บทที่สิบเอ็ด (2)
ราชครูกับจี้หมิงเฟิงติดตามหลังเหลียนซานกับเฉิงอวี้ไปในระยะห่างพอสมควร เนื่องจากตรงกลางยังคั่นด้วยฝูงชนที่ส่งเสียงเอะอะเซ็งแซ่ช่วงหนึ่ง จึงไม่ได้ยินว่าเหลียนซานกับเฉิงอวี้กำลังคุยอะไรกัน
ในระหว่างทางราชครูได้เข้าใจกระจ่างแจ้งแล้ว เหลียนซานกับท่านหญิงน้อยต้องมีการคบหาที่ไม่ธรรมดาต่อกันอย่างแน่นอน แต่ราชครูก็ไม่ได้คิดมากเกินไปนัก
เมื่อครู่นี้ตอนที่ลมพัดกระโชก เนื่องจากข้างหน้ามีคนกระจุกขวางมากเกินไป ทั้งสองจึงหาต้นหลิวแก่อายุมากพอสมควรต้นหนึ่งยืนพักกันชั่วครู่
ท่านชายจี้ชันเข่านั่งอยู่บนต้นหลิว ไม่ทราบไปฉกเหล้ามาจากที่ใดหนึ่งกา ดื่มสุรารดทุกข์ทีละอึกๆ
ท่านชายจี้ดื่มเหล้าไปได้ครึ่งกา พลันเอ่ยปากถามราชครู “ท่านแม่ทัพใหญ่ไม่ชอบอาอวี้ไม่ใช่หรือ?”
ราชครูนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ถามว่า “นี่ซื่อจื่อกำลังปรึกษาปัญหาหัวใจกับกระหม่อมรึ?”
ท่านชายจี้ยอมรับโดยดุษณี
ราชครูชักรู้สึกสงสัยชีวิตนิดๆ ในหนังสือละครซึ่งเป็นที่นิยมกันในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ราชครูทุกคนต่างต้องเป็นภัยต่อประชาราษฎร์บ้านเมืองทั้งสิ้น ไม่สมคบกับกุ้ยเฟยวางแผนร้ายลอบสังหารฮ่องเต้ ก็เป็นสมคบกับเตี่ยของกุ้ยเฟยวางแผนร้ายลอบสังหารฮ่องเต้ ปกติพวกราชครูทำแต่เรื่องใหญ่โตแบบนี้กันทั้งนั้น ไม่มีราชครูที่กระทำเรื่องใหญ่โตคนใดไปเป็นที่ปรึกษาปัญหาหัวใจให้คนอื่นกันหรอก ต่อให้เป็นที่ปรึกษาปัญหาหัวใจให้กุ้ยเฟยก็ไม่ได้
ราชครูไม่ได้เอ่ยตอบเขา แสดงท่าทีปฏิเสธต่อคำถามนี้
ท่านชายจี้ดื่มเหล้าทีละอึกๆ อึดใจใหญ่ “ข้ามาสายเกินไปแล้วหรือเปล่า?”
ราชครูอยากรู้นิดๆ “อะไรมาสายเกินไป?”
ท่านชายจี้ไม่ได้เอ่ยตอบท่านเช่นกัน
ในระหว่างที่ทั้งสองคนสนทนากัน ลมประหลาดได้หยุดพัด ราชครูรู้ดีอยู่แก่ใจว่าลมหอบนี้เกิดขึ้นเพราะใคร คืนที่มีจันทร์คืออาณาจักรของเหลียนซาน ราชครูเพียงไม่ทราบว่าเหลียนซานเรียกสายลมคลั่งนี้มาเพื่อจุดประสงค์ใด
ท่านชายจี้ที่ด้านข้างแหงนหน้ากรอกสุราในกาจนหมด เอ่ยว่า “ก่อนมาเมืองหลวง ข้ามักจะรู้สึกว่าทุกอย่างยังไม่สายเกินไป”
ราชครูรู้สึกว่าดูท่านชายจี้เป็นแบบนี้แล้วหดหู่อยู่นิดๆ อีกทั้งในประโยคสั้นๆ นี้ของท่านชายจี้ ยังเหมือนกับแฝงเรื่องราวไว้มากมายอีกด้วย แต่ราชครูก็ไม่ทราบควรกล่าวอะไรดีเช่นกัน ดังนั้นจึงเพียงแค่ยืนอยู่บนปลายยอดไม้ด้วยมาดเซียนผู้วิเศษเคียงข้างท่านชายจี้ผู้ผิดหวังในชีวิต ขณะเดียวกันก็จับตาสังเกตความเคลื่อนไหวของคนทั้งสองข้างหน้าอย่างใกล้ชิด
ฝ่าบาทสามที่อยู่ข้างหน้าได้พาท่านหญิงน้อยไปจากถนนสายยาวที่ผู้คนคลาคล่ำ ผ่านร้านเนยแข็ง ร้านอาหารเนื้อสัตว์ โรงน้ำชา จากนั้นทั้งสองคนได้เลี้ยวเข้าไปในตรอกน้อยที่ตกแต่งประดับประดาอย่างฉูดฉาด
ราชครูนิ่งเงียบไปชั่ววูบ กล่าวกับท่านชายจี้ที่ข้างกายว่า
“ซื่อจื่อทรงทราบกระมังว่ากระหม่อมคือนักพรต?”
ท่านชายจี้ที่มึนเมาด้วยฤทธิ์สุราเล็กน้อยไม่อาจเข้าใจได้ว่าราชครูถามเช่นนี้ด้วยเหตุผลใด ทอดมองข้างหน้าอย่างเลื่อนลอยโดยไม่ได้เอ่ยตอบ
ราชครูมิได้ถือสา ก้มหน้าก้มตากล่าวต่อไปว่า
“เวลาไม่ใช่วิชาฤทธิ์ ความจริงแล้วกระหม่อมจำทางไม่ค่อยจะได้”
ท่านชายจี้ยังคงมิได้เอ่ยตอบเช่นเคย
ราชครูกล่าวต่อว่า “หลังจากซื่อจื่อเสด็จมาเมืองหลวง เคยไปเที่ยวหอนางโลมหรือไม่?”
ในที่สุดบนใบหน้าของท่านชายก็ปรากฏสีหน้าเล็กน้อย
ท่านชายจี้ “......”
ราชครูกล่าวว่า “เมืองหลวงมีถนนบุปผาอยู่สามสายที่โด่งดังที่สุด ตรอกฉ่ายอี ถนนป่ายฮัว ตรอกหลิวหลี่ ล้วนแต่เป็นสถานที่อันเป็นแหล่งรวมเหล่าบุปผาทั้งสิ้น ดูเหมือนว่าถนนป่ายฮัวกับตรอกหลิวหลี่จะอยู่ละแวกนี้เอง”
ท่านชายจี้ “......”
ราชครูพึมพำกับตัวเองด้วยเสียงที่มีแต่ตัวเองที่ได้ยิน
“แต่ว่า แนวทางพากูเหนี่ยงเที่ยวถนนบุปผาแบบนี้ ข้าไม่เคยเห็นแม้แต่จากตัวของฮ่องเต้รัชกาลก่อนเลยนะ...” ราชครูผู้จำทางไม่ใคร่ได้เบือนหน้าไปทางท่านชายจี้อย่างไม่แน่ใจ “ซื่อจื่อคิดว่าตรอกที่ท่านแม่ทัพพาท่านหญิงน้อยเข้าไปเมื่อกี้นี้ตรอกนั้น ใช่ตรอกหลิวหลี่ที่เป็นหนึ่งในสามถนนบุปผาสายใหญ่หรือไม่?”
ท่านชายจี้ไม่ได้อยู่ให้คำตอบแก่ราชครู “ตรอกหลิวหลี่” สามคำนี้เพิ่งหลุดจากปาก สีหน้าท่านชายจี้พลันเครียดเขม็ง เหินร่างขึ้นทันที กระโดดปราดๆ บนหลังคาติดตามเข้าไปในตรอกแห่งนั้นเสียแล้ว
แม้ราชครูจะไม่ถนัดเรื่องสายลมจันทรา แต่เพราะเคยรับใช้คนอย่างฮ่องเต้รัชกาลก่อน ความจริงท่านจึงเข้าใจดีทุกอย่าง ราชครูผู้เข้าใจดีทุกอย่างรู้สึกว่าตัวท่านเข้าใจความรู้สึกของท่านชายจี้ดี แต่ท่านพลันนึกขึ้นมาได้กะทันหันว่า ตัวท่านไม่ได้อยู่ฝ่ายท่านชายจี้ แต่อยู่ฝ่ายฝ่าบาทสามต่างหาก ราชครูพลันเครียดเขม็ง รีบตามไปด้วยอย่างกระชั้นชิดทันที
ฝ่าบาทสามพาท่านหญิงเข้าไปในถนนบุปผาจริงๆ ทั้งสองไม่เพียงแต่เข้าไปในถนนบุปผา ยังเข้าไปในหอนางโลมอีกด้วย
เรื่องเที่ยวหอนางโลมเป็นครั้งคราวนั้น สำหรับฝ่าบาทสามและท่านหญิงแล้ว ความจริงถือเป็นเรื่องกิจวัตร
แต่ราชครูประสบสถานการณ์เช่นนี้เป็นครั้งแรก อดรู้สึกแหลกสลายไม่ได้ ราชครูรู้สึกว่าท่านชายจี้น่าจะแหลกสลายเช่นกัน เพราะท่านเห็นคาตาว่าท่านชายจี้ไล่ตามสองคนนั้นไปตลอดทาง โดยมีอยู่หลายครั้งที่เกือบจะร่วงตกลงไปจากกำแพงเขตเรือนของสวนเขียวสุขสม การนี้ทำให้ราชครูรู้สึกเห็นใจนัก
เฉิงอวี้นั่งอยู่ในหอไม้ไผ่สูงรสนิยมหลังหนึ่งซึ่งอยู่ติดกับแม่น้ำหยกขาวภายในสวนเขียวสุขสม ฟังเพลงเลื่องชื่อ “เหยี่ยวล่าหงส์” ของเทพธิดาผีผาจินซานเหนียง ไม่ได้รู้สึกเลยว่าการที่ตัวนางสวมกระโปรงนั่งอยู่ในหอนางโลมมีสิ่งใดผิดปกติ
เมื่อครู่ก่อนนางกับเหลียนซานดูดอกไม้ไฟในตรอกหลิวหลี่จบ เงยหน้าปุบ นางก็สังเกตเห็นป้ายชื่อบนเรือนที่อยู่ข้างๆ ทันที เห็นตัวอักษรฉาบผงทองตัวใหญ่สามตัว “快绿园” (ไคว่ ลฺวี่ หยวน : สวนเขียวสุขสม) บนป้ายไม้หนานมู่ นางพลันนึกขึ้นมาได้ว่า ในสวนเขียวสุขสมมีแม่นางบุปผาผู้หนึ่งดีดผีผาได้เลิศล้ำเป็นเอก นามว่าจินซานเหนียง จึงลองถามเหลียนซานดู ไม่นึกว่าจะถูกเหลียนซานพาเข้ามาทันที
คืนนี้นางค่อนข้างจะใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวตลอด อาทิเมื่อครู่ก่อนตอนอยู่ในตลาด นางมองดูแผงขายของตามงานเทศกาลเหล่านั้น ใบหน้าทอแววสนอกสนใจ แต่ใจของนางหาได้อยู่ที่นั่นไม่ และอาทิในยามนี้ ฟังเสียงผีผาอันเสนาะใสนั้น นางควรจะมีสมาธิ กลับยังคงรวมรั้งจิตใจให้จดจ่อกับผีผาไม่ได้อยู่เช่นเดิม
ช่วงเทศกาล คือช่วงเวลาที่นางหงอยเหงาอ้างว้างเสมอมา อย่าว่าแต่ในคืนนี้ ผนึกนั้นยังคลายออกอีกด้วย
นางหลับตาลง
ถึงแม้ว่าปีนี้นางจะยังไม่เต็มสิบเจ็ดปี แต่นี่เป็นวัยที่สามารถออกเรือนได้แล้ว ความจริงไม่เด็กแล้ว นางยังเฉลียวฉลาดมากไหวพริบอีกด้วย ดังนั้นคนอื่นมองนางอย่างไร ความจริงนางเองก็รู้ดี พวกเขามองดูนาง ต่างรู้สึกเพียงว่านางมีฐานันดรศักดิ์สูงส่ง แม้จะเป็นธิดากำพร้า มีความรักใคร่เอ็นดูของไท่หวงไท่โฮ่ว คำว่า “กำพร้า” ที่ตีตราอยู่บนศีรษะนางจึงไม่ใช่สิ่งสำคัญอะไร ชีวิตของนางควรจะไร้ทุกข์และไร้กังวล ใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรีดังเช่นที่ปกตินางได้แสดงออกต่อหน้าพวกเขา
แต่นางเสียบิดาตอนหกขวบ เสียมารดาตอนเจ็ดขวบ คำว่า “กำพร้า” หาได้แค่ตีตราไว้บนศีรษะนางให้ผู้คนได้ทราบเท่านั้นว่า หงอวี้จวิ้นจู่คือทายาทของผู้ภักดีที่สละชีพเพื่อชาติ นางเป็น “กำพร้า” เพื่อชาติ การ “เป็นกำพร้าแต่ยังเยาว์” ประเภทนี้ คือความดีความชอบอันทรงเกียรติ คำว่า “กำพร้า” นี้ได้ตีตราอยู่ภายในใจของนางลึกล้ำยิ่งกว่า ตัวนางเองทราบดีว่าการไม่มีบิดามารดานั้นเป็นอย่างไร เข้าใจดีถึงความรู้สึกน้อยใจและหงอยเหงาของยามเทศกาลปีใหม่ซึ่งทั้งครอบครัวต่างพร้อมหน้ากัน ทว่านางกลับได้แต่คุกเข่าในศาลเจ้าบรรพบุรุษเผชิญหน้ากับป้ายชื่อสองป้าย
นางโตมาจนอายุสิบหกปี หาใช่ไร้ทุกข์และไร้กังวล โศกเศร้าเป็นอย่างไร เจ็บปวดเป็นอย่างไร โดดเดี่ยวเป็นอย่างไร ความจริงแล้วนางเข้าใจทั้งหมด และต่อมานางได้พบกับชิงหลิง ในสุสานโบราณหนานหร่านตอนที่ชิงหลิงต้องมาตายเพราะนาง นางยังไม่ถึงสิบหกปี เป็นวัยที่ยังไม่โตเต็มที่ ไม่สามารถทำใจยอมรับความตายที่เกิดขึ้นเพราะตัวเองได้ เสียใจเป็นอย่างไร ละอายเป็นอย่างไร จมทุกข์เป็นอย่างไร ความจริงแล้วนางก็ทราบเช่นกัน
ชีซีอันเปี่ยมอารมณ์ ค่ำคืนอันดีงามเพียงไร ค่ำคืนอันประเสริฐเช่นนี้ ในใจนางกลับมีแต่ความอ้างว้าง ยากจะมีความสุขได้โดยแท้ แต่โชคดีที่คืนนี้เหลียนซานเป็นคนอยู่เคียงข้างนาง
นางไม่เคยใคร่ครวญดูว่า เหตุใดการที่เหลียนซานอยู่เคียงข้างนางจึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับนาง นางเพียงแต่รู้สึกว่า หากจำเป็นต้องมีใครสักคนอยู่เคียงข้างนางในคืนนี้ คนผู้นั้นจะต้องเป็นเหลียนซาน นางจึงจะสงบใจเช่นในยามนี้ได้ นางไม่เคยใคร่ครวญมาก่อนเช่นกันว่านี่เป็นเพราะเหตุใด เพียงแต่ในคืนนี้ ตั้งแต่นางลืมตาขึ้นมองเห็นเขาในเรือนกลางวสันต์ นางก็คิดในใจว่า บางทีเขาอาจจะเคยเข้มงวดกับนาง เคยเรื่องมากกับนาง และยังเคยยั่วเย้านางเหมือนอย่างที่ผ่านมาเช่นกัน แต่ทุกคำที่นางพูด เขาต่างเก็บไปใส่ใจ คืนนี้เขาไม่เคยปฏิเสธนางเลย แม้แต่ครั้งเดียว แม้ดูแล้วท่าทีจะยังคงเฉยชาเช่นเดิม แต่เขาอ่อนโยนกับนางเป็นพิเศษ
ริมแม่น้ำหยกขาวที่น้ำนิ่งไหลลึก เบื้องบนมีดวงเดือนเย็นตาเบื้องล่างมีโคมไฟสว่างไสว มีสีสันในสายตามีสรรพเสียงในโสต ตัวเหมือนอยู่ในสถานที่อันสุดบันเทิงรื่นเริงของโลกหล้า แต่เฉิงอวี้ปราศจากความรู้สึกเช่นนี้โดยสิ้นเชิง กลับถูกดอกไม้ไฟอีกระลอกที่พุ่งขึ้นกะทันหัน ณ ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำหลังจากเล่นสองเพลงจบไปดึงดูดความสนใจ จึงฉวยจังหวะช่วงที่จินซานเหนียงหยุดดีดมารินเหล้าให้เขากับนาง แอบย่องลงจากหอ
เหลียนซานไม่ได้รั้งตัวนาง จวบจนนางวิ่งออกไปจากหอไม้ไผ่หลังน้อย เขาค่อยยกพัดจีบขึ้นเขี่ยหน้าต่างที่ปิดอยู่ครึ่งหนึ่งให้เปิดออก พัดจีบตวัดจากซ้ายไปขวาอย่างคล่องแคล่วหนึ่งครั้ง บนแม่น้ำหยกขาวพลันเกิดหมอกขาวอย่างปุบปับ หมอกนั้นมิได้ไหวกระเพื่อม แต่แผ่ขยายโดยแนบสนิทกับผิวแม่น้ำ แผ่คลุมทั่วพื้นหญ้าริมฝั่งน้ำอย่างรวดเร็ว
เหลียนซานมองดูเฉิงอวี้ที่ยืนประหลาดใจอยู่ชั่ววูบกลางดงหมอก มองเห็นนางยื่นเท้าไปเตะหมอกขาวที่วนเวียนอยู่รอบข้อเท้าเหล่านั้นเหมือนรู้สึกว่าสนุกดีกระนั้น ตามด้วยเห็นนางนั่งลงที่ริมแม่น้ำอย่างไม่อินังขังขอบ
เขารั้งสายตากลับ ประคองจอกกระเบื้องเคลือบสีขาวบนโต๊ะขึ้นจิบเรื่อยเฉื่อยไปหนึ่งคำ
เมื่อเห็นเฉิงอวี้อยู่ตามลำพังที่ริมฝั่งแม่น้ำ ท่านชายจี้ที่นั่งอยู่บนต้นจวี่ละแวกนั้นต้นหนึ่งก็ทำท่าจะกระโดดลงไปทันที ถูกราชครูที่นั่งอยู่บนต้นไม้ต้นเดียวกันสกัดขวางเอาไว้ได้อย่างหวุดหวิด มือขวาของราชครูกุมแขนซ้ายของท่านชายไว้ ส่วนกระบี่ยาวที่ยังไม่หลุดจากฝักของท่านชายขวางอยู่ข้างลำคอของราชครู
แววตาท่านชายลึกล้ำยิ่ง “ที่นี่คือสวนท้ายเรือนของหอนางโลม มีบุตรหลานผู้ดีเสเพลเตร็ดเตร่มาได้ทุกเมื่อ พาสตรีในห้องหอเช่นนางมาหอนางโลมถือว่าไม่สมควรอยู่แล้ว ปล่อยให้นางอยู่ตามลำพัง ยิ่งไม่สมควรเข้าไปใหญ่!”
ราชครูรู้สึกว่าการติดตามฝ่าบาทสามออกมาข้างนอกในคืนนี้ เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ แต่เห็นได้ชัดว่าจะมาล่าถอยเอาป่านนี้นั้นสายเสียแล้ว การที่เหลียนซานทำอะไรไม่บันยะบันยังเช่นนี้ เป็นเพราะท่านตามหลังมาช่วยเก็บกวาดให้เสียละมาก
ราชครูทอดตามองเขตแดนอันวางอำนาจบาตรใหญ่รอบกายท่านหญิงซึ่งใช้หมอกขาวเป็นรูปลักษณ์ บีบให้พระภูมิเจ้าที่ต้องโผล่ออกมานั้น อยากจะสบถด่ามารดานิดๆ ขืนปล่อยให้ท่านชายเข้าไปใกล้ท่านหญิงตามใจชอบ เมื่อท่านชายพบว่าไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถเข้าไปข้างในหมอกนั้นได้ ขอถามว่าท่านควรจะอธิบายปรากฏการณ์อันมหัศจรรย์และลี้ลับนี้ต่อท่านชายว่าอย่างไรไม่ทราบ?
เมื่อเห็นว่าท่านชายจี้ทำท่าจะลงไม้ลงมือแล้ว ราชครูคิดหาวิธีอื่นไม่ออก ได้แต่ทำมือร่ายคาถาสะกดตรึงเขาไว้
ท่านชายจี้ไม่อยากจะเชื่อ สีหน้าโกรธเกรี้ยว “ท่าน...”
ราชครูร่ายคาถาอีกครั้ง ผนึกเสียงของท่านชาย
ในที่สุดโลกก็เงียบสงบแล้ว ราชครูสนทนาความในใจกับท่านชายจี้ที่หนึ่งขยับตัวไม่ได้ สองพูดอะไรไม่ได้ “กระหม่อมคิดว่าเวลานี้ท่านหญิงน่าจะอยากอยู่คนเดียว ซื่อจื่อทรงบุ่มบ่ามปรากฏตัวเช่นนี้ เกิดท่านหญิงกริ้วขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่า ซื่อจื่อว่าใช่หรือไม่?”
ท่านชายจี้ที่พูดไม่ได้ไม่สามารถบอกว่า “ไม่ใช่” ได้โดยสิ้นเชิง
ราชครูสนทนาความในใจกับท่านชายจี้ต่อไป
“ซื่อจื่อติดตามท่านหญิงมาตลอดทาง กระหม่อมคิดว่าเป็นเพราะซื่อจื่อทรงเป็นห่วงท่านหญิง ไม่ใช่เพราะอยากจะทำให้ท่านหญิงเกลียดหน้าเด็ดขาดจริงไหม? ดังนั้นนี่กระหม่อมกำลังช่วยท่านอยู่นะ ซื่อจื่อ” ราชครูกล่าวอย่างหวังดี “ท่านใจเย็นๆ ไว้ก่อน กระหม่อมจะคอยเฝ้าดูความปลอดภัยของท่านหญิงเอง” แล้วพึมพำว่า “ข้าเองก็ต้องทำใจให้เย็นสักหน่อยเหมือนกัน”
กล่าวจบราชครูก็เริ่มนั่งขบคิดใคร่ครวญอยู่บนคาคบไม้ ท่านขบคิดว่าฝ่าบาทสามกับท่านหญิงมีความสัมพันธ์ใดต่อกันกันแน่
ท่านก็ไม่ได้ตาบอด การกระทำตลอดทางมานี้ของฝ่าบาทสาม ดูเหมือนชอบเฉิงอวี้อย่างมากทั้งสิ้น แต่ปัญหาอยู่ที่เหลียนซานหาใช่มนุษย์ เขาคือเทพเซียน เทพเซียนจะมาหลงรักมนุษย์ได้อย่างไร?
เล่าขานกันว่าปวงเทพเทวาผู้ถือกำเนิดสู่โลกหล้าเพื่อผืนฟ้าสีนิลผืนดินสีเหลืองและจักรวาลมหาอุทกภัยแต่แรกเริ่มนั้น แท้จริงแล้วหาได้มีอารมณ์ทั้งเจ็ดและกิเลสทั้งหก พวกเขาจำแลงร่างกำเนิดมาตามลิขิตสวรรค์เพียงเพื่อก่อตั้งกฎเกณฑ์แห่งฟ้าดิน ทำให้สี่ฤดูกาลดำเนินคลาดกัน สุริยันจันทราส่องแสงแทนกัน สรรพสัตว์ถูกหล่อเลี้ยงร่วมกันเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ยามที่เหล่าผู้บรรลุธรรมซึ่งรู้แจ้งบรรยายถึงปวงเทพ จึงได้มีคำว่า “ฟ้าดินไร้เมตตา ถือสรรพสัตว์เป็นหุ่นหญ้า[1]”
สำหรับปวงเทพไทในยุคแรกเริ่มของโลกนี้ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “เมตตา” และสิ่งที่เรียกว่า “ไม่เมตตา” จริงแท้ ความจริงแล้วพวกเขามองดูมนุษย์มิได้แตกต่างจากมองดูเหล่าสัตว์ป่าหนอนแมลง มนุษย์มักจะหลงนึกว่าพวกตนมีความพิเศษมากมาย เทียบกับเหล่าสัตว์ป่าหนอนแมลงแล้ว ไม่ทราบสูงส่งยิ่งกว่ากันตั้งกี่ขั้น ความจริงเป็นแค่การคิดไปเองของมนุษย์เท่านั้น เทพเซียนมองดูมนุษย์ ก็เหมือนมองดูสัตว์ป่าหนอนแมลง มองดูสัตว์ป่าหนอนแมลง ก็เหมือนมองดูมนุษย์ แม้ฝ่าบาทสามจะเป็นเทพที่เกิดมาในยุคหลัง แต่แท้จริงแล้วความเป็นเทพเป็นประเภทเดียวกับเทพยุคมหาบรรพกาลมากยิ่งกว่า
ราชครูไม่อาจจินตนาการได้ว่าฝ่าบาทสามที่เป็นเช่นนี้จะหลงรักมนุษย์ผู้หนึ่ง ลองนึกภาพฮ่องเต้ข้ามผ่านเผ่าพันธุ์มนุษย์ไปหลงรักนกกระจาบฝนตัวหนึ่งดูเป็นไร? แต่ราชครูพลันนึกถึงอ้ายเฟยทั้งสองของฮ่องเต้ที่ถูกเฉิงอวี้จับย่างไปแล้วขึ้นมาได้ ช่างเถิด ฮ่องเต้ก็ไม่ใช่มนุษย์ปกติอะไรเหมือนกัน
ราชครูรู้สึกสับสนงุนงง ความสับสนงุนงงนี้ คือความสับสนงุนงงอันเนื่องมาจากโลกทัศน์และค่านิยมถูกท้าทายโดยพร้อมเพรียง
<>::<>::<>
[1] หุ่นหญ้า ในที่นี้คือหุ่นฟางรูปสุนัขซึ่งใช้ในการบูชายัญ ใช้เปรียบว่าเป็นสิ่งที่ต่ำต้อยด้อยค่าไร้ประโยชน์ (ดูภาพที่ x หน้า x)