สามชาติสามภพ ย่างก้าวเกิดปทุม
เล่ม 3 ภาค ใต้เบื้องบาทพันด่านเคราะห์
บทที่หนึ่ง (1)
อินหลินได้เห็นเหลียนซ่งอีกครั้ง ก็ที่ภูเขาปอจ่ง พรมแดนเชื่อมต่อระหว่างแดนทักษิณกับแดนหรดี (ตะวันตกเฉียงใต้)
นั่นคือปีที่สองหมื่นเจ็ดพันสี่ร้อยสามสิบหกหลังจากจู่ถีหลับใหล เขากับจาวซีได้ไปล่าสังหารสุนัขสวรรค์สีชาดด้วยกันที่ภูเขาปอจ่ง
สุนัขสวรรค์สีชาด คือสัตว์พิสดารยุคมหาอุทกภัยซึ่งถูกเทพอัคคีเซี่ยหมิงผนึกไว้เมื่อสองแสนกว่าปีก่อน ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าวันหนึ่งมันจะทำลายผนึกออกมาเยือนโลกหล้าอีกครั้ง
สุนัขสวรรค์ฯ เผยสู่หล้า สถานที่อันไปเยือน ภัยสงครามจักปรากฏ ไสยฤทธิ์ซึ่งมีติดกายสุนัขสวรรค์สีชาดนี้ แม้ไม่อาจสร้างผลกระทบต่อเผ่าพันธุ์ทั้งสี่ เทพ มาร ปิศาจ อสูร กระนั้นมนุษย์กลับไม่อาจหลบเลี่ยงจากเคราะห์ร้ายที่มันนำพามาให้ได้
หากในแปดดินแดนไม่หลงเหลือเชื้อสายเผ่ามนุษย์อยู่แล้ว เช่นนั้นต่อให้สุนัขสวรรค์สีชาดปรากฏสู่โลกหล้าอีกครั้ง ความจริงก็มิได้กระไร ปัญหาอยู่ที่นับตั้งแต่ส้าวหว่านส่งเผ่ามนุษย์ไปยังพันล้านสามัญภพเป็นต้นมา แม้ว่าภายในแปดดินแดนจะไม่หลงเหลือเผ่ามนุษย์สายเลือดแท้ใดๆ อยู่อีก กระนั้นในยุคมหาอุทกภัย ทั้งห้าเผ่าพันธุ์ต่างอาศัยปะปนกัน จึงหลงเหลือลูกหลานเลือดผสมลูกครึ่งเผ่ามนุษย์เอาไว้ให้ยุคหลังมิใช่น้อย
เมื่อครั้งทวารรั่วมู่เปิดออก บรรดาเลือดผสมครึ่งมนุษย์เหล่านี้หาได้ติดตามส้าวหว่านไปยังสามัญภพด้วยกัน แต่รั้งอยู่ที่แปดดินแดน สร้างแคว้นขนาดเล็กขึ้นหลายสิบแคว้นภายใต้การปกป้องคุ้มครองของเผ่าเทพ
สิ่งมีชีวิตทิพย์ในแปดดินแดนยังคงเรียกบรรดาเลือดผสมเหล่านี้ว่า “มนุษย์” เรียกขานแว่นแคว้นที่พวกเขาสร้างขึ้นว่า “แคว้นของมนุษย์” และเนื่องจากสายเลือดมนุษย์ของพวกเขา การที่สุนัขสวรรค์สีชาดเยือนสู่หล้า จักต้องนำพาภัยสงครามมาสู่แว่นแคว้นเหล่านี้อย่างแน่นอนเช่นกัน
ในตอนที่เทพจู่ถีหวนคืนตำแหน่ง ได้เคยตราธรรมบัญญัติแก่โลกหล้า ได้เรียกขานตนเองในธรรมบัญญัติว่า “เทพมนุษย์”
“เทพมนุษย์” คือเทพของมนุษย์ทั้งปวง ปกป้องคุ้มครองมนุษย์ทั้งปวงในโลกหล้า มนุษย์เลือดผสมก็เป็นมนุษย์เช่นกัน กูเหยาย่อมไม่มีทางงอมือนั่งดูมนุษย์เหล่านี้ประสบเคราะห์แน่ละ นี่แหละคือสาเหตุที่อินหลินกับจาวซีเร่งรุดมาล่าสังหารสุนัขสวรรค์สีชาดยังเขาปอจ่ง
แต่พวกเขากลับมาสายไปหนึ่งก้าว...ก่อนที่พวกเขาจะเร่งรุดมาถึง เผ่าเทพได้ส่งเทพบุตรลงมาเก็บกวาดสุนัขสวรรค์ฯ เสียแล้ว หนึ่งในเทพบุตรที่เผ่าเทพส่งลงมา ก็คือฝ่าบาทสามแห่งวังหยวนจี๋ของสวรรค์เก้าชั้นฟ้า คนรู้จักเก่าแก่ของพวกเขา...เทพวารีเหลียนซ่งนั่นเอง
ภูเขาปอจ่งต้นไม้ใบหญ้ารกชัฏ พงไพรลึกล้ำ ไผ่กิ่งท้อและไผ่ปลายตะขอ[1]ปลูกอยู่ทั่วยอดเขา
อาศัยการบดบังของไผ่สีมรกต อินหลินทอดมองไปยังเขตแดนแสงสีนิลซึ่งปกคลุมเหนือเขาปอจ่งด้วยแววตาสับสน
เขตแดนปกคลุมพื้นดินพันหลี่ แทบจะครอบเทือกเขาแดนทักษิณทั้งเทือกเขาไว้ภายใน ทำให้อินหลินอดนึกขึ้นมาไม่ได้ว่า เมื่อสองหมื่นกว่าปีก่อน ตอนเทพวารีฉีกแผ่นดินสร้างทะเลที่โลกมนุษย์ ก็สร้างเขตแดนกว้างใหญ่ไพศาลแบบนี้ขึ้นมาเช่นกัน
เพียงแต่เพลานั้น เทพวารีอยู่ข้างในเขตแดน ส่วนเวลานี้ เขาอยู่ข้างนอกเขตแดน
พัดสยบภัยพิบัติก่อพระธรรมจักรสุวรรณ ณ กึ่งกลางฟ้า ชายหนุ่มสูงศักดิ์ดูภูมิฐานในชุดขาวตลอดร่างนั่งพิงโต๊ะเตี้ยอยู่บนยอดเมฆ นักพรตนาม ซู่จี๋ ซึ่งติดตามเขามาตั้งแต่เมื่อครั้งอยู่ที่โลกมนุษย์ บัดนี้ได้บำเพ็ญเพียรบรรลุเป็นเซียน นั่งคุกเข่าอยู่ยังอีกด้านหนึ่งของโต๊ะเตี้ย โน้มกายคุยกับเขาเป็นพักๆ
เทพวารีหนุ่มเอามือเท้าแก้ม มองไปทางข้างในเขตแดน สีหน้าท่าทีเรื่อยเฉื่อยสบายอารมณ์อย่างยิ่ง นานๆ ครั้งที่คลี่ยิ้ม แฝงเร้นความกรุ้มกริ่ม ขาวพิสุทธิ์ดุจกล้วยไม้
เหลียนซ่งที่เป็นเช่นนี้ กับเทพวารีผู้ใจสลายดุจเถ้าถ่านที่อินหลินได้เห็นเป็นครั้งสุดท้าย ณ ริมฝั่งทะเลอุดรเมื่อสองหมื่นกว่าปีก่อน เหมือนเป็นคนละคนกันโดยสิ้นเชิง
บางทีเรื่องราวเหล่านั้น เขาได้ลืมเลือนไปแล้ว รวมถึงตัวจุนซั่ง เขาก็ลืมเลือนไปแล้วเช่นกัน อินหลินคิดในใจ
เดิมทีนี่ควรจะเป็นผลลัพธ์ที่เขาอยากเห็น แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใด ในใจอินหลินกลับค่อนข้างรู้สึกหลากหลายอารมณ์ผสมปนเป
แสงสีแดงพลันสาดออกมาจากภายในเขตแดนสีนิลเหลือบทองอย่างปุบปับ ดึงดูดสายตาของอินหลิน
ที่แท้สุนัขสวรรค์สีชาดวิ่งเร็วรี่มาจากที่ไกลนี่เอง
สัตว์พิสดารซึ่งถูกเขตแดนกักขังไว้พุ่งไปทางซ้ายทีทางขวาที เคลื่อนไหวรวดเร็วดุจดาวตก ด้านหลังสุนัขสวรรค์สีชาดมีเด็กหนุ่มชุดดำรูปร่างสูงเพรียวผู้หนึ่งติดตามมาอย่างกระชั้นชิด เด็กหนุ่มไล่ตามสุนัขสวรรค์ฯ ไปพลาง แบ่งสมาธิมาคุ้มครองเด็กสาวชุดดำถือแส้ที่อยู่ข้างกายไปพลาง
ข้อได้เปรียบที่โดดเด่นที่สุดของสุนัขสวรรค์สีชาดก็คือความเร็ว เด็กหนุ่มผู้นั้นดูแล้วอายุไม่มากนัก รูปร่างเช่นมนุษย์วัยสิบหกสิบเจ็ดปี แต่ยามระเบิดพลัง ความเร็วกลับเทียบทันสุนัขสวรรค์ฯ เช่นกัน กระนั้นเนื่องจากต้องใส่ใจดูแลเด็กสาวที่ข้างกาย มีอยู่หลายครั้งที่เห็นว่กำลังจะไล่ทันสุนัขสวรรค์ฯ ได้ต่อสู้ประชิดตัวกับมันอยู่แล้ว กลับโดนถ่วงแข้งถ่วงขาเสียดื้อๆ จนต้องพลาดโอกาสไป
หลังจากเสียเวลาเช่นนี้อยู่พักหนึ่ง เด็กหนุ่มเหมือนจะรู้สึกหัวเสีย พลันหยุดลงกะทันหัน สะกดตรึงเด็กสาวไว้ที่เดิม แล้วสร้างเขตแดนคุ้มครองกายให้นางหนึ่งชั้น จากนั้นเร่งไล่ตามสุนัขสวรรค์ฯ ไปเพียงลำพัง
เงาลวงตาหนึ่งแดงหนึ่งดำสองเงาวิ่งแล่นไล่ตามกันภายในขอบเขตซึ่งเขตแดนได้ขีดเส้นจำกัดไว้ ในชั่วพริบตาที่เงาสีดำไล่ตามทันเงาสีแดง ประกายกระบี่เย็นยะเยียบได้วาบผ่านดุจสายฟ้า สุนัขสวรรค์ฯ แผดร้องโหยหวน ศีรษะพลันร่วงตกลงพื้น โลหิตดุจเปลวอัคคีพุ่งทะลักออกมาจากคอของมัน เด็กหนุ่มชุดดำถอยหลังไปสองก้าว ใช้ลมจากกระบี่สร้างเป็นปราการป้องกันสกัดขวางโลหิต แต่คาดไม่ถึงว่าในตอนที่เขาถอยหลังไป ภายในลำคอที่โลหิตพุ่งทะลักของสุนัขสวรรค์สีชาดพลันมีเศษวิญญาณเสี้ยวหนึ่งมุดปราดออกมา
เด็กหนุ่มตกตะลึง ตวัดกระบี่ฟันใส่ เศษเสี้ยววิญญาณที่เรื่อแสงสีแดงประหลาดของปิศาจนั้นกลับต้านทานปราณกระบี่ได้ พุ่งวาบดุจธนูแล่นตรงไปหาเด็กสาวชุดดำซึ่งถูกสะกดตรึงอยู่กับที่ แม้เศษเสี้ยววิญญาณจะถูกเขตแดนคุ้มครองกายสกัดขวางไว้ กลับยังคงมีแสงสีแดงเล็กน้อยทะลุผ่านเขตแดนเข้าไปได้ เห็นคาตาว่ากำลังจะถึงตัวของเด็กสาวอยู่แล้ว
ในจังหวะวิกฤตคับขันนี้เอง พลันมีเงาคนวาบผ่าน ระหว่างหนึ่งผลักหนึ่งดึง เด็กสาวถูกดึงไปอยู่ข้างหลังคนผู้นั้น พัดสยบภัยพิบัติซึ่งเดิมทีลอยคว้างอยู่กลางอากาศสูงขึ้นไปก็ปรากฏขึ้นในมือของผู้มาในเวลาเดียวกันเช่นกัน แสงสีแดงที่ทะลุผ่านเขตแดนได้ชนเข้าใส่ตัวพัด แผดร้องโหยหวน คนผู้นั้นหุบพัดอย่างสบายๆ เศษเสี้ยววิญญาณได้จมลงสู่พัด สาบสูญเงาไปในบัดดล
เด็กสาวชุดดำผู้นั้นเหมือนตกใจสุดขีดจนนิ่งค้างไปแล้วกระนั้น ตัวเอียงวูบทำท่าจะล้มลง โชคดีที่ได้ซู่จี๋ซึ่งรีบไล่ตามมาช่วยพยุงไว้
เด็กหนุ่มชุดดำรีบร้อนสั่งให้ก้อนเมฆลดความสูง ตกวูบลงสู่เบื้องหน้าชายหนุ่มชุดขาวที่หุบพัด กล่าวขอขมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เมื่อครู่นี้หลานประมาทเอง ท่านอาสามโปรดลงทัณฑ์”
อินหลินที่ซ่อนเร้นกลิ่นอายอาศัยกอไผ่ปลายตะขอกอหนึ่งบดบังร่างของตน อยู่ห่างจากสองคนนั้นพอสมควร แต่เนื่องจากประสาทหูดียิ่ง จึงได้ยินคำกล่าวนี้อย่างถนัดชัดเจน ค่อยทราบว่าเด็กหนุ่มคิ้วตาดุจภาพเขียนผู้นี้คือรัชทายาทแห่งเผ่าสวรรค์ เด็กหนุ่มบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าผู้เปี่ยมพรสวรรค์เป็นเลิศ อายุเพียงสองหมื่นปีก็สำเร็จเป็นซ่างเซียน...ไท่จื่อเยี่ยหัว...บุตรชายของพี่ชายใหญ่ของเหลียนซ่งนั่นเอง
เขตแดนแสงสีดำถูกปลดคลาย เหลียนซ่งหลุบตาลงมองดูไท่จื่อหนุ่มน้อยซึ่งก้มหน้าลงขอขมาโทษ แย้มยิ้ม
“ลงทัณฑ์อะไรกัน ที่รับงานนี้มาจากเทียนจวิน เดิมทีก็เพื่อให้เจ้าได้ซ้อมมืออยู่แล้ว แม้จะเกิดข้อผิดพลาดขึ้นเล็กน้อย แต่อย่างไรสุดท้ายเจ้าก็สังหารสุนัขสวรรค์ฯ ลงใต้กระบี่แล้วเช่นกัน จะมีความผิดกระไรได้?”
สีหน้าเด็กหนุ่มยังคงเคร่งขรึม
“แต่หากมิใช่ท่านอาสามลงมือทันท่วงที วิญญาณของสุนัขสวรรค์ฯ คงจะเข้าสู่ร่างของเยียนหลานเซียนจื่อ[2]ไปแล้ว แม้สุนัขสวรรค์ฯ จะเป็นสัตว์พิสดาร แต่ก็มิได้ดุร้าย ถึงท่านอาสามจะไม่เคยพูด แต่หลานก็รู้ดีว่าที่ท่านอาสามพาหลานมาสังหารสุนัขสวรรค์ฯ ที่นี่ ก็คือหวังจะใช้สัตว์พิสดารตัวนี้ฝึกฝนวิชาในการต่อสู้กับศัตรูโดยที่เน้นคุ้มครองพวกพ้องเป็นหลักของหลาน”
เด็กหนุ่มหยุดเล็กน้อย แฝงความละอายใจ
“หลานใจร้อนเกินไปเอง”
ได้ยินไท่จื่อหนุ่มน้อยเอ่ยถึง เยียนหลาน อินหลินคิดอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยนึกออกว่านั่นคือใคร จากนั้นเขามองไปทางสตรีชุดดำผู้นั้นอย่างตั้งใจ พบว่าหน้าตาดูคุ้นตาอย่างมากจริงๆ มิได้ต่างจาก องค์หญิงสิบเก้าเยียนหลานแห่งราชวงศ์ซี เมื่อครั้งกระนั้นสักเท่าไรนักจริงแท้ คงเป็นเพราะบัดนี้สองขาของนางปกติดี ไม่ได้นั่งอยู่บนรถเข็นอีก ตอนที่เขาปรายตามองผ่านๆ เมื่อครู่นี้ ถึงได้จำนางไม่ได้
อินหลินนึกขึ้นได้ว่า สองหมื่นกว่าปีก่อน เหมือนเขาจะได้ยินข่าวลือเรื่องหนึ่ง บอกว่ามหาเทพตงหัวเป็นผู้รับผิดชอบ พาตัวเยียนหลานขึ้นสู่สวรรค์เก้าชั้นฟ้า ทั้งยังมอบตำแหน่งเซียนอะไรสักอย่างให้แก่นาง แต่เนื่องจากนี่เป็นเรื่องภายในของเผ่าสวรรค์ เขาได้ฟังแล้วก็ปล่อยผ่านไป ไม่ได้ใส่ใจอะไรนักเช่นกัน
ความจริงแล้วเมื่อครั้งอยู่ที่โลกมนุษย์ อินหลินไม่ได้รู้จักมักคุ้นกับเยียนหลาน กระนั้นเนื่องจากนามของ เจ้าหญิงไท่อานเยียนหลาน โด่งดังอย่างมาก ในตอนแรก เขาเคยได้ยินข่าวลือที่ว่าเยียนหลานคือเทพธิดาบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าจุติลงมาอะไรนั่นอยู่บ้างเหมือนกัน เพลานั้นเขาไม่ได้เก็บมาใส่ใจแต่อย่างใด โดยเข้าใจว่าเป็นแค่เรื่องไร้สาระเท่านั้น แต่หลังจากนั้นกลับได้เห็นเหลียนซ่งปรากฏตัวขึ้นที่ข้างกายเจ้าหญิงท่านนี้ เขาจึงค่อยนึกเรื่องเก่าก่อนบางเรื่องออกในที่สุด คาดเดาได้แล้วว่าแท้ที่จริงเยียนหลานคือผู้ใด
เยียนหลานกับเขา น่าจะนับได้ว่ามีความเกี่ยวข้องกันเล็กน้อย
หรืออาจจะไม่ใช่แค่เล็กน้อย
ครั้งกระนั้น หลังจากจู่ถีเซ่นสังเวยต่อฮุ่นตุ้นแล้ว ลมหายใจทิพย์ที่หลงเหลือไว้อึดนั้นได้แปรเป็นเมล็ดบัวแดงหนึ่งเมล็ด จาวซีทำตามคำสั่งเสียของจู่ถี นำเมล็ดบัวแดงเมล็ดนี้ไปส่งยังสวรรค์เก้าชั้นฟ้า มอบให้กับม่อเยวียนซ่างเสินด้วยมือตัวเอง
ตอนที่เทพธิดาทั้งสองนางวางแผนเรื่องเมล็ดบัวแดง ได้คิดเอาไว้อย่างสวยหรู หลงเข้าใจว่าขอเพียงบอกม่อเยวียนว่า นี่คือฮัวจู่แห่งยุคพงศาวดารเทพใหม่ซึ่งส้าวหว่านใช้การดับขันธ์เป็นค่าตอบแทนในการแลกมาให้เขา เขาจะต้องทะนุถนอมให้ความเมตตามันเป็นแน่
แต่ในสายตาของม่อเยวียน หากไม่ใช่เพื่อหลงเหลือเมล็ดบัวแดงเมล็ดนี้ไว้ ส้าวหว่านจะไม่ถึงกับไม่อาจหลงเหลือแม้กระทั่งร่างเซียน ด้วยเหตุนี้เขาจึงเกลียดชังเมล็ดบัวแดงนั้นอย่างยิ่ง โยนมันทิ้งแบบส่งเดชที่แดนทักษิณแล้วไม่ถามถึงอีกเลย ยังดีที่เด็กน้อยนาม ลิ่งอวี่ ซึ่งม่อเยวียนเก็บกลับไปเลี้ยงดูไว้ข้างกายคนนั้นจำถ้อยคำของจาวซีได้ เกิดความรู้สึกสงสาร ใช้น้ำพุทิพย์บนคุนหลุนซวีไปรดเมล็ดบัวแดงนั้นอยู่บ่อยครั้ง จึงค่อยทำให้เมล็ดบัวแดงรอดชีวิตมาได้
อินหลินเพิ่งมาทราบชะตากรรมของเมล็ดบัวแดงเอาหลายพันปีหลังจากนั้น เพลานั้นม่อเยวียนได้สาบสูญร่องรอยมาเนิ่นนาน ฟ้าดินเองได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นอีกรูปแบบเช่นกัน
เมล็ดบัวแดงไร้ผู้คอยดูแลมาเนิ่นนาน ถูกทอดทิ้งอยู่ยังแดนทักษิณ แทบจะสูญเสียปราณทิพย์เสี้ยวสุดท้ายไป
จะอย่างไรก็เป็นวัตถุทิพย์ที่แปรมาจากลมหายใจทิพย์ของจู่ถี อินหลินไม่อาจทนเห็นมันเหี่ยวเฉาไปทั้งอย่างนี้ได้ จึงออกตัวแบกรับหน้าที่ในการดูแลมัน
เช่นนี้ หลายหมื่นปีผ่านไป เมล็ดบัวได้เติบโตขึ้นเป็นบัวแดงอย่างราบรื่น
ผ่านไปอีกหลายหมื่นปี อยู่มาวันหนึ่ง บัวแดงได้จำแลงร่างเป็นมนุษย์
คนที่บัวแดงมองเห็นในปราดแรกหลังจากจำแลงร่างเป็นมนุษย์ได้ ก็คืออินหลิน แต่นางกลับมิได้รู้ว่าอินหลินเป็นคนช่วยดูแลนางจนเติบใหญ่ หลงคิดแต่ว่าเขาคือภูตดอกไม้ธรรมดาที่ขึ้นอยู่ข้างๆ นาง ทั้งไม่ทราบเพราะเหตุใด นางเชื่ออย่างดื้อรั้นว่าอินหลินอายุน้อยกว่านาง ยืนกรานจะนับเขาเป็นน้องชายให้ได้ อินหลินคร้านจะเถียงนาง จึงตามใจนาง
นางถามว่าเขาชื่ออะไร เขาทอดตามองโลกหล้าที่สี่ทะเลสงบสุขแปดดินแดนเปี่ยมสันติแห่งนี้ พูดโกหกไปว่าเขาชื่อฉางผิง[3] (เปี่ยมสันติ) บัวแดงจึงตั้งชื่อให้ตัวเองตามชื่อเขา นามว่าฉางอี[4]
หลังจากบัวแดงจำแลงร่างเป็นคนได้ไม่นาน ในที่สุดเทพจู่ถีที่อินหลินเฝ้ารอคอยมาเนิ่นนานก็ฟื้นคืนชีพจากกลางแสง เปิดฉากการท่องเที่ยวในโลกมนุษย์สิบเจ็ดชาติภพของนาง
นับแต่นั้น อินหลินก็ไม่ค่อยได้อยู่ประจำในแดนทักษิณอีก เวลากว่าครึ่งต่างอยู่ที่โลกมนุษย์ คอยคุ้มครองจู่ถีที่ไปเกิดเป็นมนุษย์ฝึกฝนบำเพ็ญเพียร
ฉางอีไม่ได้ทราบเรื่องนี้เลย หลงคิดเพียงว่าเขากำลังท่องเที่ยวฝึกตนอยู่ข้างนอก
อินหลินจำได้มาจนถึงตอนนี้ว่า นั่นคือสองพันสองร้อยปีหลังจากที่จู่ถีจบการฝึกฝนบำเพ็ญเพียรชาติที่สิบหก ในที่สุดเขาก็ช่วยหล่อเลี้ยงดวงวิญญาณที่ได้รับความเสียหายของจู่ถีจนหายดี
ฉวยโอกาสที่ดวงวิญญาณของจู่ถีซึ่งหล่อเลี้ยงจนหายดีสามารถกลับเข้าไปพักผ่อนอย่างสงบ ณ ใจกลางแสงได้อีกครั้ง อินหลินมีเวลาว่างแวะกลับไปที่แดนทักษิณ
ถ้ำคูหาของเขาอยู่ติดกับถ้ำคูหาของฉางอี เขาเพิ่งจะปรากฏกายที่ปากถ้ำคูหาของตัวเอง นกป๋ายเยี่ย[5]ตัวหนึ่งซึ่งเฝ้ารออยู่ ณ ที่นั้นมาหลายเพลาก็รีบร้อนเข้ามารับหน้า รีบขอความช่วยเหลือจากเขาอย่างเร่งด่วน บอกว่าฉางอีเผลอบุกล่วงล้ำเข้าไปในถ้ำเจ็ดอนธการของพยัคฆ์ปีกคู่เพื่อเด็ดยาวิเศษ และถูกขังอยู่ในถ้ำไม่ทราบเป็นหรือตาย
ฉางอีนั้นต้องไปช่วยอยู่แล้ว แต่เพิ่งจะใช้พลังเทพไปมากมายเพื่อช่วยให้วิญญาณของจู่ถีกลับเข้าไปพักผ่อนอย่างสงบ ณ ใจกลางแสง เขาเหนื่อยล้าอย่างมากจริงแท้ ผลลัพธ์ก็คือ หลังจากต่อสู้อย่างดุเดือดกับพยัคฆ์ปีกคู่ตัวนั้นภายในถ้ำเจ็ดอนธการ ถึงแม้เขาจะช่วยฉางอีออกมาได้ ตัวเองกลับถูกเดรัจฉานตัวนั้นทำร้ายบาดเจ็บมิใช่น้อยเช่นกัน
ฉางอีร้องไห้เป็นมนุษย์น้ำตาอยู่หน้าเตียงที่เขานอนพักฟื้น ต่อมาไม่ทราบนางไปสืบรู้จากที่ใดว่าหากจะรักษาอาการบาดเจ็บของเขาให้หายดี จำเป็นต้องใช้ปราณขาวของเผ่าเทพเป็นรากฐาน เสริมด้วยหญ้าซีหรงที่ขึ้นอยู่ริมทะเลไร้นิวรณ์บนสวรรค์ชั้นสามสิบหก ใช้เตาปากั้วของไท่ซ่างเหล่าจวินกลั่นเป็นยาตาน
ดูเหมือนว่าเพื่อรวบรวมปราณขาวมาหลอมเป็นยาตานให้เขา ฉางอีถึงได้รู้จักกับเหลียนซ่ง และมีวาสนาได้กลายเป็นเซียนในกาลต่อมา
อินหลินคิดมาโดยตลอดว่าเรื่องนี้ดีมาก เดิมทีฉางอีก็เป็นฮัวจู่ที่ส้าวหว่านเหลือไว้ให้แก่พงศาวดารเทพใหม่นี้อยู่แล้ว กลับถูกม่อเยวียนทอดทิ้ง เห็นอยู่ว่ากำลังจะใช้ชีวิตอย่างธรรมดาสามัญในฐานะภูตอยู่ที่แดนทักษิณไปตลอดชีวิตเสียแล้ว ไม่นึกเลยว่าสุดท้ายยังคงได้รับโอกาสวาสนา สลายปราณปิศาจสำเร็จเป็นเซียน กลายเป็นนายแห่งหมื่นบุปผาจนได้ นี่ไยมิใช่สวรรค์เบื้องบนทรงกำหนดมั่น?
นับตั้งแต่ฉางอีขึ้นเป็นฮัวจู่เป็นต้นมา อินหลินรู้สึกว่าภารกิจได้สำเร็จเสร็จสิ้น ไม่จำเป็นต้องคอยดูแลฉางอีอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีก และเพื่อเตรียมการสำหรับการเกิดใหม่ชาติที่สิบเจ็ดของจู่ถี เวลาที่เขารั้งอยู่ที่โลกมนุษย์ยาวนานขึ้นเรื่อยๆ น้อยมากจะกลับมาที่แปดดินแดนอีก
ครั้งนั้น อินหลินรั้งอยู่ที่โลกมนุษย์ยาวนานถึงหนึ่งร้อยหกสิบปี จึงค่อยกลับไปยังแปดดินแดนอีกครั้ง ไม่นึกเลยว่าที่ต้อนรับเขา กลับเป็นข่าวฮัวจู่ฉางอีได้จบชีวิตไปตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน
เรื่องที่ฉางอีตกตาย ณ เจดีย์กักปิศาจโด่งดังอย่างมาก เขาแค่ลองสืบถามดูเล็กน้อย ก็สืบรู้สาเหตุที่มาแล้ว ขณะเดียวกันเขายังสืบข่าวที่มีน้ำหนักความน่าเชื่อถืออยู่หลายส่วนมาได้อีกด้วย บอกว่าถึงแม้ฉางอีจะวิญญาณแหลกสลายที่ใต้เจดีย์กักปิศาจไปแล้ว แต่เหลียนซ่ง โอรสองค์ที่สามของเทียนจวินซึ่งช่วยดูแลฉางอีเสมอมากลับทนเห็นนางเป็นเช่นนั้นไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงสลายพลังฝึกปรือครึ่งร่างรวบรวมวิญญาณที่แหลกสลายของนางกลับคืนมาได้บางส่วน จากนั้นผนึกรวมวิญญาณที่แหลกสลายเหล่านี้เข้าด้วยกันเป็นไข่มุกเม็ดหนึ่ง หมายจะขอให้หลิงเป่าเทียนจุนช่วยซ่อมสมานดวงวิญญาณของฉางอีให้สมบูรณ์ ให้นางได้เกิดใหม่อีกครั้ง
หากฉางอีคือเซียนที่ก่อกำเนิดจากครรภ์ทิพย์และฝึกฝนบำเพ็ญเพียรจนได้เป็นเทพเซียนจริงๆ บางทีวิธีนี้อาจจะช่วยชีวิตนางสำเร็จได้จริงแท้ แต่ว่าฉางอีไม่ใช่นี่สิ ร่างเดิมของฉางอี เป็นเพียงลมหายใจอึดหนึ่งของเทพเคารพสองท่านเท่านั้น ตายไปแล้วก็คือตายไปแล้ว ลมหายใจย่อมต้องหวนคืนสู่ฟ้าดิน ยังจะไปมี “ภายหลัง” อะไรได้อีกเล่า
อยู่เคียงข้างกันมาเป็นหลายปี กับการตายของฉางอี อินหลินเองก็รู้สึกหดหู่และเสียดายเช่นกัน แต่จะอย่างไรก็เกิดมามีจิตใจที่หนักแน่นมั่นคง เขาไตร่ตรองออกมาได้ในทันที : ที่เหลียนซ่งรวบเก็บมาในตอนนั้นย่อมไม่มีทางเป็นวิญญาณที่กระจัดกระจายของฉางอี แต่น่าจะเป็นลมหายใจทิพย์ของจู่ถี ในเมื่อลมหายใจทิพย์ไม่อาจกลับคืนสู่ฟ้าดินได้ ตรงกันข้ามกลับจับพลัดจับผลูถูกเทพวารีผนึกรวมเข้าด้วยกัน เช่นนั้นจะยอมปล่อยให้เผ่าสวรรค์ใช้มันไปสร้างเป็นสัตว์ประหลาดตัวอื่นอะไรออกมาไม่ได้โดยเด็ดขาด เดิมทีลมหายใจทิพย์ก็คือลมหายใจอึดหนึ่งของจู่ถี ย่อมควรต้องหวนคืนสู่ร่างวิญญาณของจู่ถีอีกครั้ง
หลังจากตัดสินใจได้ อินหลินไปที่โลกมนุษย์ จับวิญญาณของมนุษย์มาหนึ่งดวงอย่างรวดเร็ว หลังจากชำระล้างเรื่องราวในชีวิตก่อนของวิญญาณดวงนั้นจนหมดจด ก็เอามันลอบเข้าไปในวังวิมานของหลิงเป่าเทียนจุน เสาะหามุกวิญญาณที่ถูกเทียนจุนซ่อมประสานจนเสร็จสิ้น และเก็บรักษาไว้ในกระปุกทองม่วงเลี้ยงวิญญาณเพื่อหล่อเลี้ยงจนพบ เขาทำการสกัดลมหายใจทิพย์ของจู่ถีที่อยู่ภายในมุกวิญญาณออกมาอย่างระมัดระวัง แล้วใส่ดวงวิญญาณของมนุษย์ที่ทำการชำระล้างจนหมดจดดวงนั้นเข้าไป
ลมหายใจทิพย์นั้น ในกาลก่อนเคยถูกจู่ถีหลอมอย่างประณีตมาแล้ว มิได้แตกต่างจากวิญญาณทั่วไปเลย หลังถูกตีแตกกระจาย ยิ่งดูไม่ออกเข้าไปใหญ่ว่ามันเป็นเพียงลมหายใจอึดหนึ่ง บางทีอาจเป็นเพราะเหตุนี้เอง หลิงเป่าเทียนจุนที่ซ่อมประสานวิญญาณดวงนี้ถึงได้ไม่เคยเอะใจสงสัยถึงที่มาของฉางอี
เดิมทีอินหลินนึกกังวลอยู่บ้างว่า จะอย่างไรวิญญาณของมนุษย์กับวิญญาณของเซียนก็ดูแตกต่างกันอยู่เล็กน้อย เรื่องที่เขาแอบสับเปลี่ยนไส้ในนี้คงจะปิดบังได้ไม่นานนัก แต่นึกไม่ถึงเลยว่าความทรงจำบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าของฉางอีกลับถูกมุกวิญญาณเม็ดนั้นรับเข้าไปภายในด้วยเช่นกัน
วิญญาณของมนุษย์หลอมรวมเข้าสู่มุกวิญญาณเม็ดนั้น ถูกความทรงจำอันแฝงด้วยปราณเซียนห่อหุ้มไว้ ไม่ตรวจดูอย่างละเอียด จะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าไส้ในของมุกวิญญาณถูกเขาแทรกแซงไปแล้ว
หลังจากนำลมหายใจทิพย์ของจู่ถีกลับคืนมา อินหลินรั้งอยู่ที่แดนทักษิณสิบแปดปี สิบแปดปีมานี้ ไม่ได้ยินเลยว่าหลิงเป่าเทียนจุนนึกสงสัยอะไรในมุกวิญญาณลูกนั้น
สิบแปดปีให้หลัง ในที่สุดจังหวะแห่งวัฏสงสารของชาติภพสุดท้ายในโลกมนุษย์ของจู่ถีก็ได้มาถึง อินหลินจึงกลับไปที่โลกมนุษย์ก่อนกำหนด ในตอนที่เด็กซึ่งมีชื่อว่า “เฉิงอวี้” ผู้นั้นถือกำเนิด เขาก็นำลมหายใจทิพย์ซึ่งพกติดกายใส่ลงไปในร่างของเด็กคนนั้น โดยหวังว่ามันจะสามารถหลอมรวมเข้าสู่วิญญาณของจู่ถีได้อย่างราบรื่น
แต่ไม่นึกเลยว่าต่อให้เป็นลมหายใจทิพย์อึดเดียว ก็มิใช่สิ่งที่ร่างมนุษย์ร่างหนึ่งจะสามารถแบกรับได้ แม้ว่านั่นจะเป็นร่างมนุษย์ที่เซี่ยหมิงสร้างขึ้นก็ตาม
เฉิงอวี้น้อยไม่สามารถควบคุม “พลังรอบรู้” ที่เกิดขึ้นควบคู่กับลมหายใจทิพย์ได้ หากไม่ใช่เพราะเขาพบเห็นทันกาล เชิญประมุขเผ่าร้อยบุปผามาหลอมสร้างเป็น “ซีเซิง” ผนึกพลังนี้ไว้ละก็ เกือบได้กลายเป็นเคราะห์ภัยครั้งใหญ่ไปแล้ว
ทั้งกายและใจของอินหลินต่างทุ่มเทลงไปที่ตัวของเฉิงอวี้น้อยผู้มาเกิดใหม่จนหมดสิ้น สุดท้ายแล้ววิญญาณในกระปุกทองม่วงเลี้ยงวิญญาณใบนั้นของหลิงเป่าเทียนจุนเป็นอย่างไรบ้าง เขาไม่เคยได้กังวลสนใจอีก จวบจนเขาได้เห็น “เจ้าหญิงไท่อานเยียนหลาน” ที่ปรากฏตัวขึ้นข้างกายของเหลียนซ่งในโลกมนุษย์ เขาจึงค่อยทราบที่ไปสุดท้ายของวิญญาณดวงนั้น
ทุกคนต่างหลงนึกว่าเยียนหลานคือฉางอีกลับชาติมาเกิด มีแต่เขาเท่านั้นที่ทราบความจริงดี : เยียนหลานเป็นแค่มนุษย์ที่แบกรับความทรงจำบางส่วนของฉางอีเท่านั้น ฉางอีได้สาบสูญไปจากโลกนี้แต่แรกแล้ว คิดว่าที่มหาเทพตงหัวพาเยียนหลานขึ้นไปบนสวรรค์อีกครั้ง ก็เพราะเชื่อสนิทใจเช่นกันกระมังว่าเยียนหลานคือฉางอีกลับชาติมาเกิด อินหลินคิดอย่างค่อนข้างจะใจลอย เนื่องจากเคยได้ยินมาว่าเมื่อก่อนตอนอยู่บนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า มหาเทพก็รู้จักและชื่นชมฉางอีเป็นอย่างมากเช่นกัน
อินหลินไม่มีเจตนาจะเปิดโปงเรื่องทั้งหมดนี้ จะอย่างไรเรื่องที่เขาแอบเข้าไปในวังวิมานของหลิงเป่าเทียนจุนเมื่อครั้งกระนั้นไม่ค่อยมีเกียรตินัก แม้จะบอกว่าจำเป็นต้องทำอย่างไม่มีทางเลือก แต่ก็เป็นสิ่งที่ผู้มีฐานะเป็นเทพบริวารเช่นเขาไม่สมควรทำอยู่ดี
อาจเป็นเพราะสังเกตเห็นถึงอาการใจลอยของพวกพ้อง จาวซียกมือขึ้นโบกไปมาตรงหน้าอินหลิน ขมวดคิ้วขยับปากถามโดยไร้เสียง
“เป็นอะไรไป?”
อินหลินค่อยได้สติตื่นจากภวังค์ ส่ายหน้า ตอบโดยไร้เสียง
“ไม่มีอะไร”
เมื่อมองไปทางนั้นอีกครั้ง ก็เห็นว่าเยียนหลานไม่ต้องให้ซู่จี๋ช่วยพยุงอีก กำลังรวบกระโปรงถวายบังคมต่อสองอาหลาน
“ต้องโทษที่เยียนหลานเรียนวิชาได้ไม่เชี่ยวชาญ ถ่วงแข้งถ่วงขาองค์ไท่จื่อ ทราบแต่แรกแล้วว่าไม่ควรขอร้องให้ฝ่าบาทสามพาหม่อมฉันมาที่นี่ เยียนหลานละอายใจโดยแท้ หวังว่าองค์ไท่จื่อทรงอย่าได้ถือโทษโกรธหม่อมฉันเลย และขอให้...” ดวงตาชุ่มชื้นทั้งคู่มองไปทางเหลียนซ่งด้วยแววตาน่าสงสารอยู่เสี้ยวหนึ่ง “และขอให้ฝ่าบาทสามทรงอย่าได้ถือโทษโกรธหม่อมฉันเช่นกันเพคะ” ย่อกายถวายบังคมอย่างแช่มช้อย อ่อนหวานตรึงใจ ในน้ำเสียงรู้สึกผิดนิดๆ เจือกระแสขลาดเขิน เห็นแล้วชวนให้เวทนายิ่งนัก
ไท่จื่อหนุ่มน้อยชุดดำก้าวเลี่ยงไปด้านข้างครึ่งก้าว รับการไหว้ของเยียนหลานเพียงครึ่งหนึ่ง กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า
“เปิ่นจวินเองที่ไม่ได้คุ้มกันเซียนจื่อให้ดี มิกล้ารับการขอขมาของเซียนจื่อ”
เยียนหลานยิ้มให้เขาอย่างนึกขอบคุณ จากนั้นมองไปทางเหลียนซ่ง เหลียนซ่งกลับหลุบตาลงมิได้กล่าวตอบ เยี่ยหัวหันไปมองด้วย เห็นเหลียนซ่งเหมือนกำลังใจลอย จึงเอ่ยปากร้องเรียกอย่างสงสัยนิดๆ
“ท่านอาสาม?”
เหลียนซ่งค่อยเหลือบตาขึ้น มองเยียนหลานแวบหนึ่ง
“เขาปกป้องเจ้าไม่ได้ ย่อมจะเป็นความผิดของเขา แต่เจ้าฝึกฝนเรียนรู้จากมารีจีเทวีตั้งสองหมื่นปี ตอนประจันหน้ากับศัตรูยังเอาแต่หวาดกลัวอยู่อีก ไม่สมควรสักเท่าไรจริงๆ”
ที่เยียนหลานกล่าวว่า “ขอขมาโทษ” เดิมทีมีนัยอื่นแอบแฝง เนื่องจากนึกถึงว่าองค์ไท่จื่อเป็นคนเคร่งขรึมมาแต่ไหนแต่ไร ไม่สร้างความลำบากใจให้เซียนสตรี ฝ่าบาทสามเองก็ใจดีกับหญิงงามเสมอมา ด้วยเหตุนี้นางจึงใช้ท่าทีดุจกิ่งหลิวอิงสายลม แสดงกิริยาขอขมาโทษ โดยนึกว่าการทำเช่นนี้ คนทั้งสองไม่เพียงแต่ไม่มีทางตำหนิโทษนาง ซ้ำยังจะนึกสงสารนางเสียอีก แต่ไม่นึกเลยว่าฝ่าบาทสามไม่เพียงแต่มิได้นึกสงสารนางเท่านั้น หนำซ้ำยังมีเจตนาตำหนิอีกด้วย นอกจากตะลึงพรึงเพริดแล้ว เยียนหลานรู้สึกขายหน้าเป็นอย่างมาก สีเลือดเหือดหายไปจากบนใบหน้าอย่างรวดเร็ว สองตาเรื่อประกายสีแดง กล่าวอย่างกระอักกระอ่วน
“ม-หม่อมฉัน...”
แต่เหลียนซ่งได้ย่างเท้าไปตรวจดูซากศพสุนัขสวรรค์ฯ ตัวนั้นเสียแล้ว ไท่จื่อเยี่ยหัวตามหลังเขาไปติดๆ
ซู่จี๋เห็นเยียนหลานมีทีท่าอับอายขายหน้าจนจะเป็นลม ทั้งยังเห็นว่านางอยู่บนที่สูงซึ่งลมแรง ก็กลัวว่าหญิงงามผู้ซึ่งฝึกฝนเรียนรู้จากมารีจีเทวีตั้งสองหมื่นปี แต่กลับยังคงอ่อนแอบอบบางดุจโคมไฟบุกระดาษอยู่เช่นเดิมจะถูกลมพัดปลิวไป รีบสืบเท้าเข้าไปหาสองก้าวช่วยประคองนางไว้ พร้อมกับได้ยินว่าสองอาหลานข้างหน้ากำลังเดินไปพลางคุยอะไรกันไปพลาง
องค์ไท่จื่อเป็นฝ่ายเริ่มการสนทนา
องค์ไท่จื่อเอ่ยถามฝ่าบาทสามอย่างสงสัยว่าที่ใจลอยเมื่อครู่นี้กำลังคิดอะไรอยู่หรือ ฝ่าบาทสามเอ่ยตอบไท่จื่อเสียงราบเรียบว่า
“เจ้าอยากจะรู้จริงๆ รึ?”
ซู่จี๋คบค้ากับฝ่าบาทสามมาหลายปีดีดัก รู้ดียิ่งนักว่าเมื่อใดก็ตามที่ฝ่าบาทสามกล่าวเช่นนี้ ในคำพูดนั้นจะต้องซ่อนหลุมพรางไว้อย่างแน่นอน ไม่ควรกล่าวต่อคำโดยง่ายดาย แต่เห็นได้ชัดว่าองค์ไท่จื่อผู้ใสซื่อไม่ได้ทราบถึงความร้ายกาจของฝ่าบาทสาม พยักหน้าอย่างพาซื่อ แล้วได้ยินฝ่าบาทสามเอ่ยตอบอย่างเรื่อยเฉื่อยสบายอารมณ์ว่า
“ข้าแค่กำลังคิดเท่านั้นเองว่า ครั้งหน้าถ้ามีโอกาสได้ฝึกฝนเจ้าแบบนี้อีก บางทีข้าควรแวะไปที่ชิงชิวสักหน่อย ขอให้ป๋ายเฉี่ยนซ่างเซียนมาจับคู่กับเจ้า บางทีเจ้าอาจจะสามารถเรียนรู้ได้เองโดยไร้ครูสอนแล้วละว่าจะคุ้มกันพวกพ้องไปพลางข่มศัตรูพิชิตชัยไปพลางได้อย่างไร”
ซู่จี๋มองเห็นอย่างชัดเจนว่า องค์ไท่จื่อตกตะลึงไปชั่ววูบ จากนั้นใบหูค่อยๆ แดงก่ำ
“ท่านอาสามอย่าตรัสเหลวไหล”
ฝ่าบาทสามเหมือนจะรู้สึกว่าปฏิกิริยาขององค์ไท่จื่อน่าเอ็นดูยิ่งนักกระนั้น ชะงักฝีเท้า
“อะไรคือพูดเหลวไหล? หากว่าครั้งนี้เจ้าพาป๋ายเฉี่ยนซ่างเซียนไปสู้ศึก มีหรือจะยังคงใช้กลยุทธ์ทิ้งนางไว้ที่เดิม ให้เศษวิญญาณของสุนัขสวรรค์ฯ มีโอกาสให้ฉกฉวย?” มองดูใบหูที่แดงก่ำทั้งคู่ของไท่จื่อ เลิกคิ้วกล่าวว่า “หากพาป๋ายเฉี่ยนซ่างเซียนไปสู้ศึก เจ้าจะใช้กลยุทธ์แบบใด ข้าชักจะอยากรู้เล็กน้อยจริงๆ เสียแล้ว”
องค์ไท่จื่อตีหน้าเคร่ง แสร้งทำเป็นนิ่งเฉยกล่าวว่า
“ซ่างเซียนมีวิชาฤทธิ์แก่กล้า ไม่แน่ว่าอาจจะชิงประหารฆ่าสุนัขสวรรค์ฯ ก่อนข้าก็เป็นได้”
ฝ่าบาทสามมองหน้าเขา
“อ้อ ที่แท้กลยุทธ์ของเจ้าก็คือให้ภรรยาของเจ้าย้อนกลับมาเป็นฝ่ายปกป้องเจ้าหรือนี่?” แย้มยิ้ม “ก็เป็นวิธีคิดแบบหนึ่งอยู่ละนะ”
องค์ไท่จื่อปั้นสีหน้าต่อไปไม่ไหว เมินหน้าหนี
“ท่านอาสามเลิกกระเซ้าหลานเล่นเถิด”
ฝ่าบาทสามมิได้ใส่ใจ ใช้วิชาฤทธิ์ทำให้ซากศพของสุนัขสวรรค์ฯ ลอยอยู่กลางอากาศ เพื่อให้สะดวกต่อการที่เขาจะตรวจสอบพลางกล่าวว่า
“องค์ไท่จื่อของเผ่าสวรรค์เรา ออกจะหน้าบางเกินไปสักหน่อยนะ”
ฝ่าบาทสามรักสะอาด ต่อให้ตรวจสอบซากศพสุนัขสวรรค์ฯ ก็สร้างเขตแดนโปร่งใสขึ้นรอบๆ ซากศพอยู่ดี เพื่อป้องกันเลือดสกปรกเหล่านั้นหยดลงใส่เสื้อผ้าของเขา
เขาตรวจสอบซากศพสุนัขสวรรค์ฯ ไปทีละชุ่นๆ พลางเอ่ยถามไท่จื่อ “เจ้ากับป๋ายเฉี่ยนหมั้นหมายกันมาสองหมื่นกว่าปีแล้ว ยังไม่เคยได้พบหน้ากันเลยกระมัง? เหตุใดไม่ให้เทียนจวินจัดการให้พวกเจ้าได้พบหน้ากันสักหน่อยเล่า ไม่นึกอยากรู้บ้างเลยหรือไรว่าหญิงงามอันดับหนึ่งของเผ่าเทพเรามีหน้าตาอย่างไร?”
องค์ไท่จื่อหลุบตาลง “หลานไม่ได้อยากรู้”
ฝ่าบาทสามเหมือนไม่ได้ยินกระนั้น
“จะว่าไป เขตปกครองของป๋ายเสวียน พี่ชายคนโตของป๋ายเฉี่ยนอยู่ที่แดนหรดีนี่เอง จากที่นี่ไปแค่เจ็ดร้อยหลี่ แม้ป๋ายเฉี่ยนจะเก็บตัวอยู่ที่ชิงชิวตลอด แต่นานๆ ครั้งก็จะแวะไปนั่งเล่นที่เขตปกครองของพวกพี่ชายนางกับป่าท้อสิบหลี่ของเจ๋อเหยียนซ่างเสินด้วยเช่นกัน ได้ยินว่าพักนี้นางไปเป็นแขกอยู่ที่เขตปกครองของพี่ชายใหญ่นางนี่เอง หากเจ้าอยากจะไปพบนาง ข้าก็พอจะแวะไปที่แดนหรดีเป็นเพื่อนเจ้าได้”
หูขององค์ไท่จื่อแดงก่ำจนเลือดแทบจะหยด บนดวงหน้าขาวสะอาดก็ย้อมสีแดงระเรื่อจางๆ เช่นกัน นวดขมับ กล่าวอย่างอ่อนใจ
“พักนี้ท่านอาสามว่างมากหรือ?”
ในที่สุดฝ่าบาทสามก็ตรวจดูซากศพสุนัขสวรรค์ฯ เสร็จสิ้น ตวัดมือลวกๆ ทำให้ซากศพนั้นแปรเป็นแสงสีฟ้าเส้นหนึ่ง เข้าไปอยู่ในถุงแพรสีขาว ถุงแพรขาวสะอาดไร้ตำหนิ แต่ฝ่าบาทสามผู้รักสะอาดยังคงรังเกียจมันอย่างมากอยู่ดี สะกิดพัดจีบเบาๆ ทำให้ถุงแพรใบนั้นตกลงสู่อ้อมแขนของไท่จื่อ แล้วยิ้มพลางกล่าวกับไท่จื่ออย่างน่าอัดมาก
“ใช่แล้ว ว่างมาก”
ซู่จี๋เห็นว่าถ้าเขาคือไท่จื่อละก็ เขาจะถกแขนเสื้อขึ้นชกใส่ท่านอาบังเกิดเกล้าแล้ว แต่ฝ่าบาทหนุ่มน้อยผู้ขึ้นชื่อในเรื่องควบคุมตัวเอง เคร่งครัดมารยาท และหนักแน่นเคร่งขรึมแห่งสวรรค์เก้าชั้นฟ้าท่านนี้กลับสามารถข่มใจเอาไว้ได้ เพียงกล่าวอย่างอดทนว่า
“เช่นนั้นเมื่อหลานกลับถึงสวรรค์ จะกราบทูลต่อเทียนจวิน ให้เทียนจวินทรงเพิ่มงานให้ท่านอาสามอีกสักหน่อยก็แล้วกัน”
ฝ่าบาทสามหัวเราะเยาะดัง “หึ” ราวกับรู้สึกว่าไท่จื่อช่างไร้เดียงสาอย่างมากกระนั้น
“เจ้านึกว่านี่คือกำลังทำให้ข้าลำบากอย่างนั้นรึ?” กล่าวอย่างเรื่อยเฉื่อยสบายอารมณ์ว่า “นี่ก็แค่กำลังทำให้ซู่จี๋ลำบากเท่านั้น”
ซู่จี๋ลมหายใจขาดช่วง ร่างเซวูบ
เป็นการทำให้เขาลำบากจริงแท้ เพราะงานที่เทียนจวินทรงสั่งให้ทางวังหยวนจี๋ทำ งานภายใน เทียนปู้เป็นผู้รับเหมาไปทั้งหมด งานภายนอก เขาเป็นผู้รับเหมาไปทั้งหมด ฝ่าบาทสามจะไปมีเรื่องอะไรให้ต้องลำบากกันเล่า
สองอาหลานสนทนากันพลางเดินห่างออกไปไกล ซู่จี๋ถอนหายใจ กำลังจะไล่ตามไป ที่ข้างกายพลันมีเสียงสะอื้นดังขึ้นสองเสียง กลับเป็นเยียนหลาน
เยียนหลานเห็นซู่จี๋หันมามอง ก็ระบายความน้อยใจกับเขาทั้งน้ำตากบตา
“เซียนจวิน[6] ฝ่าบาททรงไม่พอพระทัยข้าเป็นอย่างมากใช่หรือไม่ ข-ข้าทำให้ฝ่าบาททรงผิดหวังใช่หรือไม่?”
ซู่จี๋เห็นเยียนหลานน้ำตาร่วงก็สมองพองโตทันที และไม่มีแรงใจจะเอ่ยปลอบนางโดยแท้
เยียนหลานมีน้ำหนักความสำคัญมากเท่าไร พวกเขาต่างกระจ่างแจ้งแก่ใจดี เขาไม่คิดว่าฝ่าบาทสามจะมีความคาดหวังอะไรในตัวเยียนหลาน ในเมื่อไม่ได้ “คาดหวัง” ย่อมไม่อาจกล่าวถึง “ผิดหวัง” แต่ถึงแม้เหตุผลจะเป็นเช่นนี้ กลับไม่อาจกล่าวเช่นนี้ได้
ซู่จี๋ใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ พยายามกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า
“ถ้อยดำรัสเหล่านั้นของฝ่าบาท ก็แค่เพื่อจะกระตุ้นให้เซียนจื่อมานะพยายามเท่านั้น ถึงแม้เซียนจื่อจะถ่วงแข้งถ่วงขาองค์ไท่จื่อ...” เห็นเยียนหลานทำท่าจะน้ำตาร่วงอีกแล้ว ซู่จี๋รีบพูดว่า “แต่พึงทราบว่าองค์ไท่จื่อมีพรสวรรค์เป็นเลิศ เก่งฉกาจโดดเด่น หากเซียนจื่อรายอื่นบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้ามีโอกาสได้จับคู่สู้ศึกกับองค์ไท่จื่อด้วย ก็ทำได้แค่ถ่วงแข้งถ่วงขาเช่นกัน”
กล่าวถึงตรงนี้ ซู่จี๋ถอนหายใจเฮือกจากใจจริง
“เซียนจื่อเป็นคนฉลาด น่าจะทราบดีเช่นกันว่า ฝ่าบาทสามจะทรงพาใครมาถ่วงแข้งถ่วงขาองค์ไท่จื่อก็ได้ทั้งนั้น แต่กลับพาเจ้ามา เพียงเพราะว่าด้วยความสามารถขององค์ไท่จื่อ จะต้องสังหารสุนัขสวรรค์ฯ สร้างความชอบได้อย่างแน่นอน และไม่ว่าเซียนจื่อจะช่วยออกแรงในงานนี้หรือไม่ สุดท้ายที่ถูกนับเนื่องหน้าพระพักตร์เทียนจวิน ก็คือเซียนจื่อกับองค์ไท่จื่อร่วมกันสร้างความชอบนี้อยู่ดี มีความชอบนี้แล้ว บรรดาเซียนบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าที่ดูหมิ่นถิ่นแคลนเซียนจื่อเหล่านั้นย่อมจะไม่เที่ยววิพากษ์วิจารณ์มากเท่าไรนักอีก วันเวลาบนสวรรค์หลังจากนี้ของเซียนจื่อก็จะสบายขึ้นบ้างด้วยเช่นกัน” ซู่จี๋มองหน้าเยียนหลาน “ฝ่าบาทนับว่าทรงช่วยดูแลเซียนจื่ออย่างมากเลยละ”
แม้ซู่จี๋จะไม่ถนัดปลอบใจใคร แต่จับพลัดจับผลู ถ้อยคำเหล่านี้กลับพูดได้ถูกใจเยียนหลานนัก ในใจเยียนหลานอุ่นวาบ น้ำตาพลอยหยุดไหล สีแดงระเรื่อซ่านขึ้นบนใบหน้า
“เซียนจวินกล่าวได้ถูกต้อง เมื่อก่อนตอนอยู่ในโลกมนุษย์ ฝ่าบาทสามก็เฝ้าคุ้มครองข้าอยู่ตลอด เพื่อขัดขวางไม่ให้ข้าแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรี ยังเคยฉีกแผ่นดินสร้างทะเล ฝ่าฝืนกฎของสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอีกด้วย ครั้งกระนั้นที่สลายกระดูกมนุษย์รวมกระดูกเซียน เจ็บปวดทรมานยากทนทานถึงเพียงนั้น ก็เป็นเพราะได้ฝ่าบาทสามช่วยเฝ้าข้าอยู่หลายวันนี่แหละ ข้าจึงค่อยฝ่าด่านอันยากเข็ญมาได้ ความใจดีที่ฝ่าบาททรงมีให้ข้า ข้าย่อมจะ...จดจำสลักใจ...”
บุรุษเถรตรงอย่างซู่จี๋ หาได้ฟังออกว่าเยียนหลานกำลังนึกภูมิใจในสายสัมพันธ์อันลึกล้ำระหว่างตัวนางกับฝ่าบาทสาม เพียงเข้าใจว่านางนึกซาบซึ้งในบุญคุณของฝ่าบาทสามอยู่เต็มหัวใจ จึงพยักหน้าอย่างชื่นชมยิ่ง ถือโอกาสพูดกระตุ้นอีกประโยค
“ในเมื่อเซียนจื่อก็สำนึกในบุญคุณของฝ่าบาทสามเช่นกัน เช่นนั้นก็ต้องขยันฝึกฝนบำเพ็ญเพียรบ้าง อย่างไรเซียนจื่อก็ต้องยืนหยัดด้วยตัวเองให้ได้ จึงจะสามารถอุดปากของบรรดาเซียนว่างงานบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าเหล่านั้นได้อย่างแท้จริง”
เยียนหลานเม้มปากพยักหน้า ทั้งสองไม่มีอะไรให้สนทนากันอีก จึงร่วมกันขี่ลมจากไปตามเส้นทางที่สองอาหลานคู่นั้นจากไป
ถ้อยสนทนาของซู่จี๋กับเยียนหลาน ได้แว่วเข้าสู่โสตของอินหลินทั้งหมด เขาตกตะลึงไปพักใหญ่
ตอนนั้นมหาเทพตงหัวมุ่งหน้ามาที่กูเหยาเค้นถามเขาเรื่องของจู่ถีกับเหลียนซ่ง หลังจากทราบเรื่องทุกอย่างจนหมดสิ้น ที่บอกว่า “จะสร้างความทรงจำอื่นให้แก่เทพวารี” หมายความว่าอย่างนี้งั้นหรือ?
จาวซีเหมือนไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน รอจนกลางอากาศเหนือเขาปอจ่งปราศจากเงาร่างของไม่กี่คนนั้นแล้ว ค่อยหันกลับมาถามอินหลินอย่างยากเย็น
“ดังนั้น นี่คือเทพวารีได้ถูกแก้ไขความทรงจำไปแล้วใช่หรือไม่? อดีตระหว่างเขากับอาอวี้ทั้งหมด ต่างถูกสับเปลี่ยนเป็นเยียนหลานแทนที่?” กล่าวอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “ที่มหาเทพตงหัวพูดในวันนั้นว่า ‘เป็นวิธีที่ยุติธรรมทั้งต่อจุนซั่งและเทพวารี’ ก็คือวิธีนี้?”
อินหลินทอดตามองไปทางทิศของกูเหยา นิ่งเงียบไปเนิ่นนาน สุดท้ายถอนหายใจเบาๆ
“สถานการณ์เช่นในตอนนั้น ตี้จวินทรงทำเช่นนี้ ก็พอจะเข้าใจได้”
<>::<>::<>
[1] ไผ่กิ่งท้อ และ ไผ่ปลายตะขอ คือต้นไผ่ที่มีการจารึกอยู่ในคัมภีร์ “ซานไห่จิง” ว่ามีขึ้นอยู่มากบนภูเขาปอจ่ง
[2] เซียนจื่อ (仙子) คือคำเรียกเซียนสตรี
[3] ฉางผิง (长平) แปลว่า สันติสุขอันยืนยาว; ฉาง (长) แปลว่า ยืนยาว, ตลอด; ผิง (平) แปลว่า สันติ
[4] ฉางอี (长依) แปลว่า เคียงคู่กันเสมอ; อี (依) แปลว่า อิง ชิด ติด
[5] นกป๋ายเยี่ย รูปร่างคล้ายไก่ฟ้า บนหัวมีลวดลาย ปีกสีขาว ขาสีเหลือง (ดูภาพที่ x หน้า x)
[6] เซียนจฺวิน (仙君) คำเรียกเซียนบุรุษ