บทที่สาม
ด้านหลังประตูสวรรค์ทักษิณคือวิมานราชวังหลวง ปราณมงคลลอยอบอวล
สองหมื่นเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเจ็ดปีก่อน รัศมีเทพจู่ถีได้หวนคืนมาจากกลางปฐมโอภาส ยามที่หวนคืนได้ตราธรรมบัญญัติอันมิอาจลบล้างแก่ฟ้าดินแปดดินแดนแห่งนี้สองประการในนามของรัศมีเทพและเทพมนุษย์ จากนั้นได้กลับไปยังบึงมัชฌิมปิดประตูภูเขา จมดิ่งสู่ห้วงหลับใหลอันยาวนาน
นี่คือเรื่องใหญ่หลวงที่แม้แต่เทพเซียนน้อยซึ่งเพิ่งจะเหาะเหินขึ้นสู่สวรรค์เก้าชั้นฟ้ายังทราบดี
รัศมีเทพหวนคืน ความหมายไม่ธรรมดาจริงแท้ แต่ผ่านเวลามาเนิ่นนานถึงสามหมื่นปี เหตุที่เรื่องการหวนคืนของท่านยังคงสามารถถูกปวงเซียนทั้งหลายถกถึงอยู่เนืองๆ อย่างสดใหม่ทุกเมื่อด้วยจิตใจอันเคารพยำเกรงอยู่บนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอย่างมีชีวิตชีวาเช่นนี้ ต้องยกให้เป็นความชอบของฝ่าบาทสามแห่งวังหยวนจี๋ โอรสองค์ที่สามของเทียนจวิน...เหลียนซ่งจวิน
พึงทราบว่าสี่ทะเลแปดดินแดนไปจนถึงโลกมนุษย์ทั้งหนึ่งพันล้านใบ ขอเพียงมีผู้สำเร็จเป็นเซียนเหาะเหินขึ้นสวรรค์ ก่อนจะมุ่งหน้าสู่ตำหนักเมฆครามแห่งสวรรค์ชั้นต้าหลัวกราบมหาเทพตงหัวขอขั้นตำแหน่ง ล้วนแต่ต้องเข้าร่วมการสอบข้อเขียนซึ่งมีจุดประสงค์ในการทดสอบความรู้ความเข้าใจด้านสามัญสำนึกในพิภพเซียนของเซียนที่เพิ่งจะได้ขึ้นสวรรค์ทั้งสิ้น
สองหมื่นห้าพันปีก่อน อาจารย์คุมสอบผู้ทำหน้าที่จัดการสอบข้อเขียนนี้ คือจิ้นเหวินซ่างเสิน มหาเทพเหวินชางแห่งสวรรค์เก้าชั้นฟ้าผู้ควบคุมดูแลการสอบขุนนางเซียนและควบคุมดวงชะตาในการสอบขุนนางของทั่วหล้า แต่ต่อมาเนื่องจากจิ้นเหวินซ่างเสินยุ่งอยู่กับการชำระประวัติศาสตร์จนไม่มีเวลาว่าง จึงถวายฎีกาต่อเทียนจวิน กราบทูลขอให้ฝ่าบาทสามเหลียนผู้ซึ่งมีภูมิรู้ไม่ธรรมดา ทั้งเจ้าตัวยังค่อนข้างว่างในบรรดาคนรุ่นหนุ่มสาวมารับตำแหน่งนี้แทนท่าน
ฝ่าบาทสามมิได้ว่าอะไร รับเรื่องนี้ไป
จากนั้นทิศทางในการดำเนินไปของเรื่องราว ก็เริ่มจะเปลี่ยนไปเป็นประหลาดพิลึก...
ยี่สิบเอ็ดค่ำเดือนอ้าย คือเวลาสอบข้อเขียนประจำปีอีกแล้ว เทพเซียนน้อยที่เพิ่งจะได้ขึ้นสวรรค์สองรายออกมาจากสนามสอบด้วยสีหน้าเขียวซีดเป็นผัก
เซียนน้อยตัวสูงถอนหายใจกล่าวกับเซียนน้อยตัวเตี้ยว่า
“ข้าได้ยินมาว่าข้อสอบเกี่ยวกับเทพจู่ถีเมื่อปีที่แล้ว คือความหมายต่อโลกปัจจุบันของธรรมบัญญัติสองข้อนั้นของนาง ปีที่แล้วคนที่ต้องสอบซ่อมจึงมีไม่ค่อยมาก พวกเราปีนี้ช่างโชคร้ายนัก เฮ้อ เจ้ารู้ไหมว่าเหตุใดฝ่าบาทสามถึงชอบออกข้อสอบเกี่ยวกับเทพจู่ถีปานนี้?”
เซียนน้อยตัวเตี้ยก็ถอนหายใจเฮือกเช่นกัน
“ได้ยินว่าเป็นเพราะว่าเรื่องของเทพจู่ถีแทบจะเป็นจุดบอดในด้านความรู้ของเทพเซียนทั้งหมดในสี่ทะเลแปดดินแดนน่ะสิ คืออาวุธสำหรับฉุดคะแนนเลยละ แล้วฝ่าบาทสามยังรู้สึกอีกด้วยว่าใช้เทพจู่ถีมาออกข้อสอบนั้นสะดวกมาก เป็นต้นว่าแค่ยกเรื่องที่นางหวนคืนแล้วหลับใหลอีกครั้งมาออกข้อสอบ ก็สามารถตรวจสอบประเด็นความรู้มากมายได้อย่างครอบคลุมแล้ว แค่ดูจากหัวข้อที่ฝ่าบาทเคยออกสอบมาแล้ว ก็มี ‘อะไรคือปฐมโอภาส’ ที่ครอบคลุมถึงความรู้ด้านรัศมีศาสตร์ ‘จงวาดแผนที่แดนศักดิ์สิทธิ์บึงมัชฌิมอัตราส่วนหนึ่งต่อล้าน’ ที่ครอบคลุมถึงความรู้ด้านภูมิศาสตร์ ‘วิเคราะห์คร่าวๆ ถึงความหมายอันยิ่งใหญ่สิบประการที่สองมหาธรรมบัญญัติของเทพจู่ถีมีต่อโลกปัจจุบัน’ ที่ครอบคลุมถึงความรู้ด้านรัฐศาสตร์ และ ‘การคาดการณ์ว่าเทพจู่ถีจะฟื้นตื่นในเวลาใด’ ที่ครอบคลุมถึงความรู้ด้านโหราศาสตร์...”
เซียนน้อยตัวสูงนิ่งงันไปชั่วครู่
“ได้ยินว่าขอแค่ออกสอบหัวข้อเสี่ยงทายว่าเทพจู่ถีจะฟื้นตื่นเมื่อไรกับหัวข้อวาดแผนที่ของแดนศักดิ์สิทธิ์บึงมัชฌิม ในปีนั้นทุกคนเป็นต้องสอบซ่อมกันหมดทั้งร้อยละร้อย ปีนี้ในเมื่อพวกเราโชคร้ายเจอหัวข้อเสี่ยงทายเข้าให้ อย่างนั้นดูเหมือนมีแต่ต้องรอสอบซ่อมแล้วละ”
เซียนน้อยตัวเตี้ยกล่าวอย่างหดหู่ว่าใช่
ทั้งสองกำลังสนทนากันอย่างห่อเหี่ยวท้อแท้ เทพธรรมบาลในชุดเกราะนายหนึ่งได้รีบร้อนเดินเฉียดผ่านข้างกายพวกเขาไป
ที่สระน้ำเซียนข้างหน้ามีเทพเซียนเฒ่าท่านหนึ่งกำลังนั่งตกปลา เหมือนจะรู้จักเทพธรรมบาลผู้นั้น เอ่ยถามมาแต่ไกลว่า
“นั่นมันจวี้หลิงเสินจวินไม่ใช่หรือน่ะ รีบร้อนเช่นนี้ ประตูสวรรค์ทักษิณเกิดเรื่องใหญ่โตใดกระนั้นหรือ?”
จวี้หลิงเสินจวินเงยหน้าขึ้นตามเสียงเรียก
“พระอังคาร” เร่งสืบเท้าเข้าไปโค้งกายคารวะเทพเซียนเฒ่าท่านนั้น “มิกล้าปิดบังท่าน เทพจู่ถีฟื้นตื่นแล้วขอรับ เวลานี้เทพบริวารของบรรพตกูเหยากำลังรออยู่ที่ข้างประตูสวรรค์ทักษิณ บอกว่ารับบัญชาจากเทพจู่ถีมาน้อมพบฝ่าบาทสามแห่งวังหยวนจี๋ เปยจื๋อ[1]กำลังจะไปกราบบังคมทูลต่อเทียนจวินขอรับ”
เทพเซียนเฒ่าตกใจจนคันเบ็ดร่วง
“เทพจู่ถีตื่นแล้ว?” เก็บสีหน้าลุกขึ้นยืนกล่าวว่า “นี่คือเรื่องใหญ่เลยละ เจ้าจงไปกราบทูลเทียนจวินเถิด เปิ่นจวินจะไปดูที่ประตูสวรรค์ทักษิณสักหน่อย”
เทพเซียนทั้งสองได้ลับหายไปที่ด้านข้างสระน้ำเซียนอย่างรวดเร็ว
ตอนที่จวี้หลิงเสินจวินสนทนากับเทพเซียนเฒ่าท่านนั้นเมื่อครู่นี้ แม้จะลดเสียงเบาลงแล้ว สองเซียนน้อยหนึ่งสูงหนึ่งเตี้ยทางด้านนี้ของสระน้ำเซียนก็ยังคงได้ยินเข้าอยู่ดี
ทั้งสองต่างมองหน้ากัน เนิ่นนาน เซียนน้อยตัวเตี้ยถามอย่างตะลึงลาน
“เทพจู่ถีฟื้นตื่นแล้ว? ข้าไม่ได้ฟังผิดไปสินะ?” ไม่รอให้เซียนน้อยตัวสูงเอ่ยตอบ ดวงตาพลันเปล่งประกายวาบ “งั้นข้าไยมิใช่ไม่ต้องสอบซ่อมแล้ว! ข้าเดาไปว่าท่านจะฟื้นตื่นขึ้นมาในปีนี้นี่แหละ! โอ้ว! ข้าเดาถูกด้วยหรือนี่!”
ข่าวเทพจู่ถีฟื้นตื่น ได้แพร่ไปทั่วทั้งสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอย่างรวดเร็วพร้อมกับการมาเยือนสวรรค์ของเทพบริวารแห่งกูเหยา
ที่แพร่ไปทั่วทั้งสวรรค์เก้าชั้นฟ้าในเวลาเดียวกันยังมีข่าวซุบซิบอีกข่าว กล่าวว่าที่เทพจู่ถีส่งเทพบริวารมายังสวรรค์ หาใช่เพื่อมาเยี่ยมพบเทียนจวิน แต่เป็นมาเยี่ยมพบฝ่าบาทสามแห่งวังหยวนจี๋
ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุไฉนเทพบริวารทั้งสองจึงได้มาเยี่ยมพบฝ่าบาทสาม กลับไม่อาจทราบได้
ข่าวซุบซิบลือได้ถูกต้อง เสว่อี้กับซวงเหอมาเยี่ยมพบเหลียนซ่งจริงๆ แต่การที่ทำเสียเรื่องนี้ชาวบ้านชาวช่องต่างรู้กันทั่ว กลับมิใช่เจตนาดั้งเดิมของทั้งสองแต่อย่างใด
จะว่าไปแล้วเขาสองคนก็ใช่ว่าจะไม่เคยมาที่สวรรค์เก้าชั้นฟ้า เพียงแต่กาลก่อนล้วนแต่แอบแฝงกายเข้ามาสืบข่าวทั้งสิ้น โดยไม่เคยเดินผ่านประตูใหญ่ “ประตูสวรรค์ทักษิณ” แห่งนี้เลย
แต่ด้วยนึกถึงว่าครั้งนี้พวกเขามาเพื่อส่งมอบของขวัญ ไม่ใช่มาเพื่อทำตัวเป็นโจร ไยต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ เช่นนี้เล่า เขาสองคนจึงแจ้งต้นสังกัดที่หน้าประตูสวรรค์ทักษิณ
จากนั้นพวกเขาก็ทำให้สะดุ้งถึงเทียนจวิน สะดุ้งถึงเจินหวงแห่งสวรรค์เก้าชั้นฟ้าไม่กี่ท่านนั้น สะดุ้งถึงเต้าเต๋อเทียนจุน หลิงเป่าเทียนจุน หยวนสื่อเทียนจุน...มหาเทพตงหัวกำลังปิดด่านเก็บตัว จึงไม่โดนทำให้สะดุ้งชั่วคราว แต่เซียนกวนอันดับหนึ่งแห่งวังมหาอรุณ เซียนฉงหลิน ก็ได้มุ่งหน้ามายังตำหนักหลิงเซียวในฐานะตัวแทน เพื่อเป็นประจักษ์พยานในขั้นตอนส่งมอบของขวัญให้แก่เหลียนซ่งของพวกเขา...
ภายในตำหนักหลิงเซียว เซียนทุกท่านต่างมีสีหน้าท่าทีเคร่งขรึมจริงจังอย่างยิ่ง มีเพียงเทพวารีหนุ่มผู้ซึ่งเคยมีวาสนารักอันลึกล้ำสลักจิตกับจุนซั่งของพวกเขาอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง แต่บัดนี้ได้ลืมเลือนทั้งหมดนั้นไปเสียแล้วผู้นั้นเพียงผู้เดียว ที่ราวกับไม่รู้สึกถึงบรรยากาศอันเคร่งขรึมสำรวมภายในท้องพระโรง ยืนด้วยท่าทีตามสบายอยู่เบื้องพระพักตร์ รับกล่องหยกที่ซวงเหอยื่นไปให้ด้วยท่าทีปลอดโปร่งเยือกเย็น ยิ้มน้อยๆ
“ขอบคุณมาก”
นี่เป็นครั้งแรกที่เสว่อี้ได้พบเจอกับเทพวารีในระยะใกล้
เสินจวินชุดขาวผู้ถือพัด กิริยาท่าทีสูงศักดิ์ บุคลิกอยู่ระหว่างอบอุ่นอ่อนโยนและห่างเหินเย็นชา มีใบหน้าอันไร้ที่ติ
เหตุไฉนตอนจู่ถีฝึกตนอยู่ที่โลกมนุษย์ถึงได้หลงรักเขา ปักใจในตัวเขาอย่างลึกล้ำ ดูเหมือนไม่ได้ยากที่จะเข้าใจถึงเพียงนั้นอีก
เสว่อี้นิ่งเงียบไปชั่ววูบ แย้มยิ้มเอ่ยตอบเทพวารีหนุ่มว่า
“จุนซั่งมีความรักใคร่ห่วงใยอย่างมากล้นให้แก่เทพแห่งธรรมชาติที่ถือกำเนิดหลังจากท่านทุกคน ท่านเฝ้ารอให้เทพวารีมาเกิดโดยตลอดตั้งแต่เมื่อสองแสนกว่าปีก่อน บัดนี้หลังจากฟื้นตื่นและได้ทราบว่าเทพวารีมาเยือนสู่หล้าได้หลายปีแล้ว ก็ปีติยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้จึงได้ประดิษฐ์ของขวัญวันเกิดชิ้นนี้เองกับมือ สั่งให้ข้าสองคนส่งมาให้เป็นการชดเชย”
จู่ถีไร้เดียงสา มอบของขวัญชิ้นนี้ให้แก่เทพวารี จิตใจมิได้คิดเป็นอื่น แต่เหล่าเทพของสวรรค์เก้าชั้นฟ้า แต่ละท่านต่างเป็นยอดคนในหมู่เทพ เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ยากยิ่งจะรับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่ยกสิ่งนี้ขึ้นมาอ้าง จงใจบิดเบือนเจตนาของจู่ถี เพียงดูจากเมื่อตอนที่จู่ถีหวนคืน เทียนจวินได้ส่งเทพสัตดารามุ่งหน้ามาน้อมต้อนรับอย่างเอิกเกริก ก็พอจะมองวี่แววออกได้แล้ว
กูเหยาวางตัวเป็นกลางมาเนิ่นนานปีปานนี้ หากมีข่าวลือจำพวกรัศมีเทพเป็นฝ่ายยื่นไมตรีให้แก่เผ่าสวรรค์แพร่ออกไป...พวกเขากูเหยาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนไม่ทราบ?
ด้วยเหตุนี้เสว่อี้ถึงได้กล่าวออกไปเช่นนี้ ระบุอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งต่อหน้าบรรดาเทพเคารพของสวรรค์เก้าชั้นฟ้าทุกท่าน ว่าการกระทำในครั้งนี้ของจู่ถีคือการที่เทพแห่งธรรมชาติอาวุโสช่วยดูแลเทพแห่งธรรมชาติรุ่นหลัง
เทียนจวินฟังนัยที่แฝงเร้นในคำพูดของเสว่อี้เข้าใจแล้ว บนใบหน้ามีแววกระอักกระอ่วนวาบผ่าน
เสว่อี้เห็นเช่นนี้ ก็ยิ่งรู้สึกว่าการที่เขากล่าวแบบนั้นเป็นสิ่งจำเป็น แต่ทว่า ที่ทำให้เสว่อี้นึกไม่ถึงคือ ซวงเหอซึ่งหัวทึบเสมอมากลับสังเกตรู้ด้วยว่าถ้อยคำนี้ของเขาซ่อนความนัยไว้ แต่ซวงเหอฟังรู้เรื่องครึ่งไม่รู้เรื่องครึ่ง เข้าใจเจตนาที่เขาซ่อนไว้ผิด พลันขมวดคิ้วฉับ จ้องมองเหลียนซ่งด้วยสีหน้าถมึงทึง
“ใช่ นี่เป็นแค่ของขวัญวันเกิดเท่านั้น จุนซั่งของพวกข้าเคยส่งของขวัญวันเกิดแบบนี้ไปให้เทพเซี่ยหมิงด้วยเหมือนกัน ดังนั้นทางที่ดีเจ้าจงอย่าได้คิดลึกล่ะ!”
ภายในท้องพระโรงอันเจิดจรัสงดงาม ปวงเทพเซียนซึ่งนั่งอยู่ ณ ที่นั้นต่างตกตะลึง เหลียนซ่งก็ตกตะลึงเช่นกัน
“ข้าอย่าได้คิดลึก? คิดลึกอย่างไรรึ?” มุมปากเขายกขึ้นนิดๆ ริมฝีปากที่อมยิ้มแฝงอารมณ์นึกสนุกอยู่รำไร “ไยท่านเทพบริวารจึงได้กล่าวเช่นนี้หรือ?”
เสว่อี้นึกอยากจะฟาดซวงเหอให้ตายคาฝ่ามือขึ้นมาติดหมัด ซวงเหอรู้ตัวแล้วเช่นกันว่าตนพูดผิดเสียแล้ว เหลือบมองเสว่อี้อย่างใจตุ๊มๆ ต่อมๆ เลือกที่จะหุบปาก
เสว่อี้ไม่สะดวกใจจะอธิบายเช่นกันว่าเป็นเพราะความสามารถในการตีความของซวงเหอไม่ดีตีความเจตนาของเขาผิด แต่เจตนาที่แท้จริงของเขาก็ไม่สามารถกล่าวออกมาอย่างเปิดเผยได้อีกนั่นแหละ...ในสถานการณ์เช่นนี้ ควรใช้วาทศิลป์แบบใดมากอบกู้แก้ไข จึงจะทำให้เทพวารีไม่ถึงกับระแวงสงสัยได้? เสว่อี้คิดวิธีที่ดีที่สุดออกอย่างรวดเร็ว แต่วิธีที่ดีที่สุดนี้ ทำให้เขานึกอยากตายอยู่นิดๆ
เหลียนซ่งยิ้มละไมมองหน้าพวกเขา
“ท่านเทพบริวารทั้งสอง?”
เสว่อี้นิ่งเงียบไปชั่ววูบ
“จุนซั่งของพวกข้า” เขาแข็งใจเอ่ยปาก แต่เขาแสร้งวางท่าได้ราวกับใจเย็นอย่างยิ่ง สงบนิ่งอย่างยิ่ง เคยผ่านสถานการณ์ใหญ่มาแล้ว สุขุมดุจเบญจมาศ ไร้ท่าทีกระอักกระอ่วนแม้แต่น้อย “แม้จะถือกำเนิดในยุคมหาอุทกภัย ลำดับศักดิ์สูงส่งสุดเปรียบปาน ทั้งยังเป็นเทพแห่งธรรมชาติอาวุโสของเทพวารีท่าน แต่เมื่อนับคำนวณด้วยช่วงเวลาที่สถิตอยู่ในโลกหล้าอย่างเป็นปกติแล้ว แท้ที่จริงจุนซั่งของพวกข้าเป็นเพียงเทพีวัยดรุณผู้หนึ่งเท่านั้น อายุมิได้แตกต่างจากเทพวารีท่านมากมายนัก”
เขาหยุดเล็กน้อย ส่งกำลังใจให้ตัวเองฮึดสู้ จึงค่อยมีความกล้าปั้นเรื่องต่อไปด้วยบุคลิกสุขุมดุจเบญจมาศได้
“ซวงเหอเขากังวลว่าเทพวารีและปวงเทพบนสวรรค์จะพากันคิดลึก เข้าใจจุนซั่งของพวกข้าผิด ซึ่งก็สมเหตุสมผลอยู่ เขามิได้มีเจตนาร้าย”
เสว่อี้เป็นเช่นนี้แหละ กล่าววาจาได้สละสลวย ซ่อนนัย เหมาะสมกับกาลเทศะตลอดกาล
ถ้อยคำเหล่านี้กล่าวอย่างมิได้โจ่งแจ้งมากนัก แต่ที่ควรเข้าใจ ทุกคนต่างเข้าใจแล้ว
เทียนจวินและเหล่าเทียนจุนเจินหวงไม่กี่ท่านต่างตกตะลึงโดยพร้อมเพรียง
ที่แท้สามารถเข้าใจเทพจู่ถีผิดจากแง่มุมนี้ได้ด้วยหรือนี่?
เมื่อเผชิญกับแนวคิดใหม่อันกล้าหาญชาญชัยนี้ ทุกคนต่างตกตะลึงตาค้าง ไม่อาจเรียกสติกลับคืนมาได้อยู่เป็นนาน ในขณะที่เหลียนซ่งจวินเหมือนจะคาดเดาได้อยู่ก่อนแล้วว่าเสว่อี้จะพูดอย่างไรกระนั้น เลิกคิ้วอย่างเฉยชา
“ท่านเทพบริวารล้อเล่นแล้ว ข้าย่อมจะทราบดีว่านี่คือเจตนาอันบริสุทธิ์ยิ่งที่เทพจู่ถีมีต่อชนรุ่นหลัง มีหรือจะคิดลึก เจินหวงเทียนจุนทุกท่านในที่นี้ยิ่งไม่มีทางคิดลึกเข้าไปใหญ่ ส่วน...” เอ่ยถึงตรงนี้เขาชะงักเล็กน้อย “ส่วนปวงเซียนท่านอื่นๆ บนสวรรค์ พวกเขาย่อมจะ...” ชายหนุ่มชะงักเล็กน้อยอีกครั้ง สีหน้าเปลี่ยนเป็นออกจะซับซ้อน เขาเปลี่ยนวิธีใช้คำ “พวกเขาน่าจะไม่กล้าคิดลึก เข้าใจเทพจู่ถีผิดเช่นกัน”
ตอนนั้นเสว่อี้ยังไม่ค่อยเข้าใจสวรรค์เก้าชั้นฟ้าดีนัก ดังนั้นจึงไม่สามารถเข้าใจได้ว่ารูปประโยค “พวกเขา ‘ย่อมจะ’ ไม่กล้าเช่นกัน...” กับรูปประโยค “พวกเขา ‘น่าจะ’ ไม่กล้าเช่นกัน...” แตกต่างกันอย่างไร เพียงหลงเข้าใจว่าล้วนแต่เป็นประโยครับประกันที่เทพวารีมอบให้...รับประกันว่าชื่อเสียงของจู่ถีไม่มีทางเสียหายโดยเด็ดขาดเท่านั้น เขาจึงค่อยวางใจได้ พาซวงเหอไปจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอย่างพออกพอใจ
โชคดีแล้วที่เสว่อี้ขอตัวจากไปเร็ว เพราะว่าขอเพียงอยู่ต่ออีกแค่วันเดียว เขาก็จะพบว่าความหมายของประโยค “น่าจะไม่กล้าเช่นกัน” ที่ฝ่าบาทสามกล่าวอย่างระมัดระวังประโยคนั้นความจริงแล้วคือ : ว่ากันตามหลักแล้วพวกเขาไม่กล้า แต่พวกเขาน่าจะยังคงกล้าอยู่ดี...
เทพเซียนน้อยของสวรรค์เก้าชั้นฟ้า คือเทพเซียนน้อยที่สามารถสละชีพลืมตายได้เพื่อการสนทนาเรื่องชาวบ้าน ฝ่าบาทสามไม่ได้ตัดสินพวกเขาผิดไปเลย
เทียนจวินออกคำสั่งอย่างชัดเจนห้ามปวงเซียนวิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่เทพบริวารแห่งกูเหยามาเยือนสวรรค์ ทุกคนไม่กล้าถกวิจารณ์กันต่อหน้าโต้งๆ แต่ลับหลังนั้นถกกันเป็นที่ครื้นเครงเลยทีเดียว
รัศมีเทพฟื้นตื่น ไม่เคยเปิดกูเหยาให้ปวงเทพทั้งแปดทิศากราบไหว้ มองดูแล้วเป็นเทพยุคมหาอุทกภัยที่ยากยิ่งจะใกล้ชิดสนิทสนม กลับให้ความสำคัญเป็นพิเศษเฉพาะกับวังหยวนจี๋เพียงที่เดียว เรื่องนี้ยังก่อให้เกิดสงครามน้ำลายระหว่างกลุ่มเซียนสาวน้อยที่สนับสนุน “ฝ่าบาทสามเริงเล่นแปดดินแดนยิ่งไร้หัวใจยิ่งน่าหลงใหล” กับกลุ่มเซียนสาวน้อยที่สนับสนุน “ฝ่าบาทสามกับฉางอีฮัวจู่สมกันที่สุดในแปดดินแดนมัดตาย[2]ไม่แยกจาก” อีกด้วย
ฝ่ายแรกกล่าวว่า แม้แต่เทพจู่ถียังให้ความสำคัญกับฝ่าบาทสามของข้าเป็นพิเศษ ฝ่าบาทสามของข้าสมแล้วที่เป็นฝ่าบาทสามของข้า มิใช่ผู้ที่คนระดับเยียนหลานจะมาหมายปองได้เด็ดขาด หวังว่าเหล่าเซียนสาวน้อยที่ยืนฝ่าย “เหลียน (ซ่ง) ฉาง (อี) รักลึกล้ำ” บางคนอย่ามาตามตื๊อหน้าด้านๆ อีก ขณะเดียวกันก็แอบคาดคะเนอย่างภูมิอกภูมิใจลับหลังว่า เทพจู่ถีให้ความสำคัญกับวังหยวนจี๋เป็นพิเศษ คงไม่ใช่ว่ามีใจให้ฝ่าบาทสามดอกนะ?
ฝ่ายหลังกล่าวว่า ถึงแม้เยียนหลานเซียนจื่อจะคือฉางอีฮัวจู่กลับชาติมาเกิด แต่ที่พวกนางยืนคือฝ่าย “ฝ่าบาทสามกับฉางอี” ต่างหาก ไม่ใช่ “ฝ่าบาทสามกับเยียนหลาน” นอกจากนี้พวกนางยังไม่ได้ตามตื๊ออีกด้วย เดิมทีฝ่าบาทสามก็ปฏิบัติกับฉางอีฮัวจู่แตกต่างอย่างมากอยู่แล้ว พร้อมกันนี้ก็แอบคาดคะเนลับหลังอย่างหวาดหวั่นกังวลว่า เทพจู่ถีให้ความสำคัญกับวังหยวนจี๋เป็นพิเศษ เป็นเพราะมีใจให้ฝ่าบาทสามใช่ไหมนะ?
เห็นจะต้องบอกว่า ถึงแม้จะแยกกันสังกัดคนละฝ่าย แต่ทุกคนนับว่าร่วมแรงร่วมใจกันดีในวิถีแห่งการจับคู่คลุมถุงชนนี้ อีกทั้งอย่างน้อยในด้านจินตนาการยังเหนือล้ำกว่าเทียนจวินไปหลายขุมอีกด้วย
เซี่ยนเอ๋อร์ สาวใช้ของเยียนหลานเซียนจื่อปะปนอยู่ในสงครามน้ำลายของทั้งสองฝ่ายอย่างจับปลาน้ำขุ่น ตักตวงข่าวซุบซิบที่สำคัญยิ่งบางข่าวมาได้ รีบร้อนไปแจ้งข่าวต่อเยียนหลาน
“ได้ยินว่าเทพจู่ถีประดิษฐ์หน้าไม้คันเล็กด้วยตัวเองหนึ่งคันมอบให้แก่ฝ่าบาทสาม ฝ่าบาทสามโปรดปรานมาก หนูปี้ได้ยินเซียนน้อยเหล่านั้นวิเคราะห์ว่า การกระทำครั้งนี้มีความเป็นไปได้ว่าคือการส่งสัญญาณของทางกูเหยา เจตนาคือประสงค์จะเกี่ยวดองกับเผ่าเทพเจ้าค่ะ...”
ริมสระมณี เยียนหลานที่คุกเข่าอยู่ริมฝั่ง กำลังทดลองย้ายดอกบัวขนาดเล็กกอหนึ่งซึ่งเดิมทีขึ้นในกระถางหยกลงสู่สระชะงักเล็กน้อย ตัดบทเซี่ยนเอ๋อร์
“ไม่ใช่ว่านางถือกำเนิดในยุคพงศาวดารเทพเก่า อายุตั้งสามแสนกว่าปีแล้วหรือ?” ขมวดคิ้วกล่าวอย่างไม่พอใจ “เผ่าสวรรค์สมรสเพื่อเกี่ยวดองกับชิงชิว ระหว่างป๋ายเฉี่ยนซ่างเซียนกับองค์ไท่จื่ออายุต่างกันเก้าหมื่นปี เทพเซียนที่นินทาว่าร้ายก็มีไม่ใช่น้อยแล้ว ระหว่างนางกับฝ่าบาทสามอายุต่างกันไหนเลยแค่เก้าหมื่นปี เกรงว่าเก้าหมื่นปีตั้งสามรอบเสียด้วยซ้ำ จะมาแต่งงานเพื่อเกี่ยวดองกันได้อย่างไร? เจ้าอย่าตื่นตูมไปหน่อยเลย”
เซี่ยนเอ๋อร์ยิ้มประจบ กล่าวอย่างระมัดระวังว่า
“แต่ได้ยินเซียนน้อยพวกนั้นบอกว่า เนื่องจากรัศมีเทพคือเทพที่หวนคืนหลังจากเซ่นสังเวย หากเอ่ยถึงอายุ แท้จริงแล้วควรจะนับจากอายุในตอนที่นางเซ่นสังเวย นั่นก็คือหนึ่งแสนปี เช่นนี้ นางกับฝ่าบาทสามที่อายุเจ็ดหมื่นปีกลับมีอายุที่เหมาะสมกันเจ้าค่ะ”
เยียนหลานตะลึงลาน ดวงตาคู่งามค่อยๆ เบิกกว้าง
“ดังนั้นนาง...” พึมพำเบาๆ “จากที่เจ้าพูดมา แม้ว่านางจะเป็นเทพในยุคมหาอุทกภัย อายุกลับไม่มาก เช่นนั้นอยู่เฝ้ากูเหยาเพียงลำพัง ก็ยากเย็นอย่างยิ่งจริงๆ นั่นแหละ คิดจะแต่งงานกับฝ่าบาทสาม ให้เผ่าสวรรค์เป็นโล่คุ้มหลังให้นาง ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้...” คิดถึงตรงนี้ ใบหน้าพลันถอดสี ริมฝีปากสั่นระริก “ไม่มีทาง” นางฝืนข่มใจให้สงบ “ฝ่าบาททรงเคยสละพลังฝึกปรือครึ่งร่างเพื่อข้า เคยฉีกแผ่นดินสร้างทะเลเพื่อข้า ผู้ที่ฝ่าบาทชอบคือข้า เขาไม่มีทางยอมรับปากการแต่งงานครั้งนี้แน่!”
เซี่ยนเอ๋อร์มีสีหน้ากังวล กล่าวต่ออย่างระมัดระวังว่า
“แต่ว่า...ต่อให้ฝ่าบาทไม่รับปาก หากว่ากูเหยามีใจให้ฝ่าบาทจริงๆ หนูปี้กังวลว่าเทียนจวินจะไม่มีทางปฏิเสธนี่สิเจ้าคะ” นางวิเคราะห์สีหน้าของเยียนหลาน ขยับเข้าไปใกล้เยียนหลานเล็กน้อย “ในความเห็นของหนูปี้ ฮัวจู่มิสู้ฉวยโอกาสสะกิดชั้นม่านแพรที่ขวางกั้นฝ่าบาทให้ขาดลง ให้ฝ่าบาทรับท่านเป็นเช่อเฟย (พระชายารอง) ก่อนเถิด...”
เยียนหลานลุกพรวดขึ้นยืนทันที
“ไม่ได้!”
เซี่ยนเอ๋อร์สะดุ้งโหยง และในจังหวะเดียวกันนี้ ที่กลางสระมณีพลันมีเสียง “พรืด” อย่างหลุดหัวเราะเยาะดังมา
สองนายบ่าวต่างใจหายวาบ เยียนหลานตวาดเสียงห้วน
“ใครกันมาทำลับๆ ล่อๆ?”
หลังเสียงสวบสาบครู่หนึ่ง สตรีโฉมงามผู้หนึ่งได้แหวกกอบัว ลุกขึ้นมาจากใบบัวที่ซ้อนทับกัน ลูบจอนผมด้วยท่าทีเกียจคร้าน
“เปิ่นกงจู่พักผ่อนกลางวันอยู่ตรงนี้ พวกเจ้าเองต่างหากที่เป็นฝ่ายแล่นมาพูดอะไรที่ชวนให้ขบขัน แต่กลับมาว่าเปิ่นกงจู่ลับๆ ล่อๆ รึ?”
สายตาตกลงจับที่ร่างของเยียนหลาน เอ่ยยิ้มๆ ว่า
“นี่ ฮัวจู่น้อย เจ้าน่ะสอบวิชาประวัติศาสตร์ยุคมหาอุทกภัยไม่เคยผ่านเลยใช่หรือไม่?”
สายตาเยียนหลานสงบนิ่ง จำได้แล้วว่าบุคคลตรงหน้าท่านนี้คือเจ้าหญิงจือเฮ่อ ขนิษฐาบุญธรรมของมหาเทพตงหัวแห่งวังมหาอรุณ และเคยเรียนวิชาที่มารีจีเทวีด้วยเช่นกัน คือพระประธานองค์ใหญ่ที่จะไปหาเรื่องด้วยไม่ได้ แม้ว่านางจะนึกโมโหที่จือเฮ่อแอบฟังพวกนางนายบ่าวสนทนาส่วนตัว แต่ในใจก็ทราบดีว่าจะอาละวาดต่อหน้าพระประธานองค์นี้ไม่ได้ นางอดทนแล้วอดทนอีก กล่าวเสียงเย็นว่า
“หม่อมฉันไม่ทราบว่าองค์หญิงกำลังตรัสอะไรเพคะ” กล่าวพลางทำท่าจะพาเซี่ยนเอ๋อร์ปลีกตัวจากไป
จือเฮ่อกลับกระโดดเบาๆ ขึ้นมาบนฝั่ง ขวางอยู่เบื้องหน้าทางที่จะไป “เมื่อกี้นี้เจ้าพูดไม่ใช่หรือไร ว่าเทพจู่ถีจำเป็นต้องแต่งงานเกี่ยวดองกับเผ่าสวรรค์ ต้องพึ่งพาเผ่าสวรรค์ถึงจะสามารถหยั่งเท้าในแปดดินแดนได้?”
นางวางมาดปลอดโปร่งเยือกเย็นมองดูเยียนหลาน
“ในยุคมหาอุทกภัยที่มีแต่ภัยสงคราม เทพจู่ถีเร้นกายเพียงลำพังที่กูเหยา ก็ไม่เห็นว่าเผ่าไหนจะทำอะไรนางได้เลย มาบัดนี้สี่ทะเลสงบสุข นางกลับต้องพึ่งพาเผ่าสวรรค์ถึงจะมีชีวิตรอดได้เสียแล้ว เปิ่นกงจู่รู้สึกว่า ขอแค่เคยสอบวิชาประวัติศาสตร์ยุคมหาอุทกภัยผ่านสักครั้ง ก็น่าจะพูดจาเหลวไหลเช่นนี้ออกมาไม่ได้แล้ว ถึงได้ถามเจ้าอย่างไรเล่าว่าไม่เคยสอบผ่านใช่หรือไม่?”
พูดถึงตรงนี้ นางเหมือนเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้กระนั้น
“อ้อ เกือบลืมแล้วเทียว” นางยิ้มอย่างร้ายกาจ “เจ้าคือเซียนที่ขึ้นมาบนสวรรค์ด้วยเส้นสาย ไม่เคยเรียน ‘ประวัติศาสตร์ยุคมหาอุทกภัย’ มาก่อนเลยนี่นะ”
สีหน้าเยียนหลานเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำในพริบตา
นางหาใช่เซียนที่บำเพ็ญเพียรจนได้ขึ้นสวรรค์มาอย่างถูกต้อง ที่ได้รับสืบทอดตำแหน่งฮัวจู่ ได้เสพสุขกับเกียรติยศของฮัวจู่ ล้วนเป็นเพราะว่านางคือ ‘ฉางอี’ คือ ‘ฮัวจู่คนก่อนกลับชาติมาเกิด’ ทั้งสิ้น แต่นางสืบทอดความทรงจำของฉางอี กลับมิได้สืบทอดความสามารถของฉางอี เกือบสามหมื่นปีมานี้ ไม่เคยสร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ใดๆ ระหว่างดำรงตำแหน่งฮัวจู่เลย จนทำให้เทพเซียนบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าพากันตำหนิติเตียนไม่ได้หยุด กระนั้นด้วยติดขัดที่มหาเทพตงหัวกับฝ่าบาทสามเหลียน แม้ในใจของทุกคนจะไม่ยอมรับนับถือ อย่างน้อยก็ไม่กล้าติเตียนนางต่อหน้า
ทว่ายามนี้ จือเฮ่อกลับกล้าเย้ยหยันดูแคลนนางต่อหน้าเช่นนี้ เยียนหลานโทสะลุกฮือโหม อดโต้กลับโดยไม่เลือกคำพูดไม่ได้
“หากไม่ใช่เพราะต้องการช่วงชิงเผ่าสวรรค์มาเป็นผู้หนุนหลัง เหตุใดกูเหยาถึงได้แสดงไมตรีแต่กับฝ่าบาทสาม แสดงท่าทีพิเศษกับเขาเพียงผู้เดียวกันเล่า? เป็นเพราะตัวรัศมีเทพ...”
เอ่ยถึงตรงนี้พลันได้สติกะทันหัน หากกล่าวต่อไปจะเป็นการครหาว่าร้ายเทพเคารพแล้ว นางรีบหุบปากทันควัน แต่ก็ไม่ยอมแพ้เพียงแค่นี้เช่นกัน กัดฟันกล่าวเสริมอีกประโยค
“ในเมื่อกูเหยาทำอะไรไม่เลี่ยงข้อครหา เช่นนั้นก็อย่ามาโทษว่าผู้อื่นคิดลึก!”
จือเฮ่อมองดูเยียนหลานอย่างตกตะลึง
“บัดนี้ฟ้าดินสงบสุข ห้าธาตุสมดุล ปวงเซียนในแปดดินแดนเองก็ไม่ใคร่ได้เอ่ยถึงเทพแห่งธรรมชาติกันแล้ว ดังนั้นเจ้าถึงได้ลืมไปเสียแล้วว่าฝ่าบาทสามยังมีอีกฐานะหนึ่ง คือ ‘เทพแห่งธรรมชาติ’ กระนั้นหรือ?” เลิกคิ้วอย่างแสร้งทำเป็นถึงบางอ้อ “โอ๊ะ บางทีเซียนที่กระทั่งการสอบข้อเขียนแรกขึ้นสวรรค์ก็ยังไม่เคยไปเข้าสอบอย่างเจ้า คงไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าอะไรคือ ‘เทพแห่งธรรมชาติ’ ใช่ไหมนะ?”
เห็นเยียนหลานเม้มปากแน่น บนใบหน้าทอแววสุดจะทนรับได้ จือเฮ่อแค่นเสียงหยันเบาๆ อย่างเข้าใจแล้ว
“โอ้โฮ ไม่รู้จริงๆ ด้วยละ ในพงศาวดารได้จารึกไว้ ภายในสี่ทะเล ระหว่างแปดดินแดน สามมหาเทพผู้สร้างโลกสร้างโลก สามมหาเทพพิทักษ์โลกพิทักษ์โลก ห้ามหาเทพแห่งธรรมชาติธำรงมรรคาฟ้า รัศมีเทพคือเทพแห่งธรรมชาติองค์ที่สามของโลกหล้า เทพวารีคือเทพแห่งธรรมชาติองค์สุดท้ายของโลกหล้า”
เอ่ยถึงตรงนี้ จือเฮ่อหยุดพูด ยิ้มบางๆ
“เมื่อกี้นี้เจ้าบอกว่าเทพจู่ถีต้องหลีกเลี่ยงข้อครหา ไม่ควรแสดงท่าทีที่พิเศษต่อฝ่าบาทสามใช่หรือไม่?” รอยยิ้มบนใบหน้าจือเฮ่อกว้างขวางกว่าเดิม “บัดนี้ในบรรดาห้ามหาเทพแห่งธรรมชาติ เทพอัคคีเทพเซี่ยหมิงดับขันธ์ไปแล้ว พระแม่ธรณีหฺนฺวี่วาเหนียงเนี่ยงกับเจ้าแห่งวาตะเส้อเจียจุนเจ่อ[3]ล้วนแต่กำลังหลับใหล ที่ฟื้นตื่นมีสติคงอยู่ในโลกหล้า มีเพียงเทพจู่ถีที่เป็นรัศมีเทพกับฝ่าบาทสามที่เป็นเทพวารี เทพจู่ถีไม่แสดงท่าทีที่พิเศษต่อฝ่าบาทสาม หรือควรจะแสดงท่าทีที่พิเศษต่อเจ้า?” กวาดตามองสองนายบ่าวแวบหนึ่ง “พวกเจ้าสิดันคิดสกปรก ยังจะพูดอะไรอย่างต้องไปเป็นเช่อเฟยของฝ่าบาทสามเหลียนก่อนหน้าเทพจู่ถีหนึ่งก้าวนั่น”
อมยิ้มมองหน้าเยียนหลาน “อย่างเจ้าก็คู่ควรด้วย?”
เยียนหลานหน้าแดงก่ำ ริมฝีปากสั่นระริก กลับพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
ในดวงตาของจือเฮ่อทอแววดูแคลน
“พวกเขาต่างพูดกันว่าเจ้าคือฉางอีกลับชาติมาเกิดซึ่งฝ่าบาทสามทุ่มเทกำลังอย่างมหาศาลสร้างขึ้นมา ฉางอีน่ะ ถึงข้าจะไม่ค่อยชอบนางนักเหมือนกันก็ตาม แต่อย่างน้อยนางก็ฉลาด จัดการเรื่องราวได้มีไหวพริบ พอจะมีความสามารถจริงอยู่บ้าง แล้วเหตุใดตัวเจ้าที่เป็นร่างกลับชาติมาเกิดถึงได้โง่อย่างนี้กันนะ? แค่โง่ยังพอทำเนา ยังไม่อ่านหนังสืออีก แย่ที่สุดเลยนี่นา” จบคำยิ้มอย่างเย็นชา ลอยชายจากไป
เยียนหลานกัดฟันกรอด สั่นเทิ้มไปทั้งตัว จวบจนจือเฮ่อเดินจากไปไกลลิบ พลันล้มลงกับพื้นดังตึง กลับเดือดดาลสุดขีดจนเป็นลมไปเสียแล้ว เซี่ยนเอ๋อร์กรีดร้องโวยวายอยู่ด้านข้าง
ห่างออกไปไม่กี่ก้าวมีผืนป่าไผ่หยกอยู่ เทียนปู้ เซียนสตรีแม่บ้านของวังหยวนจี๋กำลังเก็บน้ำค้างใบไผ่อยู่ที่ด้านหลังป่าไผ่ผืนนี้ ถูกบังคับให้ฟังการปะทะคารมระหว่างจือเฮ่อกับเยียนหลานตลอดรายการจนจบ
ยามนี้เห็นเยียนหลานเป็นลมล้มลง เทียนปู้ใคร่ครวญอยู่ชั่ววูบ เลี้ยวออกมาจากด้านหลังผืนป่าไผ่แห่งนั้น แสร้งทำเป็นว่าบังเอิญผ่านทางมา เดินเข้าไปช่วยเซี่ยนเอ๋อร์พยุงเยียนหลานลุกขึ้น แล้วเรียกเซียนมหาดเล็กมา สั่งให้พวกเขาพาเยียนหลานที่เป็นลมหมดสติไปส่งยังวิมานของเทพโอสถ
จัดการทั้งหมดนี้เสร็จสิ้นตามขั้นตอนอย่างเป็นระเบียบ สายตามองดูเงาหลังของทุกคนที่รีบร้อนจากไปไกล เทียนปู้ถอนหายใจเบาๆ
เทียนปู้กับเยียนหลานนับได้ว่าสนิทสนมคุ้นเคยกันอย่างมาก
สามหมื่นปีมานี้ บนสวรรค์อันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ เทียนปู้ได้พบกับเยียนหลานอยู่บ่อยครั้ง บางครั้งเวลามองดูเยียนหลาน เทียนปู้จะคิดว่า ตอนที่ฉางอีตกตาย ณ เจดีย์กักปิศาจ บางทีฝ่าบาทสามอาจจะไม่ควรรักษาเศษวิญญาณของฉางอีไว้เลย
ถึงแม้เหตุการณ์จะผ่านมาตั้งสามหมื่นปีแล้ว แต่เรื่องราวในตอนนั้น เทียนปู้จดจำได้ทั้งหมด
นางจำได้ว่า ในวันที่สามที่ฉางอีตกตาย เทียนจวินได้เสด็จมายังวังหยวนจี๋ ทำการกำหนดสัญญาพนันครั้งนั้นกับฝ่าบาทสาม และจำได้เช่นกันว่า ในปีที่ยี่สิบแปดที่สัญญาพนันครั้งนั้นถูกกำหนดขึ้น วิญญาณของฉางอีถูกซ่อมแซมเสร็จสิ้น มุ่งหน้าสู่โลกมนุษย์แห่งหนึ่งเกิดใหม่เป็นเยียนหลาน
หลังจากนั้นฝ่าบาทสามได้ทำตามสัญญาพนัน ลงไปยังโลกเพื่อคอยเฝ้าคุ้มครองเยียนหลาน
ในฐานะที่เป็นเซียนสตรีข้างกายฝ่าบาทสามซึ่งเป็นงานมากที่สุด เทียนปู้ได้ติดตามไปด้วยเช่นกัน
พวกเขาอยู่ที่โลกมนุษย์กันทั้งสิ้นสิบแปดปี
เวลาสิบแปดปีที่คอยคุ้มครองอยู่เคียงข้างไร้เรื่องสนุกใดให้เล่าถึง
ตอนปีที่สิบแปด ราชวงศ์ที่พวกนางอยู่เกิดสงครามขึ้น และในฐานะที่เป็นเจ้าหญิงของราชวงศ์ เยียนหลานจำเป็นต้องแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีเพื่อแคว้น
เยียนหลานไม่อยากแต่งงานไปอยู่ต่างเผ่า จึงอ้อนวอนขอร้องต่อฝ่าบาทสาม ตอนนั้นดูเหมือนฝ่าบาทสามก็อยู่ที่โลกมนุษย์จนเบื่อหน่ายแล้วเช่นกัน ไม่ต้องการอยู่ที่นั่นให้เสียเวลาไปเปล่าๆ อีก จึงฉวยโอกาสก่อเรื่องใหญ่...เขาสร้างทะเลผืนใหญ่ขึ้นที่ชายแดนของราชวงศ์อย่างหักดิบ หนึ่งคือได้ขัดขวางการแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีของเยียนหลาน สองคือได้อาศัยสิ่งนี้สิ้นสุดสัญญาพนันกับเทียนจวินก่อนกำหนด
จริงดังคาด การกระทำนี้ได้สั่นสะเทือนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า เทียนจวินมิอาจไม่จับตัวเขากลับไปก่อนกำหนดเพื่อลงโทษ ให้ทุกคนบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้ายอมรับนับถือ
แต่ในสายตาของเทียนจวิน การกระทำที่เอาแต่ใจนี้ของฝ่าบาทสาม บังเอิญได้พิสูจน์ถึงความรักอันยั่งยืนและลึกล้ำที่เขามีต่อฉางอีอีกครั้ง ด้วยเหตุนี้เทียนจวินจึงกล้าพนันก็กล้าแพ้ อภัยโทษความผิดฐานบุกรุกเจดีย์กักปิศาจโดยพลการของฉางอี ทั้งยังพาเยียนหลานกลับมายังสวรรค์เก้าชั้นฟ้าก่อนกำหนด ฟื้นฟูตำแหน่งเซียนของนาง
นับแต่นั้นมา บรรดาเทพบุปผาและเซียนบุปผาในโลกหล้า ได้มีประมุขแห่งเผ่าพันธุ์อีกครั้งในที่สุด
ส่วนเยียนหลานซึ่งสลายกระดูกมนุษย์รวมกระดูกเซียนสำเร็จ ขึ้นดำรงตำแหน่งเทพอีกครั้งนั้น หลังจากได้รับร่างเซียนที่สามารถรองรับความทรงจำได้มากกว่าเดิมแล้ว เป็นเช่นที่ฝ่าบาทสามปรารถนา คือได้รับความทรงจำของฉางอีกลับคืนมาทั้งหมด
ในที่สุดนางก็สามารถพิสูจน์ยืนยันให้ฝ่าบาทสามประจักษ์ต่อไปได้แล้วว่า โลกนี้มิได้ว่างเปล่าเช่นที่เขาคิด แท้จริงแล้วก็มีสิ่งที่คงอยู่ชั่วนิรันดร์โดยไม่หมุนเวียนเกิดดับเพราะเวลาหรือสถานการณ์ด้วยเช่นกัน
แต่ที่ชวนให้คาดคิดไม่ถึงคือ เยียนหลานที่ได้ความทรงจำในอดีตกลับคืนมา ได้เปลี่ยนใจอย่างง่ายดาย สลัดความรักที่มีต่อซางจี๋ทิ้งไป เปลี่ยนมาเป็นเกิดจิตปฏิพัทธ์ต่อฝ่าบาทสาม
จากที่เทียนปู้จำได้ นั่นคือปีที่สามพันเจ็ดร้อยเจ็ดสิบสี่หลังกลับมาจากโลกมนุษย์
ปีนั้น ฝ่าบาทสามฉีกแผ่นดินสร้างทะเลที่โลกมนุษย์ จากนั้นถูกลงโทษให้ไปรับทัณฑ์ ณ ภูเขาเทียนกุ้ยสุดอุดร สิ้นสุดการรับทัณฑ์แล้วยังมาช่วยเยียนหลานสลายกระดูกมนุษย์รวมกระดูกเซียน ใช้พลังหลายรอบเข้า สูญเสียพลังฝึกปรืออย่างหนัก ด้วยเหตุนี้ยังไม่ทันที่เยียนหลานจะฟื้นตื่นขึ้นในร่างเซียน มหาเทพตงหัวก็พาฝ่าบาทสามจากไป มุ่งหน้าสู่ทะเลมรกตแห่งชางหลิงเพื่อปิดด่านเก็บตัวเสียแล้ว
การปิดด่านนี้ ยาวนานถึงสามพันกว่าปี
เหตุการณ์ก็ช่างประจวบเหมาะนัก ในปีสุดท้ายที่ฝ่าบาทสามปิดด่านเก็บตัว สุดบาดาลสยบภัยพิบัติมีปิศาจชั้นสูงคิดจะทลายสุดบาดาลออกมา ก่อกวนจนทะเลตะวันฉายปั่นป่วนวุ่นวาย
“ทะเลตะวันฉาย” คือบ้านเกิดของฝ่าบาทสาม เขาย่อมต้องไปปราบปราม กระนั้นปิศาจชั้นสูงนั้นหาใช่อสุรกายธรรมดาสามัญ เก่งกาจยิ่งนัก หนึ่งปิศาจหนึ่งเทพต่อสู้โรมรันกันยาวนานถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน สุดท้ายปิศาจชั้นสูงนั้นถูกพิชิตลงได้ แต่ฝ่าบาทสามก็ไม่ได้ดีกว่ากันนัก ไม่เพียงแต่บาดเจ็บสาหัส ยังเสียเกล็ดย้อนไปอีกด้วย
ศึกที่มหาเทพเคยรบยังมากยิ่งกว่าเกลือที่เทพธรรมดาทั่วไปเคยกิน[4] มิได้เห็นบาดแผลที่เต็มตัวของฝ่าบาทสามอยู่ในสายตา มหาเทพถึงกับรู้สึกว่าบาดแผลเล็กน้อยพรรค์นี้ไม่คู่ควรต่อการพักฟื้นที่ทะเลมรกตแห่งชางหลิงให้สิ้นเปลืองปราณทิพย์ของทะเลมรกตแห่งชางหลิง แค่พักฟื้นส่งๆ ที่สวรรค์เก้าชั้นฟ้าก็ได้แล้ว และได้พาฝ่าบาทสามกลับสวรรค์เก้าชั้นฟ้า มอบสู่มือของนาง เซียนสตรีแม่บ้านของวังหยวนจี๋ผู้นี้
เพิ่งจะได้ทราบว่าฝ่าบาทสามกลับมาที่วังหยวนจี๋อีกครั้ง เยียนหลานก็รีบแล่นมาหา
เยียนหลานในเวลานั้นเป็นเทพเซียนบนสวรรค์มาได้สามพันกว่าปี ได้มีท่าทางของเทพเซียนขึ้นมาบ้างแล้ว แต่เทียบกับฉางอีแล้ว ยังคงแตกต่างกันอย่างมาก
ตามหลักแล้ว เยียนหลานก็คือฉางอี กลับไม่เหมือนฉางอี
เยียนหลานได้สารภาพความในใจต่อฝ่าบาทสามอย่างอุธัจขัดเขินที่หน้าเตียงซึ่งฝ่าบาทสามนอนพักฟื้นนั่นเอง ฝ่าบาทเหมือนพอจะคาดเดาได้อยู่ก่อน มองนางนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง
“ได้ยินว่าเจ้าฟื้นฟูความทรงจำแล้ว เช่นนั้นเจ้าน่าจะนึกเรื่องพี่รองของข้าออกแล้ว เคยชอบเขามากปานนั้น เหตุใดตอนนี้จึงเปลี่ยนไปเล่า?”
เยียนหลานก้มหน้า สองแก้มยิ่งแดงปลั่ง
“เป็นเพราะหม่อมฉันนึกขึ้นได้ถึงความดีที่ฝ่าบาทสามทรงมีต่อหม่อมฉันเช่นกันเพคะ หากไม่มีฝ่าบาท ก็ไม่มีหม่อมฉันในวันนี้ หม่อมฉันเคยโง่เขลามาก่อน แต่การตายก่อนวัยอันควรที่เจดีย์กักปิศาจ ได้ทำให้หม่อมฉันเข้าใจแล้วว่า ในโลกนี้ผู้ใดดีต่อหม่อมฉันมากที่สุด บัดนี้ผู้ที่ในใจของหม่อมฉันชอบพออย่างแท้จริง...”
นางแอบเหลือบมองฝ่าบาทสาม กัดริมฝีปาก ประหนึ่งฝืนข่มความขวยเขิน
“ผู้ที่หม่อมฉันชอบพออย่างแท้จริง คือฝ่าบาทเพคะ”
ฝ่าบาทสามนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน
“ข้าเคยเชื่อว่าเจ้าจะรักซางจี๋ไม่แปรผันตราบวันตาย” เขามองหน้าเยียนหลาน “เจ้าทำให้ข้าผิดหวังอย่างมาก”
เยียนหลานตกตะลึง เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ สีแดงเรื่อด้วยความอุธัจบนใบหน้าได้เหือดหาย
“ม-หม่อมฉันชอบฝ่าบาท ฝ่าบาทไม่โสมนัสดอกหรือเพคะ ฝ่าบาทมิใช่ว่า...ทรงเฝ้ารอให้หม่อมฉันระลึกอดีตได้ กลายเป็นฉางอีที่แท้จริงมาโดยตลอดเช่นกัน จากนั้นจะได้...กับฝ่าบาท...”
ฝ่าบาทสามขมวดคิ้ว “ที่ข้าช่วยชีวิตฉางอีไม่ใช่เพื่อเรื่องนี้”
เยียนหลานไม่ยอมเชื่ออยู่ดี ลนลานกล่าวว่า
“อย่างนั้น...เป็นเพราะหม่อมฉันยังไม่เหมือนฉางอีมากพอใช่หรือไม่ หม่อมฉันกำลังพยายามเลียนแบบอย่างหนัก...”
ฝ่าบาทสามตัดบทนาง สีหน้ากล่าวไม่ได้ว่าเย็นชา หากจะวิจารณ์อย่างละเอียด คงจะเป็นเช่นที่เขาบอกนั่นแหละ ผิดหวังเสียส่วนใหญ่
“เจ้าไม่ต้องเลียนแบบนาง ข้าไม่ได้มีจิตปฏิพัทธ์ต่อฉางอี” เขากล่าวเสียงเรียบเฉย “ไม่ได้มีจิตปฏิพัทธ์ต่อเจ้าเช่นกัน”
วันนั้น เยียนหลานออกไปจากวังหยวนจี๋อย่างงุนงงเลื่อนลอย
ฝ่าบาทสามทุ่มเทกำลังมากมายปานนั้นไปที่ตัวฉางอี หมายจะพิสูจน์ว่าบางทีในโลกนี้อาจจะมีสิ่งอันเป็นนิรันดร์ซึ่งมิได้ว่างเปล่าดำรงอยู่ แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว
ผลงานที่เคยทำมามลายสิ้น ชวนให้ท้อแท้ใจ เทียนปู้หลงนึกว่าฝ่าบาทสามจะเนือยไปสักระยะเสียอีก แต่ดูเหมือนก็มิได้เป็นเช่นนั้น เพียงแต่มีอยู่คืนหนึ่ง ฝ่าบาทสามนั่งเป่าขลุ่ยตี๋อยู่บนหลังคาของวังหยวนจี๋ ยามราตรีลมแรง นางขึ้นไปส่งผ้าคลุมให้ฝ่าบาทสาม เห็นเขากำลังเพ่งมองสรวงสวรรค์อันกว้างใหญ่ไพศาล เนิ่นนานไม่เอ่ยคำ เทียนปู้ลองเข้าไปเลียบเคียงถามดู
“ฝ่าบาท ทอดพระเนตรอะไรอยู่หรือเพคะ?”
ฝ่าบาทนิ่งเงียบไปชั่ววูบ ตอบนางว่า
“มองดูว่าโลกนี้ล้วนแต่อนิจจัง มีแต่ความว่างเปล่า”
เทียนปู้ขบคิดอยู่ชั่วแล่น คิดจะถามเขาว่า อยู่บนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าจนเบื่อแล้วใช่หรือไม่ ให้นางไปเตรียมตัวสักหน่อย แล้วเรากลับไปที่ทะเลตะวันฉายกันดีหรือไม่ แต่ได้ยินเขากล่าวอีกว่า
“เดิมทีข้าควรจะมีแต่ความรู้สึกเช่นนี้ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อกี้มีอยู่แวบหนึ่ง ข้ากลับรู้สึกว่าดูเหมือนโลกนี้จะเคยปรากฏสิ่งที่ทำให้ข้ายอมทุ่มเดิมพันทุกอย่างเพื่อไล่ตาม และเคยทะนุถนอมให้ความสำคัญอย่างไม่มีวันนึกเสียใจด้วยเช่นกัน” เขาพึมพำเบาๆ “คืออะไรหนอ?”
เทียนปู้ใบ้รับประทาน ทั้งยังสับสนงุนงง เนื่องจากในความทรงจำของนาง สองหมื่นกว่าปีมานี้ ฝ่าบาทสามผู้ซึ่งมองสรรพสิ่งในโลกนี้เป็นความว่างเปล่าทั้งสิ้น ไม่เคยมีสิ่งใดที่ต้องการทะนุถนอมให้ความสำคัญแต่อย่างใด
นางใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง เสนอความเป็นไปได้หนึ่งออกมา
“คงไม่ใช่ว่าฝ่าบาททรงพระสุบินอะไรกระมังเพคะ...”
ฝ่าบาทสามส่ายหน้า
“ไม่ใช่ฝัน” จากนั้นเขายิ้มบางๆ อย่างไม่ใคร่ใส่ใจนัก “คงจะคิดไปเองนั่นแหละ” แล้วขยับตี๋หยกขาวเลานั้นมาที่ริมฝีปากอีกครั้ง
ท่ามกลางลมราตรี เสียงตี๋ได้ดังขึ้นอีกคำรบ
หลังจากนั้น เยียนหลานไม่ได้มาที่วังหยวนจี๋อีกเลยอยู่พักใหญ่มาก
สถานะความเป็นอยู่บนสวรรค์ของเยียนหลานไม่นับว่าดี เทียนปู้มองเห็นอยู่ตลอด เทียนจวินพระราชทานฐานะอันสูงศักดิ์ให้แก่เยียนหลานก็จริง แต่นางมีความสามารถไม่เพียงพอ ฝืนใจนั่งอยู่บนตำแหน่งฮัวจู่โดยมิอาจทำให้ผู้คนยอมรับนับถือได้ สามพันกว่าปีมานี้ ล้วนแต่อาศัยว่าปวงเซียนเข้าใจผิดว่าฝ่าบาทสามมีจิตปฏิพัทธ์ต่อนาง กริ่งเกรงฝ่าบาทสาม ไม่กล้าหาเรื่องกลั่นแกล้งนางทั้งสิ้น นางถึงได้สามารถดำรงตำแหน่งฮัวจู่ต่อไปอย่างล้มลุกคลุกคลานได้
เยียนหลานไม่กล้าให้ปวงเซียนรู้เข้าว่าระหว่างนางกับฝ่าบาทสาม ก็แค่นางคิดไปเองฝ่ายเดียว ถึงแม้ฝ่าบาทสามจะบอกกล่าวออกไปอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งแล้วก็ตาม ยามเมื่อมีเซียนน้อยไม่รู้ความแล่นไปหานาง เลียบๆ เคียงๆ ถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างฝ่าบาทสามกับนาง เยียนหลานจะยังคงกล่าววาจากำกวมจำพวกความหมายไม่ชัดเจน นัยไม่กระจ่างอยู่เช่นเดิม
เทียนปู้นึกดูแคลนวิธีการเช่นนี้ของเยียนหลาน แต่ก็เข้าใจเยียนหลานเช่นกัน ย้อนไปดูถึงสาเหตุ ก็เป็นเพราะการใช้ชีวิตอยู่บนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าแห่งนี้มันไม่ง่าย
ฝ่าบาทสามไม่มีทางไม่ทราบถึงสิ่งที่เยียนหลานทำ ดาวเทพลิขิตชะตาชอบสนทนาเรื่องชาวบ้านเป็นที่สุด หลังจากได้ฟังข่าวลือเหล่านั้นแล้ว คงจะรู้สึกอยากรู้อยากเห็น เคยแวะมาหาฝ่าบาทสาม
ฝ่าบาทสามเฉยชายิ่ง ขยับพู่กันวาดภาพในมือไปพลางกล่าวตอบดาวเทพลิขิตชะตาไปพลาง
“ข้าเป็นคนทำให้เยียนหลานมาเกิดใหม่ ตอนนั้นก็ไม่เคยถามฉางอีด้วยว่ายินยอมหรือไม่ บางทีนางอาจจะไม่ยินยอมก็เป็นได้ ข้าคือผู้ก่อกรรมนี้ ทำให้เกิดสถานการณ์ในยามนี้ขึ้น นี่คือผลกรรม นับดูแล้ว ข้าเป็นฝ่ายติดค้างนาง”
ดาวเทพลิขิตชะตาเพียงสะกิดบอกก็กระจ่าง กล่าวอย่างประหลาดใจ “ฝ่าบาทสามตรัสเช่นนี้ แสดงว่าทรงไม่ประสงค์จะติดค้างหนี้กรรมน่ะสิพ่ะย่ะค่ะ ดังนั้นฝ่าบาททรงตั้งใจจะ...”
ฝ่าบาทสามวาดเส้นสุดท้ายเสร็จสิ้น โยนพู่กันวาดภาพลงไปในโถล้างพู่กัน
“มนุษย์ผู้หนึ่ง ได้เป็นเซียนโดยประสบวาสนาชั่วขณะ ยามรากฐานไม่มั่นคง ยืมอิทธิพลเพื่อหยั่งเท้า เดิมทีคือวิธีการอันปราดเปรื่องยิ่ง ข้าให้เวลานางสามหมื่นปี หากอาศัยใบบุญของข้าช่วยคุ้มสามหมื่นปีแล้ว นางกลับยังคงไม่สามารถยืนหยัดเองได้ เช่นนั้นจงถวายฎีกาต่อเทียนจวิน ยังคงให้นางเข้าสู่วัฏสงสาร เป็นมนุษย์ธรรมดาไปเถิด”
แก่นแท้ของฝ่าบาทสามคือเทพที่เย็นชาไร้น้ำใจอย่างยิ่ง ทั้งยังทำอะไรตามอำเภอใจจนเคยชิน ความจริงไม่ควรสนใจเรื่องผลกรรมมากนักจึงจะถูก เทียนปู้คาดเดาว่าที่เขาปฏิบัติต่อเยียนหลานดีเป็นพิเศษเช่นนี้ บางทีเรื่องผลกรรมอาจเป็นเพียงเหตุผลส่วนน้อย เหตุผลส่วนใหญ่ เป็นเพราะฝ่าบาทสามทรงเสียดายฉางอีต่างหาก แต่นางก็ไม่กล้าขอคำยืนยันจากฝ่าบาทสามเช่นกัน
วันเวลาได้ผ่านพ้นไปวันแล้ววันเล่าเช่นนี้
พริบตาเดียว ก็เป็นสองหมื่นกว่าปีให้หลัง
บนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ข่าวลือเกี่ยวกับฝ่าบาทสามและเยียนหลานไม่เคยที่จะขาดช่วง จะจริงจะเท็จ ปวงเซียนเองก็ไม่ทราบชัด
จะบอกว่าฝ่าบาทสามชอบเยียนหลานรึ...อย่างนั้นสองหมื่นปีมานี้หญิงงามหลายร้อยนางที่ไปๆ มาๆ ในวังหยวนจี๋มันเรื่องอะไรกัน?
แต่จะบอกว่าไม่ชอบรึ...อย่างนั้นการช่วยดูแลที่ทางวังหยวนจี๋มีให้เยียนหลานฮัวจู่ผู้นี้ตลอดเวลาที่ผ่านมา มันเรื่องอะไรอีกเล่า?
เซียนน้อยที่มีความคิดบางรายแอบคาดเดากันลับหลังว่า บางทีที่ผ่านมาฝ่าบาทสามอาจจะเคยมีจิตปฏิพัทธ์ต่อเยียนหลานจริงๆ กระนั้นผู้เจ้าชู้กรุ้มกริ่มเช่นฝ่าบาทสาม จะกล่าวถึงใจจริงกระไรได้ ย่อมจะยิ่งกล่าวถึงรักนิรันดร์ไม่ได้เข้าไปใหญ่ หลังจากเห่อได้สักพักความรักก็โรยรา ด้วยเหตุนี้คนทั้งสองจึงได้มีสภาพเช่นในยามนี้...
เทียนปู้รู้สึกเฉยสนิทกับข่าวลือเหล่านี้ แต่ที่ทำให้นางนึกไม่ถึงคือ เยียนหลานซึ่งเดิมทีควรจะมีสติ หลังจากกล่าวคำเท็จมามากมายเกินไป ก็ได้ใช้คำเท็จสร้างหอคอยอันมั่นคงให้แก่ตัวเองไปโดยไม่รู้ตัว จมดิ่งอยู่กับมันทุกวี่วัน จนถูกพิษของมันเข้าให้ด้วย
ความทรงจำของคนเราจะปรุงแต่งอดีตให้งดงามเกินจริง และจะสร้างความคิดเพ้อฝันด้วยเช่นกัน ท่ามกลางการคิดเข้าข้างตัวเองและคิดเพ้อฝันเป็นเวลาเนิ่นนานสองหมื่นกว่าปี ตัวเยียนหลานเองก็พลอยเชื่อในคำโกหกที่นางปั้นแต่งให้ผู้อื่นฟังเหล่านั้นไปด้วยเสียแล้ว เชื่อมั่นอย่างหนักแน่นว่า ที่ฝ่าบาทสามปฏิเสธนาง เป็นเพราะมีเหตุจำเป็นสุดวิสัย : ชาติก่อนนางคือภูตที่สำเร็จเป็นเซียน ชาตินี้นางคือมนุษย์ที่สำเร็จเป็นเซียน กฎสวรรค์บัญญัติไว้ ไม่ว่าจะเป็นภูตปิศาจที่สำเร็จเป็นเซียน หรือมนุษย์ที่สำเร็จเป็นเซียน ล้วนแต่มิอาจมีรักได้ ด้วยเหตุนี้ที่ฝ่าบาทสามไม่ลงเอยกับนาง หาใช่เพราะไม่ได้ชอบนางจริงๆ แท้จริงแล้วเขากำลังปกป้องนางต่างหาก
ตอนที่เทียนปู้บังเอิญรู้เข้าว่าเยียนหลานมีความคิดเพ้อฝันเช่นนี้ นางเคยคิดอยู่ช่วงหนึ่งว่าเยียนหลานเป็นบ้าไปแล้ว เพลานั้นฝ่าบาทสามกำลังมีกิจธุระสำคัญกับมหาเทพ การเอาเรื่องเช่นนี้ไปรบกวนเขาดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่อง ด้วยเหตุนี้นางจึงเพียงแค่พูดคุยกับดาวเทพลิขิตชะตาไปเล็กน้อย
ดาวเทพลิขิตชะตาฟังได้พักหนึ่ง กลับกล่าวถ้อยคำที่น่าคิดออกมาหนึ่งประโยค
“นางไม่แน่ว่าจะเป็นบ้าไปแล้ว ไม่แน่ว่าจะไม่รู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไร กำลังทำอะไร”
เพลานั้นเทียนปู้ยังไม่ทราบว่าคำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร กระนั้นวันนี้ ได้ฟังถ้อยสนทนาส่วนตัวระหว่างเยียนหลานกับเซี่ยนเอ๋อร์ นางพลันเข้าใจกระจ่างในบัดดล
ที่แท้ในส่วนลึกที่สุดของจิตใจ เยียนหลานหาได้เชื่อความคิดเพ้อฝันที่นางปั้นแต่งให้แก่ตัวเองถึงปานนั้นจริงๆ ดังนั้นเมื่อเซี่ยนเอ๋อร์ยุยงให้นางชิงลงมือก่อนได้เปรียบ ไปขอให้ฝ่าบาทสามรับนางเป็นเช่อเฟย นางถึงได้บอกว่าไม่ได้
เยียนหลานไม่ใช่มนุษย์ที่เมื่อเผชิญหน้ากับกฎอันเข้มงวดของสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ก็ไม่มีช่องว่างให้สอดแทรกสักหน่อย ขอเพียงนางละทิ้งการเป็นเซียน สลายกระดูกเซียนรวมกระดูกภูตใหม่อีกครั้ง นางกับฝ่าบาทสามไม่แน่ว่าจะไม่สมหวัง แต่นางกลับกล่าวอย่างเด็ดขาดว่าไม่ได้ แม้แต่ลองไปเลียบเคียงถามฝ่าบาทสามสักคำยังไม่กล้า
ขบคิดถึงตรงนี้ เทียนปู้ถอนหายใจเบาๆ รู้สึกเพียงฉางอีที่ในวันวานน่ารักสดใสเปี่ยมไหวพริบออกปานนั้น หลังจากมาเกิดใหม่ กลับเปลี่ยนเป็นสารรูปเช่นในวันนี้ ช่างน่าเสียดายจริงแท้
ฝั่งตรงข้ามพลันมีคนผู้หนึ่งเดินมา พบเทียนปู้เข้าโดยบังเอิญ ยิ้มอ่อนโยนกล่าวทักว่า
“ที่แท้คือเทียนปู้เซียนจื่อนี่เอง เซียนจื่อเห็นเซียนซู่จี๋ของวังเราบ้างหรือไม่? หอเก็บตำราของตี้จวินยังเก็บกวาดไม่เสร็จเลย ไม่รู้ว่าเขาแอบไปอู้งานที่ใดอีกแล้ว ข้าตามหาเสียเหนื่อย”
เทียนปู้ตั้งสติ มองเห็นชัดตาว่าที่แท้ผู้มาคือเซียนฉงหลินแห่งวังมหาอรุณนี่เอง รีบเก็บงำความคิดโดยเร็ว ยิ้มบางๆ แล้วขายซู่จี๋ให้ไปทันที
“เซียนซู่จี๋อยู่ในวังของเรา กำลังสอนนักดนตรีเป็นเพื่อนฝ่าบาทสามอยู่น่ะ”
<>::<>::<>::<>::<>::<>
[1] เปยจื๋อ แปลว่า ผู้มีตำแหน่งต่ำต้อย เป็นคำเรียกแทนตัวเองของผู้มีตำแหน่งต่ำกว่าเวลาพูดกับผู้มีตำแหน่งสูงกว่า
[2] มัดตาย หมายถึง ขอสนับสนุนอย่างเหนียวแน่นไม่มีทางเปลี่ยนใจ คือศัพท์อินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน
[3] จุนเจ่อ แปลว่า ท่านผู้ทรงศักดิ์ เป็นสรรพนามเรียกยกย่องผู้มีอาวุโส มีลำดับศักดิ์และฐานะสูงมาก
[4] สำนวนเดิมคือ “เกลือที่ข้าเคยกิน ยังมากกว่าข้าวที่เจ้าเคยกิน” เป็นการยกความอาวุโสมาข่ม