หัวข้อ : บทที่หนึ่ง (2)

โพสต์เมื่อ 5 พ.ย. 2568, 08:30

บทที่หนึ่ง (2)

 

 “ตอนนั้น” หมายถึงสองหมื่นเจ็ดพันสี่ร้อยสามสิบหกปีก่อน

สำหรับอินหลินแล้ว ไม่สิ สำหรับเทพบริวารทุกคนของกูเหยาแล้ว นั่นต่างเป็นช่วงเวลาที่ปั่นป่วนวุ่นวายอย่างมากทั้งสิ้น

วันนั้น หลังจากที่จู่ถีหลับใหล อินหลินทำตามคำสั่งของนางอย่างเคร่งครัด ดำลงไปในทะเลนิรันดร์กาล นำมุกวิญญาณสีทองที่เก็บได้จากในห้องพิศทักษิณเม็ดนั้นใส่ลงไปในร่างมนุษย์ร่างที่สิบแปด ณ ก้นทะเล

พึงทราบว่าเพื่อให้สะดวกต่อการที่จู่ถีจะไปเกิดใหม่ ร่างมนุษย์ที่เซี่ยหมิงสร้างให้ล้วนแต่มีรูปร่างเป็นทารกทั้งสิ้น ร่างสำหรับสำรองใช้ร่างสุดท้ายนี้ ย่อมไม่อยู่ในข้อยกเว้นเช่นกัน แต่ทว่า ในตอนที่จู่ถีเพิ่งจะเข้าสู่ห้องพิศทักษิณ ลอกความทรงจำออกและสร้างวิญญาณดวงใหม่ อินหลินก็ได้ดำลงไปยังก้นทะเลนิรันดร์กาล ถ่ายเทพลังทิพย์เร่งการเติบโตเข้าสู่ร่างทารกนั้น

ด้วยเหตุนี้ในยามนี้ เมื่ออินหลินมายังก้นทะเลอีกครั้ง ดำเนินการหลอมรวมมุกวิญญาณสีทองเม็ดนั้นเข้ากับร่างมนุษย์ของจู่ถี ร่างมนุษย์นั้นจึงเติบโตเป็นรูปร่างของ เฉิงอวี้ อย่างสมบูรณ์แล้ว

แน่นอน รูปร่างของ เฉิงอวี้ ก็คือรูปร่างของ จู่ถี ด้วยเช่นกัน

ความจริง อินหลินเองก็เพิ่งจะค้นพบปัญหานี้เอาตอนที่จู่ถีมาเกิดใหม่ชาติที่หนึ่ง...ร่างมนุษย์ที่เซี่ยหมิงสร้าง หลังจากโตเป็นผู้ใหญ่ กลับมีใบหน้างดงามสุดเปรียบปาน...ใบหน้าของจู่ถี

อินหลินจำได้ว่า ตอนนั้นเซี่ยหมิงชื่นชอบใบหน้าของจู่ถีอย่างมากจริงแท้ เคยวิจารณ์ว่าใบหน้านั้นคือ “ที่สุดแห่งสวรรค์สรรค์สร้าง”  มักรู้สึกเสียดายที่ใบหน้างดงามเช่นนี้กลับมิอาจให้โลกหล้าได้มองเห็นเสียได้

อินหลินเดาว่าเป็นเพราะความรู้สึกเสียดายนี้ ประกอบกับถือดีว่าในโลกหล้านอกจากพวกเขาไม่กี่คนแล้ว ไม่มีใครอื่นเคยเห็นหน้าตาที่แท้จริงของจู่ถีอีก เซี่ยหมิงถึงได้กล้าสร้างร่างมนุษย์เหล่านั้นโดยเลียนแบบรูปร่างหน้าตาของจู่ถี

เซี่ยหมิงผู้ลุ่มหลงในฝีมือสร้างสรรค์อันประณีต ตัวเองไม่เคยสร้าง “ที่สุดแห่งสวรรค์สรรค์สร้าง”  ออกมาได้ จึงทำการคัดลอก “ที่สุดแห่งสวรรค์สรรค์สร้าง” ออกมาเสียเลย นี่กลับสอดคล้องกับอุปนิสัยของเซี่ยหมิงอย่างมาก

อินหลินคิดเรื่องไร้สาระเหล่านี้ไปพลาง รอให้ “เฉิงอวี้” ฟื้นตื่นไปพลาง

ตามหลักแล้ว หลังจากที่มุกวิญญาณหลอมรวมกับร่างกาย อย่างมากใช้เวลาชั่วชาหนึ่งจอก[1] มนุษย์ผู้นั้นก็จะตื่นขึ้นมา แต่อินหลินเฝ้ารออยู่ข้างกายร่างมนุษย์นั้นถึงหนึ่งชั่วยามเต็มแล้ว  “เฉิงอวี้” คนใหม่นี้กลับไร้วี่แววว่าจะฟื้นตื่นแต่สักนิด

รอต่อไปอีกชั่วชาครึ่งจอก หัวใจของอินหลินค่อยๆ ดิ่งวูบ

แม้ว่าเขาจะไม่เป็นวิชาสร้างวิญญาณ แต่เมื่อครั้งกระนั้นยามที่จู่ถีหลอมลมหายใจทิพย์ภายในร่างอึดนั้นอย่างประณีต เพื่อทิ้งไว้เป็นฮัวจู่ให้แก่พงศาวดารเทพใหม่ เคยกล่าวถึงเรื่องของวิชาสร้างวิญญาณไว้สองสามประโยค ซึ่งสองสามประโยคนั้น เขาจดจำไว้ในใจอย่างแม่นยำ

เพลานั้น จู่ถีกล่าวว่า สร้างวิญญาณดวงใหม่ง่ายดาย จะปลุกให้วิญญาณดวงนั้นตื่นขึ้นกลับยากเย็น แต่วิญญาณดวงใหม่ กลับจำเป็นต้องให้เทพที่สร้างมันขึ้นมาใช้วิชา “ปลุกวิญญาณ” ปลุกให้ตื่นขึ้น จึงจะสามารถมีจิตมีวิญญาณอย่างแท้จริงได้ ไม่เช่นนั้นจะเป็นได้แค่สิ่งไร้ชีวิตเท่านั้น

ด้วยความสามารถของอินหลิน ย่อมจะแยกแยะออกได้ว่า ไข่มุกสีทองที่เขาหยิบออกมาจากห้องพิศทักษิณ และหลอมรวมเข้าสู่ร่างมนุษย์ตรงหน้านี้ คือมุกวิญญาณอย่างไม่ต้องสงสัย แต่มุกวิญญาณเม็ดนี้ถูกจู่ถีปลุกให้ตื่นแล้วหรือไม่ เขากลับมิอาจทราบได้

เป็นไปได้หรือไม่ว่า จุนซั่งสิ้นแรงหลับใหลไปก่อนจะทันได้ปลุกมุกวิญญาณให้ตื่นขึ้น?

เนื่องจากที่หลอมรวมลงสู่ร่างมนุษย์ร่างนี้คือมุกวิญญาณที่ยังไม่ถูกปลุกตื่น ดังนั้น “เฉิงอวี้” คนใหม่นี้จึงไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้?

ใคร่ครวญถึงตรงนี้ อินหลินอดหายใจติดขัดไม่ได้

เรื่องนี้มีความเป็นไปได้สูงมาก

แผนการที่จู่ถีวางไว้ก่อนจะหลับใหล คือนางลอกความทรงจำที่เคยเป็นมนุษย์ออกมา สะบั้นวาสนาผูกพันกับเทพวารี สร้าง “เฉิงอวี้” คนใหม่ขึ้นมาให้เทพวารี เพื่อให้ไปทำตามคำสัญญาที่ว่าจะครองคู่กับเขาแทนที่ตัวนางซึ่งไม่สามารถครองคู่อยู่เคียงเขาได้

หากทุกอย่างราบรื่น ภายใต้แผนการนี้ จะไม่มีใครต้องทุกข์ทรมานทั้งสิ้น แต่ใครเล่าจะนึกไปถึงว่า “เฉิงอวี้” คนใหม่นี้กลับไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้?

เช่นนั้นจะยังคงทำตามแผนเดิมอีกหรือไม่? อินหลินลังเลอยู่นิดๆ  แต่เขาลังเลเพียงวูบเดียว ความตั้งใจก็กลับมาหนักแน่นมั่นคงในบัดดล

ในเมื่อจุนซั่งได้วางแผนการไว้เช่นนี้แล้ว ทั้งยังทำมาจนถึงขั้นนี้แล้ว อย่างนั้นไม่ว่า “เฉิงอวี้” ผู้นี้จะสามารถฟื้นตื่นขึ้นมาได้หรือไม่ คนที่จะร่วมผูกวาสนากับเทพวารี ก็ได้แต่เป็น “เฉิงอวี้” ผู้นี้เท่านั้น เพราะว่านี่คือทางเลือกของจุนซั่ง คือการตัดสินใจของจุนซั่ง

สิ่งที่เสินจู่ปรารถนา ก็คือเป้าหมายของเทพบริวาร

เพียงครู่เดียว อินหลินก็มีแผนรับมือเป็นที่เรียบร้อย

เขาจำได้ว่าในห้องยาตานของกูเหยามีเม็ดยาตานที่ส้าวหว่านเหลือทิ้งไว้อยู่หนึ่งขวด เม็ดยาตานนั้นสามารถเขียนแก้ความทรงจำของสิ่งมีชีวิตที่มีจิตวิญญาณทุกชนิดในโลกหล้าได้ เล่าขานกันว่าม่อเยวียนเป็นผู้คิดค้นขึ้นเพียงลำพัง ทั้งแปดดินแดนมีแค่ขวดเดียวนี้

การเขียนแก้ความทรงจำของผู้อื่น ความจริงแล้วถือเป็นเรื่องที่ละเมิดมรรคาฟ้า แต่วิชานี้กลับไม่นับว่าเป็นวิชาต้องห้ามเช่นกัน เนื่องจากในแปดดินแดนมีผู้ที่มีปัญญาทำได้อยู่แค่ไม่กี่ราย จะห้ามก็ไม่รู้ว่าจะไปห้ามใคร

วิญญูชนดุจกล้วยไม้ เหตุไฉนม่อเยวียนซ่างเสินผู้สุภาพเรียบร้อยจึงได้ศึกษาคิดค้นยาตานที่ละเมิดมรรคาฟ้าเช่นนี้ เรื่องนี้เป็นปริศนามาโดยตลอด แต่เมื่อมองดูที่ไปสุดท้ายของเม็ดยาตานนี้ อินหลินคาดเดาว่าอย่างไรต้องมีความเกี่ยวพันอย่างสลัดไม่หลุดกับส้าวหว่านจวินผู้หัวขบถนั่นแหละ

ยาตานนี้ถูกวางทิ้งไว้เฉยๆ ในห้องยาตานของกูเหยามาได้สองแสนกว่าปี ถึงเวลานำมันไปทำประโยชน์อย่างใหญ่หลวงเสียที

 

อินหลินควานหาเม็ดยาตานขวดนั้นจากในห้องยาตานพบอย่างรวดเร็ว งอนิ้วคำนวณได้เวลาที่เทพวารีจะสิ้นสุดการรับทัณฑ์ ก็พาร่างมนุษย์ของ “เฉิงอวี้” ทะลุผ่านทวารรั่วมู่ เร่งกลับไปถึงโลกมนุษย์ก่อนที่เหลียนซ่งจะหลุดจากการถูกกักกันที่ภูเขาเทียนกุ้ยสุดอุดร

ทั้งหมดถัดจากนั้นมา ต่างราบรื่นยิ่ง

อาศัยความสามารถของเม็ดยาตาน อินหลินประสบความสำเร็จในการแก้ไขความทรงจำของทุกคนรวมถึงซู่จี๋ เทียนปู้ และฮัวเฟยอู้

ในความทรงจำของทุกคนที่ถูกเขาเปลี่ยนแก้ความทรงจำ หลังจากจี้เฉินหายไป เฉิงอวี้หาได้ไปจากเมืองผิงอาน หากแต่อดทนต่อความทุกข์ตรมของความคิดถึง เก็บตัวอยู่ในหอทศมาลี เฝ้ารอเหลียนซ่งสิ้นสุดการรับทัณฑ์มุ่งหน้ามาหานางอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อย

การรอคอยนี้ กินเวลานานถึงหกปี

ในวันหนึ่งของปีที่หก ได้มีเซียนมัจฉาน้อยตนหนึ่งบุกฝ่าเข้ามาในหอทศมาลีกะทันหัน เรียกตัวเองว่า “อาอวี้”  บอกว่าตัวนางคือเจ้าหญิงปลาหลิงแห่งทะเลอุดร ได้ฟังเรื่องที่เทพวารีฉีกแผ่นดินสร้างทะเล ฝ่าฝืนกฎสวรรค์เพื่อมนุษย์ผู้หนึ่ง ก็นึกอยากรู้ว่าคือมนุษย์เช่นไรกัน ถึงสามารถทำให้ฝ่าบาทสามแห่งเผ่าสวรรค์ผู้ซึ่งมีนัยน์ตาสูงเหนือศีรษะเสมอมาลุ่มหลงจนหัวปักหัวปำได้ ด้วยเหตุนี้จึงตั้งใจแวะมาดูโดยเฉพาะ

ปลาหลิงน้อยเห็นเฉิงอวี้หน้าตางดงาม ทั้งเผชิญหน้ากับนางซึ่งเป็นเซียนสตรีที่สูงศักดิ์ปานนี้ กลับไร้ท่าทีระย่อขลาดกลัวแม้แต่น้อย ก็ไม่พอใจอย่างยิ่ง ประกอบกับตัวนางแอบหลงรักเหลียนซ่ง ยิ่งเฉิงอวี้วางตัวเหมาะสม นางก็ยิ่งริษยาอาฆาต จึงฉวยโอกาสที่หลีเสี่ยงซึ่งคอยปรนนิบัติอยู่ด้านข้างเผลอตัว ใช้ฝ่ามือฟาดวิญญาณของเฉิงอวี้หลุดออกมานอกร่าง กลืนกินลงไปในคำเดียว

ทุกคนพบว่าเฉิงอวี้ประสบภัย รีบเร่งมาช่วยเหลือ สยบปลาหลิงน้อยได้สำเร็จ ทำให้นางคายวิญญาณของเฉิงอวี้ออกมาจนได้ แต่หลังจากนำวิญญาณนั้นใส่กลับเข้าไปร่างของเฉิงอวี้อีกครั้ง เฉิงอวี้กลับไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย...

 

นอกจากเปลี่ยนแก้ความทรงจำช่วงนี้ของทุกคนแล้ว อินหลินจำได้อย่างแม่นยำว่าจาวซีเคยบอกไว้ว่า เทพวารีมีความสามารถในการแทรกซึมเข้าสู่จิตของผู้อื่น ตรวจหยั่งจิตใต้สำนึกของผู้อื่น เขาจึงลบความทรงจำของบรรดาภูตดอกไม้ทั้งหลายภายในหอทศมาลี อาทิ เหยาหวง หลีเสี่ยง จื่อโยวถาน ที่เกี่ยวกับตัวเขาอย่างรอบคอบ ทั้งยังทำให้เหล่าภูตดอกไม้ลืมเลือนความลับเรื่องภารกิจติดตัวในการปกป้องคุ้มครองจู่ถีมาเกิดใหม่อีกด้วย

ในความทรงจำที่ถูกเม็ดยาตานเปลี่ยนแก้ของบรรดาภูตดอกไม้ เฉิงอวี้เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่ง ส่วนพวกเขานั้น เนื่องจากเฉิงอวี้ป่วยเป็นโรคประหลาด จึงถูกจิ้งอานหวางท่านพ่อของเฉิงอวี้รวบรวมเข้าสู่หอทศมาลี เพื่อใช้พลังของร้อยบุปผาช่วยขจัดอาการป่วยให้เฉิงอวี้เท่านั้น

ทุกช่องโหว่ที่มีความเป็นไปได้ของโลกมนุษย์ อินหลินล้วนแต่คาดคำนวณถึงทั้งสิ้น เคราะห์ดีที่เม็ดยาตานในขวดนั้นเหมือนหยิบใช้ได้ไม่รู้จักหมดสิ้น ประกอบกับเวลาก็มีมากพอสำหรับให้เขาไปถักทอคำโกหกที่ใหญ่หลวงเทียมฟ้านี้ได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน แน่นอนว่า เขาก็มิได้ลืมห่วงโซ่ที่สำคัญที่สุดภายในคำโกหกนี้...ปลาหลิงน้อยอาอวี้

ตั้งแต่ก่อนจะกลับมาที่โลกมนุษย์แห่งนี้ เขาก็กำชับให้จาวซีกับเสว่อี้นำเม็ดยาตานไปจัดการปลาหลิงน้อยซึ่งถูกขังไว้ตัวนั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว...จาวซีกับเสว่อี้จะใช้บทละครเล่มใหม่ที่เขาแต่งขึ้นมาให้ปลาหลิงน้อย ไปสับเปลี่ยนกับความทรงจำส่วนที่นางทรมานทำร้ายเฉิงอวี้พร้อมกับกระตุ้นให้จู่ถีหวนคืนตำแหน่งภายในสมองของนาง จากนั้นทำให้นางสลบไป ส่งตัวนางกลับไปยังทะเลอุดร

 

ทำงานยุ่งโดยมิได้หยุดพักหลับนอนที่โลกมนุษย์เป็นเวลาครึ่งเดือน ในที่สุดอินหลินก็ถักทอการโกหกใหญ่หลวงเทียมฟ้านี้เสร็จสิ้น สุดท้ายตรวจสอบดูไปหนึ่งรอบ หลังจากมั่นใจว่าทุกอย่างต่างเตรียมการเสร็จสรรพแล้ว เขาได้จำแลงร่างเป็นดอกไม้ธรรมดาสามัญต้นหนึ่ง ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังบรรดาดอกไม้ใบหญ้ามากมายอย่างไม่สะดุดตา เร้นกายตรงมุมห้องของเฉิงอวี้ มองดูหลีเสี่ยงกับฮัวเฟยอู้คุกเข่าน้ำตานองหน้าอยู่ตรงหน้าร่างมนุษย์ร่างนั้นอย่างเฉยเมยไปพลาง เฝ้ารอเทพวารีที่สิ้นสุดการถูกลงทัณฑ์มุ่งหน้ามายังโลกมนุษย์เพื่อรับตัวเจ้าสาวของตนไปพลางอย่างสงบ

 

วันที่เทพวารีมาถึง คือสามค่ำเดือนสามของโลกมนุษย์ เทศกาลซั่งซื่อ[2]

วันนั้นสายลมอ่อนพัดรวยรื่น ผืนฟ้าครามแผ่ไพศาล เหมาะแก่การจัดงานเลี้ยงดื่มกินเซ่นไหว้ ไปเที่ยวชานเมืองย่ำวสันต์พอดี หากว่าเฉิงอวี้ยังอยู่ ด้วยอุปนิสัยชอบความครึกครื้นของนาง ต้องไม่มีทางพลาดวันเทศกาลเช่นนี้โดยเด็ดขาด

บนถนนมีเสียงผู้คนหยอกล้อเล่นกันดังมา คือเสียงความเคลื่อนไหวที่ดังเอะอะของเหล่าหนุ่มสาวซึ่งออกท่องเที่ยว เสียงหัวเราะหยอกเย้ากังวานสดใสของเหล่าหนุ่มสาว ทำให้อินหลินเหมือนได้ย้อนกลับไปสู่อดีตที่เฉิงอวี้ยังคงอยู่

ขณะที่กำลังเหม่อลอย พลันรู้สึกถึงแรงกดดันขุมหนึ่งคุกคามเข้ามาใกล้หอทศมาลี ระหว่างที่สงบจิตใจตั้งสมาธิ ก็มองเห็นเหลียนซ่งปรากฏกายขึ้นภายในห้อง

เทพวารีในชุดผาวขาวสายรัดหยก เยื้องย่างเข้ามา ใช้พัดแหวกเปิดม่านไข่มุกแก้วผลึกซึ่งขวางกั้นห้องชั้นในและห้องชั้นนอกออกจากกัน บนใบหน้าประดับรอยยิ้มอ่อนจาง เอ่ยเสียงนุ่มไปทางข้างในห้องว่า “อาอวี้ ข้ามาแล้ว”

รอยยิ้มนั้นกลับชะงักค้างนิดๆ ยามมองเห็นหลีเสี่ยงกับฮัวเฟยอู้ที่นั่งคุกเข่าน้ำตาร่วงอยู่หน้าเตียงไม้กฤษณา

เขานิ่งไปชั่ววูบ ก้าวเร็วๆ เข้าไปหา ยื่นมือไปแหวกเปิดม่านแพรขาวซึ่งทิ้งตัวอยู่หน้าเตียง สายตาตกลงจับยังใบหน้าของ “เฉิงอวี้” ที่ดูเหมือนกำลังหลับสนิท แล้วเลื่อนไปยังเครื่องประดับเกล็ดมังกรที่นางสวมประดับอยู่บนร่าง

อินหลินมองเห็นอย่างชัดเจน เหลียนซ่งถอนหายใจโล่งอก

เทพวารีหนุ่มนั่งลง กุมสองมือของ “เฉิงอวี้” ที่วางซ้อนกันเหนือท้อง พินิจดูใบหน้าที่กำลังหลับของนางอย่างถี่ถ้วนอยู่ชั่วครู่ ค่อยมองไปทางสองภูตดอกไม้ฮัวเฟยอู้กับหลีเสี่ยงที่นับตั้งแต่มองเห็นเขา ก็ข่มกลั้นไว้ไม่กล้าร้องไห้อีก ขมวดคิ้วบางๆ

“นางกินจี้เฉินลงไปเมื่อไรกัน เหตุใดถึงยังไม่ตื่นอีก?”

ภูตดอกไม้ทั้งสองไม่กล้าเอ่ยปาก นอกประตูพลันมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น กลับเป็นเทียนปู้ยกชายกระโปรงขึ้นรีบร้อนก้าวเข้ามา ได้เห็นเหลียนซ่งก็เบ้าตาแดงเรื่อ คุกเข่าลงดังตึง โขกศีรษะกับพื้น

“หนูปี้ไร้ความสามารถ มิได้ปกป้องท่านหญิงให้ปลอดภัย หนูปี้มีโทษสมควรตายเพคะ!”

เหลียนซ่งตกตะลึง มองดูเทียนปู้ที่หมอบคุกเข่าอยู่กับพื้น นิ่งเงียบไปเนิ่นนาน เนิ่นนานให้หลังเสียงของเขาได้ดังขึ้น ราวกับดังมาจากใต้พิภพ แหบพร่าเย็นยะเยียบ

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

ตอนที่เทียนปู้รายงานทั้งน้ำตาถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเฉิงอวี้หลังเหลียนซ่งจากไปทีละเรื่องๆ  อินหลินนึกประหม่าอยู่นิดๆ  ถึงแม้เขาจะรู้ตัวดีว่าเรื่องราวที่เขาร้อยเรียงให้แก่เทพวารีเหล่านี้สมบูรณ์ไร้ที่ติ ไร้ช่องโหว่ให้โจมตี แต่จาวซีเคยบอกไว้ว่า เทพวารี “อุปนิสัยมากระแวง ทั้งยังละเอียดรอบคอบฉลาดแกมโกง” อาจจะไม่โดนเขาหลอกเอาก็เป็นได้ใครจะรู้

กระนั้น ยามเมื่อเทียนปู้เอ่ยถึง หลังจากพบว่าเฉิงอวี้ไม่อาจฟื้นขึ้นมาได้อีก ซู่จี๋ได้ไปเชิญพญายมเซี่ยกูโฉวมาทำการตรวจดูวิญญาณของ “เฉิงอวี้”  พญายมเซี่ยตรวจดูอยู่พักหนึ่ง กลับกล่าวว่าวิญญาณของ “เฉิงอวี้” ไม่ได้เสียหายอะไร เหตุไฉนนางจึงไม่อาจฟื้นขึ้นมาได้ เขาเองก็ไม่ทราบสาเหตุเช่นกัน อินหลินมองเห็นอย่างชัดเจนว่าเหลียนซ่งโงนเงนไปชั่ววูบเหมือนไม่อาจทำใจยอมรับข่าวนี้ได้

เพลานั้น ในที่สุดอินหลินก็มั่นใจได้ เขาหลอกเหลียนซ่งสำเร็จแล้ว เทพวารีได้ตกลงสู่กับดักแล้ว

ชนชาวโลกกล่าวว่า เมื่อห่วงกังวลจิตใจจักสับสน แม้แต่เทพวารีก็ไม่มีเว้น เมื่อเรื่องเกี่ยวพันถึงเฉิงอวี้ เทพวารีกลับสูญเสียความเยือกเย็นและรอบคอบอันเคยมีเสมอมาด้วยเช่นกัน ทำให้อินหลินรู้สึกสะท้อนใจอยู่บ้าง

ส่วนที่เทียนปู้กล่าวว่า ขอความช่วยเหลือจากเซี่ยกูโฉว หาใช่ความทรงจำที่อินหลินยัดเยียดให้นาง ซู่จี๋ไปบุกฝ่ากรมยมจริงๆ  เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบเอ็ดค่ำเดือนที่แล้ว...หลังจากอินหลินทำการเปลี่ยนแปลงแก้ไขความทรงจำของพวกเขาได้ไม่นาน

ในโลกหล้ามีเพียงสามมหาเทพผู้สร้างโลก สี่มหาเทพพิทักษ์โลก และรัศมีเทพกับพระแม่ธรณีในห้ามหาเทพแห่งธรรมชาติเท่านั้นที่ทราบวิธีสร้างวิญญาณ พร้อมกับที่ปวงเทพบรรพกาลจมลับดับสูญไปกับยุคมหาอุทกภัยบรรพกาล วิชาสร้างวิญญาณก็ไม่เป็นที่รู้จักยินยลในโลกหล้าอีก

แม้พญายมจะเป็นนายแห่งปวงวิญญาณ ปกครองโลกหลังความตายของมนุษย์ แต่จะอย่างไรก็ไม่รู้จักเรื่องการสร้างวิญญาณ ย่อมจะดูไม่ออกเป็นธรรมดาว่าที่สิงอยู่ภายในเปลือกร่างนั้นมิใช่วิญญาณของ “เฉิงอวี้” ที่เขารู้จักผู้นั้นอีก ยิ่งไม่อาจเข้าใจถึงสาเหตุที่ “เฉิงอวี้” สลบไสลไม่ฟื้นตื่นได้

แต่เทียนปู้กับราชครูจะไปทราบเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร เพียงหลงนึกว่าพญายมรู้จักวิญญาณของมนุษย์ดีที่สุด หากกระทั่งพญายมยังอับจนหนทางในเรื่องนี้ เช่นนั้นคงยากจะช่วยชีวิต “เฉิงอวี้” ได้จริงๆ เสียแล้ว แม้ว่าเวลานี้ราชครูจะยังคงเฝ้าสืบหาถึงวิธีทำให้ “เฉิงอวี้” ฟื้นขึ้นมาได้อยู่ภายนอก แต่พวกเขาไม่ได้คาดหวังในเรื่องนี้จริงๆ แต่อย่างใด

 

ได้ฟังที่เทียนปู้ร้องไห้รายงานจบ สีหน้าของเหลียนซ่งขาวซีดปานหิมะ เขานิ่งงันไปชั่วครู่ ยื่นมือไปแตะหยั่งที่หน้าผากของ “เฉิงอวี้”  อินหลินคาดเดาว่าเขากำลังหยั่งดูวิญญาณของ “เฉิงอวี้”

วิญญาณของมนุษย์มิได้มีอะไรแตกต่างกัน อินหลินไม่กังวลว่าเหลียนซ่งจะหยั่งพบอะไรแต่อย่างใด จะอย่างไรแม้แต่พญายมยังตรวจหยั่งไม่พบอะไรเลย

ชั่วชาหนึ่งจอกให้หลัง เหลียนซ่งเก็บมือกลับ เอ่ยเบาๆ เหมือนพึมพำกับตัวเอง

“สามหุนเจ็ดพ่อต่างอยู่ครบครัน แล้วเหตุใดถึงไม่ยอมฟื้น?”

เขานิ่งเงียบไปอึดใจใหญ่ ก้มกายนิดๆ  มองไปยังเฉิงอวี้ที่อยู่บนเตียง

“เฉิงอวี้” บนเตียงใบหน้าแดงระเรื่อ ราวกับกำลังหลับสนิท แม้กำลังหลับสนิท ใบหน้าก็งามล้ำเป็นเอก

เขาลูบไล้ใบหน้าของนางอย่างแผ่วเบานุ่มนวล แล้วปัดเส้นผมของนางที่แผ่สยายลงมาระอยู่ข้างแก้มสองสามปอยไปทัดไว้หลังใบหู ทำทั้งหมดนี้เสร็จสิ้น เขาขมวดคิ้ว พลันเอามือปิดปาก อินหลินมองเห็นอย่างชัดเจนว่าระหว่างนิ้วมือปานหยกขาวนั้นมีเลือดสีแดงคล้ำซึมออกมา จึงตะลึงลานทันที

ในจังหวะที่อินหลินตะลึงลานนี้เอง เหลียนซ่งได้ช้อนร่าง “เฉิงอวี้” ขึ้นอุ้ม ภายในห้อง สายลมได้หอบพัด พริบตาถัดมา เทพวารีได้สาบสูญร่องรอย

ฮัวเฟยอู้กับหลีเสี่ยงถูกเหตุเปลี่ยนแปลงที่อุบัติขึ้นกะทันหันนี้ทำเอาตกตะลึงจังงัง มองดูเตียงที่ว่างเปล่า ไม่ทราบควรมีปฏิกิริยาอย่างไรดี เทียนปู้ก็ตกตะลึงนิดๆ เช่นกัน ปาดคราบน้ำตาตรงหางตาทิ้ง มองไปยังผืนฟ้าอันสดใสที่นอกหน้าต่าง พึมพำว่า

“ฝ่าบาทจะเสด็จไปที่ใดกัน?”

หว่างคิ้วอินหลินกระตุกวูบ เขาแทบจะคาดเดาได้ในทันทีถึงสถานที่ซึ่งเทพวารีมุ่งหน้าไป

 

ครั้นอินหลินฉวยโอกาสที่ทุกคนไม่ทันตั้งตัวปลีกตัวออกไปจากหอทศมาลี รีบร้อนรุดไปถึงทะเลอุดร ก็เห็นเทพวารีกำลังยืนอยู่เหนือทะเลอุดรอย่างโกรธเกรี้ยวจริงๆ  ข้างหลังของชายหนุ่มคือพัดสยบภัยพิบัติที่กางออก  “เฉิงอวี้” กำลังนอนอยู่บนหน้าพัดอย่างสงบ ร่างอยู่ภายใต้การคุ้มครองของแสงสีนิล เหนือปุยเมฆที่แหลกสลายห่างออกไปไม่กี่ก้าวเบื้องหน้าเทพวารี มีปลาหลิงน้อยอาอวี้กำลังหมอบอยู่อย่างตัวสั่นงันงก

ทั่วทั้งทะเลอุดร เบื้องบนมีผืนเมฆดำทะมึนบดบังผืนฟ้าดวงตะวัน เบื้องล่างมีเกลียวคลื่นโหมกระหน่ำไม่หยุดยั้ง เหล่ากุ้งฝอยปูน้อยถูกเกลียวคลื่นม้วนพัดขึ้นบนฝั่ง ตัวสั่นงันงกอยู่บนพื้นทราย และที่กลางอากาศเหนือชายหาด บริเวณซึ่งอยู่ห่างจากเหลียนซ่งออกไปหลายจ้าง มีผู้คนมากมายกำลังคุกเข่าตัวสั่นสะท้าน ดูจากท่าทางเหมือนจะเป็นขุนนางของทะเลอุดร

อินหลินไปหลบอยู่หลังโขดหินยักษ์ก้อนหนึ่ง ด้านข้างของโขดหินยักษ์ก้อนนั้นมีโพรงอยู่ ปลาเถียว[3]น้อยตัวหนึ่งกำลังยื่นศีรษะชะเง้อชะแง้อยู่ในโพรงขนาดเล็กนั้น เห็นอินหลินโผล่ขึ้นที่ด้านข้างโขดหินยักษ์ ปลาเถียวน้อยก็กระแซะเข้าไปหา เป็นฝ่ายชวนเขาคุย

“ท่านดูสิ เทพวารีพิโรธแล้ว น่ากลัวเป็นบ้าเลย!”

อินหลินปรายตามองปลาเถียวน้อย ไม่สนใจมัน

เห็นอินหลินไม่สนใจมัน ปลาเถียวน้อยก็มิได้เก้อกระดาก ถึงอย่างไรมันก็มีสี่หัวสี่ปาก มันสามารถแสร้งทำเป็นว่ากำลังพูดกับตัวมันเองได้

หัวที่สองของปลาเถียวน้อยกระแอมหนึ่งที พยักหน้าช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้ตัวเอง

“ใช่แล้ว ห้าสิบกว่าปีก่อน ตอนเทพวารีเสด็จมาตระเวนตรวจตรายังทะเลอุดร ข้าเคยเห็นจากที่ไกลอยู่หนึ่งครั้ง ประโยคนั้นพูดไว้ว่ายังไงแล้วนะ?”

หัวที่สามช่วยสนับสนุนโดยรับมุกให้ว่า

“พระทรงโฉมเลิศเอกา ในโลกหล้าไร้ผู้เทียม!”

หัวที่สองเอ่ยชมว่า “ใช่แล้วๆ  ประโยคนี้แหละ กระนั้นองค์เทพวารีที่รูปลักษณ์งามสง่า พระทรงโฉมเลิศเอกา ไม่นึกเลยว่าเวลาโมโหขึ้นมาจะน่ากลัวขนาดนี้!”

หัวที่สี่ถอนหายใจอย่างวิตกกังวล “เฮ้อ ในทะเลปั่นป่วนไปหมด ไม่รู้ว่าทะเลอุดรของพวกเราจะล้มคว่ำทั้งอย่างนี้หรือเปล่า? ต้องโทษที่เผ่าปลาหลิงไม่ยอมมอบตัวยายหนูเจ้าหญิงปลาตัวก่อเรื่องนั่นออกมาในทันทีนั่นแหละ!”

ทั้งสี่หัวเงียบกริบพร้อมกัน หัวที่สองโคลงไปมาอย่างของขึ้น

“นั่นน่ะสิ! นึกถึงกาลก่อนองค์เทพวารีเสด็จมาเยือนทะเลอุดร ล้วนแต่มาพร้อมกับเมฆหมอกศุภมงคลทั้งนั้น ครั้งนี้กลับเป็นแบบนี้ ต้องเป็นเพราะยายหนูเจ้าหญิงปลานั่นก่อเรื่องร้ายแรงเป็นแน่ ไม่อย่างนั้นเหตุใดองค์เทพวารีมาถึงปุบ ก็บัญชาให้สมุทรบริวารไปจับตัวยายหนูเจ้าหญิงปลานั่นมาในทันทีกันเล่า ที่น่าเจ็บใจคือเผ่าปลาหลิงกลับกล้าบังอาจไม่ส่งตัวยายเจ้าหญิงปลาหลิงน้อยนั่นออกมา ถึงได้ทำให้องค์เทพวารีกริ้วจัด ทำให้ทะเลอุดรง่อนแง่นแทบล้มคว่ำ ทำให้พวกเราพลอยโชคร้ายไปด้วย!”

หัวที่หนึ่งพยักหน้าอย่างเห็นพ้อง

“นั่นสิ ถึงอย่างไรสุดท้ายแล้วเผ่าปลาหลิงก็มอบตัวยายเจ้าหญิงปลาหลิงน้อยนั่นออกมาอยู่ดีไม่ใช่รึไง แล้วก่อนหน้านั้นไยพวกเขาต้องทำเป็นยึกยักด้วย สุดท้ายยังทำพวกเราพลอยเดือดร้อนไปด้วยอีก ทำตัวไม่สมศักดิ์ศรีเลย!”

เป็นแค่ปลาตัวเดียวแท้ๆ  มันกลับสามารถทำให้ดูเหมือนเป็นฝูงปลาที่กำลังสุมหัวกันนินทาชาวบ้านได้ อินหลินรู้สึกนับถืออย่างยิ่งเช่นกัน กับจุดประสงค์ในการมาทะเลอุดรของเหลียนซ่ง ถึงแม้ในใจของอินหลินจะพอคาดเดาได้อยู่ก่อน กระนั้นฟังมาถึงตรงนี้ เขายังคงต้องการจะยืนยันซ้ำสักหน่อยอยู่ดี ดังนั้นจึงขัดจังหวะปลาเถียวน้อยที่ลำพังตัวเดียวก็สนทนาได้อย่างครึกครื้น ถามมันว่า

“เทพวารีมาทะเลอุดรครั้งนี้ เพื่อจะจับตัวเจ้าหญิงปลาหลิงผู้นั้นหรือ? เหตุใดเขาถึงต้องจับตัวเจ้าหญิงปลาหลิงนั่น เจ้ารู้หรือไม่?”

ปลาเถียวน้อยเป็นปลาเถียวน้อยที่เจ้าคิดเจ้าแค้น เมื่อกี้มันเป็นฝ่ายชวนอินหลินคุย อินหลินกลับเมินใส่มัน เรื่องนี้ได้ถูกปลาเถียวน้อยแอบจดจำไว้ในใจแล้ว หัวทั้งสี่ของปลาเถียวน้อยเมินหนีอย่างพร้อมเพรียง รูจมูกทั้งแปดแค่นเสียงออกมาอย่างพร้อมเพรียง

“เฮอะ!”

อินหลินเอ่ยเสียงเรียบ

“ฟังที่เก๋อเซี่ยพึมพำกับตัวเองเมื่อครู่นี้ ยังหลงนึกว่าเก๋อเซี่ยคือผู้ที่มีหูตากว้างไกลเสียอีก ที่แท้เก๋อเซี่ยก็มีเรื่องที่ไม่ทราบเหมือนกันหรอกหรือ”

หัวทั้งสี่ของปลาเถียวน้อยหันขวับกลับมาในบัดดล

“ใครบอกว่าข้าไม่รู้กัน? หลังจากเผ่าปลาหลิงมัดตัวยายหนูเจ้าหญิงปลานั่นส่งมาถึงตรงหน้าองค์เทพวารีแล้ว องค์เทพวารีพลันฟาดแสงลำหนึ่งเข้าใส่ร่างของยายหนูเจ้าหญิงปลา ยายหนูเจ้าหญิงปลาก็ลงไปหมอบครางฮือๆ กับพื้นทันที” มันโคลงหัวไปมา “เฮอะ ยายหนูเจ้าหญิงปลาคนนี้ เดิมทีก็ซุกซนร้ายกาจ ชอบก่อเรื่องเดือดร้อนอยู่แล้ว ต้องไปก่อเรื่องอะไรสักเรื่องให้องค์เทพวารีเป็นแน่ ดังนั้นองค์เทพวารีถึงได้เสด็จมาจับตัวนางโดยเฉพาะ อย่างการฟาดลำแสงสีเงินเข้าสู่ร่างของนาง ก็คือกำลังลงโทษให้นางหลาบจำอย่างไรเล่า!” กล่าวจบคำ ปลาเถียวน้อยก็เชิดหัวทั้งสี่อย่างเย่อหยิ่ง “เฮอะ ไม่มีเรื่องที่ข้าไม่รู้หรอกนะ!”

ตัวมันอ่อน เชิดหัวสูงเกินไป จนแทบจะเชิดไปถึงหาง เห็นคาตาว่าใกล้จะล้มอยู่รอมร่อ

เห็นแก่ที่มันแพร่งพรายข้อมูลที่มีประโยชน์ต่อเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ อินหลินถอนหายใจ โน้มตัวยื่นมือไปช่วยประคองตัวมัน...

 
 
<>::<>::<>



[1] เวลาชั่วชาหนึ่งจอก หรือ เวลาหนึ่งจอกชา คือเวลาที่น้ำชาหนึ่งจอกเปลี่ยนจากร้อนเป็นเย็นจนดื่มหมดจอก โดยทั่วไปคือประมาณ 10-15 นาที
[2] เทศกาลซั่งซื่อ คือวันเกิดของจักรพรรดิเหลือง เป็นเทศกาลที่จะรับประทานอาหารสังสรรค์กันที่ริมแม่น้ำ และเที่ยวชมทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิแถบชานเมือง
[3] ปลาเถียว มีรูปร่างเหมือนไก่ แต่มีขนสีแดง มีสามหาง หกขา สี่หัว (ดูภาพที่ x หน้า x)

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 5 พ.ย. 2568, 08:30

0 ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น