บทที่ห้า (2)
หลังจากป๋ายเจินซ่างเสินจัดการงานราชการที่แดนอาคเนย์เสร็จสิ้น และกลับจากชิงชิวมายังป่าท้อสิบหลี่ เจ๋อเหยียนซ่างเสินก็เล่าเรื่องเหลียนซ่งจวินพาเทพจู่ถีมาที่ป่าท้อให้เขาฟัง
ป๋ายเจินซ่างเสินนั่งขัดสมาธิ ฟังเพลินจนลืมพุ้ยข้าว ผลักจานออกไป กล่าวอย่างตกใจยิ่ง
“เช่นนี้แปลว่าที่คืนนั้นอยู่ๆ วังพันสะบั้นก็เข้มงวดกวดขัน เป็นเพราะเทพจู่ถีน่ะสิ?”
เจ๋อเหยียนซ่างเสินผลักจานที่เขาผลักมากลับคืนไป
“ตกใจก็ส่วนตกใจ อย่ามาฉวยโอกาสผลักปวยเล้งจานนี้มาให้ข้า” แล้วคีบผักปวยเล้งขึ้นมาจากในจานสองคำไปกองไว้ในถ้วยของป๋ายเจินซ่างเสิน พูดตะล่อมอย่างหวังดี “กินผักปวยเล้งเยอะๆ หน่อย มีประโยชน์ทั้งกับเลือดลมและดวงตา” แล้วเร่งว่า “กินเร็วเข้า”
ป๋ายเจินซ่างเสินกินผักปวยเล้งเข้าไปหนึ่งคำอย่างยากเย็น กลืนลงไปพร้อมกับน้ำชา ทำสีหน้าแม้ร่างแหลกเหลวแต่ปณิธานมั่นคง
“แต่ชิ่งเจียงน่าจะตรวจไม่พบว่าเทพจู่ถีเป็นผู้บุกรุกเข้าสู่เขตแดนพันสะบั้นนะ” หลังจากค่อยยังชั่วขึ้น เขาได้กล่าวต่อบทสนทนาเมื่อครู่นี้ “วันถัดมาตอนที่พวกข้ากล่าวลากับเขา เขากลับถามเยี่ยหัวจวินหนึ่งประโยคว่าเหตุใดอาสามของเขาถึงไม่อยู่ เจ้าหนูเยี่ยหัวนั่นดื่มเหล้ากับข้าและพี่ใหญ่ตลอดทั้งคืน จะไปรู้ได้อย่างไร แต่เขากลับมีไหวพริบเฉพาะหน้าเหมือนกัน บอกแค่ว่าท่านอาสามของเขาปวดศีรษะเพราะเมาค้าง พักอยู่ที่วังนี้แล้วรู้สึกไม่สะดวกอย่างมาก จึงกลับสวรรค์เก้าชั้นฟ้าไปตั้งแต่ตอนเช้าตรู่แล้ว เดิมทีองค์ชายสามแห่งเผ่าสวรรค์เหลียนซ่งจวินก็เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งแปดดินแดนด้านไม่ชอบทำตามมารยาทธรรมเนียม เจ้าชู้กรุ้มกริ่มกระทำการตามอำเภอใจอยู่แล้ว ชิ่งเจียงจึงไม่ได้นึกสงสัยอะไร”
ป๋ายเจินซ่างเสินผู้นี้ แม้จะเป็นถึงซ่างเสินแล้ว อายุเซียนก็ปาเข้าไปหนึ่งแสนกว่าปีแล้ว แต่จิตใจที่ชอบเล่นสนุกยังคงเข้มข้นอยู่ดังเดิม ทั้งยังชอบฟังเรื่องแปลกประหลาดพิสดาร หลังจากบอกเล่าสถานการณ์ภายในเขตแดนพันสะบั้นจบแล้ว ได้มองหน้าเจ๋อเหยียนซ่างเสินอย่างอยากรู้
“เมื่อกี้นี้ท่านบอกว่าแค่วันสองวัน เหลียนซ่งก็ทำให้จู่ถีน้อยเชื่อใจได้แล้ว ครึ่งเดือนมานี้ ไม่ว่าจะเป็นขึ้นเขาสำรวจถ้ำนั่งเรือเที่ยวทะเลสาบ เทพจู่ถีต่างให้เขาไปเป็นเพื่อนด้วย?” หลังได้รับการพยักหน้าจากเจ๋อเหยียนซ่างเสิน ป๋ายเจินซ่างเสินได้เอ่ยชมพลางถอนหายใจ “เพียงแค่วันสองวันก็สามารถอยู่ร่วมกับเทพจู่ถีได้กลมเกลียวปานนี้แล้ว องค์ชายสามของเทียนจวินผู้นี้นี่เก่งกาจไม่ใช่เล่นเลย!”
เจ๋อเหยียนซ่างเสินไม่ชอบฟังป๋ายเจินซ่างเสินชมคนอื่น ยิ้มหยัน “จู่ถีน้อยนี่นะ ไร้เดียงสาแถมเชื่อคนง่าย ไม่รู้จักระแวงใคร ใครยอมเล่นกับนาง นางก็สนิทกับคนนั้น การหลอกนางน่ะง่ายจะตาย เปิ่นจั้วไม่ยินดีเล่นเอะอะซุกซนกับเด็กน้อยอย่างนางเองต่างหาก หากเปิ่นจั้วยินดีลดตัวลงไปเล่นด้วย เจ้าเชื่อไหมว่านางจะทำตัวสนิทกับเปิ่นจั้วอย่างมากเหมือนกันนั่นละ?”
ป๋ายเจินซ่างเสินวางตะเกียบลง ขบคิดอย่างสุขุมอยู่ชั่วแล่น กล่าวตอบอย่างระมัดระวัง
“ข้าไม่ค่อยเชื่อเท่าไรนะ”
ครั้นเห็นสีหน้าของเจ๋อเหยียนซ่างเสินเปลี่ยนเป็นเย็นชาคาตา ป๋ายเจินซ่างเสินรีบเปลี่ยนคำพูดอย่างไร้ศักดิ์ศรีทันที
“ข้า...อาจจะเชื่อนิดหน่อย?”
แต่สีหน้าของเจ๋อเหยียนซ่างเสินยังคงไม่ได้ดีขึ้นอยู่ดังเดิม ป๋ายเจินซ่างเสินขุดผักปวยเล้งที่เขาเขี่ยไปอยู่ตรงขอบชาม แล้วใช้ข้าวกลบฝังไว้ขึ้นมากินไปสองคำ หวังจะใช้การกระทำนี้เอาใจให้เจ๋อเหยียนซ่างเสินอารมณ์ดี
“เอาน่า เมื่อกี้นี้ข้าแค่ล้อท่านเล่นเอง” เขาลองคลี่ยิ้มอย่างจริงใจดู
เจ๋อเหยียนซ่างเสินไม่อยากจะคุยกับเขาแล้ว หันไปมองนกปี้ฟังที่นั่งคุกเข่าคอยปรนนิบัติอยู่ด้านข้างอย่างไร้ตัวตน
“เจ้าหนูเหลียนซานนั่นพาจู่ถีมาเกาะกินที่ป่าท้อของเปิ่นจั้วตั้งครึ่งเดือนเข้าไปแล้ว เมื่อไหร่พวกเขาจะไปกันเสียที?”
นกปี้ฟังกล่าวตอบอย่างนอบน้อม
“ตอบซ่างเสิน องค์ชายสามรอบคอบ บอกว่าขอสังเกตดูอีกสักสองวัน รอจนแน่ใจว่าเทพจู่ถีไม่มีปัญหาใดๆ แล้วค่อยกล่าวลาขอรับ”
เจ๋อเหยียนซ่างเสินพูดเสียงห้วน
“รัศมีเทพน้อยนั่นวันทั้งวันเอาแต่ยิงนกตกปลา สดชื่นคึกคักยิ่งกว่าเปิ่นจั้วเสียอีก นางยังจะเกิดเรื่องอะไรได้ บอกให้พวกเขารีบๆ ไปซะ เห็นแล้วหงุดหงิด!”
นกปี้ฟังกล่าวรับว่า “ขอรับ” อย่างนอบน้อม
ป๋ายเจินซ่างเสินก้มหน้าลงใช้ตะเกียบเขี่ยเมล็ดข้าวฝังกลบผักปวยเล้งอีกครั้ง อุบอิบเบาๆ
“ไม่ต้องถึงขั้นข้าแค่พูดชมองค์ชายสามคำเดียว ท่านก็ไปพาลใส่เขาขนาดนี้ก็ได้...”
เจ๋อเหยียนซ่างเสินพูดเสียงเกรี้ยว
“เปิ่นจั้วจะไปหึงจนหน้ามืดเพราะรุ่นเยาว์คนหนึ่งได้ยังไง!”
ป๋ายเจินซ่างเสินหลุดหัวเราะพรืด แม้จะหยุดลงทันกาลเมื่อสายตาคมดาบของเจ๋อเหยียนซ่างเสินตวัดมาหา แต่สองตากลับยังคงแฝงแววยิ้ม
“อ้อ หึงจนหน้ามืด” เขาเอ่ยเนิบๆ
เจ๋อเหยียนซ่างเสินตกตะลึง อึดใจใหญ่ พลอยส่ายหน้าพลางยิ้มด้วยเช่นกัน มองป๋ายเจินซ่างเสินอย่างอ่อนใจ
“กินข้าวให้ดีๆ เร่งเดินทางจนพลาดมื้อเที่ยง มื้อที่ชดเชยนี้ก็ไม่กินให้มันดีๆ กินข้าวยังต้องให้คอยเฝ้าอีก ยังเป็นเด็กอยู่หรือไง?”
ครั้นเห็นเจ้านายทั้งสองกลับมาสนทนากันอย่างสนิทชิดเชื้ออีกครั้ง นกปี้ฟังผู้เถรตรงรู้สึกสงสัย : อย่างนั้นยังต้องไล่องค์ชายสามกับรัศมีเทพน้อยที่มาเกาะป่าท้อกินข้าวได้ครึ่งเดือนแล้วกลับไปอีกหรือไม่หนอ?
เดิมทีนกปี้ฟังคิดจะถามเจ๋อเหยียนซ่างเสินอีกสักคำ แต่เห็นว่าเวลานี้ที่ข้างโต๊ะกินข้าว ซ่างเสินทั้งสองได้เข้าไปนั่งชิดกัน ยามกระซิบคุยกันให้อารมณ์วันเวลาอันสงบสุขอย่างมาก ไม่ใช่บรรยากาศที่เขาจะเข้าไปพูดแทรกได้
นกปี้ฟังผู้ซึ่งแม้จะเถรตรง แต่ก็สายตาดียิ่งเช่นกันได้ถอยออกไปอย่างเงียบงัน ตอนเดินออกจากห้องใหญ่ไปได้ห้าก้าว เขานึกขึ้นได้ว่าเวลานี้ในป่าท้อมีแขกอยู่ด้วย จึงเดินย้อนกลับไปอย่างรอบคอบ ช่วยปิดประตูห้องให้ซ่างเสินทั้งสองอย่างเอาใจใส่
นกปี้ฟังตัดสินใจไม่ตกอยู่ตามลำพังตลอดทั้งบ่าย คิดไม่ตกไปจนกระทั่งตะวันลับภูประจิม ก็เตรียมจะไปหยั่งเสียงเจ๋อเหยียนซ่างเสินอีกครั้ง มิคาดฝ่าบาทสามกลับเป็นฝ่ายพารัศมีเทพน้อยมากล่าวลาเพื่อออกเดินทางเสียเอง ที่แท้ทางวังหยวนจี๋ส่งจดหมายมาว่า บนสวรรค์เกิดเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งขึ้นกะทันหัน รอให้ฝ่าบาทสามกลับไปตัดสินใจ
ป๋ายเจินซ่างเสินนอนพักผ่อนอยู่ในห้อง เจ๋อเหยียนซ่างเสินออกมาส่งแขกคนเดียว ข่มความดีใจไล่คนทั้งสองจากไป
ตอนที่ฝ่าบาทสามพาจู่ถีน้อยกลับสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ไม่ได้ทำให้ผู้ใดรับรู้
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในป่าท้อสิบหลี่ หลังจากจู่ถีน้อยตื่นแล้ว ฝ่าบาทสามได้ส่งจดหมายไปให้เทียนปู้ ดังนั้นเมื่อฝ่าบาทสามพาจู่ถีน้อยกลับวังหยวนจี๋ เทียนปู้จึงมิได้ประหลาดใจแต่อย่างใด อีกทั้งเนื่องจากเวลานี้เทพจู่ถีอยู่ในสภาพเช่นนี้ จึงไม่ควรเปิดเผยฐานะ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาบานปลาย เทียนปู้ยังเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าแล้วอีกด้วย ทำให้ทั้งวังเพียงนึกว่าเด็กหญิงหน้าตางดงามอย่างยิ่งผู้นี้ คือน้องสาวของสหายของฝ่าบาทสาม สหายฝากฝังน้องสาวสุดที่รักให้ฝ่าบาทสามช่วยดูแล และถูกฝ่าบาทสามพากลับมาที่วังหยวนจี๋เท่านั้น สามารถเห็นได้ถึงการดำเนินการอย่างเหมาะสมของเทียนปู้
ฝ่าบาทสามรอนแรมเดินทางกลับมาถึง เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ ก็เรียกตัวเทียนปู้เข้าไปรายงานข้อมูล
เรื่องที่ทำให้เทียนปู้ซึ่งสุขุมเยือกเย็น รู้กาลเทศะเสมอมายังพลอยรู้สึกร้อนใจ มิอาจไม่เชิญฝ่าบาทสามกลับมาจากป่าท้อสิบหลี่ คือเรื่องใหญ่จริงแท้
นัยว่าเมื่อกว่าครึ่งเดือนก่อน เสวียนหมิงซ่างเสินผู้ปกครองแดนอุดรได้ถวายฎีกาหนึ่งฉบับต่อเทียนจวิน กล่าวว่าตรงพรมแดนระหว่างแดนอุดรกับแดนอีสานมีเหราร้ายปรากฏตัวขึ้น สร้างเภทภัยให้แก่แคว้นเล็กๆ ของมนุษย์สองสามแคว้นในแถบนั้น หวังว่าท่านผู้เฒ่าจะสามารถส่งขุนพลเทพที่เก่งกาจสักนายลงไปกำราบเหราตนนี้
เทียนจวินเอาสะดวก หลายปีมานี้เรื่องจำพวกกำราบสัตว์ร้าย จะมอบให้บุตรชายคนเล็กผู้สู้รบได้เก่งกาจช่วยจัดการให้ทั้งหมด ครั้งนี้ท่านก็ตั้งใจจะทำเหมือนที่เคยทำๆ มา รอจนบุตรชายคนเล็กกลับสวรรค์แล้ว ก็จะสั่งให้เขาไปทำเรื่องนี้ ผลคืองานวิวาห์ของชิ่งเจียงจบไปแล้ว ไท่จื่อพร้อมด้วยดาวเทพลิขิตชะตา เซียนซู่จี๋ ต่างกลับมาตามกำหนดกันแล้ว บุตรชายคนเล็กของท่านกลับไม่ทราบแล่นไปที่ใดเสียได้
เทียนจวินจนปัญญา ได้แต่เลือกหยิบฎีกาของเสวียนหมิงซ่างเสินออกมา ปรึกษาหารือกับปวงขุนนางเรื่องตัวเลือกที่จะส่งไปกำราบปราบปรามสัตว์ร้ายใหม่อีกครั้งในการประชุมราชการที่ตำหนักหลิงเซียว ไม่นึกว่าไท่จื่อเยี่ยหัวกลับขันอาสาขอไปทำงานนี้ ร้องขออย่างแข็งขันให้เทียนจวินมอบโอกาสในการฝึกฝนครั้งนี้แก่เขา
เป็นความจริงที่เกือบหมื่นปีมานี้ ขอเพียงมีงานกำราบปราบปรามสัตว์ร้าย องค์ชายสามเป็นต้องพาไท่จื่อหนุ่มน้อยไปเพิ่มพูนประสบการณ์ด้วยทุกครั้ง เทียนจวินใคร่ครวญอยู่กึ่งอึดใจ รู้สึกเช่นกันว่านี่คือโอกาสอันดีในการฝึกฝนรัชทายาท จึงอนุญาตไป
วันที่เก้าที่ไท่จื่อลงไปยังโลกเบื้องล่าง ศพของเหราร้ายตนนั้นก็ปรากฏขึ้นที่เชิงเขาคงซางของแดนบูรพา ศพเหราใหญ่โตมหึมายิ่ง ทั้งยังยาวมาก สภาพน่าสะพรึงกลัว
ดาวเทพไท่ป๋าย[1]รับบัญชาจากเทียนจวินลงไปยังโลกเบื้องล่าง ตรวจดูบาดแผลคร่าชีวิตตรงศีรษะของเหราด้วยตัวเอง วิเคราะห์ออกมาได้ว่า บาดแผลนั้นเกิดจากการฟันของกระบี่ชิงหมิงขององค์ไท่จื่อจริงๆ เห็นได้ว่าเหราตนนี้ถูกไท่จื่อสังหารจริงแท้
ไท่จื่อองอาจห้าวหาญ อายุเพียงสามหมื่นปีก็สามารถสยบเหราร้ายได้ เดิมทีนี่ควรจะเป็นเรื่องที่ทำให้หัวใจผู้เฒ่าของเทียนจวินปลาบปลื้มยินดี แต่ปัญหาอยู่ที่ ถึงแม้เหราร้ายจะถูกฆ่าตายไปแล้ว ไท่จื่อกลับหายสาบสูญไปด้วยเช่นกัน
เทียนจวินทั้งกังวลและโกรธเกรี้ยวกับเรื่องนี้ บัญชาให้ดาวเทพไท่ป๋ายแอบสืบหาร่องรอยของไท่จื่ออย่างเป็นความลับ แต่ดาวเทพไท่ป๋ายสืบหาอยู่เจ็ดวัน ไร้สิ้นผลลัพธ์ ด้วยเหตุนี้เทียนจวินจึงได้มีราชโองการลงไปยังวังหยวนจี๋ บัญชาให้เซียนมหาดเล็กภายในวังรีบติดต่อองค์ชายสามโดยด่วน เรียกตัวเขากลับมา เพราะหากถกถึงเรื่องสืบเสาะข้อมูลข่าวสาร ทั่วทั้งสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ต้องนับว่าวังหยวนจี๋สามารถคาดหวังและพึ่งพาได้มากที่สุด
ฝ่าบาทสามเช็ดผมพลางฟังเทียนปู้รายงานเรื่องราวความเป็นมาจบ ขมวดคิ้วถามว่า “ยี่สิบสี่มหาดเล็กบุ๋นบู๊ว่าอย่างไรบ้าง?”
“ยี่สิบสี่มหาดเล็กบุ๋นบู๊” คือเซียนมหาดเล็กยี่สิบสี่ท่านที่เชี่ยวชาญด้านการสืบเสาะข้อมูลข่าวสารเป็นอย่างมากภายในวังหยวนจี๋ ฝ่าบาทสามเป็นผู้ฝึกฝนด้วยตัวเอง แบ่งเป็น “สิบสองมหาดเล็กบุ๋น” กับ “สิบสองมหาดเล็กบู๊” การที่แปดดินแดนยอมรับโดยทั่วกันว่าวังหยวนจี๋หูตาไวเรื่องข้อมูลข่าวสาร คือผลงานความชอบของเซียนมหาดเล็กยี่สิบสี่ท่านนี้
เทียนปู้ปกป้องชื่อเสียงอันดีงามเป็นหนึ่งไม่มีสองของยี่สิบสี่มหาดเล็กบุ๋นบู๊เรื่องเก่งกาจเลิศล้ำที่สุดบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าในด้านการสืบเสาะข้อมูลข่าวสารเอาไว้ได้
“ถึงแม้ทางด้านดาวเทพไท่ป๋ายจะไม่มีความคืบหน้าใด แต่เมื่อสองชั่วยามก่อน เซียนเว่ยเจี่ยได้ส่งข่าวกลับมาแล้วว่า สืบทราบแล้วว่าองค์ไท่จื่อทรงอยู่ที่หุบเขาสู่ตะวันเพคะ”
มือที่เช็ดผมของฝ่าบาทสามหยุดชะงัก
“หุบเขาสู่ตะวัน?”
เทียนปู้ตอบว่า “ใช่เพคะ” แล้ววิเคราะห์อย่างละเอียดไปทีละข้อ สาธยายบอกกล่าวเป็นฉากๆ
“เซียนเว่ยเจี่ยบอกว่า องค์ไท่จื่อทรงพักฟื้นอยู่ในวังลู่ถายของหุบเขาสู่ตะวันเพคะ วังลู่ถายมีการป้องกันเข้มงวด เขาไม่สามารถแฝงกายเข้าไปได้ ด้วยเหตุนี้จึงใช้อุบายบางอย่าง สืบข้อมูลได้เล็กน้อยจากคนภายในวังที่ออกมาจากวังผู้หนึ่ง เมื่อลองอนุมานจากข้อมูลเหล่านั้น น่าจะเป็นองค์ไท่จื่อได้รับบาดเจ็บหลังจากที่ทรงสังหารเหราร้าย แล้วถูกเจ้าหญิงพระขนิษฐาของเผ่าวิหคครามที่ผ่านทางมาช่วยเอาไว้ พากลับไปที่วังลู่ถาย ฟังจากที่คนในวังผู้นั้นพูด ภายในวังลู่ถายไม่อนุญาตให้พวกเขาแพร่งพรายเรื่องที่เจ้าหญิงพระขนิษฐาช่วยชีวิตไท่จื่อแห่งเผ่าสวรรค์ออกไปสู่ภายนอก เซียนเว่ยเจี่ยเคยสงสัยว่าองค์ไท่จื่อทรงบาดเจ็บสาหัส เผ่าวิหคครามกลัวว่าองค์ไท่จื่อเกิดเป็นอะไรไปขึ้นมา พวกเขาไม่ยินดีรับผิดชอบใช่หรือไม่ แต่คนในวังผู้นั้นยืนยันหนักแน่นว่าองค์ไท่จื่อไม่ได้บาดเจ็บหนักมาก เพียงแต่ไม่ยอมฟื้นสักที ทำให้เจ้าหญิงพระขนิษฐาซึ่งคอยเฝ้ารับใช้ที่หน้าพระแท่นบรรทมทั้งวันทั้งคืนร้อนใจเป็นอย่างมากเท่านั้น”
ฝ่าบาทสามฟังถึงตรงนี้ ก็เช็ดผมเสร็จพอดี เขาโยนผ้าฝ้ายไปด้านข้าง ดึงตะเกียบคีบกำยานออกมาจากภายในโถใส่กำยานบนโต๊ะ บอกให้เทียนปู้พูดต่อ
“ลองบอกความเห็นของเจ้ามา”
เทียนปู้มีความเห็นอยู่เล็กน้อยจริงๆ
“หนูปี้รู้สึกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างจะตึงมือเพคะ” สองคิ้วเทียนปู้ขมวดมุ่น “เผ่าวิหคครามช่วยชีวิตองค์ไท่จื่อ แต่กลับซ่อนตัวไท่จื่อไว้เช่นกัน หากพวกเขาคือทวยราษฎร์ของพวกเราเผ่าสวรรค์ ย่อมจะสามารถตัดสินโทษได้ในทันที แต่เผ่าวิหคครามอาศัยอยู่ในหุบเขาสู่ตะวันของชิงชิวมาทุกรุ่น คือพสกนิกรของเผ่าจิ้งจอกขาวเก้าหาง กลับไม่สะดวกจะข้ามหน้าข้ามตาตระกูลป๋ายแห่งชิงชิว เข้าไปหาเรื่องเผ่าวิหคครามโดยตรง แต่ครั้นจะจัดการผ่านตระกูลป๋าย ขอให้จักรพรรดิจิ้งจอกมหาเทพป๋ายจื่อออกคำสั่งให้เผ่าวิหคครามส่งตัวองค์ไท่จื่อกลับคืนมา...ก็กลัวอีกว่า...”
เอ่ยถึงตรงนี้ ได้ลังเลนิดๆ และลำบากใจนิดๆ
“หนูปี้ไม่กล้าวิจารณ์มหาเทพป๋ายจื่อกับป๋ายเฉี่ยนซ่างเซียนโดยพล่อยปากเพคะ”
เทียนปู้ไม่กล้าวิจารณ์ซ่างเสินซ่างเซียนโดยพล่อยปาก แต่ฝ่าบาทสามไม่มีอันใดไม่กล้า ก้มหน้าเติมกำยานพลางช่วยเทียนปู้กล่าวต่อเนื้อความที่นางไม่ได้พูดจนจบให้
“ก็กลัวอีกว่าตระกูลป๋ายจะใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ ถอนหมั้นเยี่ยหัว ใช่หรือไม่?”
เทียนปู้มีสีหน้ากลัดกลุ้ม ถอนหายใจเบาๆ อดบ่นไม่ได้ว่า
“ถึงแม้องค์ไท่จื่อจะไม่ทราบ แต่ฝ่าบาทมีหรือจะไม่ทราบเพคะว่า ความจริงแล้วป๋ายเฉี่ยนซ่างเซียนไม่ค่อยพอใจมาโดยตลอดเรื่องที่ต้องอภิเษกสมรสกับองค์ไท่จื่อ? หากซ่างเซียนรู้เข้าว่าองค์ไท่จื่อทรงได้รับการช่วยชีวิตจากเจ้าหญิงเผ่าวิหคคราม ทั้งเจ้าหญิงยังมีจิตปฏิพัทธ์ต่อองค์ไท่จื่อ คอยปรนนิบัติอยู่ข้างพระแท่นบรรทมที่องค์ไท่จื่อทรงนอนพักฟื้นทุกวี่วันอีกด้วย ต่อให้เผ่าวิหคครามไม่ขอให้องค์ไท่จื่อตอบแทนบุญคุณ...ป๋ายเฉี่ยนซ่างเซียนที่คิดอยากแต่จะถอนหมั้นอยู่ตลอด ก็ต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ ใช้ข้ออ้างว่าจะส่งเสริมคู่มนุษย์หยก ขอถอนหมั้นกับเผ่าสวรรค์อย่างแน่นอนเพคะ” เทียนปู้ขมวดคิ้ว “เพราะเหตุนี้หนูปี้ถึงได้รู้สึกว่าเรื่องนี้ตึงมือ เพียงแต่หนูปี้คิดเท่าไรก็ไม่เข้าใจเลยว่า เหตุใดเผ่าวิหคครามถึงต้องซ่อนตัวองค์ไท่จื่อไว้ เช่นนี้ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับพวกเขาสักหน่อย”
ฝ่าบาทสามวางตะเกียบคีบกำยานลง ยิ้มบางๆ
“ในเมื่อเจ้าทายท่าทีที่ตระกูลป๋ายจะมีหลังจากได้รู้เรื่องนี้ออกแล้วถึงแปดเก้าในสิบส่วน เหตุใดจึงคิดปัญหานี้ไม่ออกเล่า?” เขารับผ้าแพรที่เทียนปู้ยื่นให้มาเช็ดมือ “หากคาดไม่ผิด ที่เผ่าวิหคครามห้ามคนในวังลู่ถายแพร่งพรายข่าวของเยี่ยหัวโดยเด็ดขาด ก็แค่ไม่ต้องการให้ป๋ายเฉี่ยนรู้เรื่องนี้เท่านั้น เพราะพวกเขาก็รู้เช่นกันว่าป๋ายเฉี่ยนไม่พอใจการแต่งงานครั้งนี้ ทันทีที่ได้รู้ว่าเยี่ยหัวอยู่ในวังลู่ถาย จะต้องฉวยโอกาสขอถอนหมั้นกับเผ่าสวรรค์เป็นแน่ ป๋ายเฉี่ยนถอนหมั้น จะไปมีประโยชน์อะไรกับพวกเขาเล่า นี่ย่อมจะไม่ใช่จุดประสงค์ที่พวกเขารั้งตัวเยี่ยหัวไว้ในวังลู่ถายอยู่แล้ว”
ได้รับการชี้ทางจากฝ่าบาทสามถึงขั้นนี้ เทียนปู้กระจ่างแจ้งในบัดดล ขบคิดพลางคาดเดาว่า
“เผ่าวิหคครามเองก็รู้ดีว่า พวกเราเผ่าสวรรค์ก็ไม่ต้องการให้ป๋ายเฉี่ยนซ่างเซียนทราบเรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ วิธีที่ดีที่สุดที่พวกเราสามารถเลือกได้มีเพียงอย่างเดียว นั่นคือลอบส่งคนไปที่หุบเขาสู่ตะวัน ทำการเจรจาตกลงกับพวกเขา รับตัวองค์ไท่จื่อกลับมา...”
ฝ่าบาทสามพยักหน้า เอ่ยชมว่า
“ถือว่าไม่ได้โง่”
แต่เทียนปู้ไม่ได้นึกดีใจที่ถูกชมแต่อย่างใด ยิ่งคิดคิ้วก็ยิ่งขมวดลึก “ถ้าเช่นนั้น ความจริงแล้วเผ่าวิหคครามคิดจะใช้องค์ไท่จื่อเป็นตัวประกัน ข้ามศีรษะตระกูลป๋ายมาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับเผ่าสวรรค์เราหรือเพคะ?” อดทั้งตกใจและโกรธเกรี้ยวไม่ได้ “พวกเขาช่างขวัญกล้าบังอาจนัก!”
ฝ่าบาทสามกลับเรื่อยเฉื่อยเฉยชายิ่ง
“พวกเขามีสิ่งที่คิดจะแลกเปลี่ยนจริงๆ นั่นแหละ แต่ไม่แน่ว่าจะเป็นผลประโยชน์เช่นกัน” หลุบตาลงนิ่งคิดอยู่ชั่วแล่น เขาถามเทียนปู้ “ข้างในถ้ำประกาศิตดารา สถานที่ต้องห้ามของเผ่าวิหคครามมีหินโลหะดาวลอยอยู่ใช่หรือไม่?”
เทียนปู้ชะงักนิดๆ แม้ว่านางจะเป็นเซียนแม่บ้านอันดับต้นๆ ของสวรรค์เก้าชั้นฟ้า แต่ก็ใช่ว่าจะรู้ไปเสียทุกเรื่อง อาทิ หินโลหะดาวลอย นี้ นางไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลย และนางก็ไม่ทราบด้วยว่าฝ่าบาทสามเอ่ยถึงหินโลหะนี้ขึ้นมากะทันหันด้วยจุดประสงค์ใด เคราะห์ดีที่ฝ่าบาทสามแค่ถามไปอย่างนั้นเช่นกัน ไม่ได้ต่อบทสนทนานี้อีก เพียงสั่งนางว่า
“เจ้าจงเตรียมตัวไว้ พรุ่งนี้หลังจากเข้าเฝ้าเทียนจวินแล้ว เจ้าจงไปที่หุบเขาสู่ตะวันกับข้า”
เรื่องสำคัญนับว่าคุยเสร็จสิ้นแล้ว
เทียนปู้รับคำสั่งจากไป ถอยไปถึงหน้าประตูตำหนักบรรทม เตรียมจะรอจนฝ่าบาทสามเข้านอนแล้วค่อยจากไป ไม่นึกว่าเพิ่งจะยืนได้แค่ไม่นาน กลับได้เจอคนที่กอดหมอนมาบุกรุกตำหนักบรรทมเข้าให้ ผู้มามองเห็นนาง ก็พยักหน้าให้อย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง ยกชายกระโปรงก้าวข้ามธรณีประตูอย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง เดินอาดๆ เข้าไปภายในห้อง
เทียนปู้ทำงานในวังหยวนจี๋มาได้ห้าหมื่นปีแล้ว ใช่ว่านางไม่เคยพบเจอหญิงงามที่เย่อหยิ่งเอาแต่ใจ ขวัญกล้าไร้กาลเทศะ แต่หญิงงามที่หาญกล้ากอดหมอนมาบุกรุกตำหนักบรรทมของฝ่าบาทสามกลางดึกนั้น นางไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนจริงแท้
เทียนปู้ตกตะลึงตาค้าง จนกระทั่งหญิงงามตัวน้อยเข้าไปในตำหนักแล้ว นางจึงค่อยได้สติ รีบไล่ตามเข้าไป คิดจะขวางผู้มาไว้อย่างวัวหายแล้วล้อมคอก แต่ขณะเดียวกัน นางก็ให้ตุ๊มๆ ต่อมๆ อยู่ในใจ รู้สึกว่าฐานะของนางอาจจะไม่สูงพอที่จะขวางบรรพบุรุษท่านนี้ได้
บรรพบุรุษท่านนี้คือบรรพบุรุษตัวจริงเสียงจริงขนานแท้ ผู้มาก็คือเทพจู่ถีน้อยนั่นเอง
ตอนที่จู่ถีน้อยแล่นเข้าไปในตำหนักบรรทมของฝ่าบาทสาม ฝ่าบาทสามกำลังถอดเสื้อผ้า ทั้งเนื้อทั้งตัวสวมแค่กางเกงแพรตัวเดียว กำลังยื่นมือไปหยิบเสื้อหมิงอีจากไม้แขวนเสื้อไม้จันทน์ตรงหน้า ให้ตายก็นึกไม่ถึงว่าจะมีคนบุกรุกเข้ามาในจังหวะนี้ ดังนั้นเมื่อจู่ถีน้อยถอนหายใจชมอย่างนึกทึ่งออกมาว่า “โอ้โห” ฝ่าบาทสามกลับตั้งสติไม่ทันอย่างผิดคาด
นาง “โอ้โห” จบค่อยนึกขึ้นมาได้ว่า ตัวเองทะเล่อทะล่าบุกรุกเข้ามาน่าจะค่อนข้างเสียมารยาท
“ขอโทษด้วย เหลียนซานเกอเกอ ข้าไม่รู้ว่าท่านกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า”
จู่ถีน้อยกล่าวขอโทษอย่างไม่ถือสาเรื่องหยุมหยิม แล้วโบกมือให้ด้วยมาดท่านแม่ทัพใหญ่โดยไม่รอให้ฝ่าบาทสามกล่าวตอบ
“แต่ว่าท่านไม่ต้องสนใจข้าหรอก เปลี่ยนเสื้อต่อเถอะ ข้าจะไม่รบกวนท่าน” พูดพลางไม่ได้หันไปมองเขาอีก ถือวิสาสะเดินตรงไปที่เตียง
ฝ่าบาทสามตัวแข็งทื่อไปชั่ววูบ เดี๋ยวก็รู้สึกว่าภาพฉากนี้คือภาพหลอน เดี๋ยวก็รู้สึกว่าจู่ถีน้อยเหลวไหลสิ้นดี สุดท้ายเขานึกถึงประโยค “ได้ยินว่าสมัยจู่ถียังเด็กน่ะ...ยังไงก็ ขอให้เจ้าโชคดีก็แล้วกัน” ของเจ๋อเหยียนซ่างเสินในป่าท้อสิบหลี่ขึ้นมาได้ ตอนแรกเขาไม่รู้ว่าคำพูดนี้หมายถึงอะไร แต่อยู่กับจู่ถีน้อยมาได้ครึ่งเดือน เขาพอจะเข้าใจแล้วว่า บางทีเจ๋อเหยียนซ่างเสินอาจจะอยากพูดว่า สมัยจู่ถียังเด็กน่ะ ความจริงแล้วซุกซนแสบสันอย่างมากเลยละ
ลองคิดดูแล้ว เด็กน้อยที่ซุกซนแสบสันผู้หนึ่ง มาบุกรุกตำหนักนอนของเขากลางดึก เรื่องนี้แปลกหรือไม่?
ไม่แปลก
ดังนั้นหลังจากฝ่าบาทสามตัวแข็งทื่ออยู่ชั่วครู่สั้นๆ ก็กลับมาสุขุมเยือกเย็นดังเดิมโดยเร็ว เขาสวมชุดหมิงอี ผูกสายเสื้อให้เรียบร้อย หันกายไปคิดจะถามจู่ถีน้อยว่า ดึกป่านนี้แล้วมาหาเขาทำอะไร กลับเห็นว่านางได้ขึ้นไปนั่งบนเตียงหยกของเขาเรียบร้อยแล้ว กำลังหมอบพังพาบวางหมอนอยู่ตรงนั้น
จู่ถีน้อยเอาหมอนที่ตัวเองนำมาวางเรียงกับหมอนของเขา เห็นเขาเดินเข้ามาหา คิ้วตาทอดโค้ง ประกาศกับเขาอย่างมั่นอกมั่นใจเต็มที่
“คืนนี้ข้าจะนอนที่นี่ด้วย นอนด้วยกันกับเหลียนซานเกอเกอ!”
ฝ่าบาทสามที่เพิ่งจะเดินมาถึงหน้าเตียงสะดุดหน้าทิ่ม จู่ถีน้อยรีบยื่นมือข้างหนึ่งออกไปประคองเขา กอดแขนเขาอย่างตกใจไม่น้อย แหงนหน้ามองเขา
“เหลียนซานเกอเกอเป็นอะไรไป?”
ฝ่าบาทสามมองหน้านาง กล่าวอย่างสงบ
“ไม่มีอะไร”
เด็กน้อยคนหนึ่ง มาถึงสถานที่แปลกถิ่น ไม่ชินกับการอยู่คนเดียว หวาดกลัวในตอนกลางคืน จึงคิดจะเกาะติดคนที่ตัวเองสนิทด้วยมากที่สุด เรื่องนี้แปลกหรือไม่?
ไม่แปลก
ฝ่าบาทสามคิดตกอย่างรวดเร็ว แต่เทียนปู้ที่เพิ่งจะตามหลังเข้ามาไม่ได้คิดว่าเรื่องนี้ไม่แปลก ได้ฟังคำพูดนี้ของจู่ถีน้อย ก็ตกใจจนคางแทบร่วง
“จุนซั่งจะ-จะนอนที่นี่หรือเจ้าคะ?” เห็นจู่ถีน้อยโถมขึ้นไปบนเตียงแล้ว ก็นึกขึ้นได้ถึงโรคคลั่งความสะอาดของฝ่าบาทสาม หางตาเทียนปู้กระตุกไม่หยุด รีบเดินเข้าไปจะประคองจู่ถีลุกขึ้น “จุนซั่งลุกขึ้นก่อนเถิด...บ-แบบนี้ไม่ค่อยดีกระมัง...ชายหญิงเจ็ดพันปีก็ไม่ควรนอนร่วมเตียงแล้ว...”
เห็นเทียนปู้จะมาประคองตัวเอง จู่ถีน้อยจัดแจงเตะรองเท้าทิ้งเสียเลย แล้วมุดเข้าไปข้างในเตียง โผล่ออกมาแต่ศีรษะ ถามอย่างสงสัย “ชายหญิงเจ็ดพันปีก็ไม่ควรนอนร่วมเตียงแล้ว? ทำไมข้าไม่เห็นรู้เลย” แล้วยักไหล่ “งั้นก็ถือว่าอย่างนั้นเถอะ แต่ว่าข้าไม่มีเพศ เป็นได้ทั้งเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง ตอนนี้ข้าถือว่าเป็นเด็กผู้ชายได้ เหลียนซานเกอเกอก็เป็นเด็กผู้ชายเหมือนกัน พวกเราไม่มีการแบ่งแยกชายหญิงอะไรนั่นสักหน่อย”
เทียนปู้เกือบจะเสียหลักล้มหน้าทิ่ม
“อะไรนะ? ต-แต่ว่ารัศมีเทพเป็นเทพธิดาไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”
เรื่องนี้จะโทษเทียนปู้ก็ไม่ได้ เดิมทีในโลกหล้า เทพที่รู้ว่ารัศมีเทพเกิดมาไม่มีเพศ ยามเยาว์วัยเป็นได้ทั้งชายและหญิง ก็มีไม่มากนักอยู่แล้ว เทียนปู้นึกว่าจู่ถีน้อยแค่กำลังล้อเล่น พูดจาโกหกพกลมเพื่อที่จะได้อยู่กับฝ่าบาทสามเท่านั้น อดยิ้มจืดเจื่อนไม่ได้
“จุนซั่งอย่ามาหลอกหนูปี้เลย หากว่าจุนซั่งอยู่ในตำหนักคนเดียวแล้วกลัว อย่างนั้นหนูปี้...”
จู่ถีน้อยถูกพูดแทงใจดำ หน้าแดงก่ำในบัดดล แต่นางคือรัศมีเทพผู้หยิ่งผยอง จะไปยอมรับว่าตัวเองอยู่ในตำหนักคนเดียวแล้วกลัวได้อย่างไร ดังนั้นต่อให้เป็นวัวสันหลังหวะ ก็ยังคงพยายามปฏิเสธเต็มที่
“ข้าไม่ได้อยู่คนเดียวแล้วกลัวสักหน่อย ข้าก็แค่รู้สึกว่า...” นางกลอกตาไปมา “บางครั้งข้าจะอยากดื่มน้ำกลางดึก เลยต้องมีคนคอยรินน้ำให้ข้า ดังนั้นข้าเลยอยู่คนเดียวไม่ได้!”
เทียนปู้ก้าวเข้าไป เกลี้ยกล่อมเสียงนุ่ม
“อย่างนั้นหนูปี้ไปอยู่ที่ตำหนักบรรทมของจุนซั่งได้ ไม่แค่ช่วยรินน้ำให้จุนซั่งได้เท่านั้น หากจุนซั่งเตะผ้าห่ม หนูปี้ยังช่วยห่มผ้าให้จุนซั่งได้อีกด้วยเจ้าค่ะ”
“แต่ว่าข้า...ข้าน่ะจู้จี้มาก” จู่ถีน้อยทำแก้มป่อง ขมวดคิ้ว “ข้าไม่ดื่มน้ำที่คนอื่นริน” นางพูดไม่ค่อยจะเต็มเสียงนัก
เทียนปู้กำลังจะเกลี้ยกล่อมต่อ ถูกฝ่าบาทสามที่ยืนนิ่งเงียบอยู่ด้านข้างยกมือขึ้นห้ามไว้
“ให้นางอยู่ที่นี่ไปเถอะ”
เทียนปู้มีภาพจำอยู่ก่อนว่าจู่ถีน้อยควรจะเป็นเด็กผู้หญิง ด้วยเหตุนี้จึงเชื่ออย่างหนักแน่นว่าการที่จู่ถีน้อยนอนค้างที่ห้องของเขานั้นไม่เหมาะสม แต่จู่ถีที่ย้อนกลับไปสู่วัยเยาว์นั้นไม่มีเพศ จึงเป็นเช่นที่เจ้าตัวบอกจริงๆ นางเป็นได้ทั้งเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง และตัวเขาที่เคยกล่าวคำสาบานวาจาสัตย์กลืนกระดูกกับจู่ถีน้อย คือผู้ที่นางสนิทด้วยมากที่สุดเป็นอันดับสองในโลกนี้ การที่จู่ถีน้อยทำอะไรโดยไร้ข้อถือสาเช่นนี้ต่อหน้าเขาก็เป็นที่เข้าใจได้
ใสซื่อไร้เดียงสา นี่แหละคือรัศมีเทพในวัยเยาว์ ฝ่าบาทสามรู้สึกว่ารัศมีเทพน้อยที่เป็นเช่นนี้บริสุทธิ์อย่างยิ่ง และตัวนางที่ประลองปัญญาประชันความกล้ากับเทียนปู้เพื่อทู่ซี้นอนค้างที่ห้องของเขาก็น่าขันนิดๆ เช่นกัน ดังนั้นจึงยกมือยุติการถกเถียงเกี่ยวกับเรื่องนี้ของทั้งสอง ทุบค้อนตัดสินชี้ขาดอนุญาตให้จู่ถีน้อยนอนค้างที่ห้องของเขาได้
เทียนปู้ย่อมจะไม่เข้าใจ แต่การวางตัวได้อย่างเหมาะสมของเทียนปู้อยู่ที่ต่อให้ไม่เข้าใจ ในเมื่อเป็นคำสั่งของเขา ก็ไม่มีทางพูดมากไปกว่านี้อีกโดยเด็ดขาดนี่แหละ
แต่ฝ่าบาทสามย่อมไม่มีทางนอนร่วมเตียงกับรัศมีเทพน้อยอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงสั่งเทียนปู้เพิ่มอีกประโยค
“ให้นางนอนเตียงของข้า เจ้าให้คนยกเตียงอีกหลังกับฉากบังลมสำหรับกั้นแยกหนึ่งฉากเข้ามา” เขาชี้ที่ข้างตัว “ตั้งไว้ตรงนี้แหละ” แล้วกล่าวว่า “เจ้าไปปูพื้นนอนที่ข้างเตียงนาง” เห็นจู่ถีน้อยเหมือนจะคัดค้านอะไร กล่อมนางว่า “ข้าช่วยรินน้ำให้เจ้าได้ เจ้าเตะผ้าห่ม เทียนปู้ช่วยดูแลเจ้าได้”
จู่ถีน้อยนิ่งคิดเล็กน้อย แล้วไม่ได้พูดอะไรอีก
เทียนปู้ย่อกายทำความเคารพทันที
“หนูปี้จะไปจัดการเดี๋ยวนี้เพคะ”
หลังเทียนปู้จากไปแล้ว ฝ่าบาทสามค่อยหลุบตาลงมองจู่ถีน้อย “ข้ากับเทียนปู้ต่างอยู่เป็นเพื่อนเจ้า แบบนี้เจ้าก็ไม่กลัวแล้วกระมัง?”
รัศมีเทพน้อยในชุดกระโปรงยาวสีขาวตลอดร่าง กอดผ้าห่มนั่งอยู่บนเตียงหยก เรือนผมดุจสายน้ำตก รูปโฉมพิลาสล้ำ ภายใต้แสงเทียนส่องสว่าง ได้เผยให้เห็นถึงความงดงามแห่งเทพ
ได้ฟังเขาพูดเช่นนี้ จู่ถีน้อยยกผ้าห่มขึ้นมานิดๆ กอดไว้แน่น ขึงตาใส่เขาอ่อนจางมาก อุบอิบเบาๆ
“ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ได้กลัวสักหน่อย”
ฝ่าบาทสามพูดแหย่ว่า “ตกลง เจ้าไม่ได้กลัว เจ้าแค่อยากจะหาคนช่วยรินน้ำให้เจ้ากลางดึก”
จู่ถีน้อยขึงตาใส่เขาอีกครั้ง “ก็คืออย่างนั้นแหละ”
<>::<>::<>::<>::<>::<>
[1] ดาวเทพไท่ป๋าย คือ “เทพไทแป๊ะกิมแช” ในเรื่อง “ไซอิ๋ว” เป็นเทพดาวศุกร์