บทที่หก (1)
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ฝ่าบาทสามได้ไปเข้าเฝ้าเทียนจวิน นำพาข่าวของเยี่ยหัวจวินไปด้วย
เทียนจวินยินดีที่บุตรชายคนเล็กไม่ทำให้ท่านผิดหวัง เพิ่งจะกลับถึงสวรรค์ ก็ช่วยท่านหาพบแล้วว่าไท่จื่อหายตัวไปที่ใด
เทียนจวินก็กริ้วที่เผ่าวิหคครามไม่รู้จักดีชั่วเช่นกัน แต่ถึงจะกริ้วอย่างไร เทียนจวินเป็นกษัตริย์ รอบรู้เชี่ยวชาญเรื่องราวในโลกหล้า ชั่งน้ำหนักดูแล้ว ก็คิดว่าส่งผู้มีความสามารถลอบไปที่เผ่าวิหคครามอย่างเป็นความลับ รับตัวไท่จื่อกลับมาจะเหมาะสมที่สุดเช่นกัน และ ผู้มีความสามารถ ท่านนี้ ย่อมจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากบุตรชายคนเล็กผู้หูตากว้างไกลของท่าน
เทียนจวินจึงมอบหมายเรื่องนี้ให้บุตรชายคนเล็กเสียเลย แล้วรั้งตัวบุตรคนเล็กอยู่รับประทานมื้อเช้า ถามไถ่อย่างห่วงใยว่าพักนี้ที่เขาหายตัวไปคือไปที่ใดมา ฝ่าบาทสามย่อมจะไม่ได้พูดความจริง แต่เทียนจวินก็มิได้ใส่ใจนักเช่นกัน ท่านเพียงแค่อยากจะหาทางระบายให้แก่ความรักของบิดาที่ท่านไม่ทราบจะไปแสดงออกที่ใดดีเท่านั้น
การจัดการเรื่องเผ่าวิหคครามของเทียนจวินแทบไม่ได้ต่างไปจากที่ฝ่าบาทสามได้คาดการณ์ไว้ หลังจากกลับถึงวังหยวนจี๋ เขาคิดจะพาจู่ถีน้อยไปที่วังมหาอรุณ ฝากฝังนางไว้กับเซียนฉงหลินที่สุดแสนจะเชื่อถือพึ่งพาได้ แต่ไม่ทราบเป็นเพราะอานุภาพของวาจาสัตย์กลืนกระดูกรุนแรงเกินไปหรือเป็นเพราะเหตุใด จู่ถีน้อยจึงติดเขาแจ ไม่ยอมถูกทิ้งไว้ที่วังมหาอรุณเพียงลำพัง จะไปหุบเขาสู่ตะวันด้วยกันกับเขาให้ได้
หลังจากนิ่งใคร่ครวญชั่งน้ำหนักดูแล้ว ฝ่าบาทสามเห็นว่าก็ใช่ว่าจะไม่ได้ สั่งให้นางกำนัลพาจู่ถีน้อยไปเปลี่ยนชุดเป็นชุดเด็กหนุ่ม
นางกำนัลเพิ่งจะพาจู่ถีน้อยไปที่ตำหนักบรรทม เทพจวี้หลิงที่ประตูสวรรค์ทักษิณก็ส่งสัตว์พาหนะตัวน้อยมาแจ้งที่วังหยวนจี๋ว่า มีเทพบริวารจากบรรพตกูเหยามาเยือน รออยู่ตรงประตูสวรรค์ทักษิณ อยากจะพบฝ่าบาท
สัตว์พาหนะตัวน้อยอายุยังน้อย นิสัยไม่เคร่งครัดสำรวม แจ้งถ้อยคำเหล่านี้อย่างร่าเริงเสร็จแล้ว ก็กระแซะเข้าไปใกล้เทียนปู้ที่รับฟังข้อมูล เอามือป้องปากกระซิบว่า
“เทพบริวารทั้งสองท่านท่าทางดุดันมาก เกรงว่าจะมาหาเรื่องละ เจี่ยเจีย ข้าไปบอกพวกเขาว่าฝ่าบาทยังไม่กลับมาสวรรค์เป็นอย่างไร หลอกพวกเขาจากไปเสียสิ้นเรื่อง!”
ฝ่าบาทสามบังเอิญเดินออกมาพอดี ปฏิเสธอย่างละม่อมต่อเจตนาดีที่ไม่ค่อยจะเข้าทีนักของสัตว์พาหนะตัวน้อย โดยบอกว่าตัวเขาว่างพอดี สามารถไปพบกับเทพบริวารทั้งสองท่านที่ประตูสวรรค์ทักษิณได้
เทียนปู้มองส่งฝ่าบาทสามจากไป ในใจสะบัดร้อนสะบัดหนาว นางคาดเดาว่าที่บอกว่าเทพบริวารของกูเหยามาเยือน ต้องเป็นเพราะเทพบริวารสามสี่ท่านนั้นของเทพจู่ถีสืบทราบแล้วว่าจุนซั่งของพวกเขาถูกฝ่าบาทสามหลอก...ไม่สิ อยู่ด้วยกันกับฝ่าบาทสาม จึงได้มาที่วังหยวนจี๋เพื่อทวงท่านกลับเป็นแน่
ถึงแม้เทียนปู้จะไม่เคยพบหน้าเหล่าเทพบริวารของบรรพตกูเหยา แต่เมื่อเดือนก่อนตอนที่เทพจู่ถีเพิ่งฟื้นตื่น เคยส่งเทพบริวารสองท่านมายังสวรรค์เพื่อส่งมอบของขวัญวันเกิดให้ฝ่าบาทสาม เพลานั้นดาวเทพลิขิตชะตาโชคดีได้อยู่ในที่นั้นด้วย ฟังจากที่ดาวเทพลิขิตชะตาบอกเล่า การพูดการจาและการกระทำของเทพบริวารทั้งสองระมัดระวังรอบคอบ ซ่อนดาบในรอยยิ้ม รับมือยากพิลึกเลยละ เทียนปู้รู้สึกว่าฝ่าบาทสามของพวกนางก็รับมือยากพิลึกเช่นกัน ในเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างก็รับมือยากพิลึก เช่นนั้นมีแต่ต้องวางมวยกันสักยกเพื่อตัดสินว่าตกลงเทพจู่ถีจะอยู่กับใครหรือไม่หนอ? ช่างชวนให้อกสั่นขวัญแขวนโดยแท้
โชคดีที่เหตุการณ์วางมวยกันซึ่งเทียนปู้นึกกังวลไม่ได้เกิดขึ้นแต่อย่างใด
ครึ่งชั่วยามให้หลัง เทพบริวารท่านหนึ่งของกูเหยาได้เดินตามหลังฝ่าบาทของพวกนางมา ย่างเท้าเข้าสู่วังหยวนจี๋ด้วยฝีเท้าอันมั่นคง
ท่านเทพบริวารรูปงามเปี่ยมราศี สวมชุดสีฟ้าตลอดร่าง สีหน้าสงบนิ่งเยือกเย็น ท่าทางดูไม่เหมือนว่าจะแสร้งทำเป็นพูดคุยอย่างสันติกับฝ่าบาทของพวกนาง หมายฉวยโอกาสที่ฝ่าบาทไม่ทันระวังลอบเล่นงานใส่กะทันหันแต่อย่างใด
คนทั้งสองเพิ่งจะเข้าสู่ประตูวัง เทพจู่ถีน้อยก็ยกชายชุดผาววิ่งออกมา ตอนที่มองเห็นเทพจู่ถีน้อย สีหน้าสงบนิ่งของเทพบริวารชุดฟ้าได้ปรากฏรอยร้าวในที่สุด แต่เขากลบเกลื่อนอย่างรวดเร็ว มิได้เสียกิริยา
เทียนปู้เข้าใจเขา ลองคิดดูว่าหากสักวันหนึ่งทั้งร่างกายและจิตใจของฝ่าบาทสามได้ย้อนกลับไปสู่วัยเยาว์อย่างกะทันหันด้วยเช่นกัน นางเองก็คงจะไม่สามารถทำใจยอมรับได้อย่างง่ายดายนัก
จู่ถีน้อยที่ความทรงจำได้ย้อนกลับไปสู่วัยเยาว์ ย่อมจะไม่รู้จักเทพบริวารผู้นี้ซึ่งตามหลักแล้วหนึ่งหมื่นปีให้หลังจึงจะได้รับการชี้นำเบิกปัญญาจากนาง เพียงเหลือบมองเซียนชุดฟ้าอย่างอยากรู้อยากเห็นแวบหนึ่ง ก็เบนสายตากลับมาที่ตัวฝ่าบาทสามอีกครั้ง นางวิ่งเข้าไปหาราวกับลูกกวาง แหงนหน้า เอาแต่ถามฝ่าบาทสามว่าพวกเขาจะออกเดินทางไปที่หุบเขาสู่ตะวันกันเมื่อไร
ฝ่าบาทสามตอบนางว่าไม่ต้องรีบ แล้วแนะนำเซียนชุดฟ้าให้นาง บอกว่าเป็นเซียนรับใช้ที่หามาให้นาง เพราะหลังจากไปถึงหุบเขาสู่ตะวัน เขามีธุระมากมายต้องจัดการ ไม่แน่ว่าจะสามารถอยู่ข้างกายนางได้ตลอด มีเซียนรับใช้ที่อิทธิฤทธิ์แก่กล้าท่านนี้คอยคุ้มครองความปลอดภัยของนางทุกเมื่อ เขาก็สามารถวางใจได้ แล้วบอกนางอีกว่า นางสามารถเรียกเซียนรับใช้ท่านนี้ว่า “เสี่ยวอิน” ได้
เทียนปู้ทราบทันที เทพบริวารชุดฟ้าท่านนี้คือ อินหลินจุนเจ่อ หัวหน้าของสี่เทพบริวารแห่งกูเหยาเสียเก้าจุดเก้าส่วน
จู่ถีน้อยจะอย่างไรก็ได้กับเรื่องที่มีเซียนรับใช้เพิ่มมาคอยดูแลนางหนึ่งคน
“อ้อ ท่านคิดได้รอบคอบดียิ่ง ข้าคือรัศมีเทพ ควรจะมีเซียนรับใช้ไว้สักคน ข้าคู่ควรกับศักดิ์ศรีนี้”
นางใคร่ครวญด้วยสีหน้าเคร่งขรึมอยู่ชั่วครู่ แล้วพูดดังนี้ พูดจบแล้วยังไปคว้ามือฝ่าบาทสาม เอ่ยชมเขาจากใจจริง
“เหลียนซานเกอเกอคิดอ่านเพื่อข้าอย่างนี้ ข้าชอบมากเลย”
เทียนปู้มองเห็นสายตาของอินหลินจับนิ่งยังมือที่กุมกันของฝ่าบาทสามกับจู่ถีน้อย จากนั้นเขาแสดงสีหน้าแปลกๆ ออกมา ประหลาดใจระคนเจ็บปวด เจ็บปวดระคนอ่อนใจ และราวกับยอมรับชะตากรรมกระนั้น
เหตุใดอินหลินถึงได้แสดงสีหน้าเช่นนี้ออกมา?
เทียนปู้รู้สึกประหลาดใจ ครั้นจะพิศดูให้ละเอียด อินหลินกลับเก็บงำอารมณ์ที่เผยออกมาภายนอกเสียแล้ว สีหน้ากลับไปเป็นเรียบเฉยดังเดิม ประหนึ่งบ่อน้ำโบราณที่ไร้คลื่น
การไปหุบเขาสู่ตะวันต้องเดินทางระยะหนึ่ง เพื่อให้จู่ถีน้อยได้เดินทางอย่างสบาย เทียนปู้ได้งัดพาหนะเรือเมฆออกมาเป็นกรณีพิเศษ
จู่ถีน้อยได้นั่งเรือเมฆเป็นครั้งแรก เห่ออยู่พักหนึ่ง แต่การล่องเรือเหนือเมฆนั้น สิ่งที่มองเห็นมีแต่เมฆกับเมฆ จะอย่างไรก็เป็นเรื่องที่แห้งแล้งน่าเบื่อ เพียงไม่นานนางก็อ้าปากหาวนอนหลับไปเสียแล้ว
เทียนปู้ปรนนิบัติจู่ถีน้อยนอนกลางพรมเมฆบนหัวเรือ รอจนจู่ถีน้อยหลับสนิทแล้ว ค่อยลุกขึ้นเดินไปทางท้ายเรือ ตั้งใจจะชงน้ำชาสักกาให้ฝ่าบาทสามกับอินหลินจุนเจ่อที่นั่งประจันหน้าเล่นหมากล้อมกัน
เดินเข้าไปใกล้แล้ว เทียนปู้ได้ยินอินหลินเดินหมากพลางกล่าวว่า “สมัยยังเด็กนางเจ้าเล่ห์แสนกล ร่าเริงมาก ถึงขั้นกล่าวได้ว่าซุกซน จวบจนนางลุวัยผู้ใหญ่แล้ว พร้อมกับที่ความสามารถในการพยากรณ์ได้ตื่นขึ้นอีกก้าว ร่างวิญญาณของนางก็ค่อยๆ เข้าใกล้มรรคาฟ้าในระดับที่ลึกล้ำยิ่งขึ้นเช่นกัน หลังจากนั้น นางจึงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสงบเสงี่ยมเรียบร้อยดูภูมิฐาน และเริ่มมีบุคลิกเคร่งขรึมเย็นชาเช่นที่พวกเจ้าชนรุ่นหลังเล่าลือกัน ถึงกระนั้น ไม่ว่าจะเป็นสมัยยังเด็กที่เฉลียวฉลาดร่าเริง หรือสมัยเป็นเด็กสาวที่เคร่งขรึมเย็นชา นางก็ไม่เคยแสดงออกถึงความชอบหรือความชังในตัวใครหรือสิ่งใดมาก่อน ถ้อยคำจำพวกการกระทำใดของใครทำให้นางรู้สึกชอบนั้น นางไม่เคยกล่าวมาก่อน”
เทียนปู้คิดในใจ นี่คืออินหลินจุนเจ่อกำลังรู้สึกคับข้องใจกับการที่เมื่อครู่ก่อนจู่ถีน้อยกุมมือฝ่าบาทสามพลางพูดว่า
“เหลียนซานเกอเกอคิดอ่านเพื่อข้าอย่างนี้ ข้าชอบมากเลย”
นางแสร้งทำเป็นว่าตัวนางเป็นแค่อุปกรณ์ชงชาที่ไร้ความรู้สึก เสกอุปกรณ์ชงชาออกมาต้มน้ำลวกจอกชาอย่างเฉยชา แต่สองหูกางผึ่ง ได้ยินฝ่าบาทสามกล่าวตอบว่า
“ในตำนานกล่าวว่ารัศมีเทพไร้อารมณ์ทั้งเจ็ดและกิเลสทั้งหก แต่รัศมีเทพที่ข้าได้พบ ไม่ว่าจะเป็นยามเติบใหญ่หรือวัยเยาว์ อารมณ์ยินดี โกรธเกรี้ยว โศกเศร้า เบิกบานล้วนแต่ชัดเจนยิ่ง โดยเฉพาะรัศมีเทพในวัยเยาว์ อารมณ์ทั้งเจ็ดมีชีวิตชีวาเป็นพิเศษ ข้าเองก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน”
มือที่ถือเม็ดหมากของอินหลินได้ชะงัก ชั่วครู่ให้หลัง เขากล่าวว่า “ตำนานหาใช่คำเท็จ รัศมีเทพถือกำเนิดโดยปราศจากอารมณ์จริงๆ กระนั้นเมื่อสองแสนกว่าปีก่อน ตัวนางที่เซ่นสังเวยเพื่อเผ่ามนุษย์ได้รับความเมตตาจากสวรรค์ มรรคาฟ้าได้ทำให้นางมีอารมณ์ความรู้สึกหลังจากที่หวนคืน ดังนั้นเมื่อนางหวนกลับไปสู่วัยเยาว์อีกครั้งในยามนี้ เจ้าจึงได้เห็นตัวนางที่อารมณ์ปีติ โกรธเกรี้ยว โศกเศร้า เบิกบาน รัก ชัง ชอบ หลง ล้วนแต่ชัดเจน” เขาหยุดเล็กน้อย “ตัวนางที่เป็นเช่นนี้ ข้าเองก็เพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรกเช่นกัน”
ฝ่าบาทสามวางเม็ดหมากลงไปหนึ่งเม็ดแบบส่งๆ
“ข้าไม่ทราบว่ารัศมีเทพที่ไร้อารมณ์ไร้กิเลสเป็นแบบใด แต่รัศมีเทพที่มีอารมณ์ความรู้สึกหลากหลาย ข้ารู้สึกว่าดีมาก”
อินหลินเอ่ยเบาๆ “ข้าเองก็รู้สึกว่าดีมาก” อึดใจใหญ่ ก็กล่าวเสริมอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “เจ้ากับนางมีวาสนาต่อกันอย่างมาก หากว่านี่คือลิขิตสวรรค์...” แต่เขาไม่ได้กล่าวประโยคนี้จนจบ
ฝ่าบาทสามพลิกหมุนเม็ดหมากในมือเล่น ยิ้มบางๆ
“รัศมีเทพกับเทพวารี เป็นเทพแห่งธรรมชาติด้วยกัน ความผูกพันย่อมจะลึกซึ้งกว่าผู้อื่นอยู่บ้างจริงแท้ ข้ากับเทพจู่ถีมีวาสนาต่อกันจริงๆ นั่นแหละ” เขามองหน้าอินหลิน เหมือนมิได้ใส่ใจ “ที่ท่านพูดว่าข้ากับนาง ‘มีวาสนาต่อกัน’ หมายถึงเช่นนี้หรือไม่?”
อินหลินตกตะลึง จากนั้นแย้มยิ้ม
“ใช่แล้ว ย่อมจะหมายถึงเช่นนี้อยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นยังจะเป็นอะไรได้อีกเล่า?” แม้ปากจะกล่าวเช่นนี้ เม็ดหมากที่วางลงกลับวางพลาดไปหนึ่งก้าว
ฝ่าบาทสามเลิกคิ้ว
น้ำชาชงเสร็จแล้ว เทียนปู้เริ่มแบ่งชาให้เทพหนุ่มทั้งสอง นางรู้สึกโดยสัญชาตญาณว่าที่อินหลินกล่าวว่าฝ่าบาทสามกับเทพจู่ถี ‘มีวาสนาต่อกัน’ มิได้หมายถึงแค่ความผูกพันตามธรรมชาติที่รัศมีเทพกับเทพวารีมีต่อกันมาแต่กำเนิด ถึงกระนั้น ก็เป็นเช่นที่อินหลินได้พูดมา หากมิใช่เช่นนี้ ยังจะเป็นอะไรได้อีกเล่า?
ครึ่งหลังของการเดินทาง เทพหนุ่มทั้งสองไม่ได้สนทนากันอีก เพียงเดินหมากกันต่อ ส่วนเทียนปู้ชมดูหมากอยู่ด้านข้าง ตรงหัวเรือจู่ถีน้อยยังคงนอนหลับสนิทอยู่เช่นเดิม นางกวาดตาไปมองดูนานๆ ครั้ง ให้แน่ใจว่าเทพจู่ถีน้อยไม่ได้เตะผ้าห่ม
ถึงแม้เทียนปู้จะทราบว่าจู่ถีน้อยเคยเป็นเทพเคารพที่ยอดเยี่ยมซึ่งเคยเซ่นสังเวยเพื่อโลกหล้าแห่งนี้ แต่เนื่องจากครั้งแรกที่ได้พบเจอพูดคุยกัน เทพจู่ถีอยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กน้อยที่ใสซื่อ ถ้อยเจรจาก็ล้วนแล้วแต่อ่อนเดียงสาเสียแล้ว ด้วยเหตุนี้เทียนปู้จึงมิได้รู้สึกว่าจู่ถีน้อยทรงศักดิ์น่าเกรงขามเท่าไรนัก ความจริงแล้วรู้สึกรักใคร่เอ็นดูนางมากกว่าเคารพยำเกรง
พร้อมกับการมาถึงของอินหลินจุนเจ่อผู้ซึ่งดูเหมือนจะเก็บงำความลับเอาไว้มากมายตรงหน้าผู้นี้ เทียนปู้จึงค่อยรู้สึกขึ้นมาเล็กน้อยอย่างปุบปับว่าเรื่องที่จู่ถีน้อยหาใช่เซียนเด็กธรรมดาทั่วไป หากแต่เป็นรัศมีเทพผู้ลึกลับนั้นเป็นเรื่องจริง
นางไม่ทราบว่าภายในใจของฝ่าบาทสามจะคิดเช่นนี้เหมือนกันหรือไม่ เพียงแต่หมากจบไปหนึ่งกระดาน ยามเมื่ออินหลินจุนเจ่อไปที่หัวเรือ เหน็บมุมผ้าห่มให้เทพจู่ถีน้อยอย่างคล่องแคล่ว เทียนปู้พบว่าสายตาของฝ่าบาทสามหยุดอยู่ที่ตัวของเทพจู่ถีน้อยนานมาก
ทั้งขบวนได้บรรลุถึงหุบเขาสู่ตะวันในยามที่ม่านราตรีคลี่คลุมลง
ถายเหยี่ยจวิน พระอนุชาของกษัตรีย์แห่งเผ่าวิหคครามได้ยินว่าฝ่าบาทสามแห่งเผ่าสวรรค์เสด็จมาเยือน ก็นำปวงขุนนางในราชสำนักออกจากวังมาต้อนรับด้วยตัวเอง
ถายเหยี่ยจวินอ่อนน้อมอย่างยิ่ง อธิบายว่าไม่กี่วันก่อนกษัตรีย์ได้ปิดด่านเก็บตัว มอบหมายราชกิจให้เขาจัดการชั่วคราว แล้วพูดอีกว่าก่อนจะปิดด่านเก็บตัว กษัตรีย์ยังคงห่วงพะวงถึงพระอาการประชวรขององค์ไท่จื่อ ส่งทูตเฉพาะกิจไปยังเขาตู๋ซานน้อมเชิญแพทย์เลื่องชื่อ ผู้เฒ่าคงซาน มารักษาองค์ไท่จื่อ ผู้เฒ่าคงซานเพิ่งจะมาถึงในวังเมื่อครึ่งชั่วยามก่อน เวลานี้กำลังตรวจดูชีพจรให้องค์ไท่จื่อที่ตำหนักฝูปอ
ถ้อยคำของถายเหยี่ยจวินเปี่ยมด้วยความจริงใจ ทุกนัยล้วนแต่บอกว่าพวกเขาเผ่าวิหคครามได้พยายามอย่างสุดความสามารถในการช่วยรักษาไท่จื่อ แต่กลับไม่พูดถึงโดยสิ้นเชิงว่าเหตุไฉนจึงไม่ส่งคนไปแจ้งต่อทางสวรรค์เก้าชั้นฟ้าว่าไท่จื่ออยู่กับพวกเขาที่นี่ กระนั้นตามหลักแล้ว พวกเขาเผ่าวิหคครามไม่จำเป็นต้องแจ้งต่อสวรรค์เก้าชั้นฟ้าจริงแท้ แต่พวกเขาจำเป็นต้องแจ้งเรื่องนี้ต่อป๋ายเฉี่ยนซ่างเซียนนายเหนือหัวของพวกเขา เพียงแต่ว่าพวกเขาก็ไม่ได้ทำดังนี้เช่นกัน ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดจึงไม่ทำดังนี้ ทุกคนต่างรู้ดีอยู่แก่ใจโดยไม่ต้องพูดออกมา
ได้ฟังที่ถายเหยี่ยจวินพูดจบ ฝ่าบาทสามเพียงแค่ยิ้มพยักหน้า กล่าวชมความทุ่มเทที่เผ่าวิหคครามมีให้ไท่จื่อ แล้วให้ถายเหยี่ยจวินช่วยนำทาง อนุญาตให้เขาไปเยี่ยมไท่จื่อ โดยไม่ได้กล่าวอะไรอย่างอื่นทั้งสิ้น
เผ่าวิหคครามทุ่มเทให้เยี่ยหัวจวินอย่างเต็มที่จริงแท้ ตำหนักฝูปอ ตำหนักบรรทมที่เยี่ยหัวจวินพำนัก อยู่ข้างอุทยานของวังหลวงนี่เอง เคียงขุนเขาลึกอิงธารน้ำใส ได้ยินว่าเป็นตำหนักที่สบายที่สุดในวังลู่ถาย
ภายในตำหนัก หยกสุวรรณเป็นขื่อคาน แก้วผลึกเป็นตั่งเตียง รอบด้านของเตียงใช้ผ้าแพรเมฆเป็นม่านล้อม ตะขอหยกรวบเกี่ยวผืนแพรต่วนสีขาวขึ้น หน้าม่านเตียงห้อยม่านไข่มุกหยกปี้สี่[1] ไท่จื่อหนุ่มน้อยนอนอยู่ด้านหลังของม่านไข่มุกทอประกายนวลตานี้เอง
ฝ่าบาทสามยกพัดขึ้นแหวกม่านไข่มุกออก จู่ถีน้อยมองเข้าไปอย่างอยากรู้อยากเห็น แล้วเห็นเด็กสาวที่ยืนอยู่หน้าเตียงย่อกายทำความเคารพพวกนางในปราดเดียว ดวงตาของจู่ถีน้อยกะพริบปริบ นางมองเห็นลักษณ์ดั้งเดิมของเด็กสาวเข้า ถายเหยี่ยจวินแนะนำมาจากด้านข้างว่า นี่คือน้องสาวของเขากับกษัตรีย์...เจ้าหญิงพระขนิษฐาของพวกเขาเผ่าวิหคคราม เจ้าหญิงจู๋อวี่[2]
ในเมื่อเด็กสาวมีฐานันดรศักดิ์เช่นนี้ เช่นนั้นตามหลักแล้วควรจะเป็นวิหคครามเช่นกัน แต่ที่ดวงตาของจู่ถีน้อยมองเห็น ลักษณ์ดั้งเดิมของเด็กสาวกลับเป็นดอกเหมินตง[3]สีเขียวอ่อนต้นหนึ่ง การนี้ทำให้จู่ถีน้อยรู้สึกประหลาดใจ
ที่กูเหยาก็มีดอกเหมินตงอยู่มากมาย สีขาว สีชมพู สีบานเย็น แม้กระทั่งสีเหลือง ฤดูร้อนและใบไม้ร่วง ดอกผลิบานบนกิ่งก้าน ทั้งงดงามและหอมกรุ่น แต่นางไม่เคยเห็นดอกเหมินตงสีเขียวอ่อนมาก่อน
จู่ถีน้อยจ้องเด็กสาวเขม็ง มองแล้วมองอีก มองจนเด็กสาวรู้สึกได้ถึงสายตาของนาง เงยหน้าขึ้นอย่างพิศวง เด็กสาวนัยน์ตาดุจเมล็ดซิ่ง คิ้วโค้งเรียว หว่างคิ้วมีไฝแดงหนึ่งเม็ด คือรูปลักษณ์ที่นุ่มนวลดุจสายน้ำและแฝงความสวยคมสะดุดตาอยู่เสี้ยวหนึ่ง
จู่ถีน้อยกระแอมหนึ่งทีกลบเกลื่อน เบนสายตาหนี แสร้งทำเป็นว่าความจริงแล้วนางกำลังมองดูไท่จื่อบนเตียงแก้วผลึกอยู่ตลอด
ไท่จื่อหนุ่มน้อยนอนหนุนอยู่บนหมอนเนื้อนุ่มหุ้มผ้าต่วนปักลวดลาย กำลังหลับตาอย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับหลับสนิท กวาดตาดูแล้วสีหน้าไม่ค่อยดีนัก แต่ต่อให้สีหน้าไม่ดี คิ้วตาที่หล่อเหลาสะดุดตานั้นก็ยังคงสะดุดตาหล่อเหลาอยู่ดังเดิม
ดวงตาของจู่ถีน้อยเป็นประกายวาบ เผลอเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว เจ้าหญิงจู๋อวี่สังเกตเห็นสีหน้าของจู่ถีน้อย ขมวดคิ้วนิดๆ ขยับไปสองก้าว บังใบหน้าของไท่จื่อหนุ่มน้อยไว้
จู่ถีน้อยตะลึงงงไปวูบหนึ่ง แต่นางไม่ได้กระไร ชื่นชมไท่จื่อไม่ได้ อย่างนั้นชื่นชมดอกเหมินตงที่งดงามซึ่งบังไท่จื่อไว้ต้นนี้ต่อก็ใช่ว่าจะไม่ได้ กระหม่อมกลับถูกพัดเคาะใส่ไปหนึ่งที
“ยืนเหม่ออยู่ตรงนี้ทำอะไร?”
จู่ถีน้อยกุมศีรษะอุบอิบเบาๆ
“เจ็บนิดๆ นะ”
ฝ่าบาทสามคลึงกระหม่อมนางเบาๆ ปากเอ่ยสั่งจู๋อวี่กับเหล่าสาวใช้ที่หน้าเตียงเสียงเรียบเฉย
“พวกเจ้าออกไปก่อนเถิด”
จู๋อวี่ได้ฟังคำสั่งนี้ ไม่กล้าขัดขืน พูดว่า “รับทราบเพคะ” เสียงอ่อนอ่อย แต่เห็นได้ชัดว่าไม่อาจตัดใจจากไป โน้มกายไปจัดผ้าห่มให้ไท่จื่อ แล้วเก็บมือข้างหนึ่งที่ยื่นออกมานอกผ้าห่มของไท่จื่อเข้าไปวางในผ้าห่ม ค่อยพาสาวใช้ล่าถอยออกไปอย่างเดินก้าวเดียวเหลียวหลังสามรอบ แต่ก็แค่ถอยไปถึงฉากบังลมด้านนอกม่านเตียงเท่านั้น ยืนใกล้กว่าถายเหยี่ยจวินและผู้เฒ่าคงซานเล็กน้อยเสียด้วยซ้ำ
ฝ่าบาทสามไม่ถือสาหาความนาง รอจนด้านหน้าเตียงว่างลง เขาได้เข้าไปแตะดูชีพจรของเยี่ยหัวจวิน จู่ถีน้อยก็ทำทีเข้าไปร่วมด้วย ก่อนอื่นได้จ้องหน้าไท่จื่อให้สมอยาก จากนั้นยื่นสองนิ้วออกไปแตะที่หว่างคิ้วของไท่จื่อ นางหดมือกลับอย่างรวดเร็ว ฉวยจังหวะที่ฝ่าบาทสามโน้มตัวลงตรวจดูบาดแผลตรงอกของไท่จื่อ เอามือป้องปากเขย่งเท้าขยับไปจ่อที่ริมหูเขา กระซิบเสียงเบามากว่า
“พลังจิตของไท่จื่อน้อยแข็งแกร่งมากและเสถียรมาก ข้ารู้สึกว่าเขาไม่มีทางเป็นอะไรแน่ เพราะคนที่ใกล้ตายไม่มีทางมีพลังจิตแบบนี้ได้” แล้วกุมมือฝ่าบาทสามอย่างปลอบใจ ทำสีหน้า “เชื่อข้าสิ”
“เหลียนซานเกอเกอไม่ต้องกังวลนะ”
สายตาของฝ่าบาทสามเลื่อนจากมือของนางที่กุมมือเขาอยู่ย้ายไปยังใบหน้าของนาง
“เมื่อกี้นี้เจ้าใช้พลังฤทธิ์รึ?”
นางแอบมองเขา
“เอ้อ ท่านบอกเองไม่ใช่หรือว่าไม่ใช้วิชาแรงฤทธิ์ก็พอแล้ว? ข้าไม่ได้ใช้วิชาแรงฤทธิ์นะ”
ฝ่าบาทสามพยักหน้า
“งั้นก็ดีแล้ว”
จู่ถีน้อยมองหน้าเขา แล้วก็มองหน้าเขา
“งั้น-งั้นท่านไม่ชมข้าหน่อยเหรอ?”
ฝ่าบาทสามอยากรู้
“เหตุใดต้องชมเจ้าด้วย?” แล้วถามนางอีกว่า “ชมเจ้าว่าอะไร?”
นางเม้มปาก “เพราะว่าข้าเก่งน่ะสิ แค่ตรวจดูนิดเดียวก็รู้แล้วว่าไท่จื่อน้อยไม่ได้เป็นอะไรมาก แล้วข้ายังรู้ความอีกด้วย ปลอบใจท่านว่าไม่ต้องเป็นห่วงเขา”
“อ้อ” เห็นนางทำท่าจริงจังปานนี้ ฝ่าบาทสามอดยิ้มไม่ได้ “เจ้าเก่งมาก และรู้ความมากด้วย” ชมนางอย่างไม่ได้สนใจนักพลางนั่งลงที่ข้างเตียง
จู่ถีน้อยดูไม่ออกแม้แต่น้อยว่าฝ่าบาทสามไม่ได้สนใจ ได้ฟังคำชมที่ตัวเองคาดหวังอย่างเต็มเปี่ยม ก็พอใจทันที หาเก้าอี้ไม่มีพนักพิงให้ตัวเองหนึ่งตัวด้วย นั่งอิงอยู่ข้างต้นขาของฝ่าบาทสาม
ถายเหยี่ยจวินแอบมองจู่ถีน้อยผ่านม่านไข่มุกอยู่หลายครั้ง ฝ่าบาทสามไม่ได้แนะนำกับพวกเขาว่าคุณชายน้อยที่รูปงามเสียจนแยกเพศบุรุษสตรีไม่ออกผู้นี้คือใคร ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่แน่ใจนักเช่นกัน รอบด้านของเตียงหินผลึกร่ายมนตร์เก็บเสียงไว้ ถายเหยี่ยจวินมองเห็นว่าคนทั้งสองกำลังสนทนากัน แต่ไม่ทราบว่าเขาสองคนคุยเรื่องใดกัน ทว่าสามารถมองเห็นได้รำไรผ่านม่านไข่มุกว่าฝ่าบาทสามสนิทสนมและใจดีกับเด็กคนนั้นมาก บางที...คุณชายน้อยผู้นี้ อาจจะเป็นน้องชายเรียงพี่เรียงน้องของฝ่าบาทสามอะไรทำนองนั้น?
จู่ถีน้อยหาทราบไม่ว่าถายเหยี่ยจวินกำลังมองสำรวจนางอยู่ ยามนี้นางนั่งพิงอยู่ข้างต้นขาของฝ่าบาทสาม รู้สึกว่านั่งอยู่แบบนี้ดูเหมือนออกจะน่าเบื่อนิดๆ เช่นกัน จึงวางคางลงบนต้นขาของฝ่าบาทสาม เพราะว่ามุมมองนี้ทำให้นางสามารถแอบมองเห็นดอกเหมินตงสีเขียวอ่อนที่นอกม่านไข่มุกดอกนั้นได้
แต่นางกลับไม่ทราบว่ากริยาที่นางฟุบอยู่บนต้นขาของเหลียนซ่งนี้ดูสะดุดตามากเพียงใด เหล่าผู้คนที่นอกม่านเห็นดังนี้ ต่างมีสีหน้าตกใจระคนประหลาดใจกันถ้วนหน้า มีเพียงอินหลินที่ยังถือว่านิ่งได้ แต่สายตาทอแววยากจะอ่านออกอยู่บ้างเช่นกัน ทว่าจู่ถีน้อยไม่ได้สังเกตเห็นโดยสิ้นเชิง เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาชื่นชมดอกเหมินตงที่ยืนอยู่ข้างฉากบังลม
ฝ่าบาทสามสังเกตเห็นสีหน้าประหลาดใจของทุกคนแล้ว แต่เขาก็ไม่ค่อยจะใส่ใจนัก ราวกับว่าแมวตัวหนึ่งฟุบอยู่บนต้นขากระนั้น สีหน้าของเขาสบายๆ ทั้งยังเรียบสนิท ออกคำสั่งต่อผู้เฒ่าคงซานเอื่อยๆ ว่า
“อาการของเยี่ยหัวในตอนนี้ เจ้าลองพูดมาเถิด”
ผู้เฒ่าคงซานในชุดนักเดินทางตลอดร่างรีบสืบเท้าเข้ามาน้อมถวายบังคม
ผู้เฒ่าคงซานหันหน้าหาฝ่าบาทสาม รายงานอยู่หนึ่งเค่อ[4]เต็มๆ รายงานอาการขององค์ไท่จื่ออย่างละเอียดยิบ
ใจความหลักคือ ตอนแรกสุดไท่จื่อน่าจะบาดเจ็บสาหัสมาก แต่โชคดีที่พระขนิษฐาช่วยชีวิตเขาไว้ได้ทันกาล ทั้งยังให้เขากินยาวิเศษที่ตรงกับอาการหลายชนิด ทำให้เขาสามารถผ่านช่วงที่อันตรายที่สุดมาได้อย่างมีเสถียรภาพ และหลังจากนั้นเผ่าวิหคครามยังเฝ้าดูแลไท่จื่ออย่างดี ดังนั้นอาการของไท่จื่อในยามนี้ยังไม่เลวอยู่ ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดถึงไม่ยอมฟื้นสักที เป็นเพราะว่าร่างกายมังกรกำลังใช้วิธีนอนหลับมารักษาฟื้นฟูตัวเอง
กระนั้นร่างกายมังกรรักษาฟื้นฟูตัวเอง เป็นขั้นตอนที่เชื่องช้าอย่างมาก อย่างน้อยสามถึงห้าเดือน อย่างมากสามถึงห้าปี แน่นอนว่าไม่อาจให้องค์ไท่จื่อนอนหลับสามถึงห้าปีได้ ด้วยเหตุนี้ในยามนี้ เขาจึงตัดสินใจจะใช้ยากับไท่จื่ออีกครั้ง เพื่อหยุดการรักษาฟื้นฟูตัวเองของไท่จื่อลงกลางคัน ใช้กำลังจากภายนอกหล่อเลี้ยงร่างวิญญาณของไท่จื่อ เช่นนี้ คาดว่าองค์ไท่จื่อน่าจะสามารถฟื้นขึ้นมาได้ในเวลาอันสั้น จากนั้นค่อยให้พักฟื้นอยู่ที่นี่สักระยะ ก็น่าจะไม่มีปัญหาแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าต้องพักฟื้นนานเท่าไร ยังต้องรอให้องค์ไท่จื่อฟื้นขึ้นมาแล้วค่อยทำการตัดสินใจ
เนื่องจากฝ่าบาทสามพอจะคาดคะเนได้อยู่ในใจ ฟังผู้เฒ่าคงซานรายงานจบ สีหน้าจึงไม่ปรากฏแววตกใจใดๆ เผ่าวิหคครามเสียอีกที่พากันดีอกดีใจ ในจำนวนนี้ผู้ที่ตื่นเต้นดีใจมากที่สุดก็คือพระขนิษฐาจู๋อวี่
เจ้าหญิงจู๋อวี่ตาแดงก่ำทันที หากไม่ใช่เพราะฝ่าบาทสามนั่งอยู่ข้างเตียงไท่จื่อ ก็จะโถมไปที่ข้างกายของไท่จื่อแล้ว
“ขอบคุณฟ้าดินที่ฝ่าบาททรงไม่เป็นอะไร ฝ่าบาททรงไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว...” ระหว่างที่กล่าวคำพูดนี้ ตัวได้อ่อนยวบ กลับเป็นลมล้มลงใส่อ้อมแขนของหญิงรับใช้
สถานการณ์วุ่นวายในทันใด ถายเหยี่ยจวินสั่งให้สาวใช้ประคองพระขนิษฐาไปพักผ่อนพลางอธิบายกับฝ่าบาทสามอย่างเหงื่อแตกพลั่ก
“เม่ยเมยคอยรับใช้ที่หน้าพระแท่นบรรทมขององค์ไท่จื่อมานานมากน่ะพ่ะย่ะค่ะ นางนอนไม่ค่อยหลับมาหลายวัน คิดว่าพอได้ยินว่าองค์ไท่จื่อทรงไม่เป็นอะไรมาก จิตใจที่เครียดเขม็งได้ผ่อนคลายลงในที่สุด จนทำให้เป็นลมไป ขอฝ่าบาทโปรดอย่าได้ตำหนิเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ฝ่าบาทสามย่อมจะไม่อาจตำหนิได้
จวบจนหน้าเตียงของไท่จื่อกลับคืนสู่ความสงบ ฝ่าบาทสามอ่านประวัติการรักษาอาการของไท่จื่อที่เผ่าวิหคครามจดบันทึกไว้ในหลายวันนี้อีกครู่หนึ่ง เมื่อถึงยามซวี[5] ถายเหยี่ยจวินจึงค่อยเป็นผู้นำทางไปยังตำหนักบรรทมที่เผ่าวิหคครามจัดเตรียมไว้ให้พวกเขาทั้งขบวน
ถายเหยี่ยจวินรับรองแขกอย่างกระตือรือร้น ส่งสาวใช้โฉมงามหลายนางมาปรนนิบัติรับใช้ แต่ฝ่าบาทสามจู้จี้ เวลามีเทียนปู้ติดตามมาด้วย จะอนุญาตเฉพาะเทียนปู้ให้คอยรับใช้ข้างกายเขาได้เสมอมา
ตอนที่เทียนปู้ปูเตียง ฝ่าบาทสามได้สั่งนางสองประโยค ให้นางจุดกำยานหลับสบายที่ช่วยผ่อนคลายประสาทในอีกสักครู่ บอกว่าจู่ถีน้อยแปลกที่ อาจจะนอนไม่ค่อยหลับ เมื่อคืนนี้จู่ถีน้อยก็นอนไม่ค่อยจะหลับนัก เทียนปู้รับบัญชา
เวลานี้เทพจู่ถีน้อยกำลังอาบน้ำอยู่ในห้องอาบน้ำ อินหลินช่วยดูแลนางอยู่นอกประตู เทียนปู้จุดกำยาน มาถึงห้องชั้นนอก ทำท่าจะพูดแล้วกลับไม่พูด ฝ่าบาทสามที่นั่งเขียนจดหมายอยู่หน้าโต๊ะอ่านหนังสือเงยหน้าขึ้นมองนางแวบหนึ่ง
“อยากจะคุยเรื่องเผ่าวิหคคราม?”
เทียนปู้อยากจะคุยเรื่องเผ่าวิหคครามกับฝ่าบาทสามสักหน่อยจริงๆ ได้ฟังคำก็แสดงสีหน้าเป็นกังวล
“หนูปี้รู้สึกว่า เผ่าวิหคครามเล่นไม่ซื่อเกินไปแล้วเพคะ”
ฝ่าบาทสามแย้มยิ้ม “อ้อ?”
เทียนปู้ดูออกว่าเขาหมายถึงให้นางพูดต่อไป เข้าไปใกล้รินน้ำชาให้เขาหนึ่งจอก ขบคิดแล้วกล่าวว่า
“หากเป็นไปตามที่ถายเหยี่ยจวินนั่นพูด พวกเขาเคารพนับถือเผ่าสวรรค์เราจริงๆ โดยไม่มีใจเป็นอื่น เช่นนั้นตอนที่ได้พบฝ่าบาท ก็ควรจะกล่าวขอขมาเรื่องแอบซ่อนตัวองค์ไท่จื่อไว้สิเพคะ แต่พวกเขากลับเอาแต่แสดงท่าว่าเป็นผู้มีพระคุณของเผ่าสวรรค์เรา ทั้งยังเชิญตัวผู้เฒ่าคงซานมา บอกเป็นนัยๆ ว่าต้องให้องค์ไท่จื่อพักฟื้นอยู่ที่นี่ถึงจะดี พระขนิษฐานั่นก็แสดงท่าทีหลงรักองค์ไท่จื่อ ถายเหยี่ยจวินที่เป็นผู้มีอำนาจสั่งการก็ไม่ยอมห้ามปราม คำพูดคำจายังส่อเจตนาอยากจะส่งเสริมให้ได้ลงเอยกันอีกด้วย” เทียนปู้หยุดเล็กน้อย “ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทเคยตรัสเช่นกันว่า เผ่าวิหคครามไม่แน่ว่าคิดจะใช้บุญคุณแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ดูจากการกระทำเหล่านี้ของพวกเขาแล้ว หนูปี้กังวลใจอย่างยิ่งเพคะ”
นางขมวดคิ้วมุ่นกล่าวว่า
“หากมิใช่เพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ อย่าบอกนะว่าพวกเขาคิดจะ...แลกเปลี่ยนการอภิเษกสมรสขององค์ไท่จื่อ?”
ฝ่าบาทสามมิได้หยุดพู่กัน ถ้อยคำที่ตอบเทียนปู้เป็นได้ทั้งสองแบบ
“มีความเป็นไปได้นี้ แต่ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเช่นนี้”
เทียนปู้กลับรู้สึกว่าน่าจะเป็นเช่นนี้เสียกว่าครึ่งเสียแล้ว อดแค่นยิ้มเย็นชาไม่ได้
“มีความมักใหญ่ใฝ่สูงถึงขั้นนี้ อย่างนั้นก็เอ่ยปากขอร้องฝ่าบาทเสียสิ พวกเขากลับทนใจเย็นไหวเสียด้วย หรือยังคิดจะรอให้พวกเราเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อนไม่ทราบ?”
ฝ่าบาทสามเขียนกระดาษเสร็จไปหนึ่งแผ่น หยิบอีกแผ่นมาปูกาง “หุบเขาสู่ตะวันทิวทัศน์งดงามตระการตา ในเมื่อพวกเขาเชิญเรามาพักอยู่ระยะสั้นอย่างจริงใจ อย่างนั้นอยู่กันสักพัก ผ่อนคลายจิตใจที่นี่สักหน่อยก็ไม่เลว”
กล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า
“จะได้รอดูด้วยว่า พวกเขาทนใจเย็นไหวจริงหรือไม่”
เทียนปู้นิ่งใคร่ครวญเล็กน้อย
“ก็ใช่อยู่เพคะ ถึงอย่างไรฝ่าบาทก็มิได้มีกิจธุระใด พวกเราย่อมจะไม่รีบร้อนอยู่แล้ว เรื่องแบบนี้ ใครเอ่ยปากก่อนคนนั้นย่อมจะตกเป็นรอง” กล่าวถึงตรงนี้ นางพลันนึกประเด็นหนึ่งขึ้นมาได้
“แต่ว่าเทพจู่ถี...ไม่ใช่ว่ายังกำลังรอให้ตี้จวินท่านผู้เฒ่าออกจากด่านหรือเพคะ? ถ้าเกิดว่า...”
ถ้อยคำนี้ของนางแม้จะกล่าวเพียงครึ่งเดียว ฝ่าบาทสามกลับฟังเจตนาของนางออกแล้ว
“วางใจเถิด พวกเขาถ่วงไม่ได้นานปานนั้น เจวี้ยนเอ่อร์ไม่ได้มีนิสัยทนใจเย็นได้ขนาดนั้น”
เทียนปู้ตกตะลึง “เจวี้ยนเอ่อร์?”
ชื่อนี้ไม่มีใครเอ่ยถึงมาหลายปีมากแล้ว แวบแรกที่ได้ยิน เทียนปู้อดงุนงงไปชั่ววูบไม่ได้
“ฝ่าบาททรงหมายถึงเจวี้ยนเอ่อร์คนนั้นหรือเพคะ? แต่ว่านี่...นี่เกี่ยวอะไรกับเจวี้ยนเอ่อร์อีกหรือเพคะ?”
พู่กันขนสุนัขป่าจุ่มหมึก ฝ่าบาทสามก้มหน้า ลากพู่กันปราดๆ ดุจเหินบินบนกระดาษจดหมาย
“ข้าไม่เคยบอกเจ้ารึ ที่ตอนนั้นเจวี้ยนเอ่อร์จากไป คือกลับเผ่าวิหคคราม กษัตริย์คนก่อนของเผ่าวิหคครามได้ตั้งชื่อใหม่ให้กับนาง ชื่อว่า ‘หมีเสีย’”
รูม่านตาเทียนปู้หดวูบทันควัน พึมพำเบาๆ
“หมีเสีย กษัตรีย์ของเผ่าวิหคคราม”
นางไม่อยากจะเชื่อ
“ฝ่าบาททรงหมายความว่า เจวี้ยนเอ่อร์ในตอนนั้น คือกษัตรีย์หมีเสียของเผ่าวิหคครามในตอนนี้หรือเพคะ?”
ฝ่าบาทสามทำเสียง “อืม” สายตาจดจ่ออยู่ที่กระดาษจดหมาย ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก เทียนปู้ก็ไม่ได้ถามต่อเช่นกัน ภายในใจกลับปั่นป่วนดุจทะเลกลางมรสุมอย่างห้ามไม่อยู่
<>::<>::<>
[1] หยกปี้สี่ คือ พลอยทัวร์มาลีน (Tourmaline)
[2] จู๋อฺวี่ (竹语) อ่านว่า จู๋ อฺวี่ แปลว่า ภาษาไผ่
[3] ดอกเหมินตง คือดอกเฉียงเวย หรือกุหลาบเถา (Rosa multiflora)
[4] 1 เค่อ คือเวลาประมาณ 15 นาที
[5] ยามซฺวี คือเวลา 19:00 - 21:00 น.