากลับวางกับดักไว้ เทินเขาขึ้นสู่ตำแหน่งซื่อจื่อค่อยฟาดเขาล้มคว่ำลงกับพื้นในฝ่ามือเดียว เป็นการบอกเขาซ้ำอีกครั้งอย่างเห็นได้ชัด ว่าตำแหน่งซื่อจื่อนี้ อยากให้เขาเป็นก็ให้เขาเป็น ไม่ให้เขาเป็นแล้ว เขายังคงเป็นเพียงสุนัขที่โหยวหลีกู่ปล่อยออกไปกัดคน
หย่งเยี่ยได้รับการสั่งสอนยิ่ง นั่งลงอย่างสงบ คีบกับข้าวหนึ่งคำเข้าปากอย่างสุภาพ น้ำลายหลั่งออกมาโดยธรรมชาติ เขาคายอาหารลงในจาน แล้วเลือกเนื้อแดงออกมากับดื่มโจวไปหนึ่งคำตามอย่างหลี่เหยียนเหนียนทุกประการ กระตุ้นให้น้ำลายทะลักออกมาอีกครั้ง คายอีกหน
ในใจเขาแอบด่าหลี่เหยียนเหนียนว่าโรคจิต ขณะที่ “กิน” อาหารเช้าจนเสร็จด้วยจำนวนการคีบตะเกียบพอดิบพอดีไม่มากไม่น้อย รับผ้าเช็ดปากจากมืออี่หงมาเช็ดปาก ลุกขึ้นอย่างสง่างาม
“ดีมาก ข้าวเที่ยง ข้าวเย็นล้วนทำอย่างนี้ ฝึกไปสามวันก่อน” จื๋อซื่อหนุ่มพอใจที่ได้เห็นเด็กชายจ้องอาหารเขม็งพลางกลืนน้ำลาย ย่ามใจอย่างยิ่งกับวิธีลงมือครั้งเดียวได้ประโยชน์หลายทางของตน
ลงโทษให้อดข้าวสามวัน? หย่งเยี่ยจำไว้แล้ว เตือนสติตัวเองให้จำไว้ว่านี่คือกำลังปฏิบัติภารกิจ เตือนสติตัวเองว่าวันหน้าจะทำอะไร ต้องอย่าลืมคำนวณจิตใจของคนเข้าไปด้วย อย่าได้ประมาทใครทั้งนั้น
“จริงสิ เมื่อคืนนี้มันเรื่องอะไรกัน?” จื๋อซื่อหนุ่มถามขึ้น
เด็กชายก้มหน้าลง เอ่ยตอบเบาๆ “หย่งเยี่ยเห็นว่า ในเมื่อหายดีแล้ว ยังคงอย่าให้ใครอยู่เป็นเพื่อนในห้องจะดีกว่า เพราะอย่างไรเวลานอนหลับ คนเรายังจะละเมอได้ง่าย”
จื๋อซื่อหนุ่มนิ่งอึ้ง พยักหน้าเห็นพ้อง
เห็นอีกฝ่ายอนุญาต หย่งเยี่ยรีบเสริมอีกประโยค “หย่งเยี่ยเป็นคนมีวิทยายุทธ์ รูปร่างกับกล้ามเนื้อจะเผยร่องรอยได้ง่าย กลับไปถึงวังแล้ว พยายามให้คนปรนนิบัติน้อยที่สุดจะดีกว่า”
จื๋อซื่อหนุ่มนิ่งคิด เอ่ยยิ้มๆ “เจ้านี่คิดได้รอบคอบดี กินเสร็จแล้วจงไปเดินเล่นรอบๆ เถิด จะค้างกันที่นี่ได้แค่สิบวัน ต้องรีบกลับจิงตูก่อน ๓๐ ค่ำวันสิ้นปี[12]”
หย่งเยี่ยรีบเอ่ยรับ
<>::<>::<>
ไม่กินข้าวสามวันจะมีสภาพอย่างไร?
ขณะที่หย่งเยี่ยเดินเล่นในลานเรือน ได้มองเห็นเขามอ ที่ด้านล่างเขามอมีถ้ำอยู่จริงๆ เด็กชายมุดเข้าไปทันทีโดยไม่ต้องคิด คลี่ยิ้มออกมาตะโกนว่า “หล่านชุ่ย! รีบเอากระดูกหมูมาเร็วเข้า ไม่เอามาข้าจะไม่ออกไป!”
นี่เป็นรายละเอียดที่ในหนังสือเขียนไว้อย่างชัดเจน
หล่านชุ่ยเห็นเด็กชายถูกจื๋อซื่อหนุ่มสั่งสอน จึงไม่สนใจเขา ได้ฟังก็แค่นหัวเราะเย็นชาพูดว่า “ซื่อจื่อ ความจำท่านยอดเยี่ยม รู้ว่ามีเรื่องแบบนี้ก็พอ ท่านนึกว่าจะมีกระดูกหมูให้กินจริงๆ รึ? หลี่จื๋อซื่อบอกแล้วว่า...กรี๊ดดดด”
หย่งเยี่ยมุดออกมาจากในถ้ำพลางปัดมือ มองสาวใช้ที่ตกใจจนกรีดร้องเสียงหลง พูดว่า “ก็แค่งูที่จำศีลตัวเดียว เจี่ยเจียอย่าได้กรีดร้องเสียโหยหวนปานนี้!”
ตัวเขาอุตส่าห์มุดถ้ำแล้ว ยังไม่ยอมให้กินกระดูกหมูสักชิ้น เด็กชายเห็นว่าโยนงูที่หนาวจนแข็งใส่แค่ตัวเดียวไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร
<>::<>::<>
เวลาเที่ยงวัน ตอนรับประทานอาหาร หย่งเยี่ยตั้งใจฟังมารยาทต่างๆ จนจบ จากนั้นกินแล้วคาย คายแล้วกินภายใต้สายตาสมน้ำหน้าของหล่านชุ่ยกับอี่หง รสชาติแสนอร่อยที่วนเวียนอยู่แค่ลิ้นทำเอาเด็กชายเกือบจะสุดทน แต่สีหน้าที่แสดงออกคือเคี้ยวตุ้ยๆ อย่างมีความสุข ขณะที่หล่านชุ่ยตักน้ำแกงหนึ่งถ้วยยิ้มเจ้าเล่ห์ยื่นให้เขา เด็กชายโบกมือปัดถ้วยน้ำแกงพลิกคว่ำ สาดใส่เต็มตัวนาง พูดเสียงเรียบเรื่อย “ข้าจะให้อี่หงป้อนข้ากิน!”
ในหนังสือเขียนไว้ว่า ซื่อจื่อหย่งเยี่ยติดสาวใช้อี่หงที่รับใช้เขามาตั้งแต่เล็กจนโตเป็นที่สุด เดินต้องให้นางแบก ดื่มน้ำแกงชอบให้นางป้อน
ดวงตาอี่หงแทบจะพ่นไฟ ตักน้ำแกงหนึ่งถ้วยใช้ช้อนป้อนเข้าปากเด็กชายโดยไม่แสดงอาการใดๆ
“พรูด!” หย่งเยี่ยพ่นน้ำแกงคำนี้ใส่อี่หง พูดยิ้มๆ “หลี่จื๋อซื่อบอกว่าแค่ ฝึกมารยาท ห้ามกินลงไป”
อี่หงถูกเด็กชายพ่นน้ำแกงใส่เต็มหน้า ก็เงื้อมือทำท่าจะตบใส่ ฝ่ามือพลันอุ่นวาบ นางรวบกำเป็นหมัดโดยอัตโนมัติ พอมองดู ปรากฏว่าเป็นก้อนมันหมู นางชี้หน้าหย่งเยี่ย เดือดจัดจนพูดติดอ่าง “เจ้า...เจ้า...”
ที่หย่งเยี่ยรอก็คือคำพูดนี้ หันไปมองหลี่เอ้อร์ที่ยืนอยู่ตรงประตู พูดขัดขึ้นว่า “กล้าชี้หน้าซื่อจื่อเรียก ‘เจ้า’ ตรงๆ...กฎของทางวังว่าไว้อย่างไร?”
“ฟาดยี่สิบไม้กระดาน ลงโทษคุกเข่า!” คาดว่าหลี่เอ้อร์คงฟังหลี่เหยียนเหนียนพูดแบบนี้จนเคยชิน จึงหลุดปากออกไปทันทีโดยไม่ทันได้คิด
หย่งเยี่ยลุกจากโต๊ะ พึมพำว่า “เซียนเซิงคนงามบอกว่า ‘ห้ามล่วงเกินสตรีเด็ดขาด’ ข้าล่วงเกินทีเดียวสองนาง ควรทำอย่างไรดี?”
กล่าวจบเดินจากไปโดยไม่เหลียวกลับมามอง หลี่เอ้อร์ อี่หง กับหล่านชุ่ยที่โกรธจนหน้าเขียวต่างมองหน้ากัน เรื่องฟาดไม้กระดานย่อมจะฟาดไม่ได้แน่ละ และไม่มีทางลงโทษให้คุกเข่าด้วย แต่หย่งเยี่ยกลับทำให้ทั้งสามรู้สึกว่า ที่กำลังเผชิญหน้าด้วยคือหลี่จื๋อซื่อคนที่สอง
<>::<>::<>
ตกบ่าย หย่งเยี่ยคิดจะนอน จะทนหิวสามวัน เขาได้แต่นอนให้มากเข้าไว้ ตอนนี้จะหาเรื่องหลี่เหยียนเหนียนไม่ได้ ในใจเด็กชายอึดอัดแทบบ้า จึงหวังให้กลับจิงตูเร็วๆ รีบโตไวๆ เขาบอกตัวเองอย่างดุดันว่า วันหน้าต้องเหยียบหลี่เหยียนเหนียนไว้ใต้ฝ่าเท้าให้จงได้
แต่อี่หงกับหล่านชุ่ยกลับไม่ยอมให้เด็กชายได้สมหวัง ยืนอยู่หน้าเตียงพูดเสียงเย็นชา “หลี่จื๋อซื่อเชิญซื่อจื่อไปสนทนาที่ห้องโถงใหญ่เจ้าค่ะ”
หย่งเยี่ยอ้าปากหาว ดูยังไงก็รู้สึกว่ายายสองคนนี้ช่างน่ารังเกียจ ในใจเริ่มจะคิดถึงอี่หงกับหล่านชุ่ยตัวจริงในวังตวนหวาง การมีความจริงใจต่อคนผู้หนึ่งหรือไม่ ไม่ใช่ว่าแค่แต่งหน้าจนหน้าเหมือนก็ใช้ได้เสียเมื่อไร อี่หงกับหล่านชุ่ยที่เขียนอยู่ในหนังสือนั้นดีกับซื่อจื่ออย่างจริงใจ ส่วนสองคนนี้...หย่งเยี่ยแช่งให้ภารกิจครั้งหน้าของพวกนางสองคนคือไปรับแขกที่เรือนโบตั๋น
กระดูกหมูชิ้นเดียวยังงกไม่ยอมให้ ทั้งดวงตายังเป็นประเภทประจบสอพลอผู้มีอำนาจ ผู้หญิงพรรค์นี้ เขาไม่รักสุคนธ์ถนอมหยก[13]หรอก
<>::<>::<>
ตกกลางคืนหย่งเยี่ยนอนไม่หลับ แต่เดิมเพียงเพราะตอนกลางคืนเขาจะตาสว่าง ครั้งนี้มีเหตุผลเพิ่มมาอีกข้อ หิวจนนอนไม่หลับ
เด็กชายนอนยิ้มเจื่อนๆ อยู่บนเตียงเงียบๆ ตัวเขาในชาติก่อนมีความอดทนต่อความหิวสูงมาก อย่างไรร่างกายนี้ในชาตินี้ก็กำลังโต ความรู้สึกหิวจึงรุนแรงมาก
หากออกไปขโมยอะไรสักนิดข้างนอกได้...เขายิ้มแล้ว เพ่งสมาธิสัมผัสรับรู้ความเคลื่อนไหวที่ด้านนอก ความรู้สึกของเขาบอกเขาว่า คนทั้งสิบกว่าคนภายในเขตเรือนแห่งนี้ ว่ากันเฉพาะวิชาตัวเบา ต้องสู้เขาไม่ได้แน่นอน แต่ถ้าออกไป...หากถูกพบเข้า จะมีผลลัพธ์ยังไง? ตัวเขาควรจะอดทนต่อไปไหม? ว่ากันว่าไม่อดทนเรื่องเล็กจะเสียการใหญ่ หย่งเยี่ยเริ่มวิเคราะห์
ในจังหวะนี้ เด็กชายได้ยินเสียงบนหลังคามีความเคลื่อนไหว มีคนกำลังยืนอยู่บนหลังคาห้องของเขา
หย่งเยี่ยเบิ่งตากว้างมองดู กระเบื้องชิ้นหนึ่งถูกแกะออก เผยให้เห็นเงาเงาหนึ่งโยนห่อกระดาษห่อหนึ่งลงมา แล้วจากไปในทันที
ในใจเด็กชายพลุ่งพล่านอย่างหนัก คือ “เงา” ที่ส่งเขาเข้าหุบเขา...ให้ “คัมภีร์ภายในชีพจรสวรรค์” แก่เขานั่นเอง ที่แท้เงาอยู่ที่บ้านพักนี้ด้วย
เขาเก็บห่อกระดาษขึ้นมา ดมกลิ่นหอมของเนื้ออย่างพอใจ แกะห่อ หยิบเนื้อที่เคี่ยวจนอ่อนนุ่มเข้าเนื้อชิ้นหนึ่งขึ้นมาเลีย เริ่มเคี้ยวคำโตๆ
เนื้อเข้าปากก็ละลาย รสชาติอันโอชะเต้นระบำอยู่ที่ปลายลิ้น หย่งเยี่ยยิ้มแป้น ตัวเขามีคนในคอยประสานเสียด้วย! เขาตัดสินใจทันทีว่าจะต้องใช้ประโยชน์จากพี่เงาให้หมดจดถึงแก่น
คนที่สามารถเข้าไปในโหยวหลีกู่ สามารถคุ้มครองเขาที่เป็นปัญญาอ่อนให้ผ่านมาอย่างปลอดภัยได้เกือบหนึ่งปี สามารถรู้นิสัยการรับศิษย์ของชิงอีซือฝุ สามารถเข้าไปในห้องศิลา มอบ “คัมภีร์ภายในชีพจรสวรรค์” ให้เขา ไม่อาจใจแข็งให้เขาทนหิว สามารถเสี่ยงอันตรายมาส่งเนื้อให้กลางดึก คนแบบนี้ไม่ใช้ประโยชน์ก็โง่สิ
เงาจะใช่หลี่เหยียนเหนียนหรือเปล่า? หย่งเยี่ยปฏิเสธข้อสันนิษฐานนี้ทันที ด้วยพลังสายตาของเขา เขาดูออกแล้วว่ารูปร่างของคนผู้นี้ไม่ใช่หลี่เหยียนเหนียนอย่างแน่นอน อย่างนั้นจะเป็นใครได้?
_______________
[1] ยามเหม่า คือเวลา 05:00 น.
[2] เซี่ยงกง เป็นคำที่ภรรยาใช้เรียกสามี
[3] ซื่อจื่อ คือตำแหน่งทายาทผู้สืบทอดบรรดาศักดิ์ “หวาง” (เจ้าชาย)
[4] “หวาง” คือพระยศและบรรดาศักดิ์ของเจ้านาย แปลได้ว่า เจ้าชาย เจ้าฟ้า พระองค์เจ้า; “ตวนหวาง” คืออิสริยยศของเจ้าชายพระองค์นี้
[5] หวางเยี่ย คือสรรพนามที่บุคคลอื่นใช้เรียกเจ้านายที่มีอิสริยยศเป็น “หวาง”
[6] ตวนหวางเฟย แปลว่า พระชายาเอกของตวนหวาง
[7] หนูปี้ แปลว่า “ทาสหญิง” เป็นคำเรียกแทนตัวเองของสาวใช้ในบ้านขุนนางและบ้านผู้มีฐานะ
[8] ระเบียงกอดอก คือระเบียงทางเดินที่มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยม เริ่มจากทอดไปสองด้านซ้ายขวา จากนั้นตีวงโอบเข้าหากันคล้ายการกอดอก (ดูภาพที่ x หน้า x)
[9] ประตูวงเดือน (ดูภาพที่ x หน้า x)
[10] ห้องโถงกลางสวน คือห้องโถงสำหรับรับแขก ตั้งอยู่กลางสวนภายในคฤหาสน์ (ดูภาพที่ x หน้า x)
[11] โจว หรือ โจ๊ก คือข้าวต้มที่ต้มจนเม็ดข้าวเละผสมกับน้ำจนข้น
[12] ปฏิทินจันทรคติของจีนจะไม่มีการแบ่งเป็นข้างขึ้นข้างแรมอย่างของไทย แรม ๑๕ ค่ำ จึงเรียกว่า ๓๐ ค่ำ
Admin
เข้าร่วมเมื่อ 28 เม.ย. 2568, 03:36
โพสต์เมื่อ 28 เม.ย. 2568, 03:36
0 ความคิดเห็น
เข้าสู่ระบบ
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
หน้าแรก
เว็บบอร์ด
สินค้าทั้งหมด