บทที่สี่ (1)
ห่างจากวันที่เสว่อี้กับซวงเหอเป็นตัวแทนรัศมีเทพไปส่งมอบของขวัญวันเกิดให้แก่เทพวารีได้ครึ่งเดือนแล้ว สวรรค์เก้าชั้นฟ้าเกิดคลื่นลมเช่นไรขึ้นเพราะเรื่องนี้ เหล่าเทพบริวารแห่งกูเหยามิได้ทราบ และมิได้สนใจด้วยเช่นกัน
เวลานี้ นอกจากซวงเหอที่มุ่งหน้าไปรับกูหรงยังเขาปอจ่งแล้ว เทพบริวารของกูเหยาอีกสามท่านที่เหลือได้จับกลุ่มกัน ต่างเคร่งเครียดกังวลด้วยเรื่องเดียวกัน : จอมมารชิ่งเจียงที่หวนกลับมาจะรับเจ้าหญิงจุ้ยโยว ราชธิดาของราชามารเหลืองเป็นมเหสี เจ็ดวันให้หลังจะจัดพิธีวิวาห์ขึ้นที่เขตแดนพันสะบั้นเชิงเขาชางอู๋ของแดนทักษิณ เทพจู่ถีที่แอบมองเห็นในความฝันพยากรณ์ว่าชิ่งเจียงจะสังหารนางในอีกสามปีให้หลัง ตั้งใจจะฉวยโอกาสช่วงงานวิวาห์ที่เขตแดนพันสะบั้นซึ่งผู้คนหลายเผ่าปะปนกันสับสน ปลอมตัวปะปนเข้าไปสืบหยั่งตื้นลึกหนาบางของชิ่งเจียงดูสักหน่อย
เสว่อี้มองดูอินหลินที่นิ่งเงียบไม่เอ่ยคำ แล้วมองดูจาวซีที่สองคิ้วขมวดมุ่น ถอนหายใจเบาๆ
“แผนการที่จุนซั่งวางไว้รอบคอบสมบูรณ์มาก มิได้มีช่องโหว่อะไร จุนซั่งหาใช่ตุ๊กตากระเบื้องที่ออกจากกูเหยาแล้วจะแตกสลายสักหน่อย ข้ากลับรู้สึกว่าพวกเจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลถึงเพียงนี้เลย สองแสนสี่หมื่นปีก่อนชิ่งเจียงหายสาบสูญไปอย่างน่าพิศวง บัดนี้ก็หวนกลับมาอย่างน่าประหลาดเช่นกัน...อีกประการ ในเมื่อเขาเป็นภัยคุกคามต่อจุนซั่งอย่างใหญ่หลวงปานนั้น ก็เป็นความจริงที่ควรจะไปสืบข้อมูลอย่างจริงจัง”
จาวซีหลับตาลง ยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้ว
“ควรจะไปสืบข้อมูลนั่นแหละ แต่ที่จุนซั่งจะเผชิญหน้าน่ะคือชิ่งเจียง เจ้าและข้าต่างรู้ดี ชิ่งเจียงหาใช่ระดับธรรมดาสามัญ ต่อให้จุนซั่งบอกว่าตามที่ลิขิตสวรรค์แสดงให้เห็นล่วงหน้า ก่อนที่ด่านเคราะห์ครั้งใหญ่ทำลายสิ้นฟ้าดินนั่นจะมาเยือน ท่านต่างไม่มีทางเกิดภัยอันตรายถึงชีวิตก็เถอะ แต่ข้ามิอาจไม่กังวลได้อยู่ดี”
เอ่ยถึงตรงนี้ สีหน้ายิ่งหนักอึ้ง ในน้ำเสียงแฝงแววหวาดหวั่นกริ่งเกรงอย่างเข้มข้น
“ก็นั่นน่ะคือ...ชิ่งเจียงเทียวนะ”
อินหลินวางจอกชาลง เห็นด้วยกับความคิดของจาวซีอย่างหาได้ยากเช่นกัน
“ถูกต้อง นั่นน่ะคือชิ่งเจียงเทียวนะ”
แม้จะเคยใช้ชีวิตอยู่ในยุคสมัยเดียวกันกับชิ่งเจียง แต่จะอย่างไรราชามารแห่งความมืดชิ่งเจียงก็มีลำดับศักดิ์สูงกว่าเขาหนึ่งรุ่น ด้วยเหตุนี้เรื่องราวเกี่ยวกับชิ่งเจียงมากมาย อินหลินเองก็แอบล่วงรู้มาจากพงศาวดารยุคมหาอุทกภัยเล่มหนึ่งซึ่งชนรุ่นหลังเรียบเรียงขึ้นเท่านั้น
พงศาวดารยุคมหาอุทกภัยเล่มนั้น เจ๋อเหยียนซ่างเสินเป็นผู้เรียบเรียง
ตามที่เจ๋อเหยียนซ่างเสินได้บรรยายไว้ ชิ่งเจียงถือกำเนิดเมื่อสี่แสนสี่หมื่นปีก่อน เวลานั้นทั้งห้าเผ่ายังคงอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เผ่าเทพมีเผ่าย่อยสามร้อยเจ็ดสิบหกเผ่า เผ่ามารก็ใกล้เคียงกัน เผ่าย่อยของเผ่าอสูร เผ่าปิศาจ และเผ่ามนุษย์น้อยกว่ากันเล็กน้อย
ชิ่งเจียงคือบุตรชายคนเล็กของประมุขเผ่ามารแห่งความมืด เกิดมาได้จังหวะเหมาะ เพิ่งจะอายุครบหนึ่งหมื่นปี ยุคสงบสุขก็สิ้นสุดลง ทั้งห้าเผ่าได้เปิดฉากมหาสงครามอย่างเป็นทางการ
ในเวลาถัดจากนั้นมาเกือบสองแสนปี เผ่าย่อยสามร้อยกว่าเผ่าของเผ่ามารได้รบพุ่งกันเอง สุดท้ายก่อตัวเป็นสถานการณ์ “ยี่สิบเจ็ดราชาร่วมกันปกครองเผ่ามาร” และหนึ่งในราชาที่มีอำนาจมากที่สุดในบรรดายี่สิบเจ็ดราชา ก็คือชิ่งเจียง ถูกเรียกขานว่า “ราชามารแห่งความมืด”
ขณะเดียวกัน ราชามารแห่งความมืดชิ่งเจียง ก็เป็นบิดาบุญธรรมของส้าวหว่านเช่นกัน
ส้าวหว่าน หงสาขาวเพียงตัวเดียวในโลกนี้ ในตอนที่ฟ้าดินเพิ่งแยกออกจากกัน ก็ได้ปรากฏกายขึ้นในรูปลักษณ์ของไข่ใบหนึ่ง ณ ภูเขาจางเหว่ยแห่งแดนทักษิณ ที่ซึ่งเผ่ามารรวมกลุ่มกันอาศัย ถูกเผ่ามารทั้งสามร้อยกว่าเผ่าสาขาเฝ้าบูชาในฐานะสัญลักษณ์ทางจิตวิญญาณ ปวงมารบูชาอยู่สามแสนกว่าปี ไข่ใบนั้นจึงค่อยฟักตัวออกมาภายใต้การหล่อเลี้ยงของปราณทิพย์แห่งฟ้าดิน หงสาตัวน้อยขาวดุจหิมะตัวหนึ่งคลานออกมาจากภายในไข่ ก็คือส้าวหว่านน้อย
ส้าวหว่านน้อยเพิ่งจะคลานออกมาจากไข่ ก็ถูกชิ่งเจียงรับเป็นธิดาบุญธรรม อุ้มเข้าไปเลี้ยงดูในพระราชวังมารทันที
เจ๋อเหยียนซ่างเสินได้เขียนตีความเหตุการณ์นี้ลงในหนังสือเล่มที่เขาเขียนเล่มนี้ไว้ดังนี้ : นี่คือชิ่งเจียงได้เปิดเผยจิตใจมักใหญ่ใฝ่สูงเช่นสุนัขป่าออกมาอย่างโจ่งแจ้ง...เพราะการได้เป็นเตี่ยของสัญลักษณ์ทางจิตวิญญาณ วันหน้าก็จะมีคุณสมบัติในการรวมเผ่ามารเป็นหนึ่งเดียวมากยิ่งกว่าอีกยี่สิบหกราชามาร!
สามารถดูออกได้ ภายใต้พู่กันของเจ๋อเหยียนซ่างเสิน ชิ่งเจียงคือมารที่ทั้งเจ้าเล่ห์และมักใหญ่ใฝ่สูง ทั้งยังเฝ้าครุ่นคิดอยู่ทุกวันว่าจะรวมเผ่ามารเป็นหนึ่งเดียว ค่อยรวมทั่วหล้าเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างไร นอกจากนี้แล้ว ก็ไม่ได้มีสิ่งที่ใฝ่ฝันอย่างอื่นอีก
กระนั้นชิ่งเจียงก็มีสิทธิ์ที่จะคิดเช่นนี้เป็นอย่างมากเช่นกัน เนื่องจากในตอนที่เขาเฝ้าคิดถึงแต่การพิชิตแผ่นดิน ทั้งยังก้าวเดินไปบนเส้นทางสายนี้โดยฝากรอยเท้าไว้ทุกย่างก้าวได้เป็นระยะทางช่วงใหญ่ บรรดาเทพที่ในยุคหลังได้รับการกล่าวขานว่าเป็นตำนานทั้งหลาย...จะม่อเยวียนก็ดี ตงหัวก็ดี ส้าวหว่านก็ดี ต่างยังคงเป็นนักเรียนอยู่ในวังวิทยาลัยบึงหนองน้ำ ไม่สามารถสร้างภัยคุกคามอะไรให้เขาได้เลย
ชิ่งเจียงในตอนนั้น สามารถกล่าวได้ว่าคือหนึ่งเดียวผู้โดดเด่นบนเวทีประวัติศาสตร์ บรรดามารของเผ่ามารแห่งความมืดทุกตนต่างรู้สึกว่า ขอเพียงให้เวลาราชามารของพวกเขาอีกสักนิด ชิ่งเจียงก็จะสามารถรวมเผ่ามารเป็นหนึ่งเดียว แล้วให้เวลาชิ่งเจียงเพิ่มต่ออีกสักนิด เขาก็จะสามารถกวาดล้างหกบรรจบ ปกครองสี่ทะเล พิชิตแปดดินแดน
แต่ทว่า ในตอนที่เผ่ามารแห่งความมืดทั้งเผ่าต่างฝากความหวังไว้ที่ชิ่งเจียงเสียสูงลิบนั่นเอง ชิ่งเจียงกลับหายสาบสูญไปอย่างกะทันหัน ทั้งยังหายสาบสูญไปโดยปราศจากเค้าลางล่วงหน้าโดยสิ้นเชิง ไม่มีผู้ใดทราบว่าเขาไปยังที่ใด
เหล่าผู้อาวุโสรอชิ่งเจียงอยู่สามปี เขาก็ไม่กลับมาเสียที จึงจำเป็นต้องแต่งตั้งราชาองค์ใหม่
หลายปีที่ผ่านมาชิ่งเจียงหมกมุ่นอยู่แต่กับการศึก ในวังไม่เคยมีบุตรธิดาเลยสักคน มีแค่ส้าวหว่าน ธิดาบุญธรรมที่เขาทั้งเลี้ยงไว้และเฝ้าระแวงเพียงคนเดียวที่มีสิทธิ์สืบทอดตำแหน่งราชา เหล่าผู้อาวุโสไปน้อมเชิญยังวังวิทยาลัยบึงหนองน้ำถึงเจ็ดครั้ง เจ้าหญิงเผ่ามารวัยดรุณท่านนี้จึงค่อยยอมรับปากลาออกก่อนกำหนด กลับไปสืบทอดกิจการของที่บ้าน
ส่วนหลังจากนั้นส้าวหว่านจวินรวมเผ่ามารเป็นหนึ่งเดียว กลายเป็น “จอมมารรุ่นแรก” บนฐานศิลาที่ชิ่งเจียงสร้างเอาไว้ได้อย่างไร ล้วนแต่เป็นเรื่องราวในภายหลัง...
บัดนี้ ผ่านไปได้สองแสนสี่หมื่นปีแล้ว ในสองแสนสี่หมื่นปีนี้ เผ่ามารก้าวเดินจากแตกแยกไปสู่รวมเป็นหนึ่ง และก้าวเดินจากรวมเป็นหนึ่งไปสู่แตกแยก กล่าวได้ว่าเปลี่ยนแปลงพลิกผันดุจทะเลเป็นท้องนา พลิกโฉมหน้าโดยสิ้นเชิง เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดคาดคิดไปถึงว่า หลังจากผ่านการเปลี่ยนแปลงพลิกผันดุจทะเลเป็นท้องนา ราชามารชิ่งเจียงที่หายสาบสูญไปอย่างน่าพิศวงได้สองแสนสี่หมื่นปี กลับยังคงสามารถหวนคืนมาได้อีกกระมัง
และหลังจากหวนคืน ชิ่งเจียงใช้เวลาเพียงสามเดือนเท่านั้น ก็สยบเจ็ดราชาแห่งเผ่ามาร เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ “เจ็ดเผ่าร่วมผงาด” ของแดนทักษิณที่ส้าวหว่านเหลือทิ้งไว้หลังจากดับขันธ์ รวมเผ่ามารเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นจอมมาร
ชิ่งเจียงที่เป็นเช่นนี้ ไม่มีทางไม่ชวนให้หวาดหวั่นกริ่งเกรงเลย
มือขวาของจาวซีเคาะขอบโต๊ะค่อยๆ เกิดเป็นเสียงเบาๆ ขัดจังหวะความคิดของอินหลิน อินหลินเหลือบตาขึ้น จาวซีเผชิญกับสายตาของอินหลิน
“เจ้าไปเกลี้ยกล่อมจุนซั่งอีกครั้งเถอะ” สองคิ้วของจาวซียังคงไม่คลายออก “ในเมื่อด่านเคราะห์สามปีให้หลังนั้นเกี่ยวพันถึงทั่วทั้งแปดดินแดน ก็ไม่มีเหตุผลที่จะให้พวกเรากูเหยาเผชิญหน้าเพียงลำพัง เซียนกวนของวังมหาอรุณบอกว่า อีกไม่กี่วันมหาเทพตงหัวก็จะออกจากด่าน ในความเห็นข้า ไว้รอหลังจากมหาเทพตงหัวออกจากด่าน ปรึกษากับท่านแล้วค่อยวางแผนกันก็ไม่สาย”
อินหลินยิ้มจืดๆ
“จุนซั่งตัดสินใจไม่บ่อย แต่ทันทีที่ตัดสินใจแล้ว จะไม่มีทางเปลี่ยนใจเด็ดขาด เจ้าควรจะรู้ดีถึงจะถูก”
จาวซีนิ่งงัน
เสว่อี้ขบคิดอยู่ชั่วครู่สั้นๆ พลันกล่าวว่า
“ได้ยินว่าชิ่งเจียงส่งเทียบเชิญไปให้เผ่าสวรรค์ด้วยเหมือนกัน เชิญเทียนจวินไปร่วมงานเลี้ยงสมรสของเขา แต่กฎของเผ่าสวรรค์คือแปดดินแดนไร้ภัยสงคราม เทียนจวินจะไม่เสด็จออกจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ดังนั้นเทียนจวินจึงบัญชาให้ไท่จื่อเยี่ยหัวกับองค์ชายสามเหลียนซ่งไปส่งของขวัญอวยพรที่เขตแดนพันสะบั้นแทนพระองค์...”
อินหลินเข้าใจความนัยในบัดดล เลิกคิ้วมองหน้าเสว่อี้
“เจ้าหมายความว่า...”
เสว่อี้ยิ้ม “จุนซั่งไม่เคยตัดสินใจอย่างเอาแต่ใจ ท่านยืนกรานจะฉวยโอกาสนี้ลอบแฝงกายเข้าสู่เขตแดนพันสะบั้น จะต้องมีเหตุผลของท่านเป็นแน่ แต่จุนซั่งตั้งใจจะพาอินหลินเจ้าไปด้วยแค่คนเดียว จาวซีจะวางใจไม่ลงก็สมควรอยู่ ข้ากำลังคิดว่าไม่กี่วันก่อนจุนซั่งได้มอบของขวัญวันเกิดให้องค์ชายสามไม่ใช่รึ ซึ่งก็นับว่าได้สร้างไมตรีคบหากับเผ่าสวรรค์แล้ว บางทีพวกเราอาจจะแจ้งต่อองค์ชายสามและไท่จื่อของเผ่าสวรรค์ล่วงหน้าสักคำได้...”
เดิมทีอินหลินกำลังฟังอยู่ดีๆ แต่แล้วพลันหน้าเปลี่ยนสี เสว่อี้ร่วมงานกับอินหลินมานานปี รู้ใจกันดียิ่ง ไหวตัวอย่างรวดเร็ว กลืนถ้อยคำที่กำลังจะหลุดจากปากลงไปทันควัน เขาห้ามกิริยาหันขวับกลับไปมองข้างหลังโดยอัตโนมัติเอาไว้ได้ เปลี่ยนถ้อยคำที่พูดเป็นอีกแบบ
“จะอย่างไร...หลายปีมานี้ความสัมพันธ์ระหว่างเผ่ามารกับเผ่าเทพก็ยิ่งตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเราแจ้งต่อองค์ชายสามและไท่จื่อของเผ่าสวรรค์ล่วงหน้าสักคำ เผื่อว่า...เผื่อว่าเขาสองคนเกิดเสียท่าอะไรในงานเลี้ยงสมรสที่เผ่ามารจ้องหาโอกาสเล่นงาน จุนซั่งของพวกเราก็สามารถช่วยดูแลให้ได้...”
“คิก” เสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาจากข้างหลัง “กลัวว่าข้าจะไม่รับปากให้พวกเจ้าหาผู้ช่วยให้ข้า จึงมาปรึกษากันลับหลังข้า ถูกจับได้แล้วยังจะกลบเกลื่อนอีก แต่ว่าเสว่อี้ ครั้งนี้เจ้ากลบเกลื่อนได้ไม่ค่อยฉลาดเลย”
เสว่อี้หมุนตัวกลับไปน้อมไหว้ ท่าทีเก้อกระดากอย่างหาได้ยาก
“จุนซั่ง...”
อินหลินกับจาวซีก็ลุกขึ้นตามเช่นกัน
จู่ถีหิ้วหน้ากากหนังมนุษย์อันหนึ่ง ก้าวเนิบๆ มายืนอยู่ห่างออกไปสองจ้าง ดวงตาคู่งามทอดโค้งนิดๆ ดุจแฝงประกายน้ำเลื่อมระยับ
“ชิ่งเจียงรับมือค่อนข้างยากก็จริง แต่ข้าไม่ได้จะฆ่าเขาสักหน่อย แค่ไปเอาของบางอย่างที่ข้างกายเขาเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องดึงเทพวารีกับไท่จื่อของเผ่าสวรรค์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเลย อาศัยข้ากับอินหลินก็เพียงพอแล้ว”
นางเดินเข้ามาใกล้สองสามก้าว ถึงตรงหน้าพวกเขา สายตากวาดผ่านทั้งสาม ไม่เห็นว่าเรื่องใหญ่ที่พวกเขากังวลสลักสำคัญแต่อย่างใด กล่าวอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า
“ถึงตอนนั้นให้ดำเนินไปตามแผนการของข้า ไม่มีทางมีปัญหาดอก พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล” ระหว่างที่พูด สายตาพลันจับนิ่งที่ใบหน้าของเสว่อี้ พึมพำว่า “โครงหน้าของเจ้า...” คลี่หน้ากากหนังมนุษย์ในมือออก วัดเทียบกับใบหน้าของเสว่อี้ที่กลางอากาศ เหมือนจะรู้สึกพอใจ เดินใกล้เข้ามาสองก้าว สวมหน้ากากหนังมนุษย์อันนั้นลงบนใบหน้าของเสว่อี้โดยตรง แล้วรีดลวกๆ
ชายหนุ่มหน้าตาหมดจดคมคายในตอนแรก ใบหน้าได้เปลี่ยนไปเป็นใบหน้าของสตรีในบัดดล ในความสวยคมแฝงความห่างเหินอยู่เสี้ยวหนึ่ง และในความห่างเหินได้แฝงความเย้ายวนอยู่เสี้ยวหนึ่ง
เสว่อี้ยิ้มจืดเจื่อน “จุนซั่ง...”
โดนนางกดมือไว้ “อ๊ะ เจ้าอย่าขยับนะ”
เนื่องจากแผนการของจู่ถีคือ ปลอมตัวเป็นเจ้าสาวผู้นั้นของชิ่งเจียงลอบแฝงกายเข้าสู่เขตแดนพันสะบั้น คิ้วตาจาวซีกระตุก เข้าใจในบัดดล
“อย่าบอกนะว่านี่คือหน้าตาของเจ้าหญิงจุ้ยโยวนั่น...” หยุดเล็กน้อย “เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่านางหน้าตาคล้ายใครสักคน”
จู่ถีรั้งสายตากลับมาจากใบหน้าของเสว่อี้ที่กำลังสวมหน้ากากหนังมนุษย์
“อืม เจ้าเองก็ดูออกแล้วหรือ นางหน้าตาคล้ายส้าวหว่านอยู่สามส่วน”
เทพบริวารทั้งสามต่างเบิกตากว้าง
จู่ถีเบนสายตากลับมาที่ใบหน้าของเสว่อี้อีกครั้ง มองเห็นเสว่อี้ที่ถลึงตา อดถอยหลังไปหนึ่งก้าวไม่ได้
“เจ้าอย่าถลึงตาเสียกว้างอย่างนี้สิ ดูแล้วเหมือนหญิงงามถูกพิษตายตาไม่หลับเลย...อืม ใช่ แบบนี้แหละดีมาก อย่าขยับนะ แบบนี้ดูมีจริตมากเลย” นางชื่นชมเสว่อี้อยู่ชั่วครู่ นึกนับถือตัวเองจากใจจริง “เปิ่นจุน[1]ช่างเก่งกาจนัก หน้ากากอันนี้ประดิษฐ์ได้ประสบความสำเร็จมาก” แล้วชื่นชมอีกครู่หนึ่ง เข้าไปปลดหน้ากากลงมาจากใบหน้าของเสว่อี้อย่างระมัดระวัง
จาวซีห้ามใจไม่อยู่ มุ่นคิ้วเอ่ยถามว่า
“กาลก่อนชิ่งเจียงเป็นราชาอยู่หนึ่งแสนกว่าปี ในวังหลวงมารของเขาไม่มีมเหสีนางสนมเลยสักนาง การหวนกลับมาครั้งนี้ เพียงแค่สี่ปีก็จะแต่งมเหสี เดิมทีข้าก็นึกแปลกใจอยู่แล้ว” เขาลังเลอยู่ชั่ววูบ “ที่ชิ่งเจียงจะสมรสด้วยคือเจ้าหญิงจุ้ยโยวผู้นี้ และเจ้าหญิงผู้นี้ยังหน้าตาคล้ายเทพส้าวหว่านอยู่เล็กน้อย คงไม่ใช่ว่า...”
จู่ถีเก็บหน้ากากหนังมนุษย์อันล้ำค่านั้นเข้าสู่แขนเสื้อ ได้ฟังคำก็เอ่ยเสียงเรียบ
“ไม่เช่นนั้นจะเป็นอะไรได้” แล้วมองหน้าคนทั้งสาม “ข้าจะไปที่ห้องยาตานกลั่นเม็ดยาตานสักสองสามเม็ด หลายวันถัดจากนี้ต่างจะไม่ออกมาละ ถ้าพวกเจ้ามีธุระ ให้มาหาข้าที่ห้องยาตาน” กล่าวพลางสาวเท้าอย่างรวบรัดหมดจด มุ่งหน้าไปยังห้องยาตาน
รอจนจู่ถีเดินจากไปไกลแล้ว จาวซีมองหน้าอินหลินอย่างออกจะงุนงง
“ดังนั้น ใช่อย่างนั้นจริงๆ รึ?”
สีหน้าของอินหลินก็ค่อนข้างจะน่าชมเช่นกัน ทำเสียง “อืม” ตอบว่า “ตอนนั้น...มีข่าวลือจริงๆ ว่า ที่ชิ่งเจียงไม่ยอมแต่งงานสักที เป็นเพราะเขาหมายปองธิดาบุญธรรม ธิดาบุญธรรมของเขา เจ้าเองก็รู้อยู่แล้ว ก็คือเทพส้าวหว่าน เพียงแต่เวลานั้นเขากับเทพส้าวหว่านต่อสู้กันหนักมากเช่นกัน ดังนั้นจึงมีคนไม่มากนักที่เชื่อข่าวลือนี้เท่านั้น” กล่าวจบถอนหายใจอย่างนึกทึ่ง “ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเรื่องจริง”
คนทั้งสามที่ประสบเรื่องชวนตะลึงพรึงเพริดอย่างหนักต่างเงียบกริบโดยพร้อมเพรียง
เงียบกริบได้ครู่หนึ่ง เสว่อี้เป็นผู้ทำลายความเงียบเช่นเคย เปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“จะว่าไป พวกเจ้าไม่รู้สึกหรือว่าจุนซั่งในตอนนี้ กิริยาท่าทางคำพูดคำจา ต่างสดใสมีชีวิตชีวายิ่งกว่าเมื่อก่อนมาก? ข้าจำได้ว่าครั้งก่อนที่เห็นจุนซั่งดูร่าเริงแบบนี้ ยังเป็นตอนที่ท่านยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่โน่น”
ที่ข้างหน้า เงาหลังของจู่ถีได้เลี้ยวเข้าสู่ถ้ำมืดแห่งหนึ่ง นั่นก็คือห้องยาตาน สายตาของจาวซีไล่มองตามไป “นั่นเป็นเพราะว่าเจ้าไม่เคยเห็นจุนซั่งซึ่งฝึกตนอยู่ที่โลกมนุษย์น่ะสิ ชาติภพสุดท้ายในโลกมนุษย์ของจุนซั่ง ก็สดใสไร้จริตแบบนี้แหละ”
อินหลินก็ทอดตามองไปที่ห้องยาตานเช่นกัน กล่าวเสริมอย่างเป็นกลางว่า
“จุนซั่งที่เลือนรางห่างเหินหลังเป็นผู้ใหญ่ แม้ลักษณ์เทพเลิศล้ำไร้ที่เปรียบ กลับประดุจภาพสีซึ่งวาดด้วยสีขาว ประณีตงดงาม แต่ขาดความสมจริง การเวียนว่ายตายเกิดในโลกมนุษย์สิบเจ็ดชาติ ทำให้ท่านฝึกฝนได้อารมณ์ความรู้สึกนานาชนิด ประดุจแต้มสีสันให้แก่ภาพสีนั้น ถึงชาติภพสุดท้าย ในที่สุดภาพสีขาวนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นผลงานภาพเขียนอันเปี่ยมสีสันมากมายสารพัด ก็คือตัวท่านในปัจจุบัน” เขารั้งสายตากลับ มองไปทางเสว่อี้ “เจ้าไม่รู้สึกว่าแบบนี้ดีมากหรือไร?”
เสว่อี้พยักหน้า “ก็ต้องดีอยู่แล้วละ จุนซั่งที่เข้าใจอารมณ์ทั้งเจ็ดและกิเลสทั้งหกแล้ว ดูสมจริงยิ่งกว่าในอดีตอย่างมากจริงแท้” เอ่ยถึงตรงนี้ พลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “นอกจากนี้ ข้ายังมีเรื่องที่ไม่ค่อยเข้าใจนักอยู่อีกเรื่อง จุนซั่ง...ลืมเทพวารีอย่างถึงแก่นมากเกินไปหรือไม่?” เขามองหน้าอินหลิน “ข้าจำได้ว่าตอนนั้นเจ้าบอกข้าว่า จุนซั่งแค่ลอกความทรงจำของชาติภพสุดท้ายในโลกมนุษย์ออกไปเท่านั้น...แต่ดูจากตอนนี้ มันมากมายยิ่งกว่านั้นมากเลยนะ”
หัวคิ้วของอินหลินขมวดเข้าหากันบางๆ ไม่เอ่ยอะไรไปชั่วครู่ กลับเป็นจาวซีเอ่ยตอบว่า
“ไม่ใช่แค่ชาติภพนั้นจริงๆ จุนซั่ง...น่าจะลอกความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับเทพวารีทั้งหมดออกไป” หยุดไปชั่ววูบ เอ่ยว่า “คงจะกังวลว่าตัวท่านที่ยังคงจดจำเทพวารีได้ จะไม่สามารถยอมรับชะตากรรมอย่างสงบ ทุ่มเทจิตใจเซ่นสังเวยละมัง แล้วก็ข้าสงสัยว่า...” เขาหยุดชะงัก มองหน้าอินหลิน
อินหลินนวดขมับ เอ่ยต่อประโยคของจาวซี
“ใช่แล้ว ไม่ต้องสงสัย จุนซั่งร่ายมนตร์สะกดจิตใส่ตัวเองจริงๆ ห้ามขาดไม่ให้ตัวเองไปสงสัยและสืบค้นความทรงจำที่บ้างก็สูญหาย บ้างก็เลือนรางไปเหล่านั้น เวลาจุนซั่งจริงจัง มักจะรอบคอบอย่างมากเสมอละ”
จาวซียิ้มเจื่อน “ใช่จริงๆ ด้วย”
ส่วนเสว่อี้ถอนหายใจเบาๆ
“อย่างนี้นี่เอง” ไม่ทราบควรกล่าวอะไรอีกเช่นกัน
คนทั้งสามไม่มีอะไรอื่นจะพูดไปชั่วขณะ
ค่ำคืนของกูเหยานั้นเงียบสงัดยิ่ง ลมราตรีดุจปักษีที่ไม่ทราบทาง บุกเปะปะล่วงล้ำเข้าสู่ถ้ำแห่งนี้ ที่ซึ่งปีกนกกระพือผ่าน ได้ทิ้งความเย็นเฉียบของคืนวสันต์ และกลิ่นหอมตลบของบุปผากลางภู
ถ้ำคูหาแห่งนี้ทั้งกว้างและลึก เพดานถ้ำฝังเปลือกหอยไว้มากมาย กว่าครึ่งอยู่ในสภาพหุบปิด มีเพียงไม่กี่ตัวที่กำลังอ้าปาก เผยให้เห็นไข่มุกซึ่งเก็บไว้ภายใน มอบแสงอ่อนสลัวน้อยนิดให้แก่พื้นที่อันกว้างขวางแห่งนี้
ภายใต้แสงสลัว ที่ดึงดูดสายตามากที่สุดภายในถ้ำคือเตากลั่นยาตานทองม่วง ณ ใจกลางถ้ำใบนั้น ใต้เงามืดของเตากลั่นยาตั้งเตียงแก้วผลึกขาวแกะสลักอย่างประณีตไว้หนึ่งหลัง จู่ถีนอนตะแคงอยู่บนเตียง แขนขาวผ่องข้างหนึ่งงอหนุนอยู่ข้างใบหน้า ตัวนางที่กำลังหลับสนิทได้ฝัน
ในความฝันคือยามราตรีเช่นกัน บนฟ้าไร้จันทร์ แต่กลับมีแสง ทว่าแสงนั้นอ่อนจางอย่างมาก ช่วยให้นางมองเห็นวัตถุได้เพียงในรัศมีหนึ่งชุ่น
นางนั่งอยู่บนตั่งเตี้ยตัวหนึ่ง ตั่งตัวนั้นยาวและกว้าง อยู่ติดกับหน้าต่างรูปวงเดือนบานหนึ่ง นอกหน้าต่างปลูกต้นสาลี่ต้นหนึ่ง ดอกและใบดกหนา ดุจต้นหิมะอิงอยู่ข้างกรอบหน้าต่าง มีดอกสาลี่กิ่งหนึ่งงอกเฉียงๆ ออกมาจากลำต้น ยื่นเข้ามาในหน้าต่าง ส่งกลิ่นหอมระลอกหนึ่งเข้ามา
คือราตรีที่แสนลับเร้น ทิวทัศน์อันแสนงดงาม
แต่นางกลับไม่มีอารมณ์จะชื่นชมทิวทัศน์ นางนั่งขัดสมาธิอยู่บนตั่งเตี้ยตัวนั้น ตลอดทั้งร่างเจ็บปวดแสนสาหัส
บอกให้ชัดเจนได้ยากยิ่งว่านั่นคือความเจ็บปวดแบบใด หากต้องพรรณนาให้ได้ ออกจะคล้ายกับมีลมพายุที่กำลังอาละวาดถูกขังอยู่ภายในร่าง และภายในลมพายุนั้นยังซ่อนเข็มเล่มยาวไว้มากมาย
พายุหมายทลายหลุดจากร่าง เจ็บปวด
เข็มยาวทะลุเนื้อทะลวงกระดูก ก็เจ็บปวดเช่นกัน
และนอกจากความเจ็บปวดที่ชวนให้คิดอยู่รอดไม่ได้ คิดตายไม่สมปรารถนานั่นแล้ว นางยังรู้สึกร้อนแผดเผาอีกด้วย ราวกับภายในร่างมีสะเก็ดไฟอยู่มากมาย ถูกลมพายุที่อาละวาดจุดติด เปลวไฟลุกแรงโรจน์ หมายจะเผาผลาญนางให้เป็นเถ้า
นางทนการเคี่ยวกรำไม่ไหว อยากให้ตัวเองสลบไปเสีย ครางออกมาด้วยความเจ็บปวดและหอบหายใจอย่างข่มกลั้นไว้ไม่อยู่ ทั้งยังรักษาท่านั่งขัดสมาธิไว้ไม่ได้อีก ล้มแน่นิ่งลงบนตั่งเตี้ยตัวนั้น
ในจังหวะนี้เอง มีมือคู่หนึ่งประคองนางขึ้นมา นางไร้เรี่ยวแรงจะหันกาย ทราบเพียงว่ามีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ข้างหลังนาง มือที่เพิ่งจะประคองนางคู่นั้นวางทาบลงบนแผ่นหลังของนาง ถ่ายเทพลังบางอย่างเข้าสู่ร่างของนางอย่างไม่ขาดสาย คือพลังที่เย็นเฉียบแต่อ่อนนุ่มเหมือนน้ำ
พลังที่เหมือนน้ำนั้นเข้าสู่ร่าง สกัดขวางการอาละวาดของลมพายุและการวิ่งพล่านของเข็มยาว ทั้งยังราดรดเปลวไฟที่แผดเผาให้ดับลง ทำให้นางค่อยได้พักหายใจ
นางไม่เจ็บปวดปานนั้นอีก และไม่ร้อนปานนั้นอีก แต่มันยังไม่พอ ถึงแม้เปลวไฟภายในร่างจะถูกรดดับแล้ว แต่ผิวเนื้อยังคงร้อนระอุ
นางทราบว่าสองมือที่ข้างหลังนั้นเย็นเฉียบ ดุจหยกเย็น และดุจน้ำแข็งอันแข็งแกร่ง นางคิดในใจ คนผู้นั้นเองก็ต้องเป็นเหมือนกับน้ำแข็งและหยกเย็นด้วยเป็นแน่
น้ำแข็งกับหยกเย็น ก็คือยาของนางในยามนี้
สติที่พร่าเลือนสับสนได้ชักนำการกระทำของนาง นางเค้นเรี่ยวแรงทั้งหมดเอี้ยวตัวไปด้านข้าง ล้มไปข้างหลัง ได้ล้มลงไปในอ้อมแขนอันเย็นเฉียบจริงๆ ความเย็นเฉียบนั้นได้มอบเรี่ยวแรงเล็กน้อยให้แก่นาง นางพยายามจะกอดคนผู้นั้น กอดร่างที่ประดุจหยกเย็นและน้ำแข็งอันเย็นเฉียบนั่น กลับถูกคนผู้นั้นหลบเลี่ยง
คนผู้นั้นหลบเลี่ยงนาง คิดจะให้นางนั่งตัวตรง แต่นางอ่อนระทวยจนไร้กระดูก แล้วได้ยินเขาถอนหายใจ “เจ้านั่งให้ดีๆ”
คือเสียงของบุรุษวัยหนุ่ม น้ำเสียงเย็นนิดๆ ค่อนข้างทุ้มต่ำ ดุจสายลมโปร่งพัดผ่านหู ชวนให้รู้สึกเย็นสบายและสดชื่น แต่นางนั่งให้ดีไม่ได้ นางโอดครวญเสียงเครือ
“ข้านั่งให้ดีไม่ได้ ข้าร้อนมาก เจ็บมากด้วย!”
นางจะกอดเขา เขากลับจะผลักนางออก ระหว่างหนึ่งมาหนึ่งไป ได้กระทบถูกกิ่งสาลี่เหนือตั่งเตี้ย ดอกสาลี่ร่วงพรูไปทั่วตั่ง กลีบดอกถูกขยี้แหลก หอมตลบไปทั้งห้อง
ในที่สุดเขาก็สู้ไม่ไหว ยอมแพ้ให้กับความมุ่งมั่นของนาง โอบนางเข้าสู่อ้อมแขนกลายๆ แต่มือข้างหนึ่งยังคงปลีกออกมา แนบสนิทกับแผ่นหลังของนาง ส่งมอบพลังอันช่วยกำราบพิชิตลมพายุและเปลวไฟอันร้อนแรงภายในร่างของนางให้อย่างไม่ขาดสาย
นางพึมพำโอดครวญกับเขาว่า “ข้าทรมานเหลือเกิน” แล้วถามเขาเสียงเครือ “ข้าใกล้จะตายแล้วใช่หรือไม่”
เขาปลอบโยนนางเสียงอบอุ่น
“ไม่มีทาง” พูดอีกว่า “เดี๋ยวเจ้าก็จะหายดีแล้ว ไม่ต้องกลัว”
เสียงของเขามีพลังในการปลอบขวัญจิตใจ นางพยายามจะลืมตาขึ้นเพื่อดูหน้าเขา แต่ครั้นนางกัดฟัน เค้นเรี่ยวแรงทั้งหมดลืมตาขึ้นมาจนได้ในที่สุด ฟ้าดินกลับพลิกตลบในทันใด ความฝันนั้นได้ยุติลงกะทันหัน
ภายในห้องยาตานซึ่งแสงอ่อนสลัว จู่ถีหอบหายใจลุกจากเตียงแก้วผลึกขึ้นมานั่ง นางคงกิริยานั้นไว้ เนิ่นนานให้หลังค่อยสงบลงได้ จากนั้นนางคลุมเสื้อชั้นนอกให้ตัวเอง เดินแช่มช้าออกไปจากถ้ำมืดซึ่งทั้งกว้างและลึกแห่งนี้
กลางนภามีจันทร์ ไม้ภูเขาและเงาไม้กระจายเปะปะ
จู่ถีย้อนนึกถึงความฝันเมื่อครู่นี้ ยังหวั่นกลัวไม่หาย ความร้อนแผดเผาและความเจ็บปวดอันยากจะทนทานภายในร่างเหล่านั้นก็ดี กลิ่นดอกสาลี่ที่วนเวียนอ้อยอิ่งไม่ยอมผละจากบนตั่งเตี้ยก็ดี ความรู้สึกเย็นสบายชั่วครู่ที่คนข้างหลังผู้นั้นนำมาให้นางก็ดี ทั้งหมดล้วนแต่สมจริงเกินไป
สมจริงเช่นนี้ มีเพียงฝันพยากรณ์ที่สามารถทำได้ และความเจ็บปวดที่นางรู้สึกได้ภายในความฝันนั้น คล้ายคลึงอย่างมากกับความเจ็บปวดที่นางได้รับจากไฟโลกันตร์และพายุร้อนของสามัญภพดั้งเดิมเมื่อตอนที่นางเซ่นสังเวย เพียงแต่เมื่อเทียบกับความเจ็บปวดในตอนนั้นแล้ว ความเจ็บปวดในความฝันรุนแรงยิ่งกว่ากันร้อยเท่า
ร่างกายของรัศมีเทพคือภาชนะบรรจุชั้นเลิศ สามารถรองรับพลังทุกชนิดในโลกหล้าได้ อาทิเทพเซียนคนอื่นถ่ายพลังฝึกปรือให้แก่กัน ยังจำเป็นต้องใช้หญ้าเสินจือสำหรับชำระล้างปราณเซียนหนึ่งต้นเป็นกระสายยา เพื่อป้องกันพลังฝึกปรือเข้าไปก่อกวนกระแสปราณของแต่ละฝ่ายหลังจากเข้าสู่ร่าง แต่รัศมีเทพไม่มีปัญหาข้อนี้
จนถึงวันนี้ นอกจากไฟโลกันตร์และพายุร้อนซึ่งดอกปัทมาที่สร้างโลกหลงเหลือไว้ในสามัญภพแล้ว ยังไม่มีพลังใดที่เข้าสู่ร่างของรัศมีเทพแล้ว สามารถสร้างความเจ็บปวดให้แก่นางได้ ดังนั้น ในความฝันพยากรณ์นี้ พลังที่แล่นปราดไปมาภายในร่างของนางอย่างอิสระ ทำให้นางเจ็บปวดทรมานปานนี้ จะเกี่ยวข้องกับดอกปัทมาที่สร้างโลกหรือไม่หนอ? นางอดขบคิดไม่ได้
อันที่จริงนางพอจะสามารถคาดเดาได้ว่าพลังนั้นมาจากที่ใด และเข้าสู่ร่างของนางได้อย่างไร
เมื่อกลางวัน นางเคยบอกพวกเทพบริวารไปว่า การไปเขตแดนพันสะบั้นครั้งนี้ นางคิดจะไปเอาของสิ่งหนึ่งมาจากมือของชิ่งเจียง ความจริงแล้ว ของสิ่งนั้นหาใช่สิ่งของที่มีรูปร่าง แต่เป็นพลังชนิดหนึ่ง
ช่วงเวลาที่ฟื้นตื่นมานี้ นางฝันพยากรณ์ถี่มาก ก่อนความฝันพยากรณ์ในคืนนี้ นางยังเคยฝันมาก่อนหนึ่งครั้ง ในความฝันนั้น นางพบว่าภายในดาบจักรพรรดิประจิม ศาสตราเทพที่ชิ่งเจียงพกติดกาย เก็บพลังที่น่ากลัวอย่างยิ่งชนิดหนึ่งไว้ เป็นไปได้ว่าจะเกี่ยวข้องกับการล่มสลายของโลก
เป็นเพราะฝันพยากรณ์นั้น นางถึงได้ตัดสินใจเสี่ยงอันตรายไปลองสืบดู ใช้ร่างของนางเป็นภาชนะบรรจุ ขโมยพลังส่วนหนึ่งจากภายในดาบจักรพรรดิประจิมนั่นกลับมา ศึกษาวิเคราะห์ดูสักหน่อยว่าแท้จริงแล้วมันคือสิ่งใด
ความฝันในวันนี้ ดูจะสอดคล้องกับแผนการของนางพอดี สามารถมองเห็นล่วงหน้าได้ว่า แผนของนางสำเร็จแล้ว...นางขโมยพลังนั้นมาได้อย่างราบรื่น เพียงแต่พลังชั่วร้ายนั้นวางอำนาจนัก สร้างความเจ็บปวดทรมานให้แก่นางอย่างมาก แต่นี่ก็ไม่กระไร ถึงแม้ความฝันนั้นจะทำให้นางเจ็บปวด แต่ก็ทำให้นางยิ่งอยากรู้มากขึ้นเช่นกัน ทำให้นางยิ่งอยากจะรู้ให้ได้โดยเร็วว่า แท้จริงแล้วระหว่างดาบจักรพรรดิประจิมกับดอกปัทมาที่สร้างโลกมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร
จริงสิ ยังมีชายหนุ่มที่ไม่ทราบหน้าตานั่นอีก
นึกถึงชายหนุ่มผู้นั้น นางอดเผลอเหม่อไปชั่ววูบไม่ได้
ปัดการเกาะแกะที่ไม่น่าดูเอาเสียเลยเหล่านั้น ซึ่งนางทำกับชายหนุ่มในตอนที่ถูกความเจ็บปวดบีบคั้นจนขาดสติยั้งคิดทิ้งไปอย่างลำบากยากเย็น ที่จำได้ก็คือ เส้นเสียงของชายหนุ่มค่อนข้างทุ้มต่ำ เรียบเย็น บนร่างมีกลิ่นหอมชนิดหนึ่ง ก็เรียบเย็นเช่นกัน
บางทีอาจจะเป็นชายหนุ่มที่ห่างเหินเย็นชา แต่กิริยาท่าทางยามที่เขาช่วยนางรักษาอาการบาดเจ็บ กลับนุ่มนวลมากอย่างเห็นได้ชัด ถึงกับกล่าวได้ว่าอ่อนโยน
และที่ทำให้นางรู้สึกประหลาดใจมากที่สุดคือ พลังเซียนของเขากลับสามารถสะกดข่มพลังชั่วร้ายภายในร่างของนางได้ แม้จะเป็นแค่การสะกดข่มไว้ชั่วคราว แต่ก็ยอดเยี่ยมอย่างมากแล้ว อย่างน้อยได้บ่งบอกว่าชายหนุ่มหาใช่บุคคลระดับธรรมดาสามัญ
น่าเสียดายที่ในพงศาวดารเทพใหม่สองแสนกว่าปีให้หลังนี้ นางไม่ได้รู้จักชายหนุ่มที่เก่งกาจโดดเด่นสักกี่คนเลย เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าชายหนุ่มอาจจะเป็นใครนั้น นางคิดอยู่พักใหญ่ ก็ไม่มีเบาะแสอะไร
แสงจันทร์กลิ่นดอกไม้ล้วนแต่สะกดให้ง่วงงุนยิ่ง นางนอนลงบนพื้นหญ้าภายใต้แสงจันทร์ ยังคิดจะใช้ความคิดต่ออีกสักครู่ กลับต้านทานความง่วงงุนที่รบกวนไม่ไหว หนุนท่อนแขนจมลงสู่ห้วงนิทราอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
และครั้งนี้ นางไม่ได้ฝันอีก
<>::<>::<>
[1] เปิ่นจุน แปลว่าตัวข้าผู้ทรงศักดิ์สูงส่งคนนี้ ในที่นี้จู่ถีพูดในเชิงพูดเล่น เพราะปกติจู่ถีไม่ได้เรียกแทนตัวเองว่า “เปิ่นจุน”