บทที่หนึ่ง (3)
เหตุที่ปลาเถียวน้อยเชื่อว่าลำแสงที่เหลียนซ่งฟาดออกไปคือการลงโทษ คงเป็นเพราะมันเป็นแค่เซียนมัจฉาน้อย ความรอบรู้ต่ำ
ในฐานะที่เป็นเทพบริวารซึ่งมีชีวิตอยู่มานานสามแสนกว่าปี อินหลินกลับมั่นใจได้แทบจะในทันทีจากคำบรรยายของปลาเถียวน้อยว่า นั่นคือเหลียนซ่งกำลังใช้วิชาต้องห้าม “ไร้ซ่อนเร้น” ใส่ปลาหลิงน้อย
วิชาต้องห้าม “ไร้ซ่อนเร้น” นี้ มีวิธีใช้แบบสุภาพนุ่มนวลซึ่งจะอ่อนโยนไร้สุ้มเสียง และวิธีใช้แบบป่าเถื่อนรุนแรงซึ่งบ้าคลั่งเร่งด่วน การใช้พลังฤทธิ์ฟาดเข้าสู่ร่างของอีกฝ่ายโดยตรงเพื่ออ่านความคิดของอีกฝ่าย ก็คือวิธีใช้แบบป่าเถื่อนรุนแรงอย่างที่สุด จะสร้างความเจ็บปวดทรมานเป็นอย่างมากให้แก่ฝ่ายที่ถูกใช้วิชานี้ใส่ ดูท่าทางเหลียนซ่งจะมิได้ทะนุถนอมเห็นใจปลาหลิงน้อยตัวนั้นเลยสักนิด
อินหลินเข้าใจถึงสาเหตุที่เหลียนซ่งใช้ “ไร้ซ่อนเร้น” หยั่งดูจิตใต้สำนึกของปลาหลิงน้อยเป็นอย่างยิ่ง หากเปลี่ยนเป็นเขา เขาเองก็จะรีบมาที่ทะเลอุดรหยั่งดูความทรงจำของปลาหลิงน้อยเป็นอย่างแรกเพื่อคลี่คลายปริศนาเรื่องที่เฉิงอวี้หลับใหลไม่ได้สติเช่นกัน
เทพวารีมีความคิดละเอียดถี่ถ้วนเสมอมา เคราะห์ดีที่ตัวเขาเองก็ไม่ได้ประมาท ได้เตรียมการไว้พร้อมสรรพอยู่ก่อนแล้ว ไม่ว่าเหลียนซ่งจะตรวจสอบอย่างไร สุดท้ายน่าจะคาดเดาออกมาได้แค่ข้อสรุปว่า “เนื่องจากวิญญาณมนุษย์ดวงนั้นตื่นตระหนกหวาดกลัวมากเกินไป จึงได้ปิดผนึกขังตัวเองไว้” เท่านั้น
เหนือกึ่งกลางฟ้า เมฆทะมึนหนาทึบ อินหลินจ้องมองไปบนฟ้าตาไม่กะพริบ เห็นปลาหลิงน้อยตัวนั้นเอาแต่หมอบอยู่บนก้อนเมฆตัวสั่นงันงก อาจเป็นเพราะหวาดกลัวมากเกินไป หรือไม่ก็เจ็บปวดทรมานมากเกินไป
เหลียนซ่งหลุบตาลงมองดูปลาหลิงน้อยที่ขดตัวสั่นสะท้าน สีหน้าเย็นยะเยียบ ยกมือขวาขึ้น ทวนจี่เยว่ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ
ได้เห็นความเคลื่อนไหวของเหลียนซ่ง เหนือคลื่นสีขาวซึ่งขุนนางของทะเลอุดรกำลังคุกเข่ากันสลอนเกิดความปั่นป่วนขึ้นเล็กน้อย บุรุษซึ่งดูหน้าตาแล้วเหมือนเป็นคนในตระกูลเดียวกับอาอวี้เป็นอย่างมากสองสามคนนั้นได้ลุกขึ้นมา ล้มลุกคลุกคลานโถมตัวเข้าไปคุกเข่าลงตรงหน้าเหลียนซ่ง ปกป้องอาอวี้ไว้พลางร้องไห้คร่ำครวญ อ้อนวอนให้องค์เทพวารียกมืออันสูงส่งยั้งมือไว้ไมตรี
เหลียนซ่งยืนอย่างเย็นชาอยู่เบื้องหน้าบรรดาขุนนางที่คุกเข่าอยู่กับพื้นร้องขอความเมตตา บนใบหน้าอันเย็นยะเยียบมองแววกราดเกรี้ยวเป็นพิเศษไม่ออก แต่สายลมคลั่งที่แผดคำรามอยู่โดยรอบ พยับเมฆที่ม้วนตลบอยู่ใต้เท้า และเกลียวคลื่นขาวในทะเลที่กระหน่ำสูงถึงผืนฟ้า กลับกำลังบ่งบอกถึงโทสะของเทพวารีทั้งหมด
“ยกมืออันสูงส่ง ยั้งมือไว้ไมตรี?” แสงอันเย็นยะเยียบของทวนจี่เยว่กัดกินผู้คน เสียงของเทพวารีกล่าวได้ว่าราบเรียบ “วันนั้นตอนที่เจ้าหญิงผู้นี้ของเผ่าพวกเจ้าวางแผนลอบทำร้ายภรรยาของข้า ดูเหมือนไม่เคยคิดจะยกมืออันสูงส่ง ยั้งมือไว้ไมตรีเลยนี่”
ทั้งมิได้กล่าวอย่างเร่งร้อน และมิได้ทำสีหน้าดุดัน แต่นัยเย็นชาเหี้ยมเกรียมในคำพูดกลับทำให้ขุนนางซึ่งกำลังคุกเข่าทั้งหมดต่างรู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันทำให้หายใจไม่ออก แต่ละคนต่างหลั่งเหงื่อเย็นเยียบเปียกชุ่มชุดสองชั้นกันถ้วนหน้า
อาอวี้ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังพ่อและพี่ชายของนาง น้ำตาคลอเบ้า เหมือนหวาดกลัวสุดขีด
แต่เมื่อหวาดกลัวถึงขีดสุด กลับทำให้นางเกิดความกล้าขึ้นมา ในตอนที่ทุกคนต่างตัวสั่นสะท้านเงียบกริบเป็นทิวแถวนั่นเอง อาอวี้พลันระเบิดออกมา
“หม่อมฉันทำร้ายมนุษย์คนนั้นก็จริง แต่เดิมทีชีวิตมนุษย์ก็ต่ำต้อยดุจมดปลวกอยู่แล้ว ตามกฎของสวรรค์เก้าชั้นฟ้า หากเซียนสังหารมนุษย์ผู้หนึ่ง อย่างมากแค่ถูกลงโทษให้ต้องเจ็บตัวเล็กน้อยเท่านั้น แต่ถ้าฝ่าบาททรงฆ่าหม่อมฉัน กลับเป็นการละเมิดต่อกฎของสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ฝ่าบาทจะฆ่าหม่อมฉันไม่ได้นะเพคะ!”
ปลาหลิงวัยกลางคนที่ปกป้องอยู่ข้างหน้าอาอวี้เหมือนจะนึกไม่ถึงว่านางจะกล่าววาจาเช่นนี้ออกมา อดตวัดหลังมือตบใส่ไปหนึ่งฉาดไม่ได้ ตะคอกว่า “เจ้าลูกเนรคุณ ยังไม่หุบปากอีก!” แล้วหันมาโขกศีรษะขอโทษเหลียนซ่งซ้ำๆ อีกครั้ง
สายลมคลั่งแผดร้องอย่างกราดเกรี้ยว อานุภาพดุจภูตผีคร่ำครวญ หมู่เมฆ ณ กลางฟ้าถูกสายลมคลั่งฉีกกระชากเป็นชิ้นๆ หมู่เมฆหนาทึบตรงตำแหน่งที่เหลียนซ่งยืนอยู่ดำสนิทเสียจนแทบจะมีน้ำหมึกหยดลงมา
เทพวารีหนุ่มยืนนิ่งไม่ขยับอยู่ตรงนั้น มองไปยังปลาหลิงน้อยซึ่งมีสีหน้าขุ่นเคืองเอามือกุมแก้มที่ถูกตบ เอ่ยเสียงเรียบเฉย
“พูดถูกแล้ว จะฆ่าเจ้าไปทำไมกัน”
ได้ฟังถ้อยคำนี้ ปลาหลิงวัยกลางคนหน้าถอดสี ทว่าปลาหลิงน้อยกลับหลงนึกว่าข่มขู่เทพวารีได้สำเร็จ สีหน้าผุดแววดีใจ
อินหลินที่จับตาดูทั้งหมดนี้อย่างใกล้ชิดอดแอบบริภาษอยู่ในใจไม่ได้ว่า “ยายโง่นี่!”
ได้ยินเหลียนซ่งกล่าวต่อจริงๆ ว่า
“การตาย ใช่เรื่องน่ากลัวที่ไหนกัน การใช้ชีวิตอยู่ในแดนน้ำแข็งหมื่นปีไปตลอดกาล ไยมิใช่น่ากลัวยิ่งกว่าความตายนับร้อยพันเท่า?”
เทพวารีผู้เย็นชา ชุดขาวพลิ้วไสวงามสง่า บนใบหน้าของเขาปราศจากอารมณ์พลุ่งพล่านดาลเดือดใดๆ ตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ยามเอ่ยคำว่า “แดนน้ำแข็งหมื่นปี” ห้าพยางค์นี้ออกมา ก็เรื่อยเฉื่อยสบายอารมณ์อย่างยิ่งเช่นกัน ราวกับว่าสิ่งที่กล่าวหาใช่เรื่องใหญ่โตร้ายแรงอะไร แต่ห้าพยางค์นี้เองที่ทำให้ทุกคน ณ ที่นั้นต้องหน้าเปลี่ยนสีโดยพลัน
แดนน้ำแข็งหมื่นปี ณ ก้นทะเลอุดร หนาวเหน็บสุดขั้วตลอดทั้งปี หญ้าไม่ขึ้นแม้สักต้น สายลมเกล็ดน้ำค้างดุจดาบกระบี่ สี่ฤดูไม่หยุดพัก ขอเพียงมีเซียนคนใดไปอยู่ตรงนั้น จะต้องทนทุกข์ทรมานจากการถูกดาบน้ำแข็งฟันใส่ร่าง ศรน้ำแข็งทะลวงร่างตลอดทั้งวัน กลับไม่ถึงตายอีกเช่นกัน คือสถานที่ลงทัณฑ์ซึ่งชวนให้ได้ยินแล้วขวัญหนีดีฝ่อ
ต่อให้ปลาหลิงน้อยความรู้อ่อนด้อย ก็เคยได้ยินเรื่องสถานที่ซึ่งสำหรับเซียนทุกคนแล้ว ไม่ได้ต่างอะไรเลยกับฝันร้ายแห่งนี้มาก่อนเช่นกัน
เหลียนซ่งกุมทวนจี่เยว่ในแนวระนาบ ดันไปข้างหน้า ตัวทวนระเบิดแสงสีเงินบาดตาออกมา
ทุกคนยังไม่ทันได้ตั้งตัว แสงสีเงินก็ทะลุผ่านชั้นเมฆ ตรงมาถึงพื้นทะเลที่เกลียวคลื่นซัดซ่าอย่างบ้าคลั่ง ผ่าพื้นทะเลแยกออกเป็นวังน้ำวนขนาดยักษ์
ปลาหลิงน้อยเรียกสติกลับคืนมาได้ก่อนใคร หวาดผวาสุดเปรียบปาน กรีดร้องพลางถอยกรูดไปข้างหลัง น้ำของวังน้ำวนนั้นกลับสาดพุ่งขึ้นสู่ฟ้า แปรเป็นเชือกเส้นเรียวเล็กกลุ่มหนึ่งมัดพันตัวนางไว้อย่างแน่นหนา กระชากตัวนางลงมาจากก้อนเมฆอย่างฉับพลัน ปลาหลิงน้อยดิ้นรนอย่างแตกตื่นเสียขวัญ กรีดร้องไม่ได้หยุด แต่น้ำไหลเชี่ยวกราก ชั่วอึดใจเดียว เสียงกรีดร้องของนางก็จมลับดับหายไปท่ามกลางวังน้ำวน
เห็นคาตาว่าปลาหลิงน้อยถูกกระแสน้ำวนม้วนจากไป พ่อและพี่ชายของปลาหลิงน้อยนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นอย่างหม่นหมอง พวกเขาเป็นขุนนางของทะเลอุดร ไม่อาจขัดคำสั่งกษัตริย์ของตนได้ ดังนั้นจึงไม่กล้าเข้าไปช่วยปลาหลิงน้อย ได้แต่น้ำตาไหลเบิ่งตามองดูนางลับหายไปกับก้นของน้ำวนนั้น
ปลาหลิงน้อยหายไปแล้ว วังน้ำวนได้หายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน ท้องทะเลประดุจสัตว์หิวโหยที่ได้รับการโยนอาหารป้อน หายโกรธเกรี้ยวเพราะอิ่มท้อง เกลียวคลื่นหยุดปั่นป่วนคลุ้มคลั่ง แม้จะยังคงโหมซัด แต่เทียบกับเมื่อครู่นี้แล้ว ได้สงบลงอย่างมากโดยแท้
ทะเลอุดรมิได้ง่อนแง่นแทบจะล้มคว่ำอีก กลางผืนฟ้า หมู่เมฆดำก็มิได้กดทับเหนือศีรษะอีก แม้ผืนฟ้าท้องทะเลจะยังคงดำมืดอยู่ดังเดิม กลับมิได้มีลักษณะเช่นวันโลกาวินาศอีก ลักษณ์ฟ้าเช่นนี้ ราวกับว่าในที่สุดโทสะของเทพวารีก็สงบลง กระนั้นอินหลินกลับทราบดีว่า ที่ผืนฟ้าปรากฏลักษณ์ดังนี้ มิได้หมายความว่าการลงทัณฑ์ที่ปลาหลิงได้รับช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของเทพวารี ทำให้โทสะของเขาสงบลง นี่ก็แค่เป็นเพราะว่าในที่สุดเทพวารีก็ตระหนักแล้วว่า ตัวเขาที่โกรธเกรี้ยวสุดขีดได้สร้างหายนะให้แก่ทั่วทั้งทะเลอุดรโดยมิได้เจตนา จึงยั้งมือไว้ทันท่วงทีหลังจากที่สติหวนคืนมาก็เท่านั้น
ถึงแม้อินหลินจะไม่ได้สนิทสนมคุ้นเคยกับเหลียนซ่ง แต่เขาก็เคยมีประสบการณ์ที่ฝังใจเช่นกัน ย่อมจะเข้าใจดีว่าความเจ็บปวดภายในใจของเหลียนซ่งไม่มีวิธีที่จะลบเลือนได้ ต่อให้กักขังปลาหลิงน้อยไว้ในแดนน้ำแข็งหมื่นปี แล้วอย่างไรเล่า “เฉิงอวี้” ไม่มีทางฟื้นตื่นขึ้นมาเพราะเหตุนี้สักหน่อย
อินหลินแหงนหน้ามองเทพวารีหนุ่มที่ยืนเงียบงันอยู่กลางอากาศ ชายหนุ่มชุดขาวผู้นั้นเพียงแค่ปรายตามองพื้นทะเลที่กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งผ่านๆ แล้วเบนสายตาหนีเหมือนเบื่อหน่ายชิงชังทุกสิ่งตรงหน้าถึงขีดสุด อุ้ม “เฉิงอวี้” ขึ้นมาจากพัดสยบภัยพิบัติด้วยสีหน้าเรียบสนิท ยกมือเก็บพัด แล้วทำท่าจะจากไป แต่ในจังหวะนี้เอง เซียนชุดผาวฟ้าผู้หนึ่งได้เหยียบก้อนเมฆรีบร้อนมุ่งตรงมา ปากรีบร้องเรียกว่า
“น้องสามชะงักเท้า”
ผู้ที่สามารถเรียกเหลียนซ่งว่า “น้องสาม” ได้ ในแปดดินแดนมีแค่สองคน ท่านหนึ่งคือพี่ชายใหญ่ของเขา...โอรสองค์โตของเทียนจวิน อีกท่านคือพี่ชายรองของเขา...โอรสองค์รองของเทียนจวิน
ผู้มารูปงามคมคาย ก็คือโอรสองค์รองของเทียนจวิน ซางจี๋ เจ้าวารีแห่งทะเลอุดรนั่นเอง
เหลียนซ่งชะงักเท้า
ซางจี๋มาถึงตรงหน้า สายตากวาดผ่านในอ้อมแขนของเหลียนซ่ง ถอนหายใจเบาๆ
“เรื่องของเจ้าหญิงเผ่าปลาหลิงนั่น ข้าได้ยินมาแล้ว นางมีความผิดจริงแท้ แต่ทวยราษฎร์ของทะเลอุดรมีความผิดใดกัน เจ้าทำให้ทะเลอุดรปั่นป่วนไปหมดเพื่อมนุษย์เพียงคนเดียว” นวดขมับเหมือนรู้สึกว่าช่างจัดการได้ยากนักกระนั้น “เรื่องนี้ฟู่จวินต้องรู้เข้าในไม่ช้า ถึงเวลานั้นต้องลงทัณฑ์อย่างแน่นอน แม้ฟู่จวินจะรักและตามใจเจ้า แต่เรื่องที่เกี่ยวพันถึงสตรี...” เขาถอนหายใจยาวเหยียด “เจ้าไปขอขมาโทษที่ตำหนักหลิงเซียวด้วยกันกับข้าจะดีกว่า หากปล่อยให้ใครอื่นชิงกราบทูลเรื่องนี้ก่อน ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะแต่งเรื่องกล่าวหาอย่างไรต่อหน้าฟู่จวินแล้ว” แล้วมอง “เฉิงอวี้” ที่ถูกเหลียนซ่งอุ้มไว้แนบอกปกป้องอย่างแน่นหนา เกลี้ยกล่อมว่า “แปดดินแดนแห่งนี้มิใช่สถานที่ซึ่งมนุษย์สมควรมา นางมาจากที่ใด เจ้าก็ควรปล่อยนางกลับไปที่นั้นเสีย การที่เซียนกับมนุษย์รักกันเป็นการละเมิดกฎสวรรค์ เจ้าอย่าได้ผิดซ้ำผิดซ้อนเทียวนะ”
เดิมทีเหลียนซ่งเพียงแค่หลุบตานิ่งฟัง ฟังถึงตรงนี้ กลับเหลือบตาขึ้นยิ้ม ในรอยยิ้มมองไม่เห็นความอบอุ่น
“วันนี้พี่รองมาตักเตือนข้าเช่นนี้ได้ แล้วเหตุใดเมื่อยี่สิบแปดปีก่อนถึงไม่ให้งูปาเสอน้อยนั่นมาจากที่ใด ก็กลับไปที่นั้นกันเล่า?”
ซางจี๋ตกตะลึง
“การที่ส้าวซินอยู่กับข้า หาได้ละเมิดกฎสวรรค์ แต่มนุษย์ผู้นี้...”
เหลียนซ่งเอ่ยเสียงเรียบ
“ต่างเป็นการสมรสที่ไม่ได้รับการยอมรับจากเทียนจวินทั้งคู่ จะมาแบ่งสูงต่ำไปไย?”
ใบหน้าซางจี๋แดงก่ำทันที “ถึงจะบอกว่า...” คิดจะกล่าวเถียง แต่กลับเถียงไม่ออก จึงใบ้เบื้อไปชั่วขณะ
เหลียนซ่งยังคงดูเฉยชาเช่นเดิม ราวกับไม่ได้สังเกตว่าถ้อยคำไม่ไว้หน้าเมื่อครู่นี้เหล่านั้นทำให้ซางจี๋หน้าม้านมากเพียงใด หลังจากจ้องหน้าซางจี๋เขม็งอยู่ครู่หนึ่ง พลันกล่าวอย่างปุบปับ
“ความจริงแล้ว ข้าออกจะอิจฉาพี่รองอยู่บ้าง”
ซางจี๋ตกตะลึง “อิจฉาข้า?”
เหลียนซ่งเบนสายตาหนี มองไปยังท้องฟ้าไกล เงียบไปครู่หนึ่ง ค่อยกล่าวว่า
“ยี่สิบแปดปีก่อน พี่รองกล้าตัดสินใจตามอำเภอใจถอนหมั้นกับชิงชิว ทั้งยังพางูปาเสอน้อยนั่นขึ้นไปบนสวรรค์แสดงท่าทีรักใคร่โปรดปรานถึงขีดสุด เป็นเพราะถือดีว่าฟู่จวินลำเอียงรักท่าน ท่านคิดว่าแค่เรื่องเล็กน้อยอย่างการแต่งงานของบุตรธิดา ขอเพียงท่านแสดงให้เห็นถึงเจตนาที่หนักแน่นมั่นคง ต่อให้ฟู่จวินไม่อนุญาตในตอนนั้น แต่สุดท้ายจะเป็นไปตามที่ท่านต้องการอยู่ดี ข้าทายถูกหรือไม่?”
ซางจี๋หลับตาลง “เจ้า...พูดถึงเรื่องนี้อีกไปทำไมกัน? ตอนนั้นข้าคิดน้อยเกินไปเอง หากรู้ว่าฟู่จวินชิงชังส้าวซินมากปานนั้น บางทีข้าอาจจะ...” ถอนหายใจยาว แฝงอารมณ์นึกแค้นใจตัวเอง “ป่านนี้แล้วมาพูดถึงเรื่องเหล่านี้อีกจะไปมีประโยชน์อะไร สุดท้ายข้าเองที่คิดพลาดไป ทำให้ส้าวซินต้องลำบากอย่างมาก ยิ่งทำให้ฉางอีต้อง...” เอ่ยถึงตรงนี้ก็ไม่มีแรงจะพูดต่อ นิ่งเงียบไปทันที
เหลียนซ่งก็นิ่งเงียบไปชั่วครู่เช่นกัน ชั่วครู่ให้หลังเขากล่าวว่า
“ก่อนหน้านี้ ความจริงแล้วข้าค่อนข้างจะดูแคลนวิธีจัดการเรื่องนี้ของพี่รอง รู้สึกเพียงตอนแรกท่านไร้เดียงสาเกินไป ต่อมาก็วู่วามเกินไป”
ซางจี๋ยิ้มเจื่อน “ไร้เดียงสา วู่วาม เจ้าพูดถูกแล้วละ ข้านึกเสียใจมาไม่น้อยกว่าหนึ่งครั้ง หากตอนนั้นข้าระมัดระวังรอบคอบมากกว่านั้นสักหน่อย...”
เหลียนซ่งกลับตัดบทเขาว่า “ไม่มีประโยชน์”
ซางจี๋ตะลึงงัน เหมือนได้ยินที่น้องชายพูดไม่ถนัด
“เจ้าว่าอะไรนะ?”
เหลียนซ่งกล่าวประโยคนั้นซ้ำอีกรอบ
“ไม่มีประโยชน์” เขาหัวเราะออกมา แฝงอารมณ์เย้ยหยันและประชดประชัน ราวกับกำลังหัวเราะเยาะตัวเขาเอง “ตัวข้าหลงนึกว่าถือพี่รองเป็นบทเรียน ขบคิดทุกเรื่องอย่างละเอียดรอบคอบที่สุดแล้ว แต่ขบคิดอย่างรอบคอบมากแค่ไหนจะไปมีประโยชน์อะไรเล่า อย่างไรก็ป้องกันไม่หวาดไม่ไหวอยู่ดี” เขาหลุบตาลงมองหญิงสาวในอ้อมแขน “บางทีการไร้เดียงสาและวู่วามสักหน่อย กลับยังดีเสียอีก หากข้าเดินในอีกเส้นทางมาตั้งแต่แรก เหมือนที่พี่รองปกป้องงูปาเสอตัวนั้นในตอนนั้น ไม่ห่างแม้สักก้าว ปกป้องนางอย่างวู่วามและไร้เดียงสาเช่นกัน บางทีเวลานี้นางอาจจะไม่ถึงกับนอนอยู่ในอ้อมแขนข้าอย่างไร้สุ้มเสียงแบบนี้”
ซางจี๋กล่าวอย่างตะลึงลาน “เจ้า...”
เหลียนซ่งเงยหน้าขึ้น ใบหน้าปราศจากอารมณ์ใดๆ
“ข้าขอไม่ไปตำหนักหลิงเซียวละ” เขามองหน้าซางจี๋ “การสร้างหายนะแก่ทะเลอุดรโดยไร้เหตุผลครั้งนี้ เป็นความผิดพลาดของข้าเอง ข้าไม่คู่ควรกับการเป็นเทพวารีแห่งสี่ทะเลอีก พี่รองจงช่วยกราบทูลต่อเทียนจวินแทนข้า ให้เลือกเฟ้นผู้มีความสามารถท่านอื่นมารับตำแหน่ง ‘เทพวารี’ นี้เถิด ส่วนโทษทัณฑ์ที่ข้าสมควรได้รับนั้น รอจนข้าเสาะหาวิธีปลุกอาอวี้ให้ฟื้นตื่นได้แล้ว ย่อมจะกลับสวรรค์ไปหาเทียนจวินเพื่อขอรับโทษเอง” กล่าวจบ ได้หมุนตัวไปอย่างตัดสินใจเด็ดขาด
ซางจี๋สะท้านเฮือก จับความได้อย่างรวดเร็ว สืบเท้าพรวดไปกุมแขนของเหลียนซ่งไว้ในจังหวะที่เขาหมุนตัวไป
“จ-เจ้าจะจากไป?” เขาทั้งตกใจและหวาดหวั่น ห้ามใจไม่อยู่ มือบีบโดยแรง เอ่ยเตือนสติด้วยน้ำเสียงเร่งร้อน “ยังจำสัญญาพนันระหว่างเจ้ากับฟู่จวินได้หรือไม่? เรื่องฉีกแผ่นดินสร้างทะเลนั่น ยังพอจะแก้ตัวได้ว่าเจ้าเพียงแค่ถูกรูปโฉมของมนุษย์ผู้นี้ล่อลวง จึงกระทำเรื่องเหลวไหลลงไปเท่านั้น หาได้เปลี่ยนใจจากฉางอี แต่หากว่าเจ้าทิ้งตำแหน่งจากไป ไยมิใช่เป็นการบอกกล่าวต่อฟู่จวินอย่างชัดเจนว่าเจ้าแพ้สัญญาพนันกับท่านแล้ว? เช่นนี้ไยมิใช่ทำให้ฉางอีไม่สามารถกลับคืนสู่สวรรค์เก้าชั้นฟ้าได้อีก...”
กล่าวถึงตรงนี้ คงจะรู้สึกตัวว่าจุดประสงค์ของคำพูดเหล่านี้ชัดเจนเกินไป กระแอมหนึ่งที กลบเกลื่อนว่า
“ต่อให้...ต่อให้เจ้าไม่สนใจว่าฉางอีจะหวนคืนสู่ตำแหน่งกลับมาเป็นเซียนอีกครั้งได้หรือไม่ แต่อย่างไรก็ควรจะกล้าพนันก็กล้าแพ้ ทำตามที่สัญญาไว้ไปยังเบื้องพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าแห่งสวรรค์ประจิมบำเพ็ญภาวนาเป็นเวลาเจ็ดร้อยปี จากนั้นรับช่วงตำแหน่ง ‘ขุนพลเทพพิทักษ์เผ่า’ สิ จะมาพูดแล้วกลับคำ จากไปทั้งอย่างนี้ได้อย่างไร?”
เหลียนซ่งมองแขนที่ถูกซางจี๋คว้าไว้ ยกขึ้นนิดๆ ซางจี๋คลายมือ
“กล้าพนันก็กล้าแพ้?” เหลียนซ่งเหมือนไม่แยแสสนใจโดยสิ้นเชิง “ข้าทำตัวเหลวไหลเสมอมาอยู่แล้ว ต่อให้พูดแล้วกลับคำ เทียนจวินก็น่าจะชินแล้วละ ส่วน ‘ขุนพลเทพพิทักษ์เผ่า’” สายตาของเขาตกลงจับยังหญิงสาวในอ้อมแขน ทอดเสียงเบาลง ราวกับแฝงนัยประชด และราวกับว่างโหวงอย่างยิ่ง “กระทั่งคนคนเดียวข้ายังปกป้องไว้ไม่ได้ แล้วจะไปปกป้องเผ่าเทพทั้งเผ่าได้อย่างไร?”
ซางจี๋หน้าเจื่อน พูดไม่ออกทันที
เหลียนซ่งไม่ได้มองซางจี๋อีก กอด “เฉิงอวี้” แน่น หมุนตัวจากไป
ซางจี๋ไม่ได้พยายามรั้งไว้อีก ยืนอยู่บนเมฆด้วยสีหน้าตะลึงลาน มองดูเงาหลังของเหลียนซ่งที่เหินลมจากไปไกล พลันเร่งก้าวเร็วๆ ไปข้างหน้าสองสามก้าว ราวกับคิดจะไล่ตามไป แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใด สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ไล่ตามไป
พร้อมกับการจากไปของเหลียนซ่ง เมฆดำทะมึนเหนือทะเลอุดรได้สลายตัว สายลมคลั่งค่อยๆ หยุดพัด คลื่นยักษ์ที่กระหน่ำซัดไม่มีพักเองก็พลอยสงบลงตามไปด้วย ราวกับว่าวันนี้เทพวารีไม่เคยปรากฏกาย และท้องทะเลอันเวิ้งว้างไพศาลแห่งนี้ก็สงบนิ่งเป็นมิตรเช่นนี้มาโดยตลอด
นั่นคือครั้งสุดท้ายที่อินหลินได้เห็นเหลียนซ่ง
เทพวารีแห่งสี่ทะเลกลับทิ้งตำแหน่งจากไปเพื่อหญิงมนุษย์ผู้หนึ่ง หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป จะต้องสะท้านสะเทือนแปดดินแดนอย่างแน่นอน แต่อินหลินจับตาดูมาสามวัน กลับพบว่าในแปดดินแดนหาได้มีข่าวลือเรื่องเทพวารีหนีออกจากบ้านเพื่อหญิงมนุษย์ผู้หนึ่งแต่อย่างใด เขาคาดว่าน่าจะเพราะเทียนจวินสั่งให้ปิดเรื่องนี้ไว้ด้วยความรักเอ็นดูบุตรคนเล็ก
เสว่อี้แฝงกายเข้าไปลองสืบข่าวในสวรรค์เก้าชั้นฟ้าเป็นการส่วนตัว บอกว่ายามบ่ายของวันที่เหลียนซ่งหนีออกจากบ้าน ซางจี๋ก็ได้ขึ้นไปเข้าเฝ้าเทียนจวินบนสวรรค์ กระนั้นภายในห้องทรงงานกลับไม่มีเสียงความเคลื่อนไหวอันบ่งบอกว่าเทียนจวินกริ้วจัดแต่อย่างใด กลายเป็นว่าหลังจากซางจี๋ออกมาแล้ว สีหน้าค่อนข้างจะสับสนงุนงง และรอจนซางจี๋จากไปแล้ว เทียนจวินได้ตรงไปที่วังมหาอรุณทันที จากนั้นมหาเทพตงหัวที่หากไม่มีเรื่อง จะไม่มีทางออกไปจากสวรรค์โดยเด็ดขาด ก็ออกไปจากประตูสวรรค์ทักษิณ ตรงไปยังป่าท้อสิบหลี่ของเจ๋อเหยียนซ่างเสิน
จากข่าวที่เสว่อี้นำกลับมา อินหลินสันนิษฐานว่าเหลียนซ่งน่าจะไปที่ป่าท้อสิบหลี่เพื่อขอให้เจ๋อเหยียนซ่างเสินช่วยรักษาเฉิงอวี้ ส่วนมหาเทพตงหัวรับการไหว้วานจากเทียนจวินไปพาตัวเหลียนซ่งกลับ
ในตอนแรกที่วางกับดักเหลียนซ่ง อินหลินเคยคิดไว้แล้วว่า ต่อให้แผนการนี้ประณีตเลิศล้ำ สามารถหลอกตบตาคนทั่วหล้าได้ แต่เกรงว่าคงไม่อาจตบตาพระพุทธเจ้าแห่งสวรรค์ประจิมกับมหาเทพตงหัวแห่งวังมหาอรุณ ณ สวรรค์ชั้นสิบสามได้ กระนั้นนึกถึงว่าสองท่านนี้ต่างเป็นเทพที่ไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน เพลานั้นอินหลินนึกลังเลอยู่ชั่ววูบ สุดท้ายยังคงเลือกที่จะวางกับดักนี้อยู่ดี เป็นเพราะเขารู้สึกว่าต่อให้มองกับดักนี้ออกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธองค์หรือองค์มหาเทพ ก็ไม่มีทางสอดมือเข้ายุ่งกับเรื่องนี้อยู่ดี
แต่บัดนี้มองดูท่าทีของมหาเทพตงหัว กลับทำให้อินหลินรู้สึกสังหรณ์ร้ายขึ้นมารำไร
อินหลินมิได้กังวลโดยใช่เหตุ จริงดังคาด คืนวันนั้น มหาเทพตงหัวก็ได้บุกฝ่าเข้าสู่บึงมัชฌิม
มหาเทพทะลวงผ่านมหาข่ายมนตร์เจ็ดชั้นที่พิทักษ์ป้องกันบึงมัชฌิมอย่างไร้รอยขีดข่วน ปรากฏกายขึ้นยังกูเหยา อนุญาตให้อินหลินเว้นจากการคุกเข่าถวายบังคม เอ่ยถามอินหลินตรงๆ อย่างเปิดอก
“มนุษย์เฉิงอวี้นั่น ก็คือจู่ถีกระมัง?”
อินหลินฝืนข่มใจให้สงบ
“คำตรัสของตี้จวิน อภัยที่เสี่ยวเสินไม่อาจฟังเข้าใจได้พ่ะย่ะค่ะ...”
มหาเทพขมวดคิ้ว “วิญญาณภายในคราบร่างของมนุษย์ผู้นั้นคือวิญญาณใหม่ ในโลกหล้ามีเทพที่สามารถสร้างวิญญาณใหม่ของมนุษย์ได้อยู่แค่ไม่กี่ราย ที่เหลืออยู่ในแปดดินแดนในปัจจุบัน มีแค่ซีลั่วแห่งสวรรค์ประจิม เปิ่นจวิน บวกกับจู่ถีที่เพิ่งจะหวนกลับมาก็หลับใหลไปเสียแล้วอีกหนึ่งราย ในเมื่อวิญญาณนี้ ทั้งซีลั่วและเปิ่นจวินไม่ได้เป็นคนสร้าง ผู้ที่สร้างย่อมจะเป็นจู่ถี” หยุดเล็กน้อย “ร่างมนุษย์นั่นก็สร้างได้ประณีตนักเช่นกัน เปิ่นจวินลองใส่วิญญาณของเซียนดวงหนึ่งลงไปในร่างมนุษย์นั่น มันกลับสามารถทำให้วิญญาณของเซียนที่สิงสู่อยู่ภายในเร้นหายไร้ร่องรอย หากว่าจู่ถีหวนคืนมาภายในร่างมนุษย์เช่นนี้ เกรงว่าเปิ่นจวินได้พบนาง ก็มีแต่จะหลงนึกว่านางคือมนุษย์ผู้หนึ่งเท่านั้น” มองดูอินหลินอย่างเรียบเฉย “ยังจะพูดว่าฟังไม่เข้าใจว่าเปิ่นจวินกำลังพูดอะไรอีกหรือไม่?”
เหงื่อผุดซึมบนหน้าผากอินหลิน ทราบดีว่าไม่อาจปิดบังต่อไปได้อีก ได้แต่ประสานมือคารวะ
“ตี้จวินสมแล้วที่เป็นประมุขแห่งฟ้าดินพ่ะย่ะค่ะ เห็นหนึ่งจุดด่างทราบเสือดาวเต็มร่าง จะเรื่องใดล้วนไม่อาจปิดบังพระองค์ได้”
มหาเทพยกแขนเสื้อขึ้น เนรมิตโต๊ะน้ำชาขึ้นหนึ่งตัว ทรุดนั่งลง แล้วแสดงท่าทีให้เขานั่ง
“ส้าวหว่านเคยบอกเปิ่นจวินว่า จู่ถีกับเทพวารีที่ยังไม่ถือกำเนิดมีความเกี่ยวพันกัน เพลานั้นเปิ่นจวินยังไม่รู้ว่าถ้อยคำนี้หมายความว่าอย่างไร” ชงชาไปพลางเอ่ยต่อไปพลาง “แน่นอน เปิ่นจวินก็มิได้สนใจอยากรู้เช่นกัน แต่มาลองคิดดูในตอนนี้ จะต้องเป็นจู่ถีเคยเห็นล่วงหน้าว่ามีวาสนาผูกพันกับเทพวารีเป็นแน่ ใช่หรือไม่?”
อินหลินได้แต่ยิ้มเจื่อน
“ในเมื่อตี้จวินทรงทายได้ถึงขั้นนี้แล้ว เช่นนั้นเสี่ยวเสินยังจะมีอะไรให้กล่าวได้อีก”
มหาเทพเอ่ยเรียบเรื่อย “เจ้าย่อมจะยังมีสิ่งที่กล่าวได้อยู่แน่ละ เป็นต้นว่าเปิ่นจวินไม่ค่อยเข้าใจนักว่า จู่ถีก็คือมนุษย์เฉิงอวี้นั่น แต่เหตุใดนางถึงได้ปิดบังเหลียนซ่งเรื่องนี้ แล้วกลับสร้างวิญญาณใหม่อีกดวงให้เขา สร้างเฉิงอวี้อีกคนไปหลอกลวงเขา?” มหาเทพหลุบตาลง ใช้ช้อนตักใบชาตวงใบชา “เปิ่นจวินรู้ว่าจู่ถีไร้อารมณ์ทั้งเจ็ดและไร้กิเลสทางอายตนะทั้งหก มีเทวอาตมันที่ปราศจากมลทินโดยสิ้นเชิง” แย้มยิ้ม “คงไม่ถึงกับว่าหลังจากนางหวนคืนมาแล้ว ก็ไม่ยอมรับชาติที่เป็นมนุษย์นั่นอีก มองว่าบุพเพสันนิวาสของชาติภพนั้นทำให้เทวอาตมันที่ไร้กิเลสตัณหา สมบูรณ์แบบไร้ที่ติของนางต้องแปดเปื้อนกระมัง?”
อินหลินยิ้มจืดเจื่อนอีกครั้ง
“ย่อมจะมิใช่เช่นนั้นอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ตั้งสติเล็กน้อย มองไปยังเทพเคารพเกศาเงินผู้ซึ่งชงชาด้วยท่าทีเรียบเฉย
“ในเมื่อตี้จวินเสด็จมาตรัสถามถึงความจริงยังกูเหยาด้วยพระองค์เอง เช่นนั้นโปรดอภัยที่เสี่ยวเสินขอบังอาจคาดเดา ว่าตี้จวินน่าจะยังมิได้ตรัสบอกเรื่องที่เฉิงอวี้ก็คือจุนซั่งต่อเทพวารี” เขาเอ่ยขอร้องเสียงต่ำ “เสี่ยวเสินสามารถบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดต่อตี้จวินได้ แต่ขอตี้จวินโปรดช่วยรักษาความลับนี้แทนกูเหยา อย่าบอกเรื่องนี้ให้เทพวารีทราบไปตลอดกาลด้วยเถิด นี่คือความต้องการของจุนซั่ง และเป็นการ...หวังดีต่อเทพวารีด้วยเช่นกัน”
มหาเทพมองหน้าเขาแวบหนึ่ง แบ่งชาที่ชงเสร็จไปให้เขาหนึ่งจอก “เจ้าลองว่ามาดูเถิด”
อินหลินหลุบคิ้วขบคิดอยู่ชั่วครู่ ถอนหายใจเสียงต่ำ
“จุนซั่ง อาภัพมาก...”
เปิดมาด้วยคำนี้ แล้วบอกเล่าบรรยายให้มหาเทพทราบเป็นฉากๆ หมดทุกเรื่อง ทั้งเรื่องวาสนาผูกพันระหว่างจู่ถีกับเทพวารี การเกิดใหม่สิบเจ็ดครั้งของจู่ถี อดีตของเฉิงอวี้กับเหลียนซ่ง ตลอดจนด่านเคราะห์ครั้งใหญ่ของฟ้าดินในอีกสามหมื่นปีให้หลังซึ่งจู่ถีมองเห็นล่วงหน้าหลังจากหวนคืน และความจำเป็นที่ทำให้นางต้องสร้างวิญญาณดวงใหม่นั้นอย่างไร้ทางเลือก
มหาเทพฟังที่มาที่ไปจบ สีหน้าได้เคร่งเครียดอย่างหาได้ยาก เอ่ยถามเขาเกี่ยวกับเรื่องด่านเคราะห์ครั้งใหญ่ของฟ้าดินนั่น
หลังจากนิ่งเงียบไปกึ่งอึดใจ มหาเทพได้ตอบรับคำขอร้องของเขา
“เปิ่นจวินรับปากเจ้า ว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้แก่เหลียนซ่ง แต่ความจริงวิธีการของจู่ถีไม่ใคร่เหมาะสมนัก การสร้างมนุษย์คนหนึ่งให้เหลียนซ่งเพื่อไปสานต่อวาสนาก่อนหน้านั้นกับเขา แม้จะกล่าวได้เช่นกันว่าเป็นการหวังดีต่อเขา แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นการหลอกลวงอย่างหนึ่ง”
เขาขมวดคิ้วบางๆ “ในเมื่อจู่ถีได้ลอกความทรงจำช่วงนั้นออกไป ตัดใจละทิ้งวาสนารักนี้แล้ว เช่นนั้นพวกเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองความพยายามมาสร้างภาพฝันลวงตาให้เหลียนซ่งอีก อย่าว่าแต่บัดนี้ภาพฝันนี้ก็เป็นแค่ภาพฝันลวงตาที่ทำให้เขาต้องสิ้นหวังและเจ็บปวดเท่านั้น”
เอ่ยถึงตรงนี้ มหาเทพนิ่งเงียบไปชั่วครู่สั้นๆ สุดท้ายกล่าวว่า
“ในเมื่อรัศมีเทพได้ย้อนกลับไปเป็นรัศมีเทพผู้ไม่เคยมีความรักมาก่อนคนนั้นไปแล้ว ก็ให้เทพวารีได้กลายเป็นเทพวารีผู้เริงเล่นโลกหล้าคนนั้นอีกครั้งเหมือนกันเถิด เช่นนี้จะเป็นการดีต่อทั้งสองฝ่าย”
อินหลินตกตะลึง พอจะเข้าใจเจตนาของมหาเทพได้รำไร แต่ก็ไม่ใคร่มั่นใจนักเช่นกัน เลียบเคียงถามว่า
“ความหมายของตี้จวินคือ...”
มหาเทพได้เก็บโต๊ะน้ำชาลุกขึ้นยืน กล่าวเสียงเรียบ
“เปิ่นจวินจะสร้างความทรงจำใหม่ให้เทพวารี ทำให้เขาลืม ‘มนุษย์เฉิงอวี้’ นั่นไปเสีย” แล้วมองหน้าอินหลิน “พวกเจ้าจงทุ่มเทจิตใจเฝ้าพิทักษ์จู่ถีอยู่ที่นี่ รอจนนางตื่นแล้ว เปิ่นจวินค่อยมาเยี่ยมนางที่กูเหยา”
จากนั้นมหาเทพได้ลาจากไป
หลังจากนั้นเสว่อี้ได้ไปสืบข่าวที่สวรรค์เก้าชั้นฟ้าอีกครั้ง กลับมาบอกเขาว่า หลายวันมานี้เจ๋อเหยียนไม่ได้อยู่ที่ป่าท้อสิบหลี่ เหลียนซ่งซึ่งรออยู่ที่ป่าท้อถูกมหาเทพพาตัวกลับสวรรค์ไปแล้ว หลังจากกลับไปสวรรค์ได้ไม่นาน เหลียนซ่งได้ติดตามมหาเทพมุ่งหน้าไปปิดด่านเก็บตัวยังทะเลมรกตแห่งชางหลิง
หลายพันปีหลังจากนั้น คนทั้งสองต่างไร้ซึ่งข่าวคราว
หลังจากนั้นมาอีก อินหลินนำพาเทพบริวารทั้งสามปลีกวิเวกโดยสิ้นเชิง ณ บึงมัชฌิม ทุ่มเทเฝ้าจู่ถีเพียงอย่างเดียว ไม่ข้องแวะกับเรื่องภายนอกอีก และไม่ได้ยินข่าวคราวจากโลกภายนอกอีก
จวบจนสองหมื่นกว่าปีให้หลังในวันนี้ เพื่อเรื่องสุนัขสวรรค์สีชาด เขากับจาวซีได้เดินออกมาจากบึงมัชฌิมอีกหน มาถึงภูเขาปอจ่งแห่งนี้ จึงค่อยได้พบเจอเทพวารีที่ดูเหมือนได้ลืมเลือนทุกสิ่งไปแล้วอีกครั้ง
นี่คือฉากจบที่ดีที่สุดแล้ว
เขาถอนหายใจเบาๆ อยู่ในใจ จากนั้นหันกายไปกล่าวกับจาวซี
“พวกเราเองก็ไปกันเถอะ”
คนทั้งสองได้ไปจากเขาปอจ่งอย่างเงียบงันตามเส้นทางที่เป็นตรงกันข้ามกับกลุ่มของเทพวารีโดยสิ้นเชิง
<>::<>::<>::<>::<>::<>