บทที่สิบเอ็ด (3)
สวนด้านหน้าของสวนเขียวสุขสมมีเสียงนวลนางหัวร่อต่อกระซิก เสียงเครื่องสายขับกล่อม ดุจจะขับร้องชีวิตในโลกีย์จนถ้วนทั่ว สวนด้านหลังมุมที่จินซานเหนียงพำนักอยู่ตามลำพังนี้ กลับมีเพียงหอไม้ไผ่หนึ่งหลัง สวนดอกไม้หนึ่งแห่ง และสวนปลูกต้นกล้าหนึ่งผืน นอกจากนี้ก็คือแม่น้ำหยกขาวช่วงหนึ่งซึ่งถูกล้อมเข้าสู่สวน ทิวทัศน์รื่นรมย์คนก็รื่นรมย์
หลังจากดอกไม้ไฟดอกสุดท้ายที่ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำหยกขาวโรยราที่กลางอากาศ เหลียนซ่งค่อยลุกขึ้นลงมาจากหอไม้ไผ่ และมาถึงริมฝั่งแม่น้ำด้วยเช่นกัน
ดอกไม้ไฟจบไปแล้ว เฉิงอวี้กลับยังคงนอนอยู่บนพื้นหญ้าริมฝั่ง สองมือหนุนหลังศีรษะ เพ่งมองท้องฟ้าอย่างใจลอย บนฟ้ามีเพียงจันทร์ยะเยียบครึ่งดวงเศษดาวประปราย เมฆเบาบางดุจควันน้ำชาล่องลอยอยู่รำไร ความจริงไม่มีอะไรน่ามองเลย
เขาหลุบตาลงมองนางอยู่พักหนึ่ง นั่งลงที่ข้างกายนาง
นางเบือนหน้ามามองเขาแวบหนึ่ง
เขานอนลงที่ข้างกายนาง เอามือหนุนศีรษะเช่นเดียวกับนาง เพียงแต่หลับตาลง
“ดอกไม้ไฟเมื่อกี้สวยไหม?” เขาถาม
นางมองท้องฟ้า “พอใช้ได้”
“พอใช้ได้?” เขายังคงหลับตาเช่นเดิม
เฉิงอวี้ชอบดูดอกไม้ไฟ แต่ความจริงนี่ไม่ถือว่าเป็นความชอบของนาง ทว่าเป็นความชอบของจิ้งอานหวางเฟยท่านแม่ของนาง
มีบางคนหลังจากที่คนในครอบครัวจากไปแล้ว เพื่อเป็นที่ระลึกทดแทนความเศร้า จึงจะกระทำในสิ่งที่คนในครอบครัวกระทำ รักในสิ่งที่คนในครอบครัวรักโดยสัญชาตญาณ เฉิงอวี้ก็เป็นเช่นนี้ หลังจากจิ้งอานหวางเฟยสิ้นบุญ นางจึงค่อยมีนิสัยชอบดูดอกไม้ไฟแบบนี้ แม้แต่ดอกไม้ไฟไฟเย็นซึ่งพวกเด็กๆ บ้านเศรษฐีมีทรัพย์จุดยามที่เล่นสนุกกันในคืนฤดูร้อน นางก็สามารถมองดูจนเท้าไม่ขยับ
ความจริงก็ไม่ได้สำคัญดอกว่าจะสวยหรือไม่สวย ตอนที่นางมองดู สิ่งที่คิดอยู่ในใจก็ไม่ใช่เรื่องนั้นเช่นกัน
นางเงียบไปครู่หนึ่ง พึมพำกับตัวเอง
“ข้าเคยเห็นดอกไม้ไฟที่สวยยิ่งกว่าดอกไม้ไฟพวกนี้ เมื่อนานมาแล้วในวันเกิดของท่านแม่ข้า เสด็จพ่อเคยจุดดอกไม้ไฟเพื่อนางบนหอทศมาลีครั้งหนึ่ง ดอกอิงวสันต์ ดอกบัวคิมหันต์ ดอกเบญจมาศสารท ดอกชาภูเขาเหมันต์ ทยอยกันผลิบานบนท้องฟ้าของเมืองผิงอาน ส่องสว่างไปครึ่งเมือง นั่นน่ะสวยจริงๆ หลังจากนั้นข้าก็ไม่เคยเห็นดอกไม้ไฟที่สวยกว่ายิ่งใหญ่อลังการมากกว่านั้นอีก”
หากถกถึงเรื่องยินเสียงปุบรู้ความนัย ไม่มีผู้ใดเหนือล้ำไปกว่าฝ่าบาทสามอีก
คืนสมัยนางยังเด็กที่เฉิงอวี้เอ่ยถึงนี้ แม้จะพูดอย่างคลุมเครือมาก เขาก็ทราบได้ในทันทีว่าที่นางเอ่ยถึงคือคืนใดของปีใด
เคยมีคืนอย่างนั้นอยู่คืนหนึ่งจริงๆ กลางอากาศเหนือเมืองหลวงได้มีดอกไม้ไฟซึ่งสามารถทัดเทียมกับดินแดนเซียนเช่นสวรรค์เก้าชั้นฟ้าถูกจุดขึ้น คืนนั้นเทียนปู้ยังเคยเอ่ยชมว่า ดอกไม้ไฟที่มนุษย์สร้างขึ้น กลับสามารถสร้างรูปลักษณ์ของช่วงเวลาพิรุณสวรรค์ดอกมณฑารพ ณ ตำหนักเมฆครามแห่งต้าหลัวเทียนออกมาได้หลายส่วนเลยเทียว ความจริงไม่อาจจะดูถูกมนุษย์ได้
แต่วันรุ่งขึ้น คนที่จุดดอกไม้ไฟก็ถูกขุนนางตรวจการนำไปถวายฎีการ้องเรียนต่อหน้าฮ่องเต้หนึ่งฉบับ กล่าวว่านี่เป็นพฤติกรรมอันสุรุ่ยสุร่ายสิ้นเปลือง พระบรมวงศานุวงศ์ไม่สมควรมีพฤติกรรมฟุ่มเฟือยเช่นนี้ เป็นการละเมิดต่อคำสั่งสอนของบรรพชน
ถึงแม้ฮ่องเต้รัชกาลก่อนที่ครองราชย์ในเวลานั้นจะกระทำเรื่องกำแหงอวดดี สุรุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟือย ลุ่มหลงในนารี ปล่อยตัวไม่สำรวมมาสารพัดแบบ แต่กระทั่งตัวฮ่องเต้รัชกาลก่อนเองก็ไม่เคยจุดดอกไม้ไฟที่ฟุ่มเฟือยถึงเพียงนี้มาก่อนเช่นกัน ดังนั้นฮ่องเต้รัชกาลก่อนจึงทำตามที่ขุนนางตรวจการร้องขอ ลงโทษกักตัวพระบรมวงศานุวงศ์ที่ละเมิดกฎท่านนั้น ทั้งยังริบเงินปีของท่านครึ่งปี
พระบรมวงศานุวงศ์ท่านนั้น ก็คือจิ้งอานหวางเยี่ย
และปีนั้นเป็นปีที่มากเรื่องมากราวโดยแท้ เป่ยเว่ยเพิ่งกำหนดตัวกษัตริย์องค์ใหม่ ได้กรีธาทัพลงใต้ รุกรานชายแดนระหว่างต้าซีกับเป่ยเว่ย จิ้งอานหวางรับบัญชาออกศึกบีบเป่ยเว่ยให้ล่าถอย กลับโชคร้ายพลาดท่าที่เนินจื่อเหิง พลีชีพกลางสนามรบ จิ้งอานหวางสองสามีภรรยารักใคร่กันลึกล้ำ หวางเฟยทำใจยอมรับความสะเทือนใจนี้ไม่ได้ ฟังว่าล้มป่วยกระเสาะกระแสะ ไม่นานก็ตรอมใจตายจาก วังจิ้งอานหวางหลงเหลือเด็กเล็กเพียงคนเดียว
เวลานั้นผู้เฒ่าจงหย่งโหวยังเคยถอนหายใจกล่าวว่า เด็กคนนั้นช่างน่าสงสารนัก
แต่เวลานั้น ผู้เฒ่าจงหย่งโหวก็แค่กล่าวอย่างทอดถอนเช่นนั้น ฝ่าบาทสามก็แค่รับฟังไว้เท่านั้น สำหรับตัวเขาแล้ว เรื่องนี้เป็นแค่หมอกควันที่ไร้ความหมาย
แต่เด็กคนนั้นตอนนี้นอนอยู่ข้างๆ ตัวเขานี่เอง
นางเอ่ยถึงคืนนั้นกับเขา พยายามแสร้งทำเป็นเรื่อยเฉื่อยสบายอารมณ์ แต่เขาเคยเห็นสี่ฤดูภายในใจของนางมาแล้ว
ไม่ทราบเช่นกันว่ายามนี้นางได้หลบอยู่ตรงฤดูไหนภายในใจของตัวเองอีก ท่าทางนั้นของนาง ชวนให้เวทนาจนปวดใจอยู่นิดๆ
ฝ่าบาทสามจึงยกมือขึ้น
พร้อมกับเสียงแหลมใสดุจเสียงนกหวีดพิราบ[1] กลางผืนฟ้าที่ประดุจเขียนวาดด้วยหมึกดำพลันปรากฏดวงแสงนับหมื่นพันกะทันหัน เสียงสะเทือนกึกก้องยามดวงแสงระเบิดแตกออกดุจจะพลิกคว่ำคงคาสวรรค์ ก้อนเมฆทั่วผืนฟ้าล้วนแตกกระจายด้วยความตระหนก
ท่ามกลางเสียงดังกึกก้องเสียงแล้วเสียงเล่านี้เอง ดอกมณฑารพเจ็ดสีได้บานสะพรั่งทั่วทั้งผืนฟ้าทิศใต้ ม่านฟ้าดูประดุจภาพมายาอันงดงามอัศจรรย์ ดอกมณฑารพเจ็ดสีโรยราในชั่วอึดใจ ดอกอุทุมพรก็ทยอยไล่ผลิบานตามร่องรอยของดอกมณฑารพที่โรยราสืบต่อ จากนั้นดอกไม้อัศจรรย์นานาชนิด อาทิ ดอกกนกอุทุมพร ดอกกุสุมา เป็นต้น ก็ทยอยกันมาเยือนเบ่งบานอวดโฉม...นี่คือดอกไม้ไฟอีกระลอก ดอกไม้ไฟที่ยิ่งใหญ่อลังการเหนือกว่าคืนวสันต์นั้นเมื่อสิบปีก่อน
ราชครูที่นั่งอยู่บนต้นจวี่คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของฝ่าบาทสามอยู่ตลอด ได้ร่วงตกลงมาจากบนคาคบไม้ พาให้ท่านชายจี้พลอยร่วงตกลงไปด้วย
สิ่งที่มนุษย์เห็น คงจะแค่รู้สึกว่าดอกไม้ไฟนี้ยิ่งใหญ่อลังการสุดเปรียบปาน พุ่งขึ้นมากะทันหันจากที่ซึ่งไร้เสียง ส่องสว่างทั่วทั้งเมืองหลวงภายในชั่วอึดใจ ยอดเยี่ยมยิ่งนัก แต่ในสายตาของราชครู นี่ไม่ใช่แค่เมืองหลวงถูกส่องสว่างเท่านั้น นี่คือทั่วทั้งโลกมนุษย์ต่างถูกส่องสว่าง
ท่านดูออกได้ พวกขุนนางของกรมโหรก็ไม่ใช่ว่าเลี้ยงเสียข้าวสุก ย่อมจะดูออกด้วยเช่นกัน
ที่ริมแม่น้ำ เฉิงอวี้ถูกทิวทัศน์อันงดงามทำเอาตะลึงพรึงเพริด แหงนหน้ามองฝนดอกไม้ทั่วผืนฟ้าพึมพำว่า “สวรรค์ช่วย...”
ราชครูพึมพำออกมาด้วยคำเดียวกันกับเฉิงอวี้ “สวรรค์ช่วย...”
พึงทราบว่าหลังจากที่ฮ่องเต้รัชกาลก่อนขี่กระเรียนสู่ประจิม ราชครูก็ไม่เคยถูกใครบีบให้อุทานออกมาว่า “สวรรค์ช่วย” อีกเลย
ดอกไม้ไฟนี้ ไม่ใคร่เหมือนฝีมือของมนุษย์จริงแท้ ประกอบกับพรุ่งนี้เมื่อกรมโหรรายงานขึ้นไป ฮ่องเต้จะต้องถือเรื่องนี้เป็นนิมิตมงคลมาสอบถามท่านอย่างแน่นอน ฮ่องเต้จะถามท่านว่าอะไรบ้าง ราชครูทราบดีเช่นกัน หนีไม่พ้นสวรรค์เบื้องบนประทานนิมิตมงคลลงมาเช่นนี้ ประสงค์จะแจ้งนิมิตสวรรค์ใดหรือ? ท่านย่อมจะตอบฮ่องเต้ว่า นี่หาใช่นิมิตสวรรค์อะไร ทั้งหมดแค่เพราะว่าเหล่าเทพเซียนก็ต้องใช้ชีวิตเหมือนกัน จึงจำเป็นต้องเอาใจให้กูเหนี่ยงโฉมงามอารมณ์ดีเช่นกัน ไม่ได้ใช่ไหมเล่า?
ราชครูคิดอย่างอัดอั้น เฮอะ โชคดีที่เมื่อครู่ได้ผนึกปากของท่านชายจี้ไปแล้ว ไม่อย่างนั้นขืนตอนนี้ท่านชายจี้ถามท่านว่านี่คืออะไร ท่านคงนึกไม่ออกไปชั่วขณะจริงๆ ว่าจะตอบอย่างไรดี
คิดถึงเรื่องนี้ อดหันไปมองท่านชายจี้ไม่ได้ แต่ท่านชายจี้ช่างมีความสามารถนัก สายตาของเขาสื่อคำถามว่า “นี่คืออะไร?” อย่างชัดเจนยิ่ง
ราชครูกลุ้มใจยิ่งนัก ขบคิดอยู่ชั่วแล่น หาผ้าผืนหนึ่งมาปิดตาของท่านชายจี้ด้วยเสียเลย
ริมฝั่งแม่น้ำ แม้เฉิงอวี้จะตะลึงพรึงเพริดอย่างมาก หลังจากตะลึงพรึงเพริดแล้ว กลับดีอกดีใจอย่างบริสุทธิ์ใจ ยื่นมือออกไปคว้าจับจุดแสงที่ร่วงตกลงมาในยามดอกไม้ไฟโรยรา เปล่งเสียงถอนหายใจเบาๆ อย่างเหลือเชื่อ “นี่คือเทพเซียนองค์ใดบนสวรรค์จัดงานวันเกิดอย่างนั้นหรือ? ช่างยิ่งใหญ่อลังการดีแท้”
ฝ่าบาทสามทำเสียง “อืม” ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
แต่ทว่าจะเทพเซียนท่านใดจัดงานวันเกิด ก็กระทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่อลังการอย่างนี้ไม่ได้ทั้งนั้น อาทิมีอยู่ปีหนึ่งใต้ฝ่าพระบาทเทียนจวินทรงจัดงานวันเกิด นึกอยากจะชมดูภาพมายาดอกไม้ในพุทธประวัติแต่ละชนิดสักหน่อย ระบุนามให้ฝ่าบาทสามซึ่งปีนั้นรักษาการคุมร้อยบุปผารับผิดชอบจัดการเรื่องนี้ ฝ่าบาทสามก็ไม่ได้กระทำอย่างยิ่งใหญ่อลังการเช่นนี้ แค่ทำให้อย่างพอเป็นพิธีในอุทยานรัศมีจันทร์ทิพย์ของสวรรค์ชั้นสามสิบสองเท่านั้น นั่นยังเป็นเตี่ยแท้ๆ ของฝ่าบาทสามเองอีกด้วย
ฝ่าบาทสามมองดูนิ้วตัวเองอย่างตกตะลึง
เมื่อกี้ทำไม...มือเขาถึงกระตุกได้?
เดิมทีเขาแค่ตั้งใจจะทำดอกไม้ไฟเล็กๆ พอประมาณที่อีกฝั่งของแม่น้ำ พาเฉิงอวี้ที่อาจจะจมดิ่งลงสู่ความโศกเศร้าภายในใจโดยไม่อาจไถ่ถอนอีกครั้งออกมาเท่านั้น แต่เวลานั้นมีสายลมอ่อนพัดมาพอดี เนื่องจากเขากับนางอยู่ใกล้กันมาก ลมราตรีนำพาเส้นผมของเฉิงอวี้เผลอมาปัดสัมผัสใบหน้าด้านขวาของเขา ความรู้สึกจักจี้นิดๆ นั้นทำให้ในใจเขาไหววูบ มือขวาที่กำลังใช้วิชาฤทธิ์เผลอสั่นกระตุก
ฝ่าบาทสามไม่เคยเกิดความผิดพลาดตอนใช้วิชาฤทธิ์มาได้สามหมื่นกว่าปีแล้ว ทั้งยังเกิดความผิดพลาดในเรื่องเล็กน้อยอย่างมากเช่นนี้อีกด้วย
ผลคือพอเกิดความผิดพลาดปุบ ก็สร้างเรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้ขึ้นมา
ดอกไม้ไฟที่โรยราแปรเป็นจุดแสงมากมายโปรยปรายลงสู่โลกมนุษย์ จุดแสงเล็กนิดประดุจแสงหิ่งห้อย แต่กลับมีสีสัน และราวกับมีชีวิต ละเล่นไล่จับกันที่กลางอากาศ เฉิงอวี้ลองยื่นมือออกไปคว้าจับพวกมันดู แต่จุดแสงเล็กจิ๋วเหล่านี้กลับยากจะคว้าจับยิ่งกว่าหิ่งห้อยจริงๆ เสียอีก กระนั้นนางค้นพบแล้วว่า พวกมันอาลัยอาวรณ์ชายกระโปรงของนาง
พวกมันชอบมารวมตัวกันตรงชายกระโปรงของนาง เมื่อนางย่างก้าว พวกมันก็ขยับย้ายตามชายกระโปรงที่ขยับเบาๆ นั้นด้วย ราวกับแถบแสงหลากหลายสีอันมีชีวิต ยามนางเร็วพวกมันก็เร็ว ยามนางช้าพวกมันก็ช้า
นางห้ามใจไม่อยู่เริ่มหยอกเย้าพวกมันเล่น จับชายกระโปรงหมุนตัว ชายกระโปรงที่พลิ้วลอยราวกับระลอกคลื่นที่กระเพื่อมขึ้นลง ค่อยๆ เร็วขึ้นเรื่อยๆ เร็วขึ้นเรื่อยๆ ดวงแสงที่ติดตามนางเหล่านั้นเหมือนจะเริ่มมึนงงดังที่คาด ทำท่าจะกระจายตัวออกเองเพราะใกล้จะทนความเร็วนั้นไม่ไหว เฉิงอวี้หัวเราะออกมาเต็มที่อย่างสนุกสนาน
ฝ่าบาทสามได้สติกลับมาท่ามกลางเสียงหัวเราะนั้น ครั้นเงยหน้าขึ้น ก็มองเห็นภายใต้ดอกอุทุมพรทั่วผืนฟ้าเป็นฉากหลัง เด็กสาวชุดขาวจับชายกระโปรงหมุนตัวอย่างร่าเริงเข้าพอดี จุดแสงหลังดอกไม้ไฟสลายตัวเกาะติดบนชายกระโปรงที่เริงระบำ ประดุจปักแสงจันทร์ลงบนชายกระโปรงนั้น
นางเต้นรำไม่เป็นจริงๆ เพียงแค่ปล่อยตัวไปตามอารมณ์ หมุนตัวราวกับหมายจะหลุดพ้นจากจุดแสงเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้กระโปรงขาวที่ชั้นนอกคลุมด้วยผ้าแพรโปร่งนั้นจึงดูเหมือนฟองคลื่นยิ่งนัก โอบล้อมนางไว้อย่างนุ่มนวล เขามักจะรู้สึกว่าสีขาวทำให้นางดูไร้เดียงสาเกินไป แต่ยามนี้เป็นเพราะสีขาวนี้เช่นกัน ค่อยทำให้กิริยาอ่อนเดียงสาเช่นนี้ดูตราตรึงใจนัก
นางพลันหยุดลงอย่างปุบปับ ประคองหน้าผากเหมือนมึนงงนิดๆ มองดูจุดแสงที่ชายกระโปรงกระจายตัวออกโดยพลัน ราวกับฟองคลื่นกระแทกใส่หินโสโครกแตกกระเซ็นเป็นฝอยน้ำ หัวเราะเสียงใสอีกครั้งเหมือนรู้สึกมีความสุขจากใจจริง
“สนุกจริงๆ”
ชายกระโปรงอันเกิดจากผ้าไหมขาวและแพรโปร่งทับซ้อนกันกลับยังคงส่ายไหวอยู่ไปมา กระเพื่อมขึ้นลงช้าๆ อยู่ข้างเท้านาง ราวกับคลื่นทะเลระลอกเล็กๆ
แต่หากว่าเป็นคลื่นทะเล เช่นนั้นเหนือฟองคลื่น ยังขาดสีฟ้าอ่อนเล็กน้อย ฝ่าบาทสามมิได้รู้ตัวว่าตัวเขาได้ยกพัดจีบขึ้น
พริบตาถัดมาเฉิงอวี้พลันเบิกตากว้าง มองดูจุดแสงที่กระจายตัวออกเมื่อครู่นี้รวมตัวกันเป็นผืนสีฟ้าอ่อนค่อยๆ ไต่ขึ้นสู่ชายกระโปรงของนางอย่างอัศจรรย์ใจ ปลายกระโปรงคือสีขาว ไล่ขึ้นมากลับเป็นสีฟ้าอ่อน ค่อยเป็นสีฟ้าเข้ม ที่เป็นสีฟ้าคือทะเล ที่เป็นสีขาวคือเกลียวคลื่น นั่นคือรูปร่างของทะเล
นางตะลึงลานไปชั่ววูบ แล้วหมุนตัวอีกสองรอบอย่างห้ามใจไม่อยู่ ตอนที่หยุดลง กลับมองเห็นตรงตำแหน่งทยอยไล่เป็นสีฟ้าอ่อนมีจุดแสงสีเงินวาดเป็นรูปหางปลา ราวกับปลาจริงๆ ตัวหนึ่งแอบซ่อนตัวอยู่ในคลื่นทะเล
นางก้มลงมองกระโปรงของตัวเองอย่างตะลึงพรึงเพริด ครู่ใหญ่ ลองยื่นมือไปแตะต้องหางปลาอันงดงามนั้นดู มิคาดพลันมีปลาน้อยสีเงินตัวหนึ่งดีดตัวออกมาจากในกระโปรงทันที พันเข้ากับนิ้วของนาง จากนั้นมันไถลปราดมาที่กลางฝ่ามือนาง
เฉิงอวี้ดีใจสุดขีด กอบสองมืออย่างทะนุถนอมรักษาปลาสีเงินตัวนั้นไว้อย่างดี รีบร้อนจะเข้าไปยื่นอวดให้เหลียนซานดู กลับเผลอเหยียบชายกระโปรงในตอนที่คุกเข่าลง เดิมทีคืนนี้ฝ่าบาทสามก็ค่อนข้างจะใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอยู่แล้ว เห็นนางถลาเข้ามาหา ก็ทันแค่ยื่นมือออกไปประคองเอวของนางไว้
วูบถัดมา เขาได้ถูกนางกดไว้กับพื้น
เขานอนอยู่กับพื้น มือขวาโอบเอวของนางไว้ ทำให้ร่างทั้งร่างของนางต่างทาบทับอยู่เหนือร่างเขาตรงๆ สองมือของนางยังคงกอบปลาน้อยสีเงินตัวนั้นไว้ดังเดิม ขวางอยู่ระหว่างอกของเขากับนาง
เมื่อได้สติรู้ตัวถึงสภาพของตัวเองในยามนี้ นางเขยิบสองมือออกทีละนิดๆ ก่อน แอบมองดูแวบหนึ่ง ให้แน่ใจว่าปลาน้อยตัวนั้นยังคงถูกปกป้องไว้อย่างดี ค่อยเงยหน้าขึ้นด้วยกิริยาท่าทางอันน่าขันนั้น
ฤดูร้อนเสื้อผ้าเนื้อบาง เขาสามารถรู้สึกถึงทุกอย่างของร่างกายนี้ได้ มันอุ่นร้อน อ่อนนุ่ม แฝงกลิ่นอายหวานสดชื่น
เหมือนกลัวว่าปลาน้อยในมือจะตกใจกระนั้น นางไม่ได้ลุกขึ้นในทันที แต่เป็นเอาปลาตัวนั้นให้เขาดูอย่างระมัดระวังก่อน ถามเขาด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “น่ามหัศจรรย์มากเลยใช่ไหม?”
เขามองดูนาง กลับไม่ได้เอ่ยตอบ รอยยิ้มบนใบหน้านางเจื่อนลง ราวกับผิดหวังนิดๆ นางเตรียมจะลุกขึ้นแล้ว วางปลาน้อยไว้บนพื้นหญ้าด้านข้างอย่างรอบคอบก่อน จากนั้นยันร่างท่อนบนขึ้น ขณะที่นางกำลังจะลุกขึ้นนั่นเอง มือขวาของเขาพลันรวบเอวของนางแน่น
นางใจหายวาบ ตะลึงไปชั่ววูบ จากนั้นแทบจะคิดหาเหตุผลให้แก่การเคลื่อนไหวนี้ของเขาในทันที
“อ๊ะ เป็นเพราะที่ข้าถลาลงใส่เมื่อกี้นี้ ทำให้เหลียนซานเกอเกอล้มกระแทกใช่ไหม? ท่านล้มกระแทกเจ็บหรือ? ข้าแตะโดนแผลของท่านใช่หรือเปล่า?”
ในดวงตาของเขามีระลอกอารมณ์กระเพื่อมไหวอย่างรุนแรง แต่สุดท้ายก็สงบลงได้ เอ่ยตอบนางอย่างราบเรียบไร้ระลอก “เปล่า”
นางไม่ค่อยเชื่อนัก “โกหก” แต่ไม่กล้าขยับอีกเช่นกัน คิดเล็กน้อย แล้วลองยื่นมือออกมาทั้งท่านั้น ลูบไปบนร่างกายของเขา
นิ้วมือขาวผ่องนั้นค่อยๆ ไต่ขึ้นสู่ไหล่ของเขาอย่างประหม่านิดๆ การสัมผัสลูบไล้และนวดคลึงล้วนแต่แฝงการหยั่งเชิง แผ่วเบาเป็นพิเศษ แต่การหยั่งเชิงเช่นนี้เอง ที่เป็นเหมือนการยั่วยวนอย่างยิ่งยวดรูปแบบหนึ่ง มือของนางคลึงผ่านหัวไหล่เขา สะบักเขา สัมผัสต้องด้านข้างลำคอที่เปล่าเปลือยโดยมิได้เจตนา ดุจสะเก็ดไฟลูบไล้ผ่านผิวเนื้อส่วนนั้น
เขาอดทนไว้มิได้ขยับ น้ำเสียงนางห่วงใย
“ไม่เจ็บทั้งนั้นหรือ?” นิ้วมือไถลลงมาตามด้านข้างลำคอและแผ่นอกของเขา ขยับมาถึงด้านข้างของแผ่นหลังเขา จากนั้นคือเอวของเขา
ความเคลื่อนไหวของนางราวกับกำลังยั่วยวนเขา ใบหน้าของนางก็เช่นกัน หน้าผากของนางมีเหงื่อบางๆ เป็นเพราะการเล่นสนุกกับจุดแสงเหล่านั้นเมื่อครู่นี้ สันคิ้วและพวงแก้มจึงแดงระเรื่อ ดูเหมือนจะนึกสงสัยต่อสายตาของเขา นางกัดริมฝีปากเบาๆ แนวฟันกัดใส่ริมฝีปากล่าง สีริมฝีปากเปลี่ยนเป็นแดงเข้มในพริบตา
คิ้ว ตา ริมฝีปาก ยังมีเหงื่อบางๆ ที่แผ่ไอร้อนจางๆ นั้น ต่างอยู่ใกล้แค่เอื้อม คือความงามล้ำ
แววตาฝ่าบาทสามเข้มจัด
เขาทราบมาแต่แรกว่านางนั้นงามล้ำ
เขาจำได้ว่าครั้งแรกที่ได้เห็นนางคือเมื่อไร
ในเดือนแรกของฤดูใบไม้ผลิเมื่อสองปีก่อน เขาท่องเที่ยวทะเลสาบกลับมา เจอฝนตามฤดูกาลกะทันหัน มองเห็นแผงขายร่มอาบน้ำมันที่ซ่อนอยู่ในศาลาหลังน้อยริมท่าข้าม จึงเดินเข้าไปในศาลา เวลานั้นนางกำลังสัปหงกเฝ้าแผงขายร่มของนาง ในตอนแรกเขาไม่ได้สะดุดตานางมากนัก รอจนเมื่อตัวนางที่สัปหงกสะลึมสะลือตื่นขึ้นมา ตะลึงจ้องเขาตาค้าง เนื่องจากความร้อนแรงของสายตานั้น เขาจึงค่อยแบ่งความสนใจจากสายฝนพรำแห่งแรกวสันต์ที่นอกศาลาบางส่วนมาจับที่ตัวนาง
นอกศาลาลมฝนโปรยปราย ในศาลากลับเงียบสงัด นางแหงนหน้านิดๆ มองเขา ใบหน้านั้นแม้ยังคงไม่หลุดพ้นวัยเยาว์ แต่งดงามมากจริงๆ เขาจึงตกตะลึง แต่ในตอนนั้น เขาไม่เคยนึกเลยว่าใบหน้านี้ คนผู้นี้ ในวันหนึ่งจะทำให้เขา...ทำให้เขาทำไมรึ?
ยามเหลือบตาขึ้น เขาปะทะเข้ากับสายตาของนาง ในชั่วพริบตานั้นเอง หัวใจเขาพลันจมดิ่งไปถึงก้น
ต่อให้กิริยาของนางยั่วยวนเขา ใบหน้าของนางก็กำลังยั่วยวนเขา แต่ดวงตาคู่นั้นกลับใสกระจ่างสุดเปรียบปาน
สองตาที่ใสกระจ่างสุดเปรียบปาน ไร้เดียงสา ใสซื่อ ไม่ประสีประสา
เขาผลักนางออกอย่างปุบปับ
เฉิงอวี้ตกตะลึงตาค้างคาที่ มองดูเขาค่อยๆ ลุกขึ้น จัดแต่งแขนเสื้อโดยไม่เอ่ยอะไรสักคำ นางรู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าเขาโกรธแล้ว
เขาโกรธอีกแล้ว การที่เขาอารมณ์แปรปรวนนั้นเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ความจริงแล้วมันน่ากลัวมาก แต่นางไม่เคยกลัวมาก่อน ที่ทำให้นางรู้สึกกลุ้มใจคือนางไม่รู้เลยว่าเขาโกรธเรื่องอะไร ดังนั้นนางจึงขมวดคิ้วบางๆ ลองถามเขาดูว่า “ข้าแตะโดนท่านเจ็บหรือ เหลียนซานเกอเกอ?”
เขาเงียบไปครู่ใหญ่ ค่อยตอบเสียงราบเรียบ “เปล่าเลย” กล่าวพลางทำท่าจะหมุนตัวจากไป
นางแทบจะคว้าแขนเสื้อเขาไว้โดยสัญชาตญาณ
“อย่างนั้นเหลียนซานเกอเกอจะไปที่ไหนหรือ?”
เขาไม่ได้หันกายมา อึดใจใหญ่ ตอบไม่ตรงคำถาม
“เดิมทีคืนนี้เจ้าอยากจะอยู่คนเดียว ข้าอยู่กับเจ้านานเกินไป เจ้าน่าจะรำคาญแล้ว”
นางแปลกใจเล็กน้อย “ข้าไม่ได้รำคาญ” นางโพล่งออกมาทันควัน กุมแขนเสื้อเขาแน่นกว่าเดิม เงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยสีหน้าเรียบสนิท ราวกับไม่เข้าใจกระนั้น “เหลียนซานเกอเกอ ท่านทิ้งข้าไว้ที่นี่คนเดียว คิดจะไปที่ไหนหรือ?”
“ข้าแค่จะกลับขึ้นไปนั่งเล่นที่ชั้นบน” เขายื่นมือมาจะแกะนิ้วของนางที่กุมแขนเสื้อของเขาแน่น
นางกลับมิได้ปล่อยมือ นิ้วของนางขยุ้มแขนเสื้อของเขาแน่น นางเอ่ยเบาๆ “ท่านรำคาญแล้ว”
“อะไรนะ?” เหลียนซานฟังไม่ถนัดไปชั่วขณะ
นางเงยหน้าขวับทันควัน พูดซ้ำเสียงดังอย่างน้อยใจ
“ข้าไม่ได้รำคาญ ท่านต่างหากที่รำคาญ!”
มือของเขาชะงักนิ่ง
นางพูดต่อว่า “เพราะว่าคืนนี้ข้าไม่ได้ควบคุมตัวเองไว้ให้ดี เอาแต่ทำหน้าอมทุกข์ ดังนั้นท่านเลยรำคาญแล้ว”
เขาหงุดหงิดรำคาญนิดๆ จริงๆ ความรู้สึกหงุดหงิดรำคาญนี้ทำให้เขาไม่คุ้น แต่กลับไม่ใช่เพราะการนิ่งเงียบนับครั้งไม่ถ้วนของนางในคืนนี้ ไม่ใช่เพราะความปวดร้าวขมขื่นที่ฝังอยู่ลึกล้ำโดยไม่ยินดีแสดงให้ใครเห็นของนาง และไม่ใช่เพราะอาการสะอื้นและน้ำตาที่นางข่มกลั้นเอาไว้เหล่านั้นเช่นกัน เขารู้ดีว่านั่นเป็นเพราะเหตุใด เขาถอนหายใจในที่สุด “ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เจ้า”
“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ข้า อย่างนั้นปัญหาอยู่ที่ใครหรือ?” นางเหมือนจะสงสัยจากใจจริง ในดวงตาได้ปรากฏแววไร้เดียงสานั้นอีกครั้ง
นางไร้เดียงสาเสมอมา เด็กที่ภูตดอกไม้ในหอทศมาลีเลี้ยงดูมาจนโต ไม่แปดเปื้อนเรื่องราวในโลกีย์ ระหว่างคิ้วมีแววเฉลียวฉลาด บัดนี้ในดวงตา คือความบริสุทธิ์ไร้พิษภัยซึ่งผู้อื่นไม่อาจเลียนแบบได้ เขาชื่นชอบความไร้เดียงสาเช่นนี้ของนาง
แต่ระยะนี้ สีหน้านั้นกลับมักจะทำให้เขานึกโมโห
นางกะพริบตา ยังคิดจะเค้นถามเขาอย่างไม่ประสีประสาต่อ “เหลียนซานเกอเกอ อย่างนั้นปัญหาอยู่ที่ใครหรือ?”
ทำให้เขายิ่งโมโหหนักขึ้น ดังนั้นเขาจึงกลับคำอย่างเย็นชาว่า “ถูกต้อง ปัญหาอยู่ที่เจ้า” ทั้งยังแข็งขืนแกะมือของนางออก เก็บแขนเสื้อของตนกลับคืน เตรียมจะกลับไปสงบใจบนหอไม้ไผ่สักหน่อย
นางพลันพูดเสียงดังลั่น “ห้ามไปนะ!”
แต่นั่นกลับไม่อาจขัดขวางย่างก้าวของเขาสำเร็จได้
“ข้ารู้อยู่แล้ว” สี่พยางค์เท่านั้น เสียงของนางกลับไม่มั่นคงอย่างเห็นได้ชัด นางกล่าวอย่างเร่งร้อน “ไม่มีทางที่จะมีใครชอบตัวข้าที่เอาแต่ทำหน้าอมทุกข์ ร้องห่มร้องไห้หรอก แต่ข้าควบคุมไม่ได้ คืนนี้ ข้า...”
เขาชะงักเท้าทันควัน ค่อยเข้าใจว่านางใกล้จะร้องไห้แล้ว ที่เสียงนั้นไม่มั่นคงเป็นเพราะว่านางพยายามข่มกลั้นเสียงสะอื้นในลำคอ
ดอกอุทุมพรดอกสุดท้ายโรยราบนม่านฟ้า จุดแสงดุจหิ่งห้อย ณ ริมฝั่งแม่น้ำหยกขาวเหล่านั้นก็สลายตัวตามไปด้วย โลกมนุษย์กลับคืนสู่ความเงียบสงัดที่มีเพียงดวงจันทร์เย็นตาส่องสว่างอีกครั้ง บนหอไม้ไผ่กลับมีเสียงผีผาดังขึ้น ท่ามกลางม่านราตรีที่จู่ๆ ก็เงียบสงัด ท่วงทำนองค่อนข้างละห้อยหวน
นางเอ่ยปากใหม่อีกครั้ง ได้ข่มเสียงแหบเครือเอาไว้แล้ว
“ข้ารู้ดีว่าการที่ข้าไม่พูดอะไรเลยทำให้ท่านหงุดหงิดรำคาญ ท่านพูดถูกแล้ว ปัญหาอยู่ที่ข้าจริงๆ”
เขาหันกายมา จึงเห็นว่าภายใต้แสงจันทร์ ขนตานางเปียกชื้น จมูกแดงนิดๆ แต่แข็งใจอดทนเอาไว้ได้ไม่ได้ร้องไห้ สองมือนางบิดเข้าหากันแน่น
“ท่านอยากรู้ว่าจูจิ่นผนึกอะไรข้าไว้ ถูกไหม? เรื่องพวกนั้นข้าไม่ยินดีบอกท่าน เป็นเพราะว่าข้าไม่อยากนึกถึงมัน”
สองมือนางบิดแน่นกว่าเดิมจนมองเห็นได้ ดุจกระตุ้นความกล้าหาญอย่างเต็มที่
“เรื่องที่สายเกินแก้เหล่านั้นทั้งหมด ข้าล้วนแต่อยากจะผนึกพวกมันเอาไว้ลึกแสนลึกภายในใจเท่านั้น ข้าไม่มีปัญญาจะระลึกถึงมันอย่างกล้าหาญ หรือบอกท่านว่า เป็นเพราะมันทรมานเกินไป ข้าต้องร้องไห้ออกมาแน่ๆ เช่นกัน ท่านไม่มีทางชอบตัวข้าที่เป็นแบบนั้น ข้าก็ไม่ชอบตัวข้าที่เป็นแบบนั้นเหมือนกัน”
นางเงยหน้าขึ้นช้าๆ “แต่ถ้าเหลียนซานเกอเกอจะต้องรู้ให้ได้ละก็ ข้าสามารถบอกท่านได้”
นางเข้าใจสาเหตุที่เขาโกรธผิดแล้ว
แต่เขามองดูนาง ไม่ได้แก้ไขความเข้าใจผิดของนาง ไปๆ มาๆ เขากับนางก็ได้ย้อนกลับมายังปัญหาแรกสุดในคืนนี้อีกครั้ง ในสี่ฤดูกาลภายในใจของนาง เขาก็ค้นหาอดีตที่ถูกจูจิ่นผนึกไว้ไม่พบเช่นกัน เดิมทีเขานึกเอาไว้ว่าอาจจะต้องใช้วิธีอื่น ไม่นึกเลยว่านางจะเป็นฝ่ายบอกเขาเอง ช่างจับพลัดจับผลูนัก
เขาถอนหายใจ “เจ้าคิดจะบอกข้ามากแค่ไหนหรือ?” เขาถามนาง
“ทั้งหมด” นางกัดริมฝีปาก
สายตาเขาจับที่ใบหน้านางอยู่ครู่ใหญ่ แล้วตกลงยังสองมือนางที่บิดกันจนออกม่วง เนิ่นนาน เขายื่นมือออกไปแกะนิ้วทั้งสิบของนางออกจากกัน กุมสองมือนั้นไว้ในมือของตน เขามองดวงตาของนาง
“ที่ข้าอยากให้เจ้าเล่าเรื่องนั้นออกมา ไม่ใช่เพื่อให้เจ้าทุกข์ทรมาน อาอวี้” เขาเอ่ยอย่างสงบ “แต่เพื่อให้เจ้าเผชิญหน้ากับมัน”
“ข้า” นางสะอึก เหมือนคิดอยากจะยกมือขึ้นบังดวงตา แต่ไม่อาจทำได้ ดังนั้นจึงได้แต่หลับตาลง “ข้าไม่สามารถเผชิญหน้ากับมันได้”
นางตอบเขาเสียงแผ่ว น้ำตาที่แฝงเร้นตรงหางตาหยดนั้น ได้ร่วงผล็อยลงมาในที่สุด
<>::<>::<>::<>::<>::<>
[1] นกหวีดพิราบ (鸽哨) เข้าไปชมได้ที่ : https://www.bilibili.com/video/BV1G7411W7JY/