หัวข้อ : บทที่ห้า (1)

โพสต์เมื่อ 5 พ.ย. 2568, 08:39

บทที่ห้า (1)

 

ทางตะวันออกของทะเลบูรพา คือป่าท้อสิบหลี่ของเจ๋อเหยียนซ่างเสิน ช่วงกลางวสันต์คือช่วงเวลาที่ดอกไม้ผลิดอกดกหนาพอดี ในป่าท้อบุปผาบานสะพรั่ง ทิวทัศน์งามตระการดุจหมู่เมฆสนธยา

ฝ่าบาทสามเอามือไพล่หลังเดินอยู่ระหว่างต้นไม้ที่ผลิดอก เดินไปพลางก้มหน้าคิดเรื่องต่างๆ ไปพลาง

ตอนอยู่ในเขตแดนพันสะบั้นก่อนหน้านี้ จู่ถียังไม่ทันได้บอกเขาว่าหลังจากช่วยนางรอดพ้นจากวิกฤตแล้ว ต้องส่งตัวนางไปยังที่ใด ก็หมดสติไปเสียก่อน ด้วยเหตุนี้หลังจากพานางออกมาจากแดนทักษิณได้อย่างราบรื่น ฝ่าบาทสามจึงตัดสินใจโดยพลการ ส่งตัวนางมาที่ป่าท้อสิบหลี่ ขอให้เจ๋อเหยียนซ่างเสินช่วยตรวจชีพจรให้นาง

ถึงแม้เรื่องอื่นเจ๋อเหยียนซ่างเสินจะเชื่อถือไม่ได้ แต่วิชาแพทย์โดดเด่นมาก เป็นที่ยอมรับของทุกคนในโลกหล้าว่าเป็นหนึ่งไม่มีสองในแปดดินแดน

ความเป็นจริงได้พิสูจน์เช่นกันว่า การที่เขาพาจู่ถีมาที่นี่นั้นถูกต้องแล้ว

เจ๋อเหยียนซ่างเสินบอกว่าสถานการณ์เช่นนี้ของรัศมีเทพนั้น อาศัยการตรวจชีพจรไม่สามารถตรวจอะไรพบได้ ต้องใช้วิชาทวนวิญญาณดำลงสู่จิตใต้สำนึกของนาง ตรวจดูแก่นอัตตาของนาง

“วิชาทวนวิญญาณ” คือวิชาที่มีเพียงเทพเซียนระดับซ่างเสินเท่านั้นที่สามารถใช้งานได้ ฝ่าบาทสามอายุเพียงเจ็ดหมื่นปี ยังห่างจากด่านเคราะห์ของซ่างเสินอีกไกลนัก กระนั้นเขาอ่านหนังสือมามากมาย ในทางทฤษฎีแล้วเขาเข้าใจวิชานี้เป็นอย่างยิ่ง จึงทราบดีว่าการใช้วิชาทวนวิญญาณหยั่งดูวิญญาณของเซียนผู้หนึ่ง ใช้เวลาอย่างมากหนึ่งเค่อก็ทำสำเร็จได้แล้ว

ไม่นึกว่าเจ๋อเหยียนซ่างเสินหยั่งดูวิญญาณของจู่ถี กลับใช้เวลาถึงเจ็ดชั่วยามเต็มๆ

ถอยออกมาจากจิตใต้สำนึกของจู่ถีในสภาพเหงื่อแตกพลั่ก เจ๋อเหยียนซ่างเสินปรับลมหายใจอยู่ครู่ใหญ่ ค่อยเชิญเขามาคุยกัน

“เป็นเช่นที่เจ้าได้คาดไว้ นางใช้พลังทิพย์ของตัวเองไปต้านทานพลังชั่วร้ายนั่น เนื่องจากพลังทิพย์มีจำกัด ไม่อาจคงสภาพร่างเซียนที่โตเต็มวัยเอาไว้ได้ ด้วยเหตุนี้จึงได้ย้อนกลับไปยังสมัยยังเด็ก”

เห็นสีหน้าเขาตกตะลึงนิดๆ  เจ๋อเหยียนซ่างเสินเลิกคิ้วแย้มยิ้ม

“อ้อ หากว่ากันเฉพาะหน้าตา เป็นความจริงที่นางดูแล้วเหมือนเด็กสาวกึ่งโต แต่รัศมีเทพอายุสี่หมื่นปีถึงจะลุวัยผู้ใหญ่ จากที่หยั่งดูจิตใต้สำนึกกับพลังทิพย์ของนาง ตัวนางในตอนนี้อย่างมากอายุไม่เกินหนึ่งหมื่นปี ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือสติปัญญา ต่างยังเป็นแค่เด็กน้อยจริงแท้ สามารถกล่าวได้ว่า ‘ได้ย้อนกลับไปสู่วัยเด็กน้อย’ จริงๆ”

หลังจากตกตะลึงไปชั่ววูบแล้ว ในใจเหลียนซ่งหนักอึ้งนิดๆ

“ก่อนหน้านี้ข้าเคยคิดว่า เหตุที่ตอนอยู่ในเขตแดนพันสะบั้น พลังทิพย์ภายในร่างของนางออกมาต้านทานพลังชั่วร้ายนั่น เป็นเพราะเวลานั้นนางไม่สามารถใช้พลังฤทธิ์ได้ รอจนนางฟื้นแล้ว บางทีนางอาจจะสามารถดึงพลังฤทธิ์ภายในร่างมาต้านทานพลังชั่วร้ายนั่น สับเปลี่ยนเอาพลังทิพย์ออกมาได้ เช่นนี้ ทันทีที่มีพลังทิพย์เหลือเฟือสำหรับคงสภาพร่างเซียนของนาง นางก็น่าจะสามารถฟื้นฟูกลับเป็นเหมือนเดิมได้แล้ว แต่ตามที่ซ่างเสินกล่าวมา วิธีนี้ไม่สามารถทำได้เสียแล้วใช่หรือไม่?”

เจ๋อเหยียนซ่างเสินปรบมือ

“ตงหัวมักจะชมว่าในบรรดาบุตรชายทั้งสามของเทียนจวิน ผู้ที่เฉลียวฉลาดที่สุดคือบุตรชายคนเล็ก กลับมิใช่คำเท็จ” อาจเป็นเพราะรู้สึกว่าเขาฉลาดดี ด้วยอารมณ์ชื่นชม ในคำกล่าวของซ่างเสินจึงมีความสนิทสนมอยู่ด้วย “ที่เจ้าคิดนั้นเดิมทีก็ถูกต้องอยู่ กระนั้นบัดนี้ จู่ถียังเป็นแค่เด็กน้อย ไม่สามารถควบคุมพลังฤทธิ์ซึ่งเป็นของรัศมีเทพที่โตเต็มวัยภายในร่างได้ ด้วยเหตุนี้ที่เจ้าพูดว่าวิธีนี้ ‘ไม่สามารถทำได้’ นั้น ทางที่ดีที่สุดคือ...”

เอ่ยถึงตรงนี้ ซ่างเสินหยุดเล็กน้อย ถามเขาว่า

“ข้าได้ยินมาว่าระยะนี้ตงหัวกำลังปิดด่านเก็บตัว เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาจะปิดด่านถึงเมื่อไร?”

ได้ฟังเขาตอบว่าอีกหนึ่งถึงสองเดือนให้หลังมหาเทพก็จะออกจากด่าน นิ้วมือของซ่างเสินเคาะใส่ขอบโต๊ะ ออกใบสั่งยา

“หลังจากจู่ถีฟื้นแล้ว ก็ให้นางคงสภาพในตอนนี้ไปเถิด รอจนตงหัวออกจากด่านเมื่อไร ก็ให้ตงหัวใช้ปราณเซียนอันมหาศาลของเขาไปต้านทานพลังชั่วร้ายภายในร่างของจู่ถี ช่วยนางสับเปลี่ยนเอาพลังทิพย์ออกมาฟื้นฟูร่างจริง หลังจากฟื้นฟูร่างจริงแล้ว จู่ถีย่อมจะทราบดีว่าควรจะชักนำพลังชั่วร้ายนั้นออกมาจากภายในร่างของนางอย่างไร เรื่องนี้ให้จัดการไปอย่างนี้เถิด เช่นนี้แหละเหมาะสมที่สุดแล้ว” กล่าวพลางมองหน้าเขา “แต่ก่อนที่ตงหัวจะออกจากด่าน เจ้าต้องรับประกันให้สภาวะของจู่ถีมีความเสถียร ห้ามทำให้อารมณ์ของนางปั่นป่วนรุนแรงจนเกินไป และห้ามให้นางใช้พลังฤทธิ์ร่ายคาถาแรงฤทธิ์ด้วยเช่นกัน เนื่องจากทั้งสองอย่างนี้ต่างจะสั่นคลอนสมดุลภายในร่างของนาง ทำให้นางตกอยู่ในสภาวะอันตราย”

บอกกล่าวกำชับเรื่องต่างๆ เสร็จสิ้น ซ่างเสินก็ลุกขึ้นยืนอย่างหมดธุระแล้วตัวเบาสบาย

“ได้ยินว่าสมัยจู่ถียังเด็กน่ะ...” ซ่างเสินชะงัก ยักไหล่ “เฮ้อ ช่างเถอะ ความจริงตอนเปิ่นจั้วยังเด็กไม่ได้มีการคบค้าสมาคมกับนาง ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงหรือเท็จ” ตบบ่าเขาเบาๆ  ยิ้มอย่างแฝงนัยลึกล้ำยิ่ง

“หากเป็นความจริง...อย่างไรก็ ขอให้เจ้าโชคดีก็แล้วกัน”

 

การที่เจ๋อเหยียนซ่างเสินผลักภาระเรื่องดูแลเทพจู่ถีหลังจากนี้ไปใส่ศีรษะเขาทั้งหมด ฝ่าบาทสามสามารถเข้าใจได้ ก็เขาเป็นคนพาเทพจู่ถีมานี่นะ

นับตั้งแต่ชิ่งเจียงหวนคืน เขากับมหาเทพตงหัวก็คอยสืบเสาะตรวจสอบจอมมารท่านนี้อยู่ตลอด หลังจากที่เทพจู่ถีฟื้นตื่น กลับคอยสืบหยั่งเรื่องของชิ่งเจียงด้วยเช่นกัน ซึ่งสอดคล้องกับพวกเขาโดยไม่ได้นัดหมาย

ฝ่าบาทสามหาใช่ผู้ที่ชอบของานมาทำ กระนั้นเวลานี้เทพจู่ถีรับพลังชั่วร้ายของดาบจักรพรรดิประจิมเข้าสู่ร่าง พลาดพลั้งเพียงนิดก็จะตกอยู่ในสภาวะอันตราย การส่งนางกลับบึงมัชฌิมมอบให้เทพบริวารไม่กี่คนนั้นของนาง เขาไม่วางใจ วิธีที่เหมาะสมที่สุด คือให้เขาดูแลนางด้วยตัวเองจนกว่ามหาเทพจะออกจากด่านจริงแท้

เขามิได้รู้สึกต่อต้านเรื่องนี้แต่อย่างใด เพียงแต่ จะทำให้จู่ถีน้อยยอมอยู่ข้างกายเขาให้เขาช่วยดูแลโดยไม่กระทบกระเทือนอารมณ์ความรู้สึกของนางได้อย่างไร...ฝ่าบาทสามนวดขมับ ใช้ความคิดไปพลาง ย่างเท้าก้าวเข้าสู่กระท่อมไม้ไผ่ที่จัดให้จู่ถีน้อยพักอยู่ไปพลาง

 

เพิ่งจะเหยียบย่างเข้าสู่ห้องชั้นนอก ก็ได้ยินเสียงดัง “เพล้ง!”  ย่างก้าวของฝ่าบาทสามชะงักกึก ห้องชั้นในมีเสียงสวบสาบดังมา ฝ่าบาทสามเลิกคิ้ว ทอดฝีเท้าเนิบช้าอ้อมผ่านฉากบังลมสีขาวฉากหนึ่ง เลี้ยวผ่านฉากกั้นห้องแบบตั้ง[1]แผ่นหนึ่ง มองเห็นเด็กหญิงตัวน้อยในชุดเสื้อกระโปรงสีฟ้าซีดนอนนิ่งๆ อยู่บนเตียงไม้ไผ่ ราวกับกำลังหลับสนิท

ฝ่าบาทสามเดินเข้าไปหา นั่งลงตรงหน้าเตียงไม้ไผ่ สายตากวาดผ่านจอกชาหยกขาวซึ่งแตกกระจายอยู่บนพื้น เคาะพัดจีบกับขอบเตียงอย่างไม่หนักไม่เบา

“เลิกแสร้งเถอะ รู้ว่าเจ้าน่ะตื่นแล้ว”

ได้ฟังคำพูดนี้ ขนตาดกหนาของจู่ถีน้อยกระตุกสั่น แต่นอกจากนี้แล้ว ก็ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาใดๆ

เห็นเด็กหญิงเตรียมจะแสร้งนอนหลับถึงที่สุดแน่แล้ว ฝ่าบาทสามไม่ได้พูดมากความอีก พลันโน้มกายลงไปอย่างปุบปับ

สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเขาที่เข้ามาใกล้ ขนตาของจู่ถีน้อยกระตุกสั่นถี่รัว แล้วในตอนที่ทั้งสองอยู่ห่างกันเพียงครึ่งแขน นางพลันลืมตาขึ้นกะทันหัน ลุกพรวดขึ้นนั่ง ผลักฝ่าบาทสาม แล้วถอยหลังไปอย่างรวดเร็วหลายฉื่อ ความเคลื่อนไหวทั้งหมดลื่นไหลดุจสายน้ำ

“เจ้าจะทำอะไร?” นางจ้องมองฝ่าบาทสามที่กลับไปนั่งดีๆ บนเก้าอี้ไม้ไผ่อีกครั้งอย่างหวาดระแวง

เสียงของเด็กหญิงนุ่มมาก แหลมใส ต่อให้จงใจดัดเสียงให้ห้าว ทำท่าถมึงทึงใส่ ก็ไม่มีพลังในการข่มขวัญแต่อย่างใด เสียงแหวใส่แบบเด็กๆ ไม่เพียงแต่ไม่น่ากลัว หนำซ้ำยังกล่าวได้ว่าน่ารักอย่างยิ่งอีกด้วย

ฝ่าบาทสามมองสารรูปเช่นนี้ของนาง อดเผลอยิ้มออกมาไม่ได้

“ก็ต้องปลุกเจ้าอยู่แล้วสิ ไม่อย่างนั้นจะช่วยห่มผ้าให้เจ้าหรืออย่างไร?”

จู่ถีน้อยเม้มปาก ฉวยผ้าห่มเมฆกระถดถอยไปข้างหลังอีกหลายชุ่น มองสำรวจชายหนุ่มตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ก่อน แล้วหันไปมองรอบๆ

เมื่อครู่นี้นางตื่นขึ้นมา สะลึมสะลือคิดจะดื่มน้ำ เพิ่งจะรินน้ำชาเสร็จ ที่ห้องชั้นนอกก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น นางสะดุ้งโหยง มือกระตุกทำจอกชาร่วง

ทันทีที่จอกชาแตก นางก็ตื่นเต็มตา ค่อยพบว่าตัวนางมาอยู่ในสถานที่ไม่คุ้นตา นางงุนงงไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาทุกขณะ ด้วยพิจารณาดูมากไปกว่านี้ไม่ทัน จึงตัดสินใจฉับพลันเลือกที่จะแสร้งทำเป็นหลับ...ยามนี้นางค่อยนับว่ามองเห็นชัดตาว่าแท้จริงแล้วกระท่อมไม้ไผ่หลังนี้มีหน้าตาเช่นไร

นางไม่เคยมาสถานที่แห่งนี้มาก่อนจริงๆ ด้วย

จู่ถีน้อยขมวดคิ้วถามว่า “เจ้าเป็นคนจับตัวข้ามาที่นี่งั้นหรือ?”

ฝ่าบาทสามเอ่ยตอบอย่างสงวนคำ “ไม่ใช่”

จู่ถีน้อยมองหน้าเขา คิดอยู่ชั่ววูบ นางเลือกที่จะไม่เชื่อ

“โกหก” นางพูดอย่างเป็นฟืนเป็นไฟ “เมื่อคืนนี้ข้ายังนอนอยู่ในถ้ำของตัวเองอยู่เลยชัดๆ  ผลคือตื่นขึ้นมาปุบกลับมาถึงที่นี่เสียแล้ว เจ้าต้องจับตัวข้ามาแน่ๆ!”

หว่างคิ้วฝ่าบาทสามกระตุก

แค่สามประโยค ก็เข้าใจแล้วว่าไม่เพียงแต่ร่างกายและสติปัญญาเท่านั้น กระทั่งความทรงจำของเด็กสาวตัวน้อยตรงหน้าเองก็ย้อนกลับไปสู่ช่วงเวลาวัยเยาว์ ราวกับว่าจู่ถีที่อายุหนึ่งหมื่นปีตัวจริง ได้ข้ามผ่านกาลเวลาสามแสนกว่าปี มาปรากฏกายขึ้นตรงหน้าเขา คือเด็กน้อยตัวจริงเสียงจริง

ฝ่าบาทสามยิ้มบางๆ

อย่างนั้นการจะหลอกเด็กสักคน เขาถนัดนักแล (ผู้แปล : แหงแหละเนอะ ซ้อมมือกับเยี่ยหัวมาตั้งหลายหมื่นปี)

เขาขุดค้นเนื้อความกะพร่องกะแพร่งที่บอกเล่าเกี่ยวกับเทพจู่ถีซึ่งได้มาจากมหาเทพตงหัว เอ่ยปากไปพลางคอยสังเกตสีหน้าของจู่ถีน้อยไปพลาง

“พ่อเฒ่าต้นจันทน์แห่งเขากูเหยาของพวกเจ้าคือสหายลืมวัย[2]ผู้หนึ่งของข้า พ่อเฒ่ามีธุระด่วนจำเป็นต้องไปจากบึงมัชฌิมสักพัก แต่ก็กลัวว่าเจ้าจะไม่ยอมให้เขาไป จึงฉวยโอกาสที่เจ้านอนหลับ พาตัวเจ้ามาฝากไว้กับข้าที่นี่ ให้ข้าช่วยดูแลเจ้าสักพัก”

ฟังที่เขาอธิบายจบ จู่ถีน้อยประหลาดใจอย่างยิ่ง เอนกายไปข้างหน้าสองชุ่น

“นี่เจ้ารู้จักพ่อเฒ่าต้นจันทน์ด้วยหรือเนี่ย?” ไม่รอให้ฝ่าบาทสามเอ่ยตอบ ก็ทำท่าระวังตัวอีกครั้งทันที กระถดถอยกลับไป มองหน้าเขาอย่างหวาดระแวง “เจ้าโกหกข้าหรือเปล่าน่ะ?”

ฝ่าบาทสามบอกว่าไม่ได้โกหก

นางรู้สึกลำบากใจ อุบอิบว่า

“เจ้าบอกว่าไม่ได้โกหกก็ไม่ได้โกหกหรือไง งั้นเจ้าจะพิสูจน์ยังไงว่าเจ้าไม่ได้โกหก?”

ฝ่าบาทสามคิดเล็กน้อย

“ที่นี่คือป่าท้อสิบหลี่ รัศมีเทพน้อยเองก็น่าจะเคยได้ยินชื่อ ‘ป่าท้อสิบหลี่’ มาก่อนกระมัง ข้าคือสหายของเจ้าของป่าท้อแห่งนี้ มีหรือจะโกหกเจ้า?”

เจ๋อเหยียนจวิน เจ้าของป่าท้อสิบหลี่คือหงสาเบญจรงค์เพียงตัวเดียวในแปดดินแดน แม้ว่านางจะไม่เคยพบหน้าพูดคุยกับเจ๋อเหยียนจวิน แต่ก็ทราบเช่นกันว่าเขาถูกเทพบิดรเลี้ยงดูเสมือนบุตรมาตั้งแต่เด็ก ได้รับการให้ความสำคัญจากเทพบิดรเป็นอย่างมาก อุปนิสัยไร้ที่ติ

ในเมื่อเป็นสหายของเจ๋อเหยียนจวิน อย่างนั้นคนผู้นี้น่าจะไม่ใช่คนเลว และน่าจะไม่ได้โกหกนาง

จู่ถีน้อยค่อยโล่งอก คลายความระแวงสงสัย ทันทีที่การตั้งป้อมถูกปลดออก ความอยากรู้อยากเห็นก็โผล่ขึ้นมา นางมองสำรวจชายหนุ่มอย่างสนอกสนใจ

“ข้ารู้ว่าเจ๋อเหยียนจวินมีสหายที่โตมาด้วยกันกับเขาอยู่หนึ่งคน เจ้าคงไม่ใช่ม่อเยวียนจวิน สหายคนนั้นของเขากระมัง?”

ฝ่าบาทสามปฏิเสธการคาดเดาของนาง บอกว่าไม่ใช่ แล้วถามนางว่า “เจ้ารู้จัก ‘เทียนจวิน’ หรือไม่?”

นางย่อมจะรู้จักเทียนจวินอยู่แล้ว เผ่าเทพมีสามร้อยเจ็ดสิบหกเผ่าย่อย ในจำนวนนี้มีเผ่าทรงอิทธิพลสี่สิบเจ็ดเผ่า “เผ่าสวรรค์” คือหนึ่งในสี่สิบเจ็ดเผ่าทรงอิทธิพล

นางพยักหน้า “หัวหน้าเผ่าของเผ่าสวรรค์ไง”

ฝ่าบาทสามพยักหน้าเช่นกัน

“ข้าคือบุตรชายคนที่สามของเทียนจวินหัวหน้าเผ่าสวรรค์ ชื่อว่าเหลียนซ่ง เจ้าเรียกข้าว่า...” เขาหยุดเล็กน้อย คิดคำเรียกหนึ่งให้นางออกแล้ว “เจ้าเรียกข้าว่า ‘เหลียนซานเกอเกอ’ ได้”

นางสงสัยอย่างยิ่ง “เหตุใดข้าต้องเรียกเจ้าว่า ‘เกอเกอ’ ด้วย?”

ฝ่าบาทสามยิ้ม “เพราะว่าข้าอายุมากกว่าเจ้า”

เหตุผลนี้ชวนให้ยอมรับได้อยู่หรอก นางใคร่ครวญเล็กน้อย แสดงท่าทีเห็นด้วย

“อืม มันก็ใช่แหละ” แต่นางยังคงเย่อหยิ่งไว้ตัวนิดๆ “แต่ว่าข้าคือรัศมีเทพ พ่อเฒ่าต้นจันทน์เคยบอกไว้ว่า ถ้าจะต้องนับเป็นญาติกันละก็ มีแต่เจ้าแห่งวาตะที่เป็นเทพแห่งธรรมชาติเหมือนกันเท่านั้นที่จะถูกข้าเรียกว่า ‘เกอเกอ’ ได้” นึกถึงเรื่องนี้ นางก็โมโหนิดๆ อีกแล้ว “น่าเสียดายที่ยาโถวน้อยเซี่ยหมิงนั่นไม่อนุญาตให้ข้าเรียกเส้อเจียว่า ‘เกอเกอ’ เฮอะ ความจริงข้าก็ไม่ได้ชอบเรียกคนอื่นว่า ‘เกอเกอ’ สักเท่าไรเหมือนกันแหละน่า” พูดพลางมองไปที่ชายหนุ่มซึ่งกำลังดื่มน้ำชา

“ข้าเรียกชื่อเจ้าตรงๆ ได้” นางสะดุดเล็กน้อย “เจ้าชื่อว่าอะไรแล้วนะ?”

ฝ่าบาทสามมิได้ถือสาที่นางจำชื่อของเขาไม่ได้ วางจอกชาลง เคาะพัดบนเท้าแขนเก้าอี้เบาๆ

“แต่ข้ารู้สึกว่าเจ้าเรียกข้าว่า ‘เกอเกอ’ น่ะเหมาะสมที่สุด”

จู่ถีน้อยนั่งขัดสมาธิกอดผ้าห่ม ยืนกรานอย่างมาก

“ไม่ได้เหมาะสมมากสักหน่อย” ขึงตามองหน้าเขา ไม่เข้าใจจริงแท้ “เหตุใดเจ้าถึงได้อยากจะเป็นพี่ชายของข้านัก?”

เหตุใด? เหตุเพราะนึกขึ้นมาได้ว่าตอนอยู่ในเขตแดนพันสะบั้น นางเรียกเขาว่า “เสี่ยวซานหลาง” น่ะสิ เห็นนางกลับไปสู่วัยเด็ก ใสซื่อหลอกง่ายปานนี้ จึงเกิดความคิดอยากจะแกล้งเล่นขึ้นมา ตั้งใจจะฉวยโอกาสที่นางไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรทั้งนั้น หลอกอำนางและเอาเปรียบนางสักครั้งก็เท่านั้น แต่เหตุผลนี้ย่อมจะไม่สามารถกล่าวออกมาจากปากได้

จู่ถีน้อยเห็นชายหนุ่มนิ่งเงียบไป จากนั้นมองหน้านางด้วยสีหน้าลึกล้ำสุดหยั่งคาด

“นี่น่ะเพราะหวังดีกับเจ้านะ”

นางไม่อาจเข้าใจได้

“ทำไมถึงเป็นการหวังดีกับข้าล่ะ?”

ฝ่าบาทสามหลุบตาลงมองบนพื้น จู่ถีน้อยมองตามสายตาเขา หางตานางกระตุก ที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้น คือจอกชาหยกขาวซึ่งถูกนางทำตกแตกก่อนหน้านี้นั่นเอง

ฝ่าบาทสามถามนาง “นี่น่ะ เจ้าเป็นคนทำแตกสินะ?” พูดอีกว่า “จอกชานี้ล้ำค่ามาก เป็นของรักของหวงของเจ๋อเหยียนจวิน หากเจ้าเรียกข้าว่า ‘เกอเกอ’  ข้าก็จะช่วยพูดขอโทษแทนเจ้า ช่วยชดใช้ของล้ำค่านี้ให้เขาแทนเจ้า แต่ถ้าเจ้าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับข้า...” เขายิ้มอ่อน “อย่างนั้นเจ้าก็ต้องถือจอกชานี้ไปขอโทษเจ๋อเหยียนจวินด้วยตัวเองแล้วละ เวลาเจ๋อเหยียนจวินโกรธน่ะ น่ากลัวมากเลยละ”

จู่ถีน้อยตกตะลึงจังงัง อึดใจใหญ่ อ้อมแอ้มว่า

“กูเหยาก็มีของล้ำค่า ข-ข้าชดใช้ให้เขาได้”

ฝ่าบาทสามไม่นึกละอายใจที่ขู่ให้เด็กน้อยตกใจกลัวเลยสักนิด

“กูเหยามีจอกชาหยกขาวแบบเดียวกันนี้ทุกอย่างอยู่ไหม?”

จู่ถีน้อยส่ายหน้าด้วยใบหน้าซีดขาว

“ไม่มี” ขยุ้มผ้าห่มแน่น “ง-งั้นทำยังไงดี?”

ฝ่าบาทสามลดกายอันสูงส่งลงมาชี้แนะนาง

“ดังนั้นข้าถึงได้รู้สึกว่าเจ้าน่าจะต้องการพี่ชายที่สามารถปกป้องเจ้าได้สักคน เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า?”

จู่ถีน้อยทำหน้าเหมือนจะร้องไห้มองหน้าเขา

“ถ้าข้าเรียกเจ้าว่า ‘เกอเกอ’ เจ้ารับประกันได้ไหมว่าเจ๋อเหยียนจวินจะไม่โกรธ ไม่มาเอาเรื่องข้า?”

ฝ่าบาทสามพยักหน้า “แน่นอน”

นางยังคงพยายามดิ้นรน

“แต่พี่ชายน่ะ เป็นคนในครอบครัวที่สำคัญมากเลยนะ จะไปซี้ซั้วเรียกคนอื่นว่า ‘เกอเกอ’ ได้ยังไงกัน?”

ฝ่าบาทสามไม่เห็นด้วย

“นี่เป็นแค่คำเรียกที่ธรรมดาอย่างมากเท่านั้น”

จู่ถีน้อยมองหน้าเขา ในดวงตากลมโตรื้นม่านน้ำบางๆ  ดูแล้วน่าสงสารอย่างยิ่ง นางกะพริบตา ในดวงตาอันสุกใสทอแววอยากรู้นิดๆ

“อย่างนั้น หรือว่ามีคนเรียกเจ้าว่า ‘เกอเกอ’ หลายคนมาก?”

ฝ่าบาทสามชะงักงัน มันก็ไม่มีละนะ ตระกูลฝั่งมารดาของเขามีอิทธิพลอย่างมาก มีญาติเยอะ ความจริงก็มีเปี่ยวเม่ยสายรองอยู่สองสามนางเช่นกัน แต่เขาห่างเหินกับพวกนางอย่างมาก เจอหน้ากันนานๆ ครั้ง ก็ปฏิบัติต่อพวกนางอย่างเย็นชา ทำเอาพวกนางหวาดกลัวเขามาก ไม่มีใครกล้าเรียกเขาว่า “เกอเกอ”  ต่างเรียกเขาอย่างนอบน้อมว่า “ฝ่าบาทสาม” กันทั้งนั้น

นี่กลับน่าสนุกดี เขาเพิ่งจะสังเกตว่า เขามีชีวิตอยู่มาเจ็ดหมื่นปี โดยที่ไม่เคยมีใครเรียกเขาว่า “เกอเกอ” มาก่อนจริงๆ

“ไม่เคยมีใครเรียกข้าแบบนี้มาก่อน” เขาตอบนางไปตามตรง

“อ้อ ถ้าอย่างนั้นก็ได้อยู่” นางพยักหน้า สายตาเลื่อนปราดไปวนที่จอกชาแตกบนพื้นรอบหนึ่ง แล้วเลื่อนปราดมาวนรอบใบหน้าของเขารอบหนึ่ง ราวกับได้ทำการตัดสินใจครั้งสำคัญอะไรกระนั้น มือขวากำเป็นหมัดยกขึ้นบังปาก กระแอมเบาๆ หนึ่งครั้ง ประกาศว่า

“ข้าเรียกเจ้าว่า ‘เกอเกอ’ ได้ แต่ข้านับถือเจ้าเป็นพี่ชายแล้ว เจ้าต้องดีกับข้าให้มากๆ ล่ะ เหมือนที่เส้อเจียดีกับเซี่ยหมิงมากๆ  และห้ามให้คนอื่นเรียกเจ้าว่า ‘เกอเกอ’ อีกเช่นกัน เจ้าทำได้หรือไม่?”

ครั้งนี้ฝ่าบาทเป็นคนถามนางว่าเพราะเหตุใด

“เพราะเหตุใดถึงห้ามให้คนอื่นเรียกข้าว่า ‘เกอเกอ’ อีก?”

จู่ถีน้อยนั่งตัวตรงทันที แหงนหน้านิดๆ ราวกับเย่อหยิ่งทะนงตัวยิ่ง “เพราะว่าข้าคือรัศมีเทพ รัศมีเทพก็วางอำนาจอย่างนี้แหละ!”

แน่นอนว่าหาใช่เช่นนี้ไม่ ความจริงคืออยู่ๆ วันนี้นางก็รู้ตัวว่า นางอาจจะอิจฉาอยู่นิดๆ มาโดยตลอดที่เส้อเจียคือพี่ชายเพียงหนึ่งเดียวไม่มีสองของเซี่ยหมิง ประจวบกับมีชายหนุ่มหน้าตาดีหนึ่งคนร่วงลงมาจากฟ้า ซึ่งเขาบังเอิญอยากจะเป็นพี่ชายของนางพอดี นางจึงหวังว่าเขาจะมาเป็นพี่ชายเพียงหนึ่งเดียวไม่มีสองของนางได้

ฝ่าบาทสามเลิกคิ้ว ไม่ได้พูดอะไรไปชั่วครู่

นางมองเขาอย่างประหม่านิดๆ

ครู่หนึ่ง ฝ่าบาทสามตอบนางว่า “ได้สิ”

จู่ถีน้อยดีใจจนออกนอกหน้า พนมมือทันที

“อย่างนั้น เรามากล่าวคำสาบานวาจาสัตย์กลืนกระดูกกันเถอะ พ่อเฒ่าต้นจันทน์บอกว่า ‘วาจาสัตย์กลืนกระดูก’ คือตัวตนที่เชื่อถือได้ยิ่งกว่าความสัมพันธ์ทางสายเลือด” แล้วแอบพูดอุบอิบอย่างอยากจะเอาอย่างบ้างว่า “เส้อเจียกับเซี่ยหมิงน่ะเคยสาบานวาจาสัตย์กลืนกระดูกต่อกัน เส้อเจียก็เลยใจดีกับเซี่ยหมิงน้อยอย่างมากอยู่ตลอดเลยละ” ระหว่างที่กล่าวคำพูดนี้ นางได้หลับตาลง หลังจากหยุดเว้นช่วงเล็กน้อย ปากได้พึมพำบริกรรม นี่คือกำลังอัญเชิญเพลิงศักดิ์สิทธิ์สำหรับกล่าวคำสัตย์สาบาน

ฝ่าบาทสามไม่เคยสนทนาในลักษณะนี้กับใครมาก่อน เรียบง่ายและใสซื่อปานนี้ ทั้งยังแฝงความอ่อนเดียงสาและไร้เหตุผลของเด็กน้อย แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใดถึงได้รู้สึกคุ้นเคยเช่นกัน

เขาน่าจะเป็นฝ่าบาทสามเหลียนที่ตื่นตัว รอบคอบ ระวังตัวทุกฝีก้าว มักจะจ่ายค่าชดเชยน้อยที่สุดแลกเปลี่ยนให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดต่างหาก

ความจริงแล้วเขารู้ดียิ่ง เมื่อดำเนินการสนทนากับจู่ถีน้อยครั้งนี้ไปได้ครึ่งหนึ่ง เขาก็ได้รับความเชื่อใจจากนาง บรรลุจุดประสงค์แล้ว ที่หลังจากนั้นจะให้นางเรียกเขาว่า “เกอเกอ” ให้ได้ ก็แค่แหย่นางเล่นเท่านั้น เขาไม่มีความจำเป็นต้องกล่าวคำสาปสาบานอันร้ายแรงซึ่งมีต้นกำเนิดจากยุคมหาอุทกภัยนี้เพื่อถ้อยคำล้อเล่นแค่ไม่กี่คำเลย พึงทราบว่าทันทีที่คำสาปนี้ถูกกล่าวออกมา จะเป็นการผูกมัดไปชั่วชีวิต

แต่ครั้นได้สติ เขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่า ตัวเขาได้อัญเชิญเพลิงศักดิ์สิทธิ์แห่งญาณสมาธิซึ่งทำหน้าที่เป็นพยานในการกล่าวคำสัตย์สาบานออกมาแล้ว และกล่าวคำสาบานว่า “มรรคาฟ้าอันเจิดจรัส ตั้งตระหง่าน ณ เบื้องบน เจ้าวารีแห่งสี่ทะเลเหลียนซ่ง ขอให้คำสัตย์สาบานไว้ ณ ที่นี้ ตราบชั่วชีวิตนี้ จักเมตตาปรานีและซื่อสัตย์จริงใจต่อรัศมีเทพจู่ถี หากละเมิดต่อคำสาบานนี้ ยินดีให้อัคคีสวรรค์เผาผลาญร่าง ตราบกายาอาสัญ” ออกมาเสียแล้ว

จู่ถีน้อยนั่งคุกเข่าตรงริมเตียง ได้ยกมือขึ้นเช่นกัน แนบฝ่ามือเล็กๆ กับใจกลางมือของเขา กล่าวถ้อยคำเรียบง่ายไม่ประสีประสาออกมาว่า “ข้าก็จะทำดีกับเหลียนซานเกอเกอเหมือนกัน หากละเมิดคำสาบาน ยินดีรับทัณฑ์อัคคีสวรรค์เผาผลาญร่าง”

ยามกล่าวจบ เพลิงศักดิ์สิทธิ์นั้นได้แปรเป็นบุปผาสีแดงสด ประทับลงบนหลังมือของทั้งสอง จากนั้นค่อยๆ หายไป จมลงสู่กระดูกและเลือดเนื้อ

คำสาบานสำเร็จลงแล้ว

ฝ่ามือของเด็กหญิงยังคงแนบอยู่กับฝ่ามือของเขา นางเหลือบตาขึ้น ขนตาดุจปีกผีเสื้อสั่นไหวเบาๆ  มองหน้าเขาแวบหนึ่ง แล้วมองหน้าเขาอีกแวบหนึ่ง เหมือนเก้อกระดากนิดๆ  กระแอมหนึ่งทีเหมือนกลบเกลื่อน

“เอาละ ตอนนี้ท่านคือพี่ชายของข้าแล้ว” จากนั้นนางเรียกเขาเสียงเบาหวิว “เหลียนซานเกอเกอ”

ฝ่าบาทสามสะดุ้งเบาๆ ภายใต้เสียงเอ่ยเรียกนี้

ความจริงแล้วชั่วขณะก่อนที่จะกล่าวคำสาบาน เขายังคงรู้สึกเล่นๆ อยู่เลย แต่ครั้นยามนี้ นางเรียกเขาว่า “เหลียนซานเกอเกอ” ท่าทางเชื่อฟัง ทำให้เขาไม่สามารถรู้สึกว่านี่เป็นแค่การล้อเล่นได้อีก

เขาพลันนึกขึ้นมาได้ว่า มหาเทพเคยบอกเขาว่า ตอนที่จู่ถีเซ่นสังเวยมีอายุเพียงหนึ่งแสนปี และเนื่องจากว่าร่างเซียนของรัศมีเทพมีความพิเศษแตกต่าง ต่อให้เป็นช่วงเวลาหนึ่งแสนปีที่นางคงอยู่ในโลกหล้า เวลากว่าครึ่งของนางก็อยู่ในสภาวะหลับใหลอยู่ดี

อย่างนั้นหากนับคำนวณกันเช่นนี้ ความจริงแล้วนางเป็นแค่เทพธิดาสาวน้อยที่เพิ่งจะอายุเพียงห้าหมื่นปีเท่านั้น

ในตำหนักอัญชนา เขาได้อยู่ร่วมกับตัวนางที่โตเป็นผู้ใหญ่ครึ่งชั่วยาม นางสุขุมหัวไว พลิกแพลงตามสถานการณ์ได้รวดเร็ว สร้างความประทับใจให้เขาอย่างลึกล้ำ แต่ที่ทำให้เขาจดจำได้แม่นยำมากที่สุด กลับเป็นท่าทีนุ่มนวลอ่อนหวานยามที่นางลอกหน้ากากหนังมนุษย์ออกแล้วยิ้มให้เขา

ชั่วขณะนั้น ฝ่าบาทสามรู้สึกเพียงไม่ว่าจะเป็นจู่ถีตอนเป็นผู้ใหญ่หรือจู่ถีตอนเป็นเด็ก เรียกเขาว่า “เหลียนซานเกอเกอ” ล้วนแต่เหมาะสมยิ่งทั้งนั้น

ขณะที่เขากำลังคิดเพลิน มือข้างหนึ่งพลันตีแปะใส่แขนของเขา

“ท่านได้ยินหรือเปล่าว่าข้าพูดว่าอะไร?”

ฝ่าบาทสามตื่นจากภวังค์ความคิด มองดูสีหน้าเคร่งเครียดของเด็กหญิงตรงหน้า พลอยทำหน้าเคร่งตามนางด้วยเช่นกัน

“เมื่อกี้เจ้าพูดว่า เมื่อสาบานด้วยวาจาสัตย์กลืนกระดูก ข้ากับเจ้าก็เป็นครอบครัวที่สนิทกันมากแล้ว แต่ผู้ที่เจ้าสนิทด้วยมากที่สุดคือพ่อเฒ่าต้นจันทน์ ข้าสามารถเป็นผู้ที่เจ้าสนิทด้วยมากที่สุดอันดับสองได้ ถูกหรือไม่?”

จู่ถีน้อยบ่นอุบอิบอย่างสงสัย “ท่านกำลังใจลอยอยู่ชัดๆ นี่นา” แต่เขากล่าวทวนสิ่งที่นางพูดเมื่อกี้นี้ออกมาอย่างแม่นยำ นางจึงไม่ถือสาหาความละ กระแอมหนึ่งที “ข้าพูดต่อละนะ” กำชับเขาอย่างเคร่งขรึม “ครั้งนี้ท่านห้ามใจลอยนะ”

ฝ่าบาทสามทำเสียงอืม แสดงท่าทีเคร่งขรึมเลียนแบบนาง

นางพยักหน้าอย่างพอใจ กล่าวต่อว่า

“ท่านสามารถเป็นผู้ที่ข้าสนิทด้วยมากที่สุดอันดับสองได้ คนที่สนิทมากสามารถเรียกข้าว่า ‘อาอวี้’ (หยก) ได้ คือชื่อเล่นที่พ่อเฒ่าต้นจันทน์ตั้งให้ข้า” นางเชิดคางเล็กๆ ขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง ภูมิใจนิดๆ “เพราะว่าข้าคือสมบัติล้ำค่าของกูเหยา กระดูกหยกบุคลิกน้ำแข็ง ดังนั้นจึงชื่อว่า ‘อาอวี้’  เหลียนซานเกอเกอก็สามารถเรียกข้าอย่างนี้ได้เหมือนกัน”

มองดูนางเอ่ยชมตัวเองด้วยท่าทางจริงจังว่าตัวนางคือสมบัติล้ำค่าของกูเหยา กระดูกหยกบุคลิกน้ำแข็ง ฝ่าบาทสามพลันรู้สึกน่าขันดี

“ตกลง ข้าจะเรียกเจ้าว่าอาอวี้” เขาเอ่ยยิ้มๆ

แต่แล้วในตอนที่เอ่ยคำว่า “อาอวี้” สองพยางค์นี้ออกมา ในสมองของเขาได้ลั่นกระหึ่ม ราวกับระลอกคลื่นสูงพันชั้นพลันผุดขึ้นเหนือท้องทะเล กระหน่ำซัดลงมาดังครืนครั่น

เขารู้สึกหลอนนิดๆ ไปชั่วขณะ ในใจเกร็งเขม็ง รู้สึกเพียงชื่อนี้คุ้นหูอย่างมาก กระนั้นย้อนไปมองดูอดีต กลับไม่รู้จักใครที่ชื่อ “อาอวี้” เลย

เขานวดขมับ เห็นเด็กหญิงตรงหน้าเม้มปากอมยิ้ม เขายกมือขึ้นขยี้ผมนาง แล้วเรียกนางอีกครั้ง

“อาอวี้” ข่มอาการใจสั่นสะท้านลงไป

 
<>::<>::<>



[1] ฉากกั้นห้องแบบตั้ง คือฉากไม้ฉลุลายปิดเต็มพื้นที่ แต่มีช่องประตูตรงกลางให้เดินผ่านเข้าออกได้ (ดูภาพที่ x หน้า x)
[2] สหายลืมวัย หมายถึง เพื่อนต่างวัยที่คบหาสนิทสนมกันโดยไม่สนใจอายุ

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 5 พ.ย. 2568, 08:39

0 ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น