บทที่สอง
หลังจากนั้นมา ได้ผ่านไปอีกสองพันห้าร้อยห้าสิบเจ็ดปี ก็ถึงปีที่จู่ถีหลับใหลเป็นปีที่สองหมื่นเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบสามปี
ก่อนจะหลับใหล จู่ถีเคยบอกไว้ว่า สามหมื่นปีให้หลัง นางย่อมจะฟื้นตื่นขึ้นพร้อมกับที่ด่านเคราะห์ครั้งใหญ่ซึ่งจะพลิกคว่ำสี่ทะเล ทำลายล้างแปดดินแดนมาเยือน บัดนี้ ห่างจากเวลาสามหมื่นปีที่นางบอกอีกเพียงแค่เจ็ดปี เวลาใกล้เข้ามาอย่างมากแล้ว
เนื่องจากเมื่อตอนที่กล่าวคำพยากรณ์ออกมา จู่ถีมิได้มองเห็นว่าด่านเคราะห์ครั้งใหญ่นั้นเกิดขึ้นจากสาเหตุใด ด้วยเหตุนี้เหล่าเทพบริวารของกูเหยาเองก็ไม่ทราบอะไรเลยเช่นกัน หลายปีมานี้เพียงอยู่เฝ้าที่กูเหยา เป็นฝ่ายรอคอยให้วันแห่งคำพยากรณ์นั้นมาถึงสถานเดียว โดยไม่สามารถทำอะไรอย่างอื่นมากไปกว่านี้ได้ กระนั้นสองหมื่นกว่าเกือบสามหมื่นปีมานี้ ภายในแปดดินแดนกลับมิได้เกิดเรื่องใหญ่โตใดที่อาจจะเกี่ยวข้องกับด่านเคราะห์ครั้งใหญ่นั้นขึ้นเลย
ในฐานะที่เป็นเทพบริวาร ย่อมไม่มีทางที่จะนึกสงสัยต่อคำพยากรณ์ของเสินจู่ได้ ในฐานะหัวหน้าของเทพบริวารทั้งสี่ การวินิจฉัยของอินหลินคือ ในเมื่อกำหนดเวลาสามหมื่นปีใกล้จะมาถึง เช่นนั้นก็น่าจะได้เวลาที่ด่านเคราะห์ครั้งใหญ่จะเผยร่องรอยออกมาแล้วเช่นกัน ถึงแม้ดูเผินๆ แปดดินแดนจะไร้เรื่องราวใด แต่จะทราบได้อย่างไรว่าไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในที่ลับ?
พลังในการเคลื่อนไหวของอินหลินแข็งแกร่งมาก หลังจากวิเคราะห์ออกมาเช่นนี้ได้ไม่นาน ก็ทยอยสั่งการให้เทพบริวารทั้งสามลงจากเขา ให้พวกเขาแทรกซึมเข้าสู่แต่ละเผ่า สืบข่าวเรื่องผิดปกติภายในแปดดินแดน
ไม่ทราบเช่นกันว่าลางสังหรณ์ของอินหลินแม่นยำหรือเขาดวงดี ในเดือนถัดมาหลังจากที่เทพบริวารทั้งสามทยอยกันลงจากเขา ภายในแปดดินแดนก็เกิดเรื่องใหญ่ที่ทำให้สี่ทะเลต่างหวาดผวา ทั่วฟ้าดินต่างสั่นสะท้านขึ้น...ชิ่งเจียง ราชามารแห่งความมืดซึ่งหายสาบสูญมาสองแสนสี่หมื่นกว่าปี ได้หวนกลับมาแล้ว
ครั้นข่าวนี้ถ่ายทอดมาถึงโสตของเหล่าเทพบริวารแห่งกูเหยา พวกเขาก็ทราบในทันทีว่า เรื่องนี้นี่แหละคือเรื่องผิดปกติที่พวกเขาเฝ้ารอมาโดยตลอด และได้ตระหนักด้วยเช่นกันว่า ผู้ที่จะเป็นตัวต้นเหตุของด่านเคราะห์ครั้งใหญ่ในคำพยากรณ์ของจู่ถีคือผู้ใด
กระนั้นจู่ถียังไม่ฟื้นตื่น เหล่าเทพบริวารไม่สะดวกจะเคลื่อนไหวโดยพลการ ด้วยเหตุนี้หลังจากเทพบริวารทั้งสี่ปรึกษากันแล้ว เพียงส่งข่าวไปให้มหาเทพตงหัวแห่งวังมหาอรุณอย่างง่ายๆ ก็กลับภูเขาอีกครั้ง จัดแจงปิดกูเหยาอีกหน
กูเหยาปิดตัวปุบ เวลาสี่ปีก็ผ่านไปในพริบตา
หลังจากนั้น ซวงเหอได้ทบทวนถึงเช้าวันนี้อยู่หลายครั้งครา จนแล้วจนรอดก็รู้สึกว่ามันไม่ได้แตกต่างอะไรกับเวลาเช้าตรู่นับไม่ถ้วนในอดีตที่ผ่านมาของกูเหยาเลย
เช้าตรู่วันนี้ อินหลินกับจาวซีไปนั่งกรรมฐานบำเพ็ญภาวนาที่ทะเลนิรันดร์กาล ส่วนเสว่อี้ไปที่ห้องยาตาน
ซวงเหอมีนิสัยอยู่นิ่งไม่เป็น ทั้งไม่อยากไปนั่งกรรมฐานกับอินหลิน และไม่อยากไปที่ห้องยาตานให้โดนเสว่อี้ใช้งานเป็นจับกัง จึงไปที่ข้างๆ ถ้ำเหตุกล้วยไม้ คิดจะฝึกใช้ดาบอยู่ที่นั่นสักครู่
ผลคือกำลังจะเริ่มฝึก กลับพบว่าเชือกที่พันอยู่บนด้ามดาบหลวมเสียแล้ว เขาจึงลงไปนั่งขัดสมาธิบนพื้นหญ้าหย่อมหนึ่งข้างๆ ถ้ำ ก้มหน้าลงมือจัดการกับเชือกพันด้ามดาบ
มือเขางุ่มง่าม ทำอยู่พักใหญ่ก็ยังทำไม่เสร็จ กำลังจะบันดาลโทสะ ข้างๆ พลันมีมือข้างหนึ่งยื่นมาหา
“ข้าช่วยดูให้เอง”
เขาใจหายวาบ เงยหน้าขวับ ค่อยพบว่าที่ข้างกายไม่ทราบมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ตั้งแต่เมื่อไร
คนผู้นั้นยิ้มให้เขา เขาสะดุ้ง ขยี้ตา
คนผู้นั้นเห็นเขาดูเด๋อด๋า ก็ยักไหล่ไม่ได้พูดอะไรอีก หยิบดาบศิลาม่วงลายทแยงแสนรักของเขาไปจากในมือเขา ก้มหน้าลงช่วยพันเชือกที่หลวมคลายบนด้ามดาบให้เขาอย่างคล่องแคล่ว
เขาเบิ่งตาจ้องคนผู้นั้น เผยอปากอยู่หลายครั้งกว่าจะกล่าวถ้อยคำที่จุกอยู่ในลำคอออกมาได้อย่างราบรื่น
“จ-จ-จ-จุนซั่ง ต-ต-ต-ตื่นแล้วหรือขอรับ?”
คนผู้นั้นเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เขา ยัดดาบศิลาม่วงลายทแยงที่จัดการเสร็จแล้วใส่กลับเข้าไปในมือของเขาอีกครั้ง
“อืม ตื่นแล้ว” นางเอ่ย
ในเช้าตรู่อันแสนธรรมดาสามัญซึ่งหลังจากนั้น ซวงเหอได้ทำการทบทวนอยู่หลายครั้งครา จนแล้วจนรอดก็หาความพิเศษสะดุดตาใดๆ ไม่ได้เช่นนี้เอง จู่ถีได้ฟื้นตื่นขึ้นมาก่อนจะครบกำหนดเวลาสามหมื่นปีของการหลับใหลแต่เดิม
นางเดินออกไปจากถ้ำเหตุกล้วยไม้ มองเห็นซวงเหอที่กำลังปลุกปล้ำกับเชือกพันด้ามดาบอย่างงุ่มง่ามเงอะงะ ก็เดินเข้าไปนั่งลงข้างๆ เขา ยื่นมือไปช่วยเขาอีกแรงด้วยความหวังดี เหมือนกับสิ่งที่นางจะทำเมื่อนางมองเห็นว่าเชือกพันด้ามดาบของซวงเหอหลวมแล้วเมื่อสองแสนกว่าปีก่อน ซึ่งทวารรั่วมู่ยังไม่เปิดออก นางยังมิได้เซ่นสังเวยเพื่อเผ่ามนุษย์ และพวกเขาต่างใช้ชีวิตอยู่ในกูเหยาอย่างเงียบสงบ
การนี้ทำให้ซวงเหอเผลอใจลอยนิดๆ
ในระหว่างที่ซวงเหอเผลอใจลอยนี้เอง จู่ถีได้เอ่ยปากถามเขาหนึ่งประโยค
“เจ้าเห็นหน้ากากของข้าหรือไม่?”
ซวงเหอได้ยินไม่ถนัดแม้แต่น้อยว่าจู่ถีกำลังพูดว่าอะไร สายตาของเขาตรึงนิ่งอยู่ที่ใบหน้าของนาง ออกจะตะลึงพรึงเพริดอยู่บ้างที่ใบหน้านี้กลับมิได้แตกต่างอะไรเลยกับเมื่อครั้งที่เขาได้พบนางเป็นครั้งแรก ณ บรรพตมหาวจีเมื่อสามแสนปีก่อน
ในตอนนั้นจู่ถีเพิ่งจะอายุครบสามหมื่นห้าพันปี ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ รูปร่างหน้าตาเฉกเช่นมนุษย์วัยสิบห้าสิบหกปี แท้จริงแล้วยังมิได้เจริญวัยเต็มที่ แต่ใบหน้ากลับน่ามองอย่างเหลือเชื่อแล้ว
เขาได้รับการชี้นำเบิกปัญญาจากจู่ถี ติดตามนางกลับเขากูเหยา มองดูใบหน้าของนางทุกวัน ข้าวยังกินได้มากขึ้นสองชามเลย ช่างน่าเสียดายที่ทิวทัศน์อันงดงามไม่ยั่งยืน ผ่านไปเพียงไม่นาน จู่ถีก็ได้พบกับกูหรง หลังจากนั้นนางก็สวมหน้ากาก เขาจึงไม่ได้เห็นใบหน้าของนางอีก
ไม่นึกเลยว่าหลายแสนปีผ่านไป พวกเขาสี่เทพบริวารแห่งกูเหยาต่างสลัดคราบความอ่อนเยาว์ เติบโตจากเด็กหนุ่มเป็นชายหนุ่ม แต่ตัวจู่ถีที่เป็นเสินจู่ของพวกเขา กลับยังคงรูปร่างหน้าตาของเด็กสาวผู้งดงามใสซื่ออยู่ดังเดิม
ซวงเหอพูดไม่ออก
จู่ถีมองดูเขาอยู่ครู่หนึ่ง กุมแขนขวาของเขาเบาๆ กดไม่แรงนัก
“ซวงเหอ ข้ากำลังถามเจ้าอยู่นะ”
ซวงเหอได้สติตื่นจากภวังค์ในที่สุด
“อ๊ะ หน้ากาก”
เขาย่อมจะจำหน้ากากหยกเขียวลวดลายซับซ้อนที่จู่ถีสวมไว้บนใบหน้าโดยไม่เคยถอดออกนับตั้งแต่นางได้พบกับกูหรงอันนั้นได้แน่ละ แต่สามหมื่นปีก่อนหลังจากที่จู่ถีหวนคืน ตอนที่เขารีบกลับมายังกูเหยา จู่ถีก็เข้าถ้ำเหตุกล้วยไม้ไปแล้ว เขาไม่ได้พบหน้านางเสียด้วยซ้ำ ยิ่งไม่รู้เลยว่าหน้ากากของนางไปอยู่ที่ใดเสียแล้ว แต่ส่วนตัวเขาแอบคิดว่านางไม่สวมหน้ากากดีกว่าอีก
ซวงเหอนั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้น มองดูจู่ถีตาโต ใบหน้าทอแววงุนงงหลังจากที่ตกใจและดีใจสุดขีด
“ข้าไม่ทราบขอรับจุนซั่ง เรื่องหน้ากากคงต้องไปถามอินหลิน เพราะวันที่จุนซั่งหลับใหล มีแต่เขาที่ติดตามอยู่ข้างกายจุนซั่งขอรับ พวกข้าต่างอยู่นอกถ้ำกันทั้งนั้น”
พูดถึงอินหลิน ซวงเหอค่อยนึกขึ้นได้ว่าต้องไปแจ้งเรื่องที่จู่ถีฟื้นตื่นต่ออินหลิน จึงพูดเร็วๆ ว่า
“จุนซั่งตื่นแล้ว พวกอินหลินไม่รู้จะดีใจมากแค่ไหน ข้าต้องรีบไปแจ้งพวกเขาแล้วละ” พลางรีบร้อนลุกขึ้นยืน กลับถูกจู่ถีรั้งตัวไว้
จู่ถีเหมือนมิได้รู้สึกเลยว่า การที่ตัวนางหลับใหลไปสองหมื่นเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเจ็ดปีเป็นเรื่องสลักสำคัญอะไร และการตื่นขึ้นมาเป็นเรื่องใหญ่โตอะไรนักหนา ถอนหญ้าหางหมาต้นหนึ่งมาถือเล่น
“ไม่ต้องรีบ เรามาคุยกันก่อนดีกว่า ข้ามีบางเรื่องอยากจะถามเจ้า”
นางลังเลอยู่ชั่วแล่น สีหน้าดูประหลาดนิดๆ ราวกับทั้งอยากจะทราบคำตอบ และกลัวที่จะทราบคำตอบ
“กูหรงเป็นอย่างไรบ้าง? ยังคงหลับใหลอยู่ที่ปอจ่งหรือไม่?”
หลังจากจู่ถีฟื้นตื่น คำถามแรกที่ถาม คือหน้ากากของนางไปอยู่ที่ใดแล้ว คนที่กังวลสนใจเป็นคนแรกคือกูหรง การนี้ทำให้ซวงเหอที่กลั้นหายใจเพ่งสมาธิอย่างใจตุ๊มๆ ต่อมๆ ปรับตัวไม่ทันอยู่นิดๆ นิ่งไปชั่ววูบจึงค่อยตั้งสติได้
“กูหรง จุนซั่งถามถึงกูหรงหรือขอรับ? อ้อ กูหรง นางไม่เป็นอะไรขอรับ นอนหลับอยู่ที่ปอจ่งอย่างสบายดีอยู่ตลอด ปีที่แล้วข้ายังแวะไปดูนางที่ถ้ำซึ่งนางนอนหลับอยู่เลยขอรับ หลับสนิทมากเทียวละ”
“เช่นนั้นหรือ?” คิ้วที่มุ่นบางๆ ของจู่ถีค่อยคลายออก แย้มยิ้ม “อย่างนั้นก็ดี” ราวกับนึกสะท้อนใจอยู่บ้าง “สองแสนสี่หมื่นปีแล้ว นางนอนที่ปอจ่งมาเนิ่นนานปานนี้ ควรจะตื่นได้แล้วเช่นกัน” ระหว่างที่พูดได้เสกขวดหยกขาวออกมาหนึ่งใบ กัดปลายนิ้วจนเป็นแผล หยดเลือดหนึ่งหยดลงในขวดใบนั้น นิ้วมือขยับเล็กน้อยปิดผนึกขวดหยกเป็นที่เรียบร้อย ยื่นไปให้ซวงเหอพลางกล่าวว่า “ไว้ประเดี๋ยวเจ้าจงหาเวลานำเลือดหยดนี้ไปที่ปอจ่งปลุกนางให้ตื่นเถิด ได้รู้ว่าข้ากลับมาแล้ว นางน่าจะดีใจ”
หลังจากกล่าวคำสั่งเหล่านี้จบ จู่ถีได้ลุกขึ้นยืน ซวงเหอก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน จากประสบการณ์ที่ผ่านมา นี่คือถือว่าสนทนาเรื่องหลักเสร็จสิ้นแล้ว ซวงเหอกำลังใคร่ครวญว่าถัดจากนี้ ควรจะเสนอความเห็นขอเป็นเพื่อนนางไปหาอินหลินที่ทะเลนิรันดร์กาลหรือไม่ จู่ถีที่เดินอยู่ข้างหน้าพลันหันกายมาอย่างปุบปับ
นางเผชิญหน้ากับเขา สีหน้าดูไม่ค่อยใส่ใจนัก เหมือนนึกขึ้นได้กะทันหันจึงลองถามดู
“จริงสิ เมื่อครู่นี้เจ้านึกว่าข้าจะถามถึงใครกับเจ้าหรือ?”
เนื่องจากเป็นวัวสันหลังหวะ ซวงเหอจึงมีปฏิกิริยาไวเป็นพิเศษ เขาเข้าใจความหมายของจู่ถีในทันที และขนหัวลุกเกรียวในทันที
จู่ถีไม่ได้มองผิด ตอนที่นางบอกว่ามีบางเรื่องอยากจะถามซวงเหอสักหน่อยเมื่อครู่นี้ ซวงเหอไม่ได้คิดจริงๆ นั่นแหละว่านางจะถามถึงกูหรง เขานึกว่านางจะถามถึง เหลียนซ่ง และยามเมื่อจู่ถีแสดงสีหน้าทั้งอยากจะทราบคำตอบ และกลัวที่จะทราบคำตอบคล้ายๆ ใกล้บ้านใจยิ่งขลาดฯ ซวงเหอคิดจริงๆ ว่าความกังวลของอินหลินได้กลายเป็นความจริงเสียแล้ว...ก่อนจะเข้าสู่ห้วงหลับใหล จุนซั่งของพวกเขาลอกความทรงจำเกี่ยวกับเทพวารีออกไปไม่สำเร็จ นางยังคงจำเทพวารีได้
ชั่วพริบตานั้น ซวงเหอรู้สึกสิ้นหวังโดยแท้ ตัวอักษรใหญ่ยักษ์บรรทัดหนึ่งได้ลอยผ่านไปในสมอง...“เทพวารีได้ลืมเลือนจุนซั่งของพวกเราไปแล้ว แต่จุนซั่งของพวกเรากลับยังคงจำเขาได้ จบเห่แล้วๆ นี่มันโศกΟกรรมแห่งโลกหล้าอะไรกันเนี่ย!”
“โศกΟกรรม” หมายถึง “โศกนาฏกรรม” เนื่องจากซวงเหอไม่ค่อยรู้หนังสือนัก เขียนคำ “นาฏ” ไม่เป็น ดังนั้นคำ “นาฏ” ตัวหนาๆ ในสมองคำนั้น จึงได้ใช้วงกลมเส้นหนาเข้าแทนที่
โศกΟกรรมแห่งโลกหล้า โศกนาฏกรรมแห่งโลกหล้า
ข้อความบรรทัดนี้ลอยไปมาอยู่ในสมองของซวงเหอได้สักยี่สิบรอบ จู่ถีก็เอ่ยปาก เขานึกไม่ถึงว่าที่นางถามถึงกลับเป็นกูหรง
พูดตามตรง ความสัมพันธ์ระหว่างซวงเหอกับกูหรงก็แค่กระนั้นๆ สองแสนกว่าปีก่อนตอนอยู่ที่กูเหยาด้วยกัน ทั้งคู่มีปากเสียงกันทุกสามวัน ทะเลาะกันใหญ่โตทุกเจ็ดวัน วางมวยกันทุกครึ่งเดือน ดังนั้นได้ยินจู่ถีเป็นห่วงเป็นใยกูหรง ซวงเหอไม่อาจบอกว่าดีใจได้เลย แต่เขากลับรู้สึกโล่งอก...รู้สึกโล่งอกอย่างแท้จริง
จู่ถีฟื้นตื่น ผู้ที่นางกังวลสนใจมากที่สุดกลับเป็นกูหรง เช่นนั้นจะต้องลืมเทพวารีไปแล้วอย่างแน่นอน
ขั้นตอนความคิดของซวงเหอในตอนนั้นก็คือแบบนี้
เขารู้ตัวดีว่าถึงแม้ภายในใจของตนจะอกสั่นขวัญแขวน แต่หาได้หลุดแสดงออกมาทางสีหน้า เขาไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดจู่ถีจึงดูออกได้ แต่สุดท้ายจู่ถีก็ดูออกไปแล้ว เขาจึงจำเป็นต้องกลบเกลื่อนสักหน่อย
ด้วยเหตุนี้ ซวงเหอแย้มยิ้มอย่างยิ่งปิดบังยิ่งชัดเจน
“ไม่มีใครสักหน่อยขอรับ ข้าก็นึกว่าจุนซั่งจะถามถึงกูหรงกับข้านั่นแหละ แหะๆ”
จู่ถีถอนหายใจแผ่วเบายิ่ง
“ไม่ได้เจอกันสองแสนกว่าปี นึกไม่ถึงเลยว่าซวงเหอเองก็หัดโกหกเป็นแล้ว ทั้งยังพูดได้แนบเนียนไม่ใช่เล่นเสียด้วย” นางมิได้กล่าวตำหนิเขาแต่อย่างใด นางถึงกับหัวเราะออกมา จากนั้นกล่าวว่า “นี่น่ะไม่ค่อยดีเลย”
แต่ประโยคนี้ใช้ได้เกินพอแล้วกับซวงเหอ เขาตัวแข็งทื่อทันที
“ข้าไม่ดีพอเสียแล้วหรือขอรับ?” เขาเอ่ยถามอย่างตะลึงลาน
นับตั้งแต่ได้รับการชี้นำเบิกปัญญาจากจู่ถี ซวงเหอก็กำหนดให้การเป็นเทพบริวารที่ดี เป็นที่พอใจของเสินจู่ คือเป้าหมายสูงสุดในชีวิตเทพของตน และพยายามต่อสู้เพื่อเป้าหมายนี้มาโดยตลอด
หลายหมื่นปีที่ผ่านมา จู่ถีรู้สึกว่าเขาดีมากมาโดยตลอด ซวงเหอก็นึกภูมิใจกับเรื่องนี้มาโดยตลอดเช่นกัน แต่เมื่อกี้นี้จู่ถีกลับบอกว่าเขาไม่ค่อยดีเสียแล้ว ผืนฟ้าของซวงเหอถล่มเสียแล้ว
ผืนฟ้าถล่มเสียแล้ว ซวงเหอจึงรักษาความลับอะไรไม่ไหวแล้วเช่นกัน
“ข-ข้านึกว่าจุนซั่งจะถามถึงเทพวารีขอรับ”
ได้ยินนามนี้ จู่ถีค่อยๆ เบิกตากว้าง
“เทพวารี?” นางถาม “เจ้าบอกว่าเทพวารีอย่างนั้นหรือ?”
นางย้อนถามถึงสองครั้ง
ซวงเหอแข็งใจพยักหน้า ตอบว่า “ใช่ขอรับ”
จู่ถีมุ่นคิ้วนิดๆ เหมือนกำลังขบคิด จากนั้นนางเงยหน้าขึ้นมองซวงเหอ “เหตุใดเจ้าถึงคิดว่าข้าจะถามถึงเทพวารีกับเจ้าเล่า?” นางหยุดเล็กน้อย ดวงตาแฝงแววกังขา “คงเป็นเพราะเกิดใหม่แล้วหลับใหล เรื่องราวในอดีตมากมายข้าล้วนแต่จำไม่ค่อยได้เสียแล้ว อย่าบอกนะว่าในอดีตที่ข้าจำไม่ค่อยได้นั่น เทพวารีได้มาเกิดแล้ว ทั้งยังเคยมีการคบหาสำคัญใดกับข้าอีกด้วย?”
ในใจซวงเหอสะดุดกึก เขาเป็นคนซื่อ สะเพร่า อาจจะยังไม่ค่อยฉลาดอีกด้วย แต่เขาไม่ได้โง่
เมื่อดูจากปฏิกิริยาของจู่ถี นางได้ลืมเทพวารีไปแล้วจริงๆ กระนั้นเป็นเพราะเขาแท้ๆ นางถึงได้เหมือนจะนึกสนอกสนใจเทพวารีขึ้นมาอีกครั้งภายใต้สถานการณ์ที่ได้ลืมเลือนเทพวารีไปแล้วโดยสิ้นเชิง...ซวงเหออยากตายเหลือเกิน จู่ถีฉลาดหลักแหลมเสมอมา เขาควรจะพูดอย่างไรดี ถึงจะทำให้นางเชื่อได้ว่าความจริงแล้ว นางกับเทพวารีไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรต่อกันเป็นพิเศษ?
แม้ว่าจู่ถีจะไร้เดียงสา แต่ก็หลอกยากมาก ทั่วทั้งกูเหยา คนที่สามารถหลอกจู่ถีได้มีแค่เสว่อี้ เขาไปขนเสว่อี้มาเป็นกองหนุนในตอนนี้ยังจะทันอยู่ไหมนะ?
ในขณะที่ซวงเหอกำลังเหงื่อแตกพลั่กดั่งสายฝน เสียงของเสว่อี้ซึ่งกำลังถูกเขาคิดถึงก็แทรกเข้ามาอย่างได้จังหวะพอดี
“ตอนยุคมหาอุทกภัย ในบรรดาห้ามหาเทพแห่งธรรมชาติ มีเพียงเทพวารีที่ไม่ยอมถือกำเนิดสักที ก่อนที่ทวารรั่วมู่จะเปิดออก จุนซั่งเอาแต่บ่นถึงเรื่องนี้ไม่ใช่หรือขอรับ?”
ซวงเหอเงยหน้าขึ้นมองไป เห็นเสว่อี้กำลังเดินตามอินหลินกับจาวซีตรงเข้ามาหาด้วยกัน ทั้งสามหยุดยืนห่างออกไปสามจ้าง โค้งกายไหว้คารวะจู่ถี ซวงเหอค่อยนึกขึ้นมาได้เอาตอนนี้ว่าเขายังไม่ได้ไหว้เสินจู่เลย รีบไหว้ตามทุกคนไปหนึ่งครั้ง แม้กำลังโค้งกายไหว้ ดวงตากลับไม่อาจตัดใจผละจากใบหน้าของจู่ถี แล้วเห็นเสินจู่ของพวกเขายิ้มบางๆ มือเปลือยดุจหยกขาวยื่นนิดๆ ออกมาจากแขนเสื้อสายน้ำหลวมกว้าง กดลงด้านล่างเล็กน้อย คือกิริยาที่นางกระทำเป็นประจำ หมายถึงให้พวกเขาไม่ต้องมากพิธี จากนั้นนางมองไปที่เสว่อี้ เหมือนสงสัยใคร่รู้ยิ่งนัก
“ตอนนั้นข้าเฝ้ารอให้เทพวารีมาเกิดมากเลยหรือ?” แล้วเหมือนห่อเหี่ยวใจ “ข้าจำไม่ได้เลยสักนิด”
เห็นปฏิกิริยานี้ของจู่ถี ซวงเหอพลันตัวเกร็งทันที แต่เสว่อี้ สมแล้วที่เป็นเจ้าแห่งการพูดโกหกหน้าซื่อๆ ไร้ท่าทีประหม่าตื่นเต้นแม้แต่น้อย สีหน้าราวกับว่าตัวเขาคือผู้ที่ซื่อสัตย์จริงใจที่สุดในทั่วทั้งสี่ทะเลแปดดินแดน
“จะอย่างไรก็เป็นเรื่องเมื่อนานแสนนานมาแล้วนี่ขอรับ” เสว่อี้เอ่ยยิ้มๆ “ประกอบกับหลังจากที่วิญญาณของจุนซั่งฟื้นคืนชีพจากกลางแสง ก็เข้าสู่วัฏสงสารของมนุษย์ วัฏสงสารเคี่ยวกรำคน อดีตที่ไม่ได้สลักสำคัญบางเรื่อง จุนซั่งจะจำไม่ได้ก็ปกติออกขอรับ แต่ตอนนั้นเรื่องที่จุนซั่งเฝ้ารอการมาเกิดของเทพวารี พวกข้าต่างมองเห็นกันทุกคน ซวงเหอยิ่งจดจำเรื่องนี้ไว้ในใจ ในที่สุดเมื่อเจ็ดหมื่นปีก่อนเทพวารีก็ถือกำเนิดแล้ว ซวงเหอน่าจะคิดว่าจุนซั่งคงจะกังวลสนใจเรื่องนี้ จึงได้เข้าใจว่าจุนซั่งจะถามถึงเทพวารีน่ะขอรับ” เอ่ยถึงตรงนี้ ได้ยิ้มออกมาเหมือนอ่อนใจ “ซวงเหอก็เป็นแบบนี้แหละ ซ่อนอะไรไว้ในใจไม่อยู่ จุนซั่งก็ทราบดีอยู่แล้วนี่ขอรับ”
ซวงเหอนับถือเสว่อี้แทบตายแล้ว ปั้นน้ำเป็นตัวได้หน้าซื่อตาใสทั้งยังมีตรรกะปานนี้ ทำเอาเขาฟังจนตาค้าง พลอยหลงเชื่อไปด้วยว่าที่เขาคิดว่าจู่ถีจะเป็นฝ่ายถามถึงเหลียนซ่งจากเขา เป็นเพราะเขาจำฝังใจเรื่องที่จู่ถีเฝ้ารอให้เทพวารีมาเกิดนี่แหละ
ที่โชคดีคือ จู่ถีก็เชื่อด้วยเช่นกัน สีหน้าทอแววกระจ่างแจ้ง
“อย่างนี้เองหรือ” นางพึมพำ หลุบตาลงนึกทบทวนอยู่ชั่วแล่น จากนั้น นางกล่าวกับอินหลินและจาวซีซึ่งยืนนิ่งเงียบอยู่ด้านข้างมาโดยตลอดว่า “ข้าเหมือนจะนึกขึ้นมาได้รางๆ ข้าน่าจะเคยเฝ้ารอให้เทพวารีมาเกิดละ” แล้วแย้มยิ้ม “จริงสิ ข้ายังเคยทำกลองป๋องแป๋งให้เขา โดยคิดจะมอบให้เขาตอนที่เขามาเกิดอีกด้วยใช่ไหมน่ะ?”
อินหลินนิ่งไปชั่วครู่ ไม่ได้เอ่ยตอบในทันที จาวซีมองอินหลินแวบหนึ่ง พูดขึ้นก่อนว่า
“ช่วงเวลาที่ข้าติดตามจุนซั่งไม่ได้นานเท่าอินหลิน มิได้ทราบเรื่องกลองป๋องแป๋ง หากจุนซั่งทำของนี้ให้เทพวารีมาตั้งแต่เนิ่นนานก่อนหน้านี้แล้วละก็ เช่นนั้นบางทีอินหลินอาจจะทราบขอรับ” จบคำได้มองอินหลินก่อนแวบหนึ่ง ค่อยปรายหางตามองไปทางเสว่อี้
ในเทพบริวารทั้งสี่ นอกจากซวงเหอที่หัวไม่ค่อยดีนักแล้ว ที่เหลืออีกสามคนต่างรู้ใจกันดีเสมอมา ทุกคนต่างรู้แจ้งแก่ใจ ถ้อยคำนี้ของจาวซี บวกกับการส่งสายตาสองครั้งในตอนท้าย หมายถึงคาดหวังให้อินหลินกล่าวตอบให้ดีๆ หากกล่าวตอบได้ไม่ดี เสว่อี้ก็สามารถช่วยอุดช่องโหว่ให้อินหลินได้ทันกาล
อินหลินมองตอบจาวซีแวบหนึ่ง
เรื่องกลองป๋องแป๋ง เขาพอจะรู้อยู่บ้างจริงๆ
เขาคือเทพบริวารที่ได้รับการชี้นำเบิกปัญญาจากจู่ถีคนแรกสุด เขาอยู่กับจู่ถีมาตั้งแต่ตอนที่นางเพิ่งจะอายุครบสองหมื่นปี เพลานั้น จู่ถีที่ไม่มีอารมณ์ทั้งเจ็ดกิเลสทั้งหก แม้จะดูเงียบขรึมเย็นชา แต่แท้จริงไร้เดียงสาอย่างมาก มักจะแสดงกิริยาอ่อนโลกอยู่บ่อยครั้ง
บนเขากูเหยามีต้นจันทน์แก่อยู่หนึ่งต้น ได้หยั่งราก ณ ริมฝั่งทะเลนิรันดร์กาลมาตั้งแต่ก่อนที่จู่ถีจะถือกำเนิด บางครั้งต้นจันทน์เฒ่าจะเล่าเรื่องเมื่อสมัยจู่ถียังเยาว์ให้เขาฟัง
บอกว่าตอนที่จู่ถีอายุได้เจ็ดพันกว่าปี มีอยู่คืนหนึ่งได้ฝันพยากรณ์ มองเห็นล่วงหน้าว่าเทพอัคคีกำลังจะถือกำเนิด ด้วยเหตุนี้ในวันรุ่งขึ้น นางจึงไปที่ด้านหลังเขา เสาะหาหยกงามชนิดหนึ่งมา บอกกับต้นจันทน์เฒ่าว่า นางจะทำกลองป๋องแป๋งหนึ่งอันมอบให้แก่เทพอัคคีเป็นของขวัญวันเกิด
ความจริงแล้วจู่ถีในตอนนั้นไม่ได้รู้เรื่องเลยสักนิดว่าสิ่งที่เรียกว่าความรักระหว่างสหายคืออะไร เพียงเพราะว่าเมื่อตอนที่นางถือกำเนิด พระแม่ธรณีได้ขอให้เทพมารดรมายังกูเหยา นำเก้าห่วงกลมาให้นางหนึ่งอัน นั่นคือของขวัญอวยพรวันเกิดที่มหาเทพแห่งธรรมชาติท่านแรกของโลกหล้า...เทพีหฺนฺวี่วาทำขึ้นมาเองกับมือเพื่อหลงเหลือไว้ให้นางก่อนที่จะหลับใหลไปเนื่องจากอุดช่องโหว่ให้ผืนฟ้า
หลังจากได้รับเก้าห่วงกลอันนั้น จู่ถีน้อยก็เกิดการตระหนักรู้ขึ้นมาได้ด้วยตัวเองเช่นกันว่า จำเป็นต้องประดิษฐ์สิ่งของเล็กๆ ที่น่ารักน่าสนุกสักชิ้นมอบให้แก่มหาเทพแห่งธรรมชาติรุ่นหลัง เพื่ออวยพรให้แก่การถือกำเนิดของพวกเขา
หลังจากประดิษฐ์กลองป๋องแป๋งเสร็จสิ้นได้ไม่นาน ต้นจันทน์เฒ่าก็เดินออกไปจากบึงมัชฌิมเป็นเพื่อนจู่ถีเป็นครั้งแรก เพื่อไปเยี่ยมเซี่ยหมิง
พวกเขาอยู่ที่ริมทะเลสาบเส่าเหอ[1]แห่งแดนทักษิณ มองเห็นเทพอัคคีน้อยเซี่ยหมิงที่ถูกเจ้าแห่งวาตะเส้อเจียอุ้มไว้ในอ้อมแขน ทารกหญิงผู้สงบนิ่งลืมดวงตากลมโตดำขลับมองดูจู่ถีอย่างสนใจใคร่รู้
จู่ถีหมุนกลองป๋องแป๋งสีแดงหยอกเย้าทารกหญิง หยอกเย้าอยู่พักหนึ่ง เงยหน้าขึ้นถามเส้อเจียอย่างอยากรู้
“ห้ามหาเทพแห่งธรรมชาติถือกำเนิดแล้วสี่คน เหลือแต่เทพวารีที่ยังไม่ถือกำเนิดแล้ว เส้อเจียเกอเกอรู้ไหมว่าเทพวารีจะถือกำเนิดในเวลาใด?”
เซี่ยหมิงน้อยผู้มีดวงตากลมโตในอ้อมแขนของเส้อเจียพลันยื่นมือออกมาฟาดใส่กลองป๋องแป๋งตรงหน้าทันที ทำเสียง “ฮึ่มฮึ่ม” สองครั้ง
เส้อเจียลูบหน้าผากทารกหญิงอย่างนึกขัน มองหน้าจู่ถี
“เจ้าจะเรียกข้าว่า ‘เกอเกอ’ ไม่ได้ นางจะโมโห” พูดอีกว่า “เจ้าคือเทพพยากรณ์ กระทั่งเจ้ายังไม่อาจรู้ได้ว่าเทพวารีจะถือกำเนิดในเวลาใด ข้ายิ่งไม่มีทางรู้เข้าไปใหญ่”
ได้ฟังคำตอบของเส้อเจีย จู่ถีถอนหายใจเบาๆ อย่างผิดหวัง
“ข้าไม่เคยฝันพยากรณ์ถึงเทพวารีเลยน่ะ” คิดเล็กน้อย “แต่ข้ารู้สึกว่าเขาน่าจะใกล้มาเกิดแล้วละ” แล้วถามเส้อเจียอย่างไร้เดียงสา “ข้ากำลังคิดว่า ข้าควรจะทำกลองป๋องแป๋งให้เทพวารีด้วยหนึ่งอันดีไหม เส้อเจียเกอ...” เห็นคาตาว่าเซี่ยหมิงน้อยขมวดคิ้วตาที่ดูสงบนิ่งนั้น ทำท่าจะยื่นมือมาฟาดกลองป๋องแป๋งอีกแล้ว จู่ถีรีบเปลี่ยนคำพูดทันที “เส้อเจีย” ยังถอยหลังไปสองก้าวอีกด้วย ถามเส้อเจียโดยเว้นระยะห่างช่วงใหญ่ “ท่านว่าข้าทำกลองป๋องแป๋งสีฟ้าหนึ่งอันให้เทพวารี เขาจะชอบไหม?”
เส้อเจียในตอนนั้นก็อายุเพียงสองหมื่นปีเศษเท่านั้น ยังชอบเล่นสนุกอยู่ ครั้นได้ฟัง ก็ตั้งอกตั้งใจขบคิดใคร่ครวญในความคิดเห็นของจู่ถีจริงๆ จากนั้นเอ่ยตอบคำถามของจู่ถีอย่างเคร่งขรึมจริงจัง
“ใครบ้างไม่ชอบกลองป๋องแป๋ง พวกเด็กๆ น่ะชอบกันทั้งนั้นแหละ” กล่าวพลางรับกลองป๋องแป๋งสีแดงอันนั้นมาจากในมือของจู่ถี ก้มหน้าลงหยอกเย้าเล่นกับเซี่ยหมิงน้อยในอ้อมแขนอย่างอ่อนโยน
เซี่ยหมิงน้อยอ้าปากหาว ยิ้มให้เส้อเจียอย่างไว้หน้า
หลังจากไปส่งมอบของขวัญยังทะเลสาบเส่าเหอเสร็จสิ้น ต้นจันทน์เฒ่าได้กลับมายังกูเหยาเป็นเพื่อนจู่ถี
หลังกลับมาถึงกูเหยาได้ไม่นาน จู่ถีก็ประดิษฐ์กลองป๋องแป๋งสีฟ้าขึ้นมาหนึ่งอัน นั่นน่าจะเป็นวาสนาผูกพันแรกสุดระหว่างจู่ถีกับเหลียนซ่ง
หลังจากที่อินหลินกลายมาเป็นเทพบริวารของกูเหยา ถ้ำหยาดน้ำค้าง ถ้ำคูหาที่จู่ถีใช้เก็บสิ่งของ ก็ตกมาอยู่ในความดูแลของเขา
อินหลินเคยเห็นกลองป๋องแป๋งอันนั้นมาก่อน ขอบกลองสีฟ้า หน้ากลองสีขาวงาช้าง ด้ามกลองห้อยไข่มุกดำกลมเกลี้ยงสองเม็ด ดูงดงามประณีตน่าเล่นเป็นอย่างมาก แต่อินหลินไม่เคยเอ่ยถามจู่ถีเกี่ยวกับเรื่องราวของกลองป๋องแป๋งอันนั้น
จู่ถีเอ่ยถึงเทพวารีต่อหน้าอินหลินเป็นครั้งแรก คือตอนที่นางใกล้จะถึงเวลาลุวัยผู้ใหญ่อายุครบสี่หมื่นปี นางได้ฝันพยากรณ์ที่เกี่ยวข้องกับเทพวารี
ในความฝันนั้น นางมองเห็นล่วงหน้าถึงวาสนาเซียนระหว่างเทพที่เพิ่งจะมาเกิดในอีกสองแสนกว่าปีให้หลังผู้นั้นกับตัวนาง จากนั้น ท่ามกลางความฝันที่เกี่ยวข้องกับเทพวารีอันยาวนานเป็นเวลาหลายหมื่นปี นางแทบจะจำสับสนระหว่างโลกความฝันกับโลกความจริง
ในหัวใจของจู่ถี เทพวารีไม่ได้เป็นแค่เพียงพวกพ้องมหาเทพแห่งธรรมชาติด้วยกันอีกต่อไป เขาได้กลายเป็นบุคคลที่พิเศษที่สุดสำหรับนาง นางย่อมจะไม่สามารถใช้ของขวัญที่เรียบง่ายและเป็นเด็กน้อยเช่น “กลองป๋องแป๋ง” ไปอวยพรการถือกำเนิดของเทพวารีได้อีก
อินหลินจำได้ว่า นั่นคือเมื่อสองแสนสี่หมื่นปีก่อน ก่อนที่ทวารรั่วมู่จะเปิดออก ในที่สุดมหาเทพผู้สร้างโลกองค์สุดท้ายแห่งโลกหล้า เทพส้าวหว่าน ก็ได้ทราบถึงโชคชะตาของตัวนาง และมุ่งหน้ามาที่กูเหยาขอความช่วยเหลือจากจู่ถี หวังให้จู่ถียอมช่วยนางเปิดทวารรั่วมู่ อพยพเผ่ามนุษย์ไปยังสามัญภพ
จู่ถีได้รับปากคำขอของส้าวหว่าน พร้อมกับช่วยรักษาบาดแผลของส้าวหว่านที่ถูกไม้พิษทิ่มแทงบาดเจ็บเนื่องจากสืบหาวิธีเปิดทวารรั่วมู่จนหายดี ส้าวหว่านอยากตอบแทนจู่ถี ถามนางว่าอยากได้อะไร จู่ถีขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นถามส้าวหว่าน
“ข้าได้ยินเหล่าดอกไม้ที่นอกภูเขาพูดกันว่า ในวิถีแห่งดนตรีกาล ในโลกหล้ามีเพียงม่อเยวียนซ่างเสินผู้ถูกยกย่องว่าเป็นวิญญูชนกล้วยไม้เท่านั้นที่สามารถประชันกับเจ้าได้ เรื่องนี้เป็นความจริงหรือไม่?”
คิ้วตาส้าวหว่านจวินทอดโค้ง
“หากเป็นคนอื่นมาถามข้า ข้าจะต้องบอกพวกเขาว่าข้าเหนือกว่าม่อเยวียนอย่างขาดลอยในทุกด้านอย่างแน่นอน” นางเข้าไปใกล้จู่ถีมากขึ้นเล็กน้อย “แต่กับเจ้านี่นะ ข้าย่อมต้องพูดความจริงอยู่แล้ว ในบรรดาแปดเสียง[2] เอ่ยถึงทอง หิน ดิน หนัง ม่อเยวียนสู้ข้าไม่ได้ แต่เอ่ยถึงไหม ไม้ น้ำเต้า ไผ่ ข้าสู้เขาไม่ได้” กล่าวพลางยิ้มบางๆ “แต่ว่าเจ้าถามข้าเรื่องนี้ คิดจะทำอะไรอย่างนั้นรึ?”
หน้ากากหยกเขียวได้บดบังสีหน้าของจู่ถีไว้ ได้ยินแต่เพียงเสียงของนาง ดังขึ้นอย่างอบอุ่น นุ่มนวล ไม่รีบไม่ร้อน
“ข้าอยากให้เจ้าสอนข้าประดิษฐ์ขลุ่ยตี๋ ข้าต้องการประดิษฐ์ตี๋วิเศษที่เลิศล้ำเป็นเอกในหล้า ใต้ฟ้านี้ไม่มีสิ่งใดเหนือล้ำไปกว่ามันได้สักเลา”
เห็นได้ชัดว่านี่คือคำตอบที่ส้าวหว่านจวินคาดคิดไม่ถึง นางเลิกคิ้ว
“อ้อ? พึงทราบว่าตี๋วิเศษต้องคู่กับปรมาจารย์ กระนั้นจากที่ข้ารู้ รัศมีเทพหาได้เข้าใจท่วงทำนองเสียงดนตรี อีกทั้งดูเหมือนทั่วทั้งกูเหยาต่างไม่มีผู้ที่เข้าใจท่วงทำนองเสียงดนตรีเป็นพิเศษ ดังนั้น” นางเอามือเท้าคาง มองหน้าจู่ถีอย่างนึกสนุก “เหตุใดเจ้าถึงได้อยากจะประดิษฐ์ตี๋วิเศษเช่นนี้กันเล่า?”
ห้วงฝันอันยาวนานหลายหมื่นปีทำให้รัศมีเทพได้เข้าใจถึงอารมณ์ทั้งเจ็ดอยู่เล็กน้อย กระนั้นแม้จะเข้าใจในความรักอยู่เล็กน้อย กลับเป็นการสัมผัสรับรู้ที่เบาบางริบหรี่ยิ่ง ดังนั้นนางจึงยังคงความงุ่มง่ามอ่อนเดียงสาอยู่เช่นเดิม หาทราบไม่ว่าความขวยอายและอุธัจขัดเขินคือฉันใด บอกกล่าวต่อส้าวหว่านอย่างเปิดเผยยิ่ง
“เพราะว่าเทพวารีที่กว่าจะมาเกิดก็ในพงศาวดารเทพใหม่เป่าขลุ่ยตี๋เก่งมากน่ะสิ แต่เขาช่างเลือก สายตาสูงลิบ ในยุคสมัยที่เขาอยู่ ไม่มีใครเลยสักคนที่สามารถประดิษฐ์ขลุ่ยตี๋สักเลาซึ่งถูกใจเขาให้เขาได้ใช้งาน เขาอยากจะได้ตี๋วิเศษที่ถนัดมือสักเลามาตลอด ข้ามองเห็นความผิดหวังของเขา ดังนั้นจึงอยากจะประดิษฐ์ขลุ่ยตี๋ที่ถูกใจเขาสักเลามอบให้แก่เขาน่ะ”
ส้าวหว่านถอนหายใจอย่างสุดทึ่ง
“มิตรภาพระหว่างพวกเจ้าเทพแห่งธรรมชาตินี่ช่าง...”
จู่ถีกลับพูดขัดนางว่า “เขาหาใช่เทพแห่งธรรมชาติธรรมดาทั่วไป เขาคือเทพที่มีวาสนาเซียนกับข้าต่างหาก”
ส้าวหว่าน “......”
เวลานั้นอินหลินคอยรับใช้อยู่ด้านข้าง ได้สัมผัสรับรู้ถึงการสนทนาครั้งนี้ด้วยตัวเอง
ส้าวหว่านประหลาดใจที่รัศมีเทพผู้ไร้อารมณ์ความรู้สึกกลับมีวาสนาเซียนซึ่งลิขิตสวรรค์กำหนดมั่นกับเขาด้วย รุกถามจู่ถีอีกหลายคำถาม จากนั้นรับปากสอนจู่ถีประดิษฐ์ขลุ่ยตี๋
ทั้งสองปิดด่านเก็บตัวอยู่ในถ้ำเหตุกล้วยไม้อยู่สี่สิบเก้าวัน ประดิษฐ์ตี๋หยกขาวที่ประกายแสงแล่นวาบตลอดทั้งเลาออกมาได้สำเร็จ ก็คือที่ในยุคหลังเรียกขานว่า “ตี๋ไร้เสียง” นั่นเอง
แต่เนื่องจากความสามารถของจู่ถีในด้านดนตรีกาลนั้นออกจะ...โดยแท้ ถึงขั้นที่ว่าการที่ตี๋วิเศษถูกประดิษฐ์สำเร็จได้ เพราะอาศัยว่าส้าวหว่านทุ่มเทอย่างสุดกำลังเสียกว่าครึ่ง ด้วยเหตุนี้จู่ถีจึงไม่รู้สึกว่านางเป็นคนประดิษฐ์ขลุ่ยตี๋เลานี้ และไม่ยินดีที่จะรับชื่อเสียงจอมปลอมว่าเป็นผู้ประดิษฐ์ขลุ่ยตี๋เช่นกัน กลับยกตี๋เลานี้ให้ส้าวหว่านเสียอีก แล้วตั้งใจว่าค่อยสร้างของอะไรอย่างอื่นให้แก่เทพวารีแทนที่
แต่ยังไม่ทันที่จู่ถีจะคิดออกว่าควรประดิษฐ์อะไรดี จังหวะเวลาในการเปิดทวารรั่วมู่ก็ได้มาถึง
อินหลินไม่อาจลืมได้มาโดยตลอดว่า ในตอนนั้นจู่ถีถอนหายใจเบาๆ อย่างนึกเสียดายเต็มอก บอกว่าของขวัญอวยพรวันเกิดที่ติดค้างเทพวารี ได้แต่รอจนนางหวนกลับมาเมื่อไรค่อยทำขึ้นใหม่เสียแล้ว
จู่ถีไม่ได้เอ่ยถึงกลองป๋องแป๋งอันนั้น อินหลินรู้สึกว่านางลืมมันไปแล้ว
หลังจากนั้น ในคืนก่อนหน้าที่ทวารรั่วมู่จะเปิดออก กูหรงที่แอบเฝ้าติดใจเรื่องกลองป๋องแป๋งอันนั้นอยู่ตลอดได้แอบเข้าไปในถ้ำหยาดน้ำค้าง ขโมยกลองป๋องแป๋งอันนั้นออกมา และหลังจากที่ทวารรั่วมู่เปิดออก กูหรงก็นำมันเข้าสู่ห้วงหลับใหลเป็นเวลายาวนานสองแสนกว่าปีที่จู่ถีจัดเตรียมไว้ให้นางด้วย
นั่นคือสถานที่ไปสุดท้ายของกลองอันนั้น
ย้อนนึกถึงตรงนี้ ต่อให้เป็นอินหลิน ก็อดที่จะรู้สึกหดหู่ไม่ได้
จาวซีร้องเรียกเขา “อินหลิน?”
อินหลินค่อยตื่นจากภวังค์
อินหลินที่ตื่นจากภวังค์กระแอมเบาๆ เรื่องราวอันเปลี่ยนผันในโลกหล้าสามแสนกว่าปีทำให้เขาทั้งรู้สึกว่าชีวิตช่างพลิกผันและรู้สึกสะท้อนใจ แต่เขาหาใช่ผู้ที่มีอารมณ์อ่อนไหวอะไร จัดแจงปรับเปลี่ยนอารมณ์ในทันที กล่าวตอบคำถามเกี่ยวกับกลองป๋องแป๋งอันนั้นของจู่ถีอย่างเคร่งขรึมจริงจัง
“ตอนนั้นจุนซั่งได้ประดิษฐ์กลองป๋องแป๋งให้เทพวารีหนึ่งอันขอรับ” เขาหยุดเล็กน้อย โกหกหน้าตายว่า “แต่เทพวารีไม่ยอมมาเกิดสักที แล้วกูหรงก็ชอบกลองอันนั้น จุนซั่งจึงยกมันให้กับกูหรงขอรับ”
หว่างคิ้วของเสว่อี้กระตุกเบาๆ เหลือบมองอินหลินเฉยๆ แวบหนึ่ง อินหลินเหลือบมองเสว่อี้กลับ โกหกจู่ถีหน้าตายต่อไปว่า
“ต่อมา ระหว่างฟ้าดินมีเรื่องใหญ่โตมากมายที่ต้องทำ จุนซั่งจึงไม่ว่างมาขบคิดว่าจะเตรียมของขวัญวันเกิดอะไรอย่างอื่นให้แก่เทพวารี เรื่องนี้จึงถูกวางทิ้งไว้ไม่ได้เอ่ยถึงอีกขอรับ”
จู่ถีตกตะลึง “ที่แท้เป็นเช่นนี้เองหรือ?”
นางเอียงศีรษะนิดๆ เอ่ยเบาๆ
“อย่างนั้นบัดนี้ ในเมื่อข้ากลับมาแล้ว ข้าควรทำของขวัญชิ้นนี้ชดเชยให้หรือไม่?” ในน้ำเสียงแฝงแววเลื่อนลอยและไม่แน่ใจอยู่นิดๆ เหมือนพึมพำกับตัวเอง และเหมือนกำลังปรึกษาพวกเขา
อินหลินนิ่งไปเล็กน้อย ใจจริงเขาอยากจะบอกนางเหลือเกินว่าไม่ต้องชดเชย ครั้นจะเอ่ยปาก กลับพลันนึกขึ้นมาได้กะทันหันถึงที่จู่ถีเปรยกับเขาถึงเทพวารีซึ่งยังไม่มาเกิด แต่กลับทำให้นางไม่อาจปล่อยวางได้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ทวารรั่วมู่จะเปิดออก
จู่ถีพูดว่า “ของขวัญอวยพรวันเกิดที่ติดค้างเขา ได้แต่รอจนข้าหวนกลับมาเมื่อไรค่อยทำให้เขาเสียแล้ว ถึงตอนนั้นข้าจะประดิษฐ์ของที่ข้าถนัด และเขาจะต้องชอบด้วยสักชิ้น”
ในน้ำเสียงทอดถอนแผ่วเบานั้น แฝงอารมณ์แสนเสียดายและหดหู่ ทั้งยังแฝงเจตนาคาดหวังจางๆ สังเกตเห็นได้ยาก แต่กลับอ่อนหวานตรึงใจ ราวกับว่านี่คือคำอธิษฐานที่ชวนให้นางใฝ่ฝันมากที่สุดในโลกนี้ นางเฝ้าปรารถนาว่ามันจะปรากฏเป็นจริงได้
แต่ผู้ใดเล่าจะคาดคิดไปถึง เมื่อในที่สุดรัศมีเทพก็หวนกลับมา และฟื้นตื่นในพงศาวดารเทพใหม่ซึ่งเทพวารีถือกำเนิด ระหว่างคนทั้งสองกลับเป็นสถานการณ์เช่นนี้เสียได้
อินหลินนิ่งเงียบไปชั่วครู่สั้นๆ กดความมีสติลงไป เอ่ยตอบจู่ถีเบาๆ
“หากจุนซั่งต้องการจะชดเชยของขวัญชิ้นนี้ เช่นนั้นก็ชดเชยเถิดขอรับ” เขาหยุดเล็กน้อย กล่าวเสริมเสียงนุ่มอีกประโยค
“จุนซั่งสามารถประดิษฐ์ของที่จุนซั่งถนัด และเทพวารีก็ชอบด้วยได้ขอรับ”
เสว่อี้เหลือบมองอินหลินอย่างประหลาดใจ
ครั้งนี้ อินหลินไม่ได้มองเขากลับ
จู่ถีประกบสองมือเข้าหากัน วางคางลงบนปลายนิ้วขาวใสดุจน้ำแข็ง นี่คือกิริยาที่สดใสร่าเริงและขี้อ้อน ซึ่งจู่ถีเมื่อสองแสนกว่าปีก่อนไม่มีทางทำ
แม้รัศมีเทพจะถือกำเนิดในยุคมหาอุทกภัย คือเทพแห่งยุคมหาอุทกภัย แต่เนื่องจากพลังหยั่งรู้กินพลังจิตมากเกินไป นางจึงเป็นเทพที่จำเป็นต้องหลับใหลนับพันนับหมื่นปีเพื่อฟื้นฟูพลังจิตอยู่บ่อยครั้ง
ช่วงเวลาที่รัศมีเทพตื่นเต็มตาอยู่ในโลก นับรวมกันทั้งหมดแล้ว ก็แค่ห้าหมื่นกว่าปี ความจริงสามารถถือว่าเป็นเทวนารีน้อยวัยห้าหมื่นกว่าปีที่ลำดับรุ่นสูงเป็นพิเศษได้
เทวนารีเช่นนี้ ทั้งยังมีใบหน้าเช่นเด็กสาวอันซื่อใส คมหวานเช่นนี้ ยามกระทำกิริยาเช่นนี้ มีแต่จะทำให้รู้สึกว่าดูน่ารัก โดยมิได้รู้สึกว่าขัดแย้ง และสำหรับอินหลินแล้ว ยังถึงขั้นทำให้เขารู้สึกหลอนขึ้นมานิดๆ ว่านางยังคงฝึกฝนบำเพ็ญเพียรอยู่ที่ราชวงศ์ต้าซีของโลกมนุษย์อีกด้วย
เด็กสาวผู้ไร้เดียงสานี้เอียงศีรษะนิดๆ กล่าวกับอินหลินอย่างคล่องแคล่ว
“เทพวารีเป็นชายหนุ่มแล้ว ข้าคิดว่าตัวเขาในตอนนี้น่าจะไม่มีทางชอบกลองป๋องแป๋งแล้วละ อย่างนั้นข้าทำหน้าไม้ให้เขาก็แล้วกัน เจ้าว่าดีหรือไม่?”
อินหลินมองหน้านาง ข่มความคิดภายในใจลงไป พยายามเค้นรอยยิ้มออกมา
“ผู้ที่ถนัดคันศรและหน้าไม้มากที่สุดในโลกนี้ก็คือจุนซั่ง คันศรและหน้าไม้ที่จุนซั่งประดิษฐ์ขึ้น เทพวารีจะต้องทะนุถนอมชื่นชอบเป็นอย่างมากแน่นอนขอรับ”
จู่ถีเม้มปากแย้มยิ้ม ดูออกได้ด้วยสายตาว่าปีติยินดี
“เช่นนั้นก็ดีมาก” นางเอ่ยเบาๆ “อย่างนั้นคุยเรื่องที่ชวนให้ดีใจกันถึงแค่นี้เถิด”
นางหยุดพูด มองดูเทพบริวารทั้งสามที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“ต่อไปนี้ข้าจะพูดเรื่องสำคัญแล้ว”
เทพบริวารทั้งสามต่างมองหน้ากัน จากนั้นหันมามองจู่ถีโดยพร้อมเพรียง
จู่ถียังคงอ่อนโยนอย่างยิ่งอยู่เช่นเดิม น้ำเสียงถึงกับแผ่วเบาเหมือนเมื่อครู่ก่อน แต่เนื้อหาที่กล่าวกลับตรึงเทพบริวารทั้งสามไว้ที่เดิมอย่างแน่นหนา
นางกล่าวว่า
“ชิ่งเจียงหวนกลับมาแล้วใช่หรือไม่? ข้าฝันเห็นเขาฆ่าข้าตาย ในตอนที่ข้าเตรียมจะเซ่นสังเวยเพื่อแปดดินแดนอีกครั้ง”
<>::<>::<>::<>::<>::<>
[1] ทะเลสาบเส่าเหอ คือทะเลสาบลึกที่ถูกเอ่ยถึงในคัมภีร์ซานไห่จิง
[2] แปดเสียง คือวิธีจำแนกประเภทเครื่องดนตรีของจีนในยุคโบราณ โดยจำแนกตามประเภทของวัสดุที่ใช้สร้างเครื่องดนตรี