หัวข้อ : บทที่สี่ (2)

โพสต์เมื่อ 5 พ.ย. 2568, 08:36

บทที่สี่ (2)

 

ภายในหกบรรจบ ผืนปฐพีแบ่งออกเป็นแปดดินแดน ภายในแปดดินแดนนับแดนทักษิณกินเนื้อที่กว้างขวางที่สุด เป็นที่อยู่อาศัยของเผ่ามารมาทุกยุคทุกสมัย กระนั้นแม้แดนทักษิณจะกว้างใหญ่ กลับเนื่องจากปราณทิพย์ไม่มากพอ จึงน้อยนักจะมีสถานที่งดงามตระการตา แต่ทว่าเขตแดนพันสะบั้น ณ เชิงเขาชางอู๋คือข้อยกเว้น

ภายในเขตแดนพันสะบั้น พันภูผาประชันลักษณ์ สี่ฤดูดุจวสันต์ เทียบกับแคว้นชิงชิวของเผ่าเทพซึ่งขึ้นชื่อเรื่องมีปราณทิพย์เข้มข้นแล้ว ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย และเขตแดนพันสะบั้นแห่งนี้ยังมีข้อดีอีกข้อหนึ่ง ทันทีที่เข้าสู่เขตแดนนี้ จะเป็นพลังฤทธิ์ อาคม หรือของวิเศษใดๆ ล้วนแต่ใช้งานไม่ได้ทั้งสิ้น

ทั้งสี่เผ่าต่างคาดเดาว่า นี่แหละคือเหตุผลที่ชิ่งเจียงเลือกจัดพิธีวิวาห์ขึ้นในเขตแดนแห่งนี้...สูญเสียพรจากพลังฤทธิ์ ความเป็นไปได้ที่ทุกคนจะก่อเรื่องก่อราวในงานวิวาห์ของเขา ก็ลดน้อยลงมาก...

เวลาใกล้ยามซวี[1] หลังจากชิ่งเจียงควงเจ้าหญิงเผ่ามารนางนั้นทำพิธีสำคัญเสร็จสิ้นแล้ว ได้ร่วมดื่มสุรากับบรรดาแขกผู้มีเกียรติที่ตำหนักตันม่อไปสองสามรอบ แล้วไปที่ตำหนักท้ายซึ่งมเหสีมารคนใหม่พักอยู่ ปวงมารย่อมจะไม่หาญกล้าเล่นแกล้งเจ้าบ่าวกับจอมมาร ต่างดื่มสุราหาความสำราญกันที่ตำหนักตันม่อ

โต๊ะกินเลี้ยงของไท่จื่อกับองค์ชายสามแห่งเผ่าสวรรค์จัดวางตรงตำแหน่งต้นๆ ของตำหนักตันม่อ ที่อยู่ติดกันคือโต๊ะที่นั่งของป๋ายเสวียนซ่างเสิน กษัตริย์แดนหรดี กับป๋ายเจินซ่างเสิน กษัตริย์แดนอาคเนย์แห่งชิงชิว ไปทางขวาคือโต๊ะของราชาอสูรหลีจิ้งแห่งเผ่าอสูร ไปทางขวาอีกคือโต๊ะของอิ๋งรั่วฮุย ไท่จื่อแห่งเผ่าปิศาจกับพญายมดำเซี่ยกูโฉว เห็นได้ว่านอกจากเหล่าพระพุทธเจ้าแห่งสวรรค์ประจิมไม่กี่ท่านนั้นที่ไม่ได้มาร่วมสนุกด้วยแล้ว ทุกเผ่าต่างมากันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตายิ่ง ทุกคนต่างให้เกียรติชิ่งเจียงเป็นอย่างมาก

ตำแหน่งท้ายๆ ของตำหนักตันม่อวางโต๊ะของเหล่ามารน้อยกระจัดกระจายกันไป เหล่ามารน้อยไม่กล้ามาเอะอะรบกวนแขกผู้มีเกียรติ ด้วยเหตุนี้ถึงแม้ภายในตำหนักจะชนจอกดื่มกินกันอย่างครื้นเครง โต๊ะแรกๆ ไม่กี่โต๊ะนี้ยังคงค่อนข้างจะเงียบสงบอยู่ดี

ชิงหลัวจวิน บุตรชายคนเล็กของราชามารเหลือง นั่งหันข้างอยู่ฝั่งโต๊ะของเผ่าสวรรค์ อยากจะขดตัวเองเป็นก้อนกลมใจแทบขาด เอาแต่วิตกกังวล

“ข้าเห็นฟู่จวินข้ามองข้าตาเขียวแล้ว อ๋า เขามองข้าตาเขียวอีกแล้ว” แอบกระซิบกับดาวเทพลิขิตชะตาที่ข้างกายว่า “เห็นจุนซั่งเชิญพวกเจ้ามาร่วมงานอภิเษกสมรสของท่านอย่างนี้ แต่ความจริงตอนนี้ความสัมพันธ์ของพวกเราสองเผ่าน่ะตึงเครียดมากเลยละ ข้ารู้สึกว่าจุนซั่งของพวกข้าไม่ยอมรับนับถือที่พวกเจ้าเผ่าเทพเป็นลูกพี่ใหญ่อย่างมาก ฟู่จวินข้าน่าจะไม่อยากให้ข้าเสียเวลาอยู่ที่โต๊ะของพวกเจ้านานเกินไปละมัง” ว่าพลางดื่มเหล้าที่อยู่ตรงหน้าตัวเองจนหมดเกลี้ยง เอี้ยวตัวไปคิดจะหลบจากสายตาของราชามารเหลือง แล้วยื่นมือไปหยิบไหเหล้าอีกครั้ง “แต่ว่าเหล้าบนโต๊ะของพวกเจ้านี่อร่อยดีจริงๆ  เหล้าที่ใช้ต้อนรับแขกผู้มีเกียรตินี่ไม่ธรรมดาเลย ข้าจะดื่มอีกสักสองชามแล้วจะขอตัวละนะ”

ดาวเทพลิขิตชะตารู้สึกทึ่งกับความปากไม่มีหูรูดของชิงหลัวจวินเป็นอย่างมาก อมยิ้มชูนิ้วหัวแม่มือให้เขา

“สมแล้วที่เป็นน้องภรรยาหมาดๆ ของจอมมารชิ่งเจียง องค์ชายเล็กนี่ช่างกล้าตรัสไปเสียทุกเรื่องเลยกระหม่อม อาศัยความใจกล้านี้ขององค์ชายเล็ก สุราไม่กี่ชามจะไปมีค่าอะไร”

ชิงหลัวจวินเอี้ยวตัวหลบสายตาฆ่าคนได้ของฟู่จวินเขาไปพลางถ่อมตัวไปพลาง

“ไม่หรอกๆ” ระหว่างที่พูดได้ดื่มเหล้าหมดไปอีกหนึ่งชาม

อีกด้านหนึ่งของโต๊ะ ฝ่าบาทสามกับองค์ไท่จื่อต่างกำลังฟังเซียนซู่จี๋พูด ไม่ค่อยได้สนใจพวกเขาทางด้านนี้นัก

เซียนซู่จี๋มือถือหน้าไม้ทองจิ๋วที่กูเหยามอบให้แก่ฝ่าบาทสามคันนั้น พูดเป็นฉากๆ ว่า “เล่าขานกันว่าเทพจู่ถีมีศรเทพอยู่หนึ่งคัน นามว่า ‘ซั่งซ่านอู๋จี๋’  ซึ่งเทพจู่ถีใช้ปฐมเทวรังสีที่บ่มเพาะหล่อเลี้ยงนางสร้างขึ้นมา หน้าไม้จิ๋วคันนี้ของฝ่าบาท เป็นประกายเจิดจ้ามลังเมลือง ทั้งยังเบาหวิวเช่นนี้ คงไม่ใช่ว่าเทพจู่ถีก็ใช้ปฐมเทวรังสีสร้างขึ้นเช่นกันกระมัง?”

ฝ่าบาทสามคีบจอกสุราใบหนึ่งอย่างเกียจคร้านมองหน้าซู่จี๋

“ปฐมเทวรังสีล้ำค่าเพียงใด น่าจะไม่ถึงขั้นนั้น แต่ว่าเจ้ากลับรู้จักคันศรซั่งซ่านอู๋จี๋เสียด้วย ชวนให้ต้องมองเจ้าใหม่เสียแล้ว”

ในปีนั้นหลังจากที่เซียนซู่จี๋สำเร็จเป็นเซียนเหาะเหินขึ้นสวรรค์ ได้เป็นที่ถูกใจของมหาเทพตงหัว มหาเทพรับเขาเข้าสู่วังมหาอรุณ มอบหมายหน้าที่ในการเฝ้าดูแลหอเก็บคัมภีร์ให้แก่เขา

เดิมทีซู่จี๋หลงนึกว่านี่คืองานสบาย หลังจากเข้ารับตำแหน่งแล้ว ถึงค่อยรู้ว่าห้องสมุดแห่งนั้นของมหาเทพไม่เคยทำการจัดเก็บให้เป็นระเบียบอย่างเป็นเรื่องเป็นราวมาก่อนเลยนับตั้งแต่วังมหาอรุณถูกสร้างขึ้นเป็นต้นมา เก็บหนังสืออย่างมั่วซั่วได้ที่มาก เซียนซู่จี๋ทุ่มเทความพยายามขั้นเทพจัดระเบียบอยู่เกือบสามหมื่นปี ความรู้ถูกบีบให้เพิ่มขึ้นพรวดพราด วันนี้ได้แตกต่างจากวันวานเป็นอย่างมาก ยิ้มอย่างสำรวม เอ่ยตอบว่า

“ไม่ขอปิดบังฝ่าบาทสาม นี่คือตอนที่ผินเต้าจัดระเบียบสมุดจดบันทึกเมื่อสองแสนกว่าปีก่อนของตี้จวินเมื่อพักก่อน ได้อ่านมาจากในสมุดเหล่านั้นพ่ะย่ะค่ะ” เขาทำสีหน้ามีเลศนัย ขยับเข้าไปใกล้ลูกมังกรหลานมังกรทั้งสองท่าน “ไม่ทราบว่าฝ่าบาททั้งสองทรงสังเกตเห็นหรือไม่ว่า ศาสตราวุธของเทพยุคมหาอุทกภัย อย่างเช่น กระบี่เซวียนหยวนของเทพม่อเยวียน กระบี่ชางเหอของตี้จวินเรา กระบี่เก้าราตรีของมหาเทพป๋ายจื่ออะไรเทือกนี้ ชื่อเหมือนจะไม่มีความหมายแฝงอะไรกันทั้งนั้น แค่ตั้งไปส่งๆ  เน้นแค่ฟังดูดีเท่านั้น แต่คันศรซั่งซ่านอู๋จี๋ของเทพจู่ถี...ฝ่าบาททั้งสองลองดำริดูเถิด ชื่อแตกต่างอย่างมากใช่หรือไม่?”

เยี่ยหัวจวินนั่งอยู่ตรงข้ามกับซู่จี๋ เมื่อครู่นี้เขาไปที่โต๊ะของสองกษัตริย์แห่งชิงชิวซึ่งอยู่ติดกันคารวะสุราว่าที่ต้าจิ้วจื่อ[2]และเสี่ยวจิ้วจื่อ[3] ระหว่างผลัดกันดื่มคารวะได้ดื่มมากเกินไปนิด ยามนี้ชักจะทานฤทธิ์สุราไม่ไหว ใบหน้าคมคายที่ขาวนวลได้ซ่านสีชมพูจางๆ  หลุบเปลือกตาลงเล็กน้อยกล่าวว่า

“ซั่งซ่าน (上善) หมายถึงสุดเมตตาสุดดีงาม อู๋จี๋ (无极) หมายถึงไร้ที่สิ้นสุด ลักษณ์ดั้งเดิม จิตสำนึกสุดท้าย นามนี้ดีเลิศเกินไปจริงๆ แต่เล่าขานกันว่าคันศรซั่งซ่านอู๋จี๋เคยได้รับคำชมจากเทพบิดรว่าเป็นราชาแห่งหมื่นธนู คิดดูแล้วมันก็คู่ควรกับนามนี้อยู่”

ซู่จี๋ตบโต๊ะเบาๆ  มือข้างที่ตบโต๊ะของเขากำลังถือหน้าไม้จิ๋วของฝ่าบาทสามคันนั้นอยู่พอดี ฝ่าบาทสามมองมือของเขาแวบหนึ่ง แล้วมองหน้าของเขาแวบหนึ่ง ซู่จี๋ตัวสั่นยะเยือก รีบวางหน้าไม้จิ๋วลงทันที สองมือยกขึ้นพนมไหว้ขอโทษฝ่าบาทสามอย่างสุดซึ้ง แล้วประคองยกหน้าไม้จิ๋วนั้นคืนให้ฝ่าบาทสามอย่างเคารพยำเกรงเต็มที่ กราบฝ่าบาทสามกับหน้าไม้จิ๋วคนละครั้ง ค่อยหันไปกล่าวกับเยี่ยหัวจวินว่า

“องค์ไท่จื่อรอบรู้กว้างขวางจริงแท้ ตรัสได้ถูกต้องทุกประการพ่ะย่ะค่ะ!”

เขาสาธยายเป็นฉากๆ

“ในสมุดบันทึกของตี้จวินกล่าวไว้ว่า เจ้าแห่งวาตะเส้อเจียจุนเจ่อซึ่งนิยมชมชอบในศาสตราวุธ เคยไปเยี่ยมพบเทพจู่ถีที่กูเหยา ประสงค์จะขอดูสักหน่อยว่าธนูเรืองนามซึ่งไม่เคยเผยโฉมต่อโลกหล้ามาก่อนคันนั้นมีความพิเศษในที่ใด เส้อเจียจุนเจ่ออยู่ที่กูเหยานานหนึ่งชั่วยาม ไม่มีใครทราบว่าในหนึ่งชั่วยามนั้นได้เกิดเรื่องใดขึ้น เพียงทราบว่าในตอนที่เส้อเจียจุนเจ่อไปจากกูเหยา ได้กล่าวอย่างทอดถอนว่าธนูนั้นสมแล้วที่เป็นราชาแห่งหมื่นธนู แต่หวังเพียงว่ามันจะไม่ปรากฏสู่โลกหล้าไปตลอดกาล แล้วถอนหายใจว่ายอดศาสตราวุธเช่นนี้ ไร้นามมาจนถึงบัดนี้ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก ในความเห็นของท่าน มีเพียง ‘ซั่งซ่านอู๋จี๋’ สี่ตัวอักษรนี้เท่านั้นที่สามารถเป็นนามของมันได้”

เยี่ยหัวจวินถูกซู่จี๋สาธยายจนชักจะสนใจใคร่รู้ขึ้นมา

“ในเมื่อเป็นธนูที่สุดเมตตา หาใช่อาวุธร้ายอะไร เหตุไฉนเส้อเจียจุนเจ่อถึงได้พูดว่า หวังว่าคันศรนั้นจะไม่เผยโฉมต่อโลกหล้าไปตลอดกาล กันเล่า?” เขานิ่งคิดเล็กน้อย “เกี่ยวกับประเด็นนี้ ตี้จวินทรงมีการคาดคะเนใดหรือไม่?”

ซู่จี๋ส่ายหน้า

“ตี้จวินเพียงแค่บันทึกเรื่องนี้ไว้เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ หาได้เขียนลงในสมุดบันทึกว่าตัวท่านผู้เฒ่าทรงดำริว่าอย่างไร” กล่าวพลางชะโงกตัวไปข้างหน้า ลดเสียงเบาลง “แต่ในหน้านั้น ยังมีบันทึกเกี่ยวกับธนูนั้นอีกหนึ่งประโยคพ่ะย่ะค่ะ ตี้จวินตรัสว่าตลอดชีวิตของเทพจู่ถี ไม่เคยใช้ธนูนั้นต่อหน้าชนชาวโลกเลย แม้แต่ตอนที่ช่วยเทพส้าวหว่านเปิดทวารรั่วมู่ ตามด้วยเซ่นสังเวยเพื่อเผ่ามนุษย์ ก็ไม่เคยใช้งานเลย พวกท่านว่า น่าประหลาดหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

เยี่ยหัวจวินพยักหน้า

“เทพจู่ถีลึกลับมากจริงๆ  คันศรซั่งซ่านอู๋จี๋นี้ก็ชวนให้อยากสืบค้นจริงๆ”

ซู่จี๋เหมือนรอประโยคนี้ขององค์ไท่จื่อนี่เอง

“ใช่ไหมเล่าพ่ะย่ะค่ะ!” ตบมือแปะ แสร้งทำเป็นหันไปพูดกับฝ่าบาทสามที่นั่งนิ่งเงียบอยู่ด้านข้างโดยไม่เอ่ยอะไรเลยสักคำอย่างเป็นธรรมชาติ “ฝ่าบาททรงดูสิพ่ะย่ะค่ะ หลังจากเทพจู่ถีฟื้นตื่นแล้ว มิได้สนใจใครทั้งนั้น แต่กลับใจดีกับฝ่าบาทมากเลย” ชี้ไปที่หน้าไม้จิ๋วในมือเขา ทำสีหน้าน้ำลายไหล “ท่านยังมอบหน้าไม้จิ๋วนี้ให้ฝ่าบาทอีกด้วย ผินเต้ารู้สึกว่า ตามมารยาทแล้ว ฝ่าบาทเองก็ควรจะเสด็จไปเยือนบึงมัชฌิมเป็นการตอบแทนสักครั้งนะพ่ะย่ะค่ะ และถึงตอนนั้น เมื่อฝ่าบาทเข้าสู่บึงมัชฌิมแล้ว ทรงลองเอ่ยกับเทพจู่ถีดู บอกว่าอยากจะขอดูคันศรซั่งซ่านอู๋จี๋ในตำนานนั่นสักหน่อย คิดว่าคง...”

“คิดว่าคงจะไม่ยากนักเป็นแน่” ฝ่าบาทสามเท้าแก้มด้วยมือเดียว ขยับพลิกหน้าไม้จิ๋วสีทองคันนั้นเล่น “จะดีที่สุดหากตอนไปเยือนบึงมัชฌิมเป็นการตอบแทน ข้าช่วยพาเจ้าไปด้วย ใช่หรือไม่?”

แผนการถูกแฉ ซู่จี๋แก้ตัวเก้อๆ “อย่างไรก็ต้องมีใครสักคนคอยปรนนิบัติฝ่าบาทอยู่ข้างๆ นี่พ่ะย่ะค่ะ...” นัยน์ตากลอกวูบ ลากเยี่ยหัวจวินเข้ามาเอี่ยวด้วย พูดยุอย่างกระตือรือร้นไปพลาง ส่งสัญญาณทางสายตาให้เยี่ยหัวจวินไปพลาง “ผินเต้าจำได้ว่าเมื่อครู่นี้องค์ไท่จื่อก็ตรัสเช่นกันว่าทรงอยากจะลองสืบค้นเรื่องธนูนั้นดู ถึงตอนนั้นทุกคนไปด้วยกัน ระหว่างทางจะได้ไม่เหงาไงพ่ะย่ะค่ะ องค์ไท่จื่อว่าใช่หรือไม่?”

องค์ไท่จื่อคือผู้ที่รู้มารยาทมากที่สุดในบรรดาคนรุ่นเด็กหนุ่มเด็กสาวของสวรรค์เก้าชั้นฟ้า หากเป็นยามปกติ องค์ไท่จื่อที่ถือมารยาทเป็นสำคัญนั้น ต่อให้ความอยากรู้อยากเห็นระเบิดปะทุ ก็ไม่มีทางเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องยุยงญาติผู้ใหญ่เช่นนี้ แต่คืนนี้องค์ไท่จื่อดื่มสุราลงไป ภายใต้อิทธิพลของฤทธิ์สุรา ความอยากรู้อยากเห็นของเด็กหนุ่มเป็นฝ่ายชนะ เขาคลี่ยิ้มออกมาบางๆ  ดูเชื่อฟังอย่างมาก

“หลานรู้สึกว่าที่เซียนซู่จี๋กล่าวมาถูกต้องยิ่งนัก ท่านอาสามไปเยือนบึงมัชฌิมตอบแทน เป็นเรื่องถูกต้องตามมารยาท และหากสามารถติดตามท่านอาสามไปเปิดหูเปิดตาที่บึงมัชฌิมสักหน่อย ก็เป็นบุญของหลานเช่นกัน”

ได้ฟังคำกล่าวนี้ของไท่จื่อ หัวใจผู้เฒ่าของซู่จี๋ให้ปลาบปลื้มยิ่งนัก

ฝ่าบาทสามมองหน้าซู่จี๋ สายตาเบนออกในแนวระนาบ ไปจับที่ตัวเยี่ยหัวจวิน

“ในสี่ทะเลแปดดินแดนนี้ สถานที่ที่เจ้าไม่เคยเห็นมาก่อนยังมีอีกมาก ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนไปเยี่ยมชมบึงมัชฌิมก่อนดอก” แววเย้าแหย่ผุดขึ้นในดวงตา “ตัวอย่างเช่นแดนบูรพาที่ป๋ายเฉี่ยนซ่างเซียนปกครอง ข้าจำได้ว่าเจ้ายังไม่เคยได้ไปเยี่ยมชมเลย อาสามมิสู้พาเจ้าไปเปิดหูเปิดตาที่แดนบูรพาก่อนเป็นอย่างไร?”

หนุ่มน้อยเยี่ยหัวจวินตะลึงลาน จากนั้นหน้าพลันแดงก่ำไปถึงใบหูทันที

หากเป็นยามปกติ ไท่จื่อหนุ่มน้อยผู้เถรตรงขี้อายท่านนี้คงจะมีอาการสมองขาวโล่ง ได้แต่โต้กลับว่า “ท่านอาสามอย่าได้พูดเหลวไหล” อีกแล้ว แต่จะอย่างไรวันนี้องค์ไท่จื่อดื่มสุรามากเกินไปหลายจอก จึงข่มใจให้เยือกเย็นได้ดีมาก หลังจากหน้าแดงแล้ว กลับโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ

“ทั้งที่ท่านอาสามเองก็ไม่ได้สนิทกับป๋ายเฉี่ยนซ่างเซียนสักหน่อย ต่อให้ท่านอาสามเป็นคนพาข้าไปที่แดนบูรพา ซ่างเซียนก็ไม่แน่ว่าจะยอมพบพวกเรากระมัง ท่านอาสามชอบหลอกกันอยู่เรื่อยเลย!”

เดิมทีฝ่าบาทสามยังนั่งอย่างค่อนข้างจะเกียจคร้าน ได้ฟังคำอดนั่งตัวตรงไม่ได้ พินิจดูไท่จื่อหนุ่มน้อยที่ข้างกายอยู่พักใหญ่ จากนั้นเลิกคิ้วอย่างนึกสนุกยิ่ง

“ข้าหรือหลงนึกอยู่เรื่อยว่าเจ้าหน้าบาง ไม่นึกเลยว่า...ถึงจะชอบหน้าแดงก็เถอะ ในใจกลับคิดอะไรไม่ใช่น้อยเลยนี่”

องค์ไท่จื่อไม่ได้โต้แย้ง เพียงแค่มองหน้าเขาอย่างดื้อดึง ฝ่าบาทสามเหมือนจะรู้สึกว่าน่าสนุกดี กวักมือเรียกหนุ่มน้อยเยี่ยหัวจวิน องค์ไท่จื่อผู้นั่งตัวตรงเรียบร้อยโน้มตัวไปทางเขาโดยไม่ให้มีผลกระทบต่อท่านั่ง

ฝ่าบาทสามเอ่ยยิ้มๆ ว่า

“ถึงแม้อาสามจะไม่ได้สนิทกับป๋ายเฉี่ยนซ่างเซียน บุ่มบ่ามพาเจ้าไปที่แดนบูรพา ก็ไม่แน่ว่าจะได้รับการต้อนรับจากซ่างเซียนจริงแท้ แต่อาสามสามารถสอนวิธีเข้าใกล้ซ่างเซียนได้อย่างแนบเนียนเป็นธรรมชาติแก่เจ้าได้ เจ้าอยากฟังหรือไม่?”

องค์ไท่จื่อที่เมาสุราซื่อตรงอย่างมาก แม้จะปั้นหน้าเคร่ง กลับพยักหน้าแผ่วเบายิ่ง เอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบายิ่งว่า “อืม” ทั้งยังเป็นฝ่ายโน้มตัวไปทางฝ่าบาทสามเองอีกเล็กน้อย

ฝ่าบาทสามยินดีที่จะชี้แนะไท่จื่อหนุ่มน้อยซึ่งเปลี่ยนเป็นน่ารักผิดคาดเพราะเมาสุราเป็นอย่างมาก

“ตำหนักนอนที่พวกเขาจัดให้ข้าพัก ตำหนักติดกันก็คือป๋ายเสวียนกับป๋ายเจิน อาสามจะแลกตำหนักนอนให้เจ้า เจ้าเป็นหอสูงริมน้ำคว้าจันทร์ก่อน[4] จงฉวยโอกาสสร้างความสนิทสนมกับต้าจิ้วจื่อ เสี่ยวจิ้วจื่อของเจ้าเสีย ผ่านไปสักระยะ เมื่อเจ้าไปเยี่ยมแดนปกครองของพวกเขา ก็จะเป็นธรรมชาติอย่างมากแล้ว ป๋ายเฉี่ยนซ่างเซียนชอบไปที่แดนปกครองของพี่สี่นางมากเป็นพิเศษ เจ้าจงไปที่แดนอาคเนย์ให้บ่อยสักหน่อย ย่อมจะได้พบนางโดยบังเอิญในไม่ช้า”

องค์ไท่จื่อคิดอยู่ชั่ววูบ มุมปากโค้งขึ้น แล้วรีบเม้มโดยเร็ว พยักหน้าอย่างสำรวม

“อืม เช่นนี้ได้อยู่”

ฝ่าบาทสามตบไหล่เขาเบาๆ  จากนั้นซ่อนหน้าไม้จิ๋วสีทองที่ถือเล่นไว้ในแขนเสื้อ กล่าวกับคนอื่นอีกสามคนในโต๊ะเดียวกันแบบง่ายๆ ว่า

“เปิ่นจวินเหนื่อยแล้ว ขอกลับก่อนละ” จากนั้นลุกขึ้นยืน หมุนตัวเดินจากไปโดยไม่รอคำตอบจากคนทั้งสาม

ซู่จี๋จ้องมองแผ่นหลังที่เดินจากไปของฝ่าบาทสามตาละห้อย ร้องเรียกว่า “ง่า ฝ่าบาท ฝ่าบาท งั้นที่เมื่อครู่นี้พวกเราคุยกัน...”

ฝ่าบาทเหมือนไม่ได้ยิน พริบตาเดียวก็หายไปเสียแล้ว

ชิงหลัวจวินที่ดื่มจนกึ่งมึนเมาถามดาวเทพลิขิตชะตาที่ด้านข้างอย่างงุนงง

“งานเลี้ยงเพิ่งจะดำเนินไปได้แค่ครึ่งเดียว เหตุใดฝ่าบาทสามถึงจากไปเสียแล้วเล่า?”

ดาวเทพลิขิตชะตากำลังถือตะเกียบหยกเคาะเป็นจังหวะตามท่วงท่าร่ายรำของเหล่านางรำเผ่ามารภายในตำหนัก

“อ๋อ” ดาวเทพลิขิตชะตาผู้ละเอียดถี่ถ้วนและรัดกุมรอบคอบขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เมื่อครู่นี้นักดีดพิณของพวกท่านดีดผิดไปสองเสียง คงจะทำให้ฝ่าบาทสามทรงทนไม่ไหว ดังนั้นท่านจึงได้ขอตัวจากไปกระมัง”

ชิงหลัวจวินถามงงๆ “โลกมนุษย์มีตัวอย่างอยู่เรื่องหนึ่ง เรียกว่า ‘ดีดผิดเสียงโจวหลางมอง[5]’ อะไรนั่นไม่ใช่หรือ อย่างนั้นนักดีดพิณของพวกข้าดีดผิด ฝ่าบาทสามควรจะยิ้มน้อยๆ ให้นักดีดพิณของพวกข้า หากนักดีดพิณหน้าตาดี เขาสองคนยังควรจะสำเร็จผลได้ร่วมวาสนากันถึงจะถูกนี่นา! เหตุใดเขาถึงขอตัวจากไปเสียแล้วเล่า?”

ดาวเทพลิขิตชะตาซึ่งงานหลักของอาชีพคือประพันธ์สมุดชะตาชีวิตให้มนุษย์รู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง มองหน้าชิงหลัวจวิน กล่าวด้วยอารมณ์เสียดายพรสวรรค์เป็นอย่างมาก

“องค์ชายน้อย หากว่าท่านไม่ใช่เผ่ามารละก็ กลับเหมาะจะเข้ากรมชะตาชีวิตของพวกข้ามากเลยละ!”

ถ้อยคำยามเมามายในงานเลี้ยง ได้จมหายไปท่ามกลางเสียงดนตรีอันรื่นเริง

 

วังแปรพระราชฐานพันสะบั้นคือปราสาทศิลา ตั้งตระหง่านกลางเขตแดนพันสะบั้นมาตั้งแต่เมื่อสองแสนกว่าปีก่อน ด้านตะวันตกเฉียงใต้ของวังคือตำหนักทอดเรียงต่อเนื่องกัน คืนนี้แขกผู้มีเกียรติซึ่งมาร่วมงานเลี้ยงที่นี่ต่างจะพักผ่อนกันภายในตำหนักเหล่านี้

แต่จู่ถีทราบดีว่า ตำหนักแรกสุด “ตำหนักอัญชนา” นั่น ไม่มีทางถูกนำมาใช้ต้อนรับแขกโดยเด็ดขาด ไม่มีเหตุผลอื่น ตำหนักอัญชนาคือตำหนักที่ในกาลก่อนส้าวหว่านมักจะพักอยู่เป็นประจำยามมาที่วังแปรพระราชฐานพันสะบั้น

เวลานี้ ชิ่งเจียงที่อาบน้ำเสร็จและออกมา จะต้องสังเกตเห็นแล้วว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงหยกคือสาวใช้ไม่ใช่นาง เหล่าขุนพลมารจะต้องเริ่มเสาะหาตัวนางไปทั่วทั้งวังแล้วเป็นแน่ และประตูสำหรับเข้าออกวังพันสะบั้นทั้งแปดแห่ง ก็น่าจะถูกปิดตายไปแล้วด้วยเช่นกัน

จู่ถีวิ่งไปทางตำหนักอัญชนาพลางคิดในใจ

ถึงแม้ครั้งก่อนที่มาวังพันสะบั้นแห่งนี้ คือเมื่อสองแสนกว่าปีก่อนที่ส้าวหว่านยังอยู่ แต่นางความจำดีแต่กำเนิด ประกอบกับไม่กี่วันก่อนอินหลินได้มาสืบดูสถานที่นี้ล่วงหน้า ทำการบ้านมาเรียบร้อยแล้ว ด้วยเหตุนี้ เมื่อเวลานี้มาวิ่งตะบึงอยู่กลางปราสาทศิลาแห่งนี้ภายใต้ราตรีอันลึกล้ำ นางจึงมิได้รู้สึกแปลกหน้าแปลกถิ่นแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับชำนาญทางเสียด้วยซ้ำ

ขอเพียงไปถึงตำหนักอัญชนา นางก็จะหลุดพ้นจากสถานการณ์คับขันแล้ว

ในตำหนักอัญชนาซ่อนความลับไว้หนึ่งอย่าง มีแค่นางกับส้าวหว่านสองคนเท่านั้นที่รู้

สองแสนห้าหมื่นปีก่อน ส้าวหว่านใช้ศิลาภูเขาธรรมชาติจัดเรียงค่ายกล สร้างเป็นพื้นที่ซึ่งไม่ถูกกฎของเขตแดนพันสะบั้นผูกมัด สามารถใช้อิทธิฤทธิ์วิชาอาคมได้อย่างอิสระขึ้นภายในตำหนักอัญชนา อีกทั้งวิธีเปิดใช้งานพื้นที่นั้นก็ไม่ได้ยากเย็นเช่นกัน เพียงแค่ต้องไปอยู่ข้างในตำหนักอัญชนา ร่วมกับเคลื่อนย้ายสัตว์ร้ายคุมตำหนักสี่ตัวภายในตำหนักก็ได้แล้ว

จู่ถีจำได้ว่าตอนนั้นนางยังนึกอยากรู้อยู่นิดๆ  เคยถามส้าวหว่านดูว่าเหตุใดถึงต้องลำบากลำบนสร้างค่ายกลแบบนี้ขึ้นภายในเขตแดนพันสะบั้นด้วย ส้าวหว่านเอ่ยตอบนางแบบทีเล่นทีจริงว่า

“หากเผชิญเหตุการณ์ลอบฆ่าภายในเขตแดนนี้ อย่างนั้นการอยู่ในตำหนักอัญชนา ก็คืออยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดอย่างไรเล่า”

สองแสนกว่าปีได้ผ่านไป ไม่มีผู้ใดสมองเสียกล้าลอบสังหารส้าวหว่านกลางเขตแดนพันสะบั้น ดังนั้นความจริงแล้วค่ายกลนั้นยังไม่เคยถูกเปิดใช้งานมาก่อน นึกไม่ถึงเลยว่าการเปิดใช้งานครั้งแรก นางกลับเป็นคนใช้งาน แม้แต่ส้าวหว่านก็คงยากจะคาดเดาได้กระมัง

ยามเมื่อยืนอยู่หน้าตำหนักอัญชนา จู่ถีปรับลมหายใจให้สงบลงเล็กน้อย คิดในใจเช่นนี้

 

ทั่วทั้งตำหนักมืดสนิท นอกตำหนักไม่มีคนคอยเฝ้า ภายในตำหนักไร้สุ้มเสียง คือลักษณะที่ตำหนักร้างพึงมี

จู่ถียื่นมือไปผลักเปิดประตูตำหนัก เพื่อไม่ดึงดูดให้คนอื่นเข้ามาหา นางไม่ได้หยิบวัตถุให้แสงสว่างออกมา อาศัยแสงจันทร์ที่ส่องสว่าง กับความสามารถในการมองเห็นในที่มืดซึ่งยังนับว่าไม่เลวอยู่ นางแยกแยะออกได้ว่า ภายในตำหนักนี้เป็นเช่นที่อินหลินซึ่งมาสืบดูล่วงหน้าได้บอกไว้จริงๆ  คือสะอาดมาก

จู่ถีไม่สนใจว่าเป็นเพราะเผ่ามารเคารพนับถือส้าวหว่านเสมอมา จึงตั้งใจดูแลรักษาตำหนักนี้ของวังแปรพระราชฐานที่ส้าวหว่านโปรดปรานอย่างตั้งใจมาโดยตลอด หรือว่าชิ่งเจียงได้ทำการซ่อมแซมตำหนักนี้หลังจากที่ขึ้นดำรงตำแหน่ง จู่ถีสนใจแค่ว่า สัตว์ร้ายคุมตำหนักสี่ตัวนั้นสมบูรณ์ดีดังเดิมเช่นที่อินหลินได้บอกไว้จริงๆ ใช่หรือไม่

นางเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว คิดจะเสาะหาสัตว์ร้ายคุมตำหนักนั่น ส่วนลึกของตำหนักบรรทมพลันมีแสงไฟสว่างขึ้น ตามด้วยมีเสียงเย็นชาดังขึ้น

“นั่นใคร?”

รูม่านตาจู่ถีหดวูบทันที นางนึกไม่ถึงว่าจะมีคนอยู่ข้างในตำหนัก

ใครกันนะ?

ความคิดตื่นตัวระแวดระวังได้กดความคิดสืบหยั่งลงไป นางตั้งใจจะล่าถอยโดยสัญชาตญาณ คนข้างในผู้นั้นกลับแหวกม่านออกมาเสียแล้ว

พร้อมกับที่แสงของไข่มุกส่องสว่างทั่วทั้งตำหนักกว้าง จู่ถีมองเห็นคนที่ยืนอยู่ข้างฉากบังลมชัดเจนแล้ว

บุรุษวัยหนุ่ม รูปร่างสูงใหญ่มาก ผมยาวที่เปียกชื้นแผ่สยายอยู่ด้านหลังศีรษะ เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ คิ้วตาของชายหนุ่มดุจภาพเขียน มองดูนางอย่างยะเยียบเย็นชา สวมชุดหมิงอี[6]สีขาวล้วนซึ่งคนปกติทั่วไปจะสวมกันหลังจากอาบน้ำเสร็จในช่วงถือศีล ราวกับสำรวมอย่างยิ่ง แต่อกเสื้อของชุดหมิงอีกลับปล่อยปละไม่เรียบร้อย ทำให้ดูเกียจคร้าน ในมือถือผ้าฝ้ายผืนหนึ่ง เหมือนตั้งใจจะเช็ดผม ซึ่งดูง่ายๆ สบายๆ อีกเช่นกัน

“งามสง่าผ่าเผยดุจเมฆสนธยาพลิ้วไหว กรุ้มกริ่มกรุยกรายไม่อนาทร”

สองวรรคนี้ได้ผุดขึ้นในห้วงสมองของจู่ถี แต่เพียงแวบเดียวก็หายไป

เนื่องจากไม่สามารถใช้ฤทธิ์ได้ นางจึงไม่สามารถตัดสินได้ว่าคนผู้นี้คือเผ่าใด และไม่สามารถตัดสินได้เช่นกันว่าเขาอันตรายหรือไม่

ในชั่ววูบเดียวที่หยุดชะงัก จู่ถีก็ตัดสินใจได้

“รบกวนท่านผู้สูงศักดิ์แล้ว” นางก้มหน้าลง ย่อกายคารวะ “หนูปี้เดินผ่านตำหนักอัญชนา ได้ยินภายในตำหนักมีเสียงเคลื่อนไหว จึงแวะเข้ามาดูเจ้าค่ะ” นางเงยหน้าขึ้นนิดๆ  ถามอย่างลังเล “ท่านผู้สูงศักดิ์...มาผิดที่หรือเปล่าเจ้าคะ? ตำหนักอัญชนานี้คือที่พำนักเดิมของท่านจอมมารส้าวหว่าน เดิมทีไม่ใช้รับรองแขกเจ้าค่ะ”

ชายหนุ่มรวบปิดอกเสื้อลวกๆ  ใช้ผ้าฝ้ายผืนนั้นเช็ดผมพลางเดินเนิบๆ ไปถึงริมเตียงหยกที่ด้านข้างแล้วนั่งลง

“เปิ่นจวินไม่ชอบอยู่ร่วมตำหนักกับผู้อื่น ตำหนักนี้ว่างและกว้างดี ถูกใจเปิ่นจวินอย่างยิ่ง” มองหน้านางแวบหนึ่ง “ในเมื่อกูเหนี่ยงเพียงแค่บังเอิญผ่านทางมา ก็ช่วยอำนวยความสะดวกให้เปิ่นจวินสักหน่อย ทำเป็นไม่รู้เรื่องนี้ไปเถิด”

แม้ถ้อยคำจะกล่าวอย่างเกรงใจ แต่ที่แฝงเร้นอยู่ในความเกรงใจกลับเป็นไม่อนุญาตให้โต้แย้งและไม่อนุญาตให้สงสัย จู่ถีจึงเข้าใจแล้ว ชายหนุ่มมีที่มาสูงส่ง ไม่ใช่คนที่นางยกส้าวหว่านขึ้นมาอ้างแล้วจะสามารถเกลี้ยกล่อมให้จากไปได้ กระนั้นสัตว์ร้ายคุมตำหนักอยู่ตรงหน้านี้เอง นางจะจากไปก็ไม่ได้เช่นกัน เช่นนี้ได้แต่คิดหาวิธีรั้งอยู่ในตำหนักนี้ด้วย ค่อยรอจังหวะเคลื่อนไหวเสียแล้ว

“ในเมื่อท่านผู้สูงศักดิ์ได้ตัดสินใจแล้วว่าจะพักอยู่ที่นี่ หนูปี้ย่อมมิกล้าว่ากล่าวกระไร” นางเอ่ยปากเบาๆ  แสร้งทำเป็นว่าตัวนางคือนางกำนัลผู้เชี่ยวชาญ ทั้งยังรู้ใจดี “เพียงแต่ว่า...ตำหนักนี้ไม่มีผู้พักอยู่มานาน เตียงหยกเองก็ยังมิได้ปู ซึ่งเสียมารยาทยิ่งนัก หากท่านผู้สูงศักดิ์ไม่รังเกียจ โปรดอนุญาตให้หนูปี้ช่วยปูและจัดแต่งเครื่องนอนให้ท่านผู้สูงศักดิ์ด้วยเถิดเจ้าค่ะ” ระหว่างที่กล่าวนางย่อกายลงนิดๆ สองมือวางซ้อนทับกันริมหน้าท้อง ก้มหน้าลงต่ำ ดูแล้วคือนางกำนัลที่ทั้งรู้ความและรู้มารยาทจริงๆ

สายตาของชายหนุ่มหยุดนิ่งที่กระหม่อมนางอยู่ชั่วครู่สั้นๆ

“เช่นนั้นก็รบกวนกูเหนี่ยงแล้ว”

จู่ถีเม้มปากเบาๆ “การปรนนิบัติท่านผู้สูงศักดิ์คือหน้าที่ของหนูปี้อยู่แล้วเจ้าค่ะ จะกล้ารับคำรบกวนของท่านผู้สูงศักดิ์ได้อย่างไร” จบคำย่อกายคารวะอีกครั้ง แล้วลุกขึ้นเดินไปถึงหน้าตู้หยก อุ้มผ้าห่มและผ้าปูเตียงชุดหนึ่งออกมาจากในตู้อย่างคล่องแคล่วคุ้นเคย ชายหนุ่มเป็นฝ่ายลุกจากขอบเตียง เดินลงจากแท่นวางเท้า หลีกทางให้นางได้ปูผ้าปูเตียง

ชั่วขณะนั้นภายในตำหนักมีแต่เสียงชายหนุ่มเช็ดผม และเสียงผ้าไหมเสียดสีกันตอนที่จู่ถีปูเตียงพับผ้าห่ม หลังจากจู่ถีปูเตียงพับผ้าห่มเสร็จแล้ว

ชายหนุ่มกลับไปนั่งลงบนขอบเตียงอีกครั้ง นางเริ่มปล่อยม่านเตียงที่รวบขึ้นเกี่ยวตรงมุมเตียงลงมา

รูปแบบสุนทรียศาสตร์ของตำหนักนี้ยังคงเป็นเช่นเมื่อสองแสนกว่าปีก่อน : ม่านเตียงที่ล้อมรอบทั้งสี่ด้านของเตียงหยกล้วนแต่ทำจากผ้าแพรเงือก ผืนแพรโปร่งสีขาวบางเฉียบถูกตะขอหยกรวบขึ้น พลิ้วไสวประดุจหมอก แต่ได้ยินมาว่าระยะนี้ บรรดาดรุณีในห้องหอของสองเผ่าเทพและมารต่างไม่นิยมใช้ผ้าแพรเงือกที่กึ่งโปร่งใสเป็นม่านเตียงกันแล้ว อินหลินบอกว่าพวกนางเริ่มหันมานิยมผ้าแพรเมฆ ถึงแม้ผ้าแพรเมฆจะบางและเบาเหมือนกัน แต่มันให้ความรู้สึกมีน้ำหนักอย่างยิ่ง...จู่ถีนึกเรื่องไร้สาระเหล่านี้ไปพลาง ปลดผ้าแพรเงือกลงมาจากบนตะขอหยกไปพลาง พลันได้ยินเสียงฝีเท้าซอยถี่ๆ ดังมาจากด้านนอกตำหนัก กิริยาปล่อยม่านเตียงของนางชะงักเล็กน้อย

“ปัง!”

ประตูตำหนักถูกผลักเปิดออก ขุนพลมารกลุ่มหนึ่งบุกล่วงล้ำเข้ามา

ขุนพลมารยี่สิบกว่านาย ผู้ที่นำหน้าคือสตรีชุดแดงสวมชุดเกราะดำนางหนึ่ง สตรีผู้นั้นนำเหล่าขุนพลมารอ้อมผ่านเสาค้ำตำหนักสองต้น เดินมาถึงใจกลางตำหนัก แล้วพลันชะงักเท้าลง มองมาที่ด้านในตำหนักด้วยสีหน้าตะลึงพรึงเพริด

“ฝ่าบาทสาม...”

จู่ถียืนอยู่ด้านในม่านล้อมเตียง ได้ยินคำเรียกนี้ ก็ชะงัก

ชายหนุ่มนั่งอยู่ริมเตียง ยังคงเช็ดผมอยู่ ถามสตรีผู้นั้นเหมือนไม่ใส่ใจนัก

“ดึกป่านนี้แล้ว ท่านทูตมารเซียนเตี๋ยนำคนมากมายเหล่านี้มาบุกล่วงล้ำที่พำนักของเปิ่นจวิน ไม่ทราบว่ามีกิจธุระใด?”

มารบริวาร[7]หญิงได้สติ รีบประสานมือคารวะขออภัย

“เซียนเตี๋ยหาได้มีเจตนารบกวนฝ่าบาทสาม ฝ่าบาทสามโปรดอภัยด้วยเถิด ไม่กล้าปิดบังฝ่าบาท มีนักฆ่าหนีออกมาจากตำหนักจิ้งจวี พวกข้ากำลังค้นหาตัวไปทั่วอยู่”

นางมองหน้าชายหนุ่ม ลังเลเล็กน้อย ราวกับรู้สึกลำบากใจที่จะถามคำถามนี้ออกไปมิใช่น้อย แต่กลับมิอาจไม่ถามเช่นกัน

“หากจำไม่ผิด ตำหนักอัญชนาไม่ได้ใช้รับรองแขก ตามหลักแล้วฝ่าบาทสามไม่ควรมาพักผ่อนอยู่ที่นี่ เซียนเตี๋ยไม่เข้าใจ เหตุไฉนฝ่าบาทถึงได้...”

ชายหนุ่มเช็ดผมเสร็จแล้ว ยื่นผ้าเช็ดผมมาให้จู่ถีอย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง

ไม่จำเป็นต้องให้ชายหนุ่มสั่งเป็นพิเศษ จู่ถีได้ก้มหน้าสาวเท้าเข้าไป รับผ้าฝ้ายมา ความเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วลื่นไหล ราวกับเกิดมาก็ปรนนิบัติคนเก่งแล้ว

สายตาของเซียนเตี๋ยหยุดนิ่งที่ตัวจู่ถีชั่ววูบ ไม่ได้หยุดนาน

ชายหนุ่มยื่นผ้าไปแล้ว ค่อยเหลือบตาขึ้นมองไปที่มารบริวารหญิงผู้นั้น ยังคงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนักเช่นเดิม

“เปิ่นจวินเมาสุรา จึงหาที่พักใกล้ๆ เท่านั้น ในเมื่อท่านทูตมารกำลังไล่ตามเล่นงานนักฆ่า น่าจะยุ่งมากถึงจะถูก” ยิ้มบางๆ  น้ำเสียงเหมือนมิได้สลักสำคัญ “ไม่นึกเลยว่าจะยังมีเวลาว่างมายุ่งเรื่องไร้สาระเช่นนี้ด้วย”

ทูตมารหญิงตกตะลึง หน้าเปลี่ยนสีไปสองสามครั้ง ครู่สั้นๆ  สีหน้าที่หลากหลายกลายเป็นคลี่ยิ้ม

“ฝ่าบาทสามกล่าวได้ถูกต้องยิ่งนัก เรื่องราวมีหนักเบาด่วนไม่ด่วน...ที่พวกข้าไล่ตามมาถึงที่นี่ แท้จริงคือกังวลว่านักฆ่านั่นจะซ่อนตัวอยู่ข้างในตำหนักนี้ หากคนผู้นั้นซ่อนตัวอยู่ในนี้ เกรงว่าจะไม่เป็นผลดีต่อฝ่าบาทเช่นกัน” กล่าวพลางประสานมือคารวะอีกครั้ง “หวังให้ฝ่าบาทอนุญาตให้พวกข้าเข้าไปตรวจดูภายในตำหนักด้วยเจ้าค่ะ”

จู่ถีนึกทอดถอนชมเชยอยู่ในใจ รู้สึกว่ามารบริวารหญิงนาม “เซียนเตี๋ย” ผู้นี้รู้จักรุกและถอย ทั้งยังรู้จักพลิกแพลงตามสถานการณ์ หาได้ยากยิ่งนัก กระบวนท่า “ใช้การถอยเพื่อการรุก” นี้ ใช้ได้ไม่เลวอย่างยิ่ง ว่ากันตามตรงแล้ว ที่เซียนเตี๋ยไล่ตามมาถึงที่นี่ ความจริงก็แค่เพื่อที่จะค้นหาตัวนักฆ่า นางให้เกียรติชายหนุ่ม ชายหนุ่มย่อมจะไม่มีทางไม่ให้เกียรตินาง

จริงดังคาด ชายหนุ่มเองก็ยิ้มอย่างรู้สึกว่าเซียนเตี๋ยรู้จักวางตัวเช่นกัน ผายมือในความหมายว่าเชิญตามสบาย

“ที่นี่คือวังของพวกเจ้าเผ่ามาร ในเมื่อทางด้านท่านจอมมารเกิดเรื่อง การตรวจค้นวังย่อมจะเป็นหน้าที่ของพวกเจ้า เชิญตามสบาย”

เซียนเตี๋ยประสานมือกล่าวขอบคุณ สั่งให้เหล่าขุนพลมารเข้าไปตรวจค้นข้างในอย่างละเอียดทันที การตรวจค้นดำเนินไปชั่วชาหนึ่งจอก ย่อมจะตรวจค้นไม่พบอะไรทั้งสิ้น

เซียนเตี๋ยขอโทษแล้วขอโทษอีก ตอนที่นำขบวนเหล่าขุนพลมารล่าถอยออกไปจากชั้นในของตำหนัก สายตาบังเอิญกวาดผ่านจู่ถีที่ยืนนิ่งเงียบอยู่ข้างม่านเตียงโดยมิได้ขยับอยู่ตลอดอย่างไม่ได้ตั้งใจ หยุดเล็กน้อย นางชะงักเท้า แสร้งทำเป็นถามชายหนุ่มอย่างไม่ใส่ใจ

“สาวใช้ผู้นี้...ไม่ทราบว่าขุนนางหญิงคนใดจัดให้มารับใช้ฝ่าบาทหรือเพคะ ดูแล้ว...กลับพอจะรู้งานอยู่”

ชายหนุ่มเพียงเหลือบตาขึ้นเล็กน้อย

“เปิ่นจวินแค่สุ่มพาตัวมารับใช้จากตำหนักหน้าเท่านั้น พอจะใช้งานได้อยู่”

จู่ถีเงยหน้าขึ้น ยิ้มบางๆ ให้เซียนเตี๋ย ย่อกายลงทำความเคารพ กล่าวให้สอดคล้องกับคำพูดของชายหนุ่ม “รายงานท่านทูตมาร หนูปี้มีนามว่าเสี่ยวถัง ทำงานภายใต้กุ้ยเยี่ยกูกู[8]เจ้าค่ะ”

ขุนนางหญิงผู้รับผิดชอบงานเลี้ยงที่ตำหนักหน้าชื่อว่า “กุ้ยเยี่ย” จริงๆ

เซียนเตี๋ยฝืนยิ้ม มองหน้านาง

“ปรนนิบัติฝ่าบาทสามให้ดีๆ ละ” กลับเลิกระแวงสงสัย นำขบวนผู้คนล่าถอยออกไปจากตำหนักอัญชนา

 

พร้อมกับที่เสียงฝีเท้าของเหล่าขุนพลมารห่างออกไปไกล ภายในตำหนักได้เงียบสงบลง

ข้างม่านเตียงมีกระเรียนหยกเขียวสูงหนึ่งจ้างยืนอยู่หนึ่งตัว ในปากกระเรียนคาบเม็ดกำยานซึ่งกำลังลุกไหม้หนึ่งเม็ด หมอกควันแผ่จางๆ  กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยอบอวล

จู่ถีรู้สึกได้ว่าสายตาของชายหนุ่มจับอยู่ที่ตัวนางอย่างหนักอึ้ง ในตอนที่กำยานเม็ดนั้นเผาไหม้หมดสิ้น ชายหนุ่มได้เอ่ยปาก ด้วยน้ำเสียงมั่นใจ

“คนที่พวกเขาต้องการหาตัวคือเจ้า” เขาเลิกคิ้วนิดๆ  ถามนางสั้นกระชับตรงประเด็นว่า “เจ้าคือใคร เหตุใดต้องไปลอบฆ่าชิ่งเจียง?”

เมื่อครู่นี้ ตอนที่ชายหนุ่มเป็นฝ่ายออกตัวช่วยกลบเกลื่อนปิดบังให้นางต่อหน้าเซียนเตี๋ย จู่ถีก็เข้าใจแล้วว่า เขาคงจะรู้แล้วเสียแปดส่วนว่านางนี่แหละคือ “นักฆ่า” ที่หนีออกมาจากตำหนักจิ้งจวีคนนั้น

เดิมทีไม่คิดจะดึงเผ่าสวรรค์เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่บัดนี้ไม่ดึงเข้ามาเกี่ยวข้องก็ไม่ได้เสียแล้ว

“ฝ่าบาททราบได้อย่างไรหรือว่าคนที่พวกเขาต้องการตามหาตัวคือข้า?”

นางไม่แสร้งแสดงเป็นสาวใช้อีก แย้มยิ้ม ย่อกายลงนั่งตรงขอบของเตียงหยกด้วยเช่นกัน ยื่นมือไปทุบน่องที่ชักจะเมื่อยนิดๆ หลังจากยืนเสียนาน

“นับตั้งแต่ย่างเท้าเข้ามาในตำหนักนอนแห่งนี้ ข้าก็ระมัดระวังทุกฝีก้าว เห็นว่าตัวเองไม่ได้ประมาทพลาดพลั้งที่ใดเลย” นางเอียงศีรษะมองหน้าเขา “ดังนั้นข้าจึงออกจะอยากรู้อยู่บ้าง ว่าข้าได้เผยช่องโหว่ตรงจุดใดกันแน่ ถึงได้ทำให้ฝ่าบาทแน่ใจว่าข้าก็คือนักฆ่าคนนั้น ขอฝ่าบาทโปรดประทานการชี้แนะ”

เหลียนซ่งมองดูสตรีตรงหน้านิ่งๆ  นางเกล้ามวยผมม้วนเป็นเกลียวก้นหอย สวมชุดนางกำนัลสีเขียวซีด รูปโฉมเพียงกล่าวได้ว่าดูหมดจด

เป็นเช่นที่นางกล่าว หลังจากนางเข้ามาในตำหนักแล้ว คำพูดคำจากิริยาท่าทางต่างเหมาะสมยิ่งจริงๆ  ด้วยเหตุนี้จวบจนนางปูเตียงพับผ้าห่มให้เขาเสร็จสิ้น เขาก็มิได้พบเห็นว่านางมีปัญหาในที่ใด เพียงแต่ ในตอนที่นอกตำหนักมีเสียงฝีเท้าของเหล่าขุนพลมารดังขึ้น มือที่ปล่อยม่านเตียงของนางชะงักเล็กน้อย ริมฝีปากเองก็เม้มแน่นตามไปด้วย

นางไหวตัวเร็วมาก กลบเกลื่อนได้ดียิ่ง กิริยาเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นล้วนแต่หายวับไปในพริบตาเดียว แต่เขาสังเกตเห็นแล้ว

จะเป็นการปลอมตัวที่สมบูรณ์แบบเพียงใด ก็ไม่มีทางรอดพ้นจากการเจตนาเพ่งสังเกตได้ เมื่อเอะใจแล้ว มองดูนางอีกครั้ง ก็สามารถค้นพบว่า ถึงแม้ใบหน้าหมดจดที่ดูเรียบๆ นั้นจะขาวผ่องเช่นกัน กลับไม่เหมือนผิวตรงมือของนาง ที่ขาวเสียจนดูผุดผ่องเปี่ยมชีวิตชีวา

อีกประการคือใบหน้าของนาง ดูเผินๆ ไม่รู้สึกอะไร กระนั้นเมื่อเพ่งพิศอย่างละเอียดชั่วชาหนึ่งจอก มือเก่าเช่นเขาที่มีการศึกษาวิจัยหน้ากากหนังมนุษย์มามากพอสมควร กลับสามารถมองจุดที่มีพิรุธออกได้อย่างง่ายดายยิ่ง...สีหน้านางค่อนข้างจะแข็งทื่อ

แต่ก็ไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายรายละเอียดเหล่านี้กับนาง เขาบอกเพียงว่า “เปิ่นจวินเคยสนใจ เคยประดิษฐ์ และเคยศึกษาวิจัยหน้ากากหนังมนุษย์มาก่อนเช่นกัน”

ไม่ต้องให้เขาพูดมากไปกว่านี้ นางก็เข้าใจแล้ว ยิ้มอย่างประหลาดใจ

“อย่างนี้นี่เอง”

เตียงหยกมีสี่เสา หลังของชายหนุ่มพิงไปหนึ่งต้น นั่งงอเข่า มือขวาวางบนเข่า นิ้วมือเคาะเบาๆ

“เปิ่นจวินได้ตอบคำถามของเจ้า เติมเต็มความใคร่รู้ของเจ้าแล้ว บัดนี้ถึงคราวเจ้าเติมเต็มความใคร่รู้ของเปิ่นจวินแล้ว”

“ข้าคือใคร เหตุใดถึงต้องไปลอบฆ่าชิ่งเจียงสินะ?” หญิงสาวเม้มปากแย้มยิ้ม ก้มหน้าลง มือยกขึ้นลูบใบหน้าของตัวเอง คลำหาตำแหน่งที่หน้ากากเชื่อมต่อกับผิวเนื้อแล้วลอกเบาๆ  หน้ากากหนังมนุษย์บางเฉียบดุจปีกจักจั่นแผ่นหนึ่งก็ถูกลอกออกมา

หญิงสาวมิได้เงยหน้าขึ้นในทันที เขามองเห็นเพียงเส้นผมดำขลับดุจขนกาน้ำตรงกระหม่อมของนาง นางเปลี่ยนเสียงที่พูด น่าจะเป็นเสียงดั้งเดิมของนาง ใสเสนาะอย่างยิ่ง

“ข้าไม่ได้ลอบฆ่าชิ่งเจียงสักหน่อย” กล่าวพลางพับหน้ากากใบนั้นอย่างดี ใส่เข้าไปในแขนเสื้อ จากนั้น นางได้เงยหน้าขึ้น

นวลอนงค์เผยพักตร์       แย้มสรวลอ่อนจาง

ขนงดำขลับโอษฐ์สีชาด    โฉมวิลาสไร้ผู้เทียม

ชายหนุ่มตะลึงนิดๆ

นางกล่าวต่อว่า “ข้าไม่ได้ลอบฆ่าชิ่งเจียง ข้าแค่ปลอมตัวเป็นเจ้าหญิงจุ้ยโยว รออยู่ในตำหนักจิ้งจวี ฉวยโอกาสที่เขาเมานิดๆ กลับมา ชักดาบจักรพรรดิประจิมของเขาออกมาดูตอนที่เขาอาบน้ำเท่านั้น หลังจากดูแล้ว ข้าก็คิดหาวิธีหลบหนีออกมา จากนั้นก็มาเจอกับเจ้าเข้าที่นี่ เช่นนี้เท่านั้น” นางสาธยายไปพลาง ตั้งใจสังเกตดูสีหน้าของชายหนุ่มไปพลาง เห็นตอนที่เอ่ยถึง “ดาบจักรพรรดิประจิม” สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย ในใจนางพอจะคาดคะเนบางอย่างได้แล้ว อดยิ้มอีกครั้งไม่ได้

“ที่แท้เจ้าเองก็รู้เช่นกันว่าดาบจักรพรรดิประจิมมีพิรุธ”

นางเลียนแบบเขา นั่งงอเข่าด้วยเหมือนกัน ยันข้อศอกกับหัวเข่า เท้าแก้มด้วยมือเดียว เอ่ยชมอย่างแฝงอารมณ์นึกสนุกมิใช่น้อย

“เสี่ยวซานหลาง[9]บ้านเทียนจวิน ดูท่าทางเจ้ากับตงหัวเองก็ตรวจสอบพบอะไรไม่ใช่น้อยเลยนี่”

ชายหนุ่มไม่ได้เอ่ยอะไร มองดูนางนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง

เด็กสาวที่นั่งเผชิญหน้ากับเขา อยู่ห่างออกไปเพียงแค่สามฉื่อ มีใบหน้าที่เย็นชา งดงามถึงที่สุด ราวกับหิมะบนยอดเขา เย่อหยิ่งทระนงขาวสะอาดใสพิสุทธิ์ แต่พอยิ้ม กลับดูหวานล้ำอีกเช่นกัน

“เทพจู่ถี” เขาเอ่ยออกมาช้าๆ อย่างมั่นใจ

นางไม่ได้บอกเขาว่านางคือใคร แต่เขาคาดเดาศักดิ์ฐานะของนางออกแล้ว

กล้าเข้าไปสืบที่ตำหนักจิ้งจวี สามารถชักดาบจักรพรรดิประจิมได้ แล้วยังเรียกเขาว่า “เสี่ยวซานหลางบ้านเทียนจวิน” อย่างไม่มีการกริ่งเกรง สตรีเช่นนี้ ในโลกหล้ามีอยู่ไม่มากนัก เพียงแต่เขานึกไม่ถึงเลยว่ารัศมีเทพในตำนานเล่าขาน กลับมีรูปร่างหน้าตาเช่นนี้

ริมฝีปากดุจอิงแดงของเด็กสาวเม้มนิดๆ ออกมาเป็นรอยยิ้ม

“ใช่แล้ว ข้าคือจู่ถี” นางเอ่ย ยังคงเอามือเท้าแก้ม เอียงศีรษะนิดๆ มองมาที่เขา “หน้าไม้ทองจิ๋วที่ข้าให้เจ้าคันนั้น เจ้าชอบหรือไม่?”

ในน้ำเสียงเปี่ยมด้วยแววคาดหวัง แต่ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยตอบ นางพลันหน้าเปลี่ยนสี ยื่นมือไปกุมท้อง อาเจียนโลหิตออกมาหนึ่งคำอย่างปุบปับ

ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากจุดตันเถียนได้ลามขยายไปทั่วแขนขาองคาพยพในพริบตา นางเข้าใจในบัดดลว่าเกิดอะไรขึ้น มีเวลาไม่มากแล้ว ลำคอหวานวูบ กระอักเลือดออกมาอีกคำ แต่ครั้งนี้เลือดที่อาเจียนออกมามิได้ย้อมเสื้อกระโปรงของนางจนสกปรก ทว่าถูกผ้าแพรผืนหนึ่งรับเอาไว้

ชายหนุ่มยืนอยู่ตรงหน้านางนี่เอง นางเหลือบมองขึ้นไป เห็นสีหน้าของเขาเคร่งเครียด “เหตุใดอยู่ๆ ถึงได้กระอักเลือด?”

นางพูดไม่ออก หลังจากดีขึ้นเล็กน้อย ความเจ็บปวดได้จู่โจมใส่อีกครั้ง กระตุ้นให้รู้สึกอยากจะอาเจียนโลหิต ครั้นจะเอามือปิดปาก ชายหนุ่มได้ชิงล่วงหน้านางไปหนึ่งก้าว เขานั่งลงที่ข้างกายนาง เขากับนางนั่งชิดกันมาก นางได้กลิ่นหอมชนิดหนึ่ง ดุจบุปผากลางหิมะ ไม่ก็ไพรพนาหลังฝนพรำ นางรู้จักกลิ่นแบบนี้ คือกลิ่นตระคัรขาว

บุคคลในความฝันพยากรณ์ที่กูเหยาในคืนนั้น บนร่างมีกลิ่นหอมแบบนี้แหละ

นางตะลึงลาน เสียงทุ้มต่ำพร่าเลือนของบุคคลในความฝันผู้นั้น กับเสียงถามแผ่วต่ำขององค์ชายสามในเทียนจวินตรงหน้าผู้นี้ได้ซ้อนทับเข้าด้วยกัน

ที่แท้เขาก็คือผู้ที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือนาง ช่วยรักษายื้อชีวิตนางในยามที่นางเจ็บปวดทุกข์ทรมานคนนั้นนั่นเอง แต่เวลานี้เขาหาได้มีพลังฤทธิ์ เห็นได้ชัดว่าถึงจะอยากช่วย ก็ช่วยอะไรนางไม่ได้...

เหงื่อเย็นเฉียบเม็ดโตซึมออกมาบนหน้าผาก นางไม่มีแก่ใจจะเช็ดออก ฝืนเค้นเรี่ยวแรงเข้าไปใกล้ชายหนุ่ม

“เมื่อกี้ข้าโกหกเจ้า ดาบจักรพรรดิประจิมนั่น ข้าไม่ได้แค่ชักออกมาดู...” นางฝืนข่มความเจ็บปวด “ข้ารับเอาพลังชั่วร้ายส่วนหนึ่งที่สิงสถิตอยู่ภายในตัวดาบเข้าสู่ร่าง พลังนั้น...ได้ตื่นขึ้นมาเมื่อครู่นี้ กำลังแปดเปื้อนปราณเซียนภายในร่างของข้า หมายจะหลอมกลืนมัน ก่อนที่พลังชั่วร้ายนั้นจะทำสำเร็จ ข้า...” นางเจ็บปวดจนแค่นเสียงหนัก มิอาจไม่หยุดพูดชั่วคราว

ชายหนุ่มที่ประคองนางนิ่งเงียบไปชั่ววูบ ตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว

“ข้าได้ยินมาว่าร่างกายของรัศมีเทพคือภาชนะรองรับที่ดีเลิศ สามารถรองรับพลังทุกชนิดในโลกหล้า แต่บางครั้งพลังที่รุกล้ำเข้าสู่ร่างก็คิดจะย้อมร่างเซียนของรัศมีเทพให้แปดเปื้อนและเข้ายึดครองเช่นกัน ในเวลาเช่นนี้ กลไกป้องกันตัวเองภายในร่างเซียนของรัศมีเทพจะถูกกระตุ้นให้ทำงานด้วยตัวมันเอง” เขาเข้าใจในบัดดล “ท่านคิดจะบอกข้าว่า ก่อนที่พลังชั่วร้ายซึ่งคิดจะย้อมร่างของท่านให้แปดเปื้อนเหล่านั้นจะทำสำเร็จ ต่อให้ท่านไม่สามารถใช้วิชาฤทธิ์ได้ พลังทิพย์ภายในร่างของท่านก็จะถูกปลดคลาย ไปทำการสะกดข่มพลังชั่วร้ายที่รุกล้ำเข้ามานั้นเองอยู่ดี ถูกหรือไม่?”

อาการเจ็บปวดเป็นระลอกๆ ต่อเนื่องกันภายในร่างบรรเทาลงเล็กน้อย นางขยุ้มอกเสื้อของเขา พยุงร่างของตัวเอง ฝืนเค้นรอยยิ้ม

“เสี่ยวซานหลาง เจ้ารู้อะไรเยอะมากเลยนี่ ไหวตัวเร็วมากด้วย...ตอนที่พลังทิพย์ภายในร่างของข้าถูกปลดคลาย ข้าอาจจะหลับไป หรือไม่ก็...” ความเจ็บปวดพลุ่งขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มิได้รุนแรงปานนั้น นางสูดปากเบาๆ  เข้าใจดีว่าไม่มีเวลาให้พูดมากแล้ว เกร็งนิ้วที่ขยุ้มอกเสื้อชายหนุ่ม ซบหน้าผากกับไหล่ซ้ายของเขาอย่างไร้เรี่ยวแรง

“เจ้าช่วยข้าสักอย่างสิ หลังจากข้าหมดสติไป เจ้าจงขยับย้ายตำแหน่งของสัตว์ร้ายคุมตำหนักทำจากแก้วผลึกม่วงสี่ตัวภายในเสาใหญ่ค้ำตำหนักสี่ต้นนั้น มังกรเขียวย้ายไปยังช่องแนวขวางสองแนวตั้งสาม พยัคฆ์ขาว ช่องแนวขวางเจ็ดแนวตั้งเก้า” สติเริ่มจะพร่าเลือนหนักอึ้ง นางกัดลิ้นโดยแรง ช่วงชิงสติกลับมาได้ครึ่งส่วน กล่าวต่อว่า “นกยูงแดง ช่องแนวขวางห้าแนวตั้งหก เต่าดำ ช่องแนวขวางเก้าแนวตั้งสี่ หลังจากนั้น เจ้าจงส่งข้าไปยัง...”

จะอย่างไรสติครึ่งส่วนนั้นก็ไม่สามารถยืนหยัดได้นานนัก ภาพตรงหน้ามืดวูบ นางไม่อาจฝืนต่อได้อีก ฟุบหมดสติไป

เหลียนซ่งโอบเด็กสาวที่เป็นลมหมดสติไว้

ตอนที่เด็กสาวหลับตาลง รอบกายของนางได้แผ่รัศมีสีทองเรื่อเรือง รัศมีสีทองค่อยๆ สว่างขึ้น จนบดบังใบหน้าและร่างกายของนาง กอปรเป็นรังไหมแสงก้อนหนึ่ง เพียงชั่วดีดนิ้วไม่กี่ครั้ง รังไหมแสงได้สลายไป ในวงแขนของชายหนุ่ม เด็กสาวโฉมงามในชุดนางกำนัลสีเขียวซีด เกล้ามวยผมเป็นทรงก้นหอยได้หายวับไป ที่เข้ามาแทนที่คือเด็กน้อยกึ่งโตผู้หนึ่งที่ผมยาวระพื้น และความอ่อนเดียงสายังไม่สลายไป ราวกับมนุษย์ที่ได้รับวาสนาเซียน แล้วย้อนจากช่วงวัยหยกมรกต[10]สิบหกสิบเจ็ดปี กลับไปเป็นช่วงวัยปิ่นสุวรรณ[11]สิบเอ็ดสิบสองปีภายในชั่วดีดนิ้ว

“ตอนที่พลังทิพย์ภายในร่างของข้าถูกปลดคลาย ข้าอาจจะหลับไป หรือไม่ก็...” เมื่อครู่นี้นางบอกว่าอย่างนี้ ถึงแม้จะไม่ได้พูดประโยคนี้จนจบ แต่ประมวลจากสภาพการณ์ในยามนี้ เหลียนซ่งรู้สึกว่าพอจะคาดเดาเนื้อหาที่นางไม่ได้กล่าวให้จบได้ไม่ยากนัก

หลังจากพลังทิพย์ถูกปลดคลาย และออกไปต้านทานพลังที่รุกล้ำเข้าสู่ร่าง เนื่องจากขาดแคลนพลังทิพย์ที่มากพอจะใช้คงร่างเซียนหลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่ร่างนี้ นางจึงต้องหลับไป หรือไม่ก็ต้องย้อนกลับไปสู่วัยเยาว์ที่ไม่จำเป็นต้องใช้พลังทิพย์มากมายนักในการคงร่างเซียน

เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้ ร่างกายของนางได้เลือกอย่างหลัง

 

เหลียนซ่งหลุบตาลงมองเด็กหญิงตัวน้อยในอ้อมแขน เห็นตรงมุมปากของนางยังคงมีคราบเลือดอยู่สายหนึ่ง เขายกมือขึ้นจะเช็ดออกให้นาง แต่ผ้าแพรในมือเลอะเต็มไปด้วยเลือดเสียแล้ว เขาขมวดคิ้ว เก็บผ้าแพรกลับ จากนั้นใช้แขนเสื้อเช็ดคราบเลือดตรงมุมปากให้นาง

กระทำกิริยานี้เสร็จสิ้น มือของเขาได้แข็งทื่อ นิ่งตะลึง

ใช้แขนเสื้อเช็ดเลือดให้คนอื่น นี่ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเขาซึ่งรักสะอาดเสมอมาจะกระทำ แต่ทว่า บางทีอาจเป็นเพราะระหว่างเทพแห่งธรรมชาติด้วยกันย่อมจะผูกพันกัน ตอนที่ทำกิริยานี้เมื่อครู่นี้ เขารู้สึกเพียงเป็นธรรมชาติ มิได้รู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์แต่อย่างใด อีกทั้งจวบจนถึงตอนนี้ เขาก็มิได้รู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์เช่นกัน

นางมีแต่กลิ่นคาวเลือดเต็มตัว ตรงอกก็เปื้อนเลือดเป็นจุดๆ  ตามหลักแล้วเขาไม่มีทางที่จะอยากเข้าใกล้นาง แต่เวลานี้นางนอนอยู่ในอ้อมแขนเขานี่เอง เขากลับมิได้รู้สึกขัดแย้งแต่อย่างใด

เขายากจะเข้าใจได้ว่านี่เป็นเพราะเหตุใด สุดท้ายได้แต่อธิบายว่า คงเป็นเพราะเขากับเทพจู่ถีคือเทพแห่งธรรมชาติสององค์สุดท้ายที่คงเหลืออยู่ในโลกอย่างตื่นมีสติ ด้วยเหตุนี้จึงรู้สึกสนิทสนมด้วยตั้งแต่แรกพบหน้ากระมัง

เขาไม่ได้คิดมากไปกว่านี้อีก นึกถึงคำพูดก่อนจะหมดสติไปของจู่ถีขึ้นมาได้ ช้อนร่างเด็กหญิงขึ้นอุ้ม เดินตรงไปยังเสากลมค้ำตำหนักสี่ต้นนั้น

 

 
<>::<>::<>::<>::<>::<>



[1] ยามซฺวี คือเวลา 19:00 - 21:00 น.
[2] ต้าจิ้วจื่อ หรือ “ตั่วกู๋” ในภาษาจีนแต้จิ๋ว คือคำที่สามีใช้เรียกพี่ชายคนโตของภรรยา
[3] เสี่ยวจิ้วจื่อ หรือ “โซ้ยกู๋” ในภาษาจีนแต้จิ๋ว คือคำที่สามีใช้เรียกน้องชายคนเล็กของภรรยา แต่ในที่นี้หมายถึงพี่ชายคนเล็กของป๋ายเฉี่ยน ซึ่งความจริงต้องเรียกว่า “ซื่อจิ้ว”
[4] หอสูงริมน้ำคว้าจันทร์ก่อน หมายถึง อยู่ใกล้กว่าได้เปรียบ เพราะจะแย่งได้ก่อน
[5] ดีดผิดเสียงโจวหลางมอง โจวหลาง คือ จิวยี่ หมายถึง ตอนที่จิวยี่ฟังการบรรเลงดนตรี ทุกครั้งที่พบว่าบรรเลงผิดเสียง เขาจะหันไปมองหน้าผู้บรรเลงแล้วยิ้มให้บางๆ เป็นการบอกผู้ที่ดีดพิณว่า ดีดผิดแล้ว
[6] ชุดหมิงอี คือเสื้อผ้าชั้นในที่สะอาดซึ่งชาวจีนโบราณจะสวมเฉพาะหลังจากอาบน้ำเสร็จในช่วงถือศีล
[7] คำว่า “ทูตมาร” และ “มารบริวาร” คือคำเดียวกัน (魔使 : หมอสื่อ) โดยในบทพูด จะใช้คำ “ทูตมาร” ซึ่งฟังให้เกียรติกว่า แต่ในบทบรรยาย จะใช้ “มารบริวาร” ตามความหมายที่แท้จริง
[8] เสี่ยวถัง (小棠) แปลว่า ดอกไห่ถังน้อย; กุ้ยเยี่ย (桂叶) แปลว่า ใบหอมหมื่นลี้; กูกู คือคำเรียกหญิงมีอายุอย่างให้เกียรติ
[9] เสี่ยวซานหลาง แปลว่า หนูน้อยลูกชายคนที่สาม เป็นลักษณะการเรียกที่ผู้ใหญ่ใช้เรียกเด็กด้วยความเอ็นดู
[10] ช่วงวัยหยกมรกต คือคำเรียกหญิงสาววัย 16 ปี
[11] ช่วงวัยปิ่นสุวรรณ คือคำเรียกเด็กหญิงวัย 12 ปี

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 5 พ.ย. 2568, 08:36

0 ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น