หัวข้อ : บทที่เจ็ด (1)

โพสต์เมื่อ 5 พ.ย. 2568, 08:44

บทที่เจ็ด (1)

 

สองวันให้หลัง ไท่จื่อเยี่ยหัวได้ฟื้นขึ้นมา รู้สึกแปลกใจกับการที่ตัวเองอยู่ในเผ่าวิหคคราม

ในตำหนักฝูปอ ข้างเตียงแก้วผลึกที่เยี่ยหัวนอนได้เพิ่มเก้าอี้หยกมาหนึ่งตัว ฝ่าบาทสามนั่งอยู่บนนั้น ฟังเหตุการณ์ที่เยี่ยหัวจวินไปปราบเหรา ณ เขาคงซางเมื่อวันนั้นตั้งแต่ต้นจนจบย้อนหลังจากเยี่ยหัวจวินที่ดื่มยาหมดแล้ว

องค์ไท่จื่อย้อนนึกดู วันนั้น หลังจากที่เขารับราชโองการลงไปยังโลกเบื้องล่างแล้ว ได้หาเหราร้ายตัวนั้นพบที่เขาหลุนซานของแดนอุดร เขากับเหราตัวนั้นสู้กันอยู่เก้าวันเก้าคืน ต่างฝ่ายต่างหมดสิ้นเรี่ยวแรงแล้ว ก็ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ เนื่องจากคิดว่าเสียเวลาต่อไปจะไม่เข้าทีนัก เขาจึงจงใจใช้แผนเสี่ยงอันตราย เสี่ยงต่อการถูกเขาเหราแทงบาดเจ็บสาหัส เผชิญหน้ากับศัตรูตรงๆ ฟันหัวของมันลงมา เหราร้ายถูกสังหาร หัวใจกับปอดของเขาก็ถูกเขาเหราแทงทะลุเช่นกัน ไม่มีแรงจะขี่เมฆ ร่วงตกลงมาจากกลางอากาศ หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น เขาก็ไม่รู้อีกเลย

คำกล่าวเหล่านี้ฟังเผินๆ มิได้มีปัญหาใด แต่ฝ่าบาทสามรู้จักเยี่ยหัวจวินดีมาก ได้ฟังเขากล่าวทวนเหตุการณ์ดังนี้ กลับถามขึ้นว่า

“เอาชีวิตของตัวเองไปดำเนินแผนเสี่ยงอันตราย? นี่หาใช่นิสัยของเจ้า”

ฝ่าบาทสามเอนพิงอยู่ในเก้าอี้หยกอย่างเกียจคร้าน นิ้วมือแตะด้ามพัดในมือเบาๆ

“คำพูดเหล่านี้ใช้หลอกตบตาฟู่จวินของข้า เสด็จปู่ของเจ้า หรือฟู่จวินของเจ้า พี่ใหญ่ของข้ายังพอไหว แต่หลอกตบตาข้า อาสามของเจ้านั้น ยังขาดอีกนิดถึงจะเข้าขั้นพอ”

เยี่ยหัวนิ่งเงียบไป หลังจากนิ่งเงียบอยู่ชั่วอึดใจ เขาเอ่ยปากว่า

“หลานมีคำถามหนึ่ง อยากจะถามท่านอาสาม”

ฝ่าบาทสามยังคงพิงเก้าอี้อย่างเกียจคร้านเช่นเดิม ยิ้มละไม

“ถามมาสิ”

เยี่ยหัวเงยหน้าขึ้นมองเขา สีหน้าสงบนิ่ง แต่น้ำเสียงกลับสั่นไหวนิดๆ

“พวกท่านรู้อยู่ก่อนแล้วใช่หรือไม่ว่า ความจริงแล้วป๋ายเฉี่ยนซ่างเซียนไม่ได้มีใจให้ข้า ไม่ได้ยินดีแต่งงานกับข้า และคิดหาโอกาสถอนหมั้นกับเผ่าสวรรค์มาโดยตลอด?”

ฝ่าบาทสามตกตะลึง เขาไหวพริบดีปานใด เชื่อมโยงก่อนหลังเข้าด้วยกันปุบ พลันเข้าใจทันทีว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

“เหรานั่นพูดว่าอย่างนี้หรือ?” เห็นเยี่ยหัวไม่ตอบ ก็เข้าใจว่าคงเป็นเช่นนี้เสียแปดเก้าในสิบส่วน

ฝ่าบาทสามเปลี่ยนมานั่งตัวตรง มุ่นคิ้วบางๆ

“ดังนั้น เหราตัวนั้นกล่าวคำพูดนี้ยั่วยุเจ้าในระหว่างที่สู้กันสินะ?”

เป็นเช่นนี้จริงๆ

ไท่จื่อหนุ่มน้อยสู้กับเหราตัวนั้นตลอดทางจากแดนอุดรถึงแดนอีสาน ตอนวันที่เก้าได้สู้กันไปถึงภูเขาคงซางของแดนบูรพา เหราร้ายเหน็ดเหนื่อยอ่อนแรงอย่างมาก แต่เยี่ยหัวจวินยังดีอยู่

ในตอนที่ต่อสู้กันวันแรก เยี่ยหัวจวินก็จับทางได้แล้วว่าพลังกายคือจุดอ่อนของเหราร้ายตัวนี้ ด้วยเหตุนี้จึงจงใจเลือกกลยุทธ์ถ่วงเวลา ใช้การรับแทนการรุก กะถ่วงเวลารอจนมันหมดเรี่ยวแรง เพื่อหาจังหวะเหมาะสังหารมันในการโจมตีครั้งเดียว

เหราร้ายตัวนั้นก็ฉลาดเช่นกัน ครั้นเห็นว่าถ่วงเวลาต่อไป สถานการณ์ต่อสู้จะไม่เป็นผลดีต่อตัวมัน หลังจากใช้สายฟ้าโจมตีเยี่ยหัวไม่ได้ผลแล้ว จงใจเอ่ยปากแดกดัน

“เป็นถึงไท่จื่อของเผ่าสวรรค์ทั้งที กลับทำเป็นแค่ซุกหัวหลบหนี มิน่าเล่าป๋ายเฉี่ยนซ่างเซียนถึงได้ไม่ต้องตาเจ้า แน่จริงก็ใช้ท่าใหญ่ใส่เปิ่นจั้วเซ่!” เหราร้ายกล่าวถ้อยคำนี้ด้วยต้องการก่อกวนจิตใจเยี่ยหัวให้ปั่นป่วน ทำลายการป้องกันของเขา ฉวยโอกาสพลิกสถานการณ์ที่เสียเปรียบ

เดิมทีเยี่ยหัวไม่ควรจะหลงกลนี้ของมัน แต่คำพูดยั่วยุนี้ของเหราร้ายเลือกได้ดียิ่ง เยี่ยหัวหน้าเปลี่ยนสีในบัดดล

เหราร้ายรู้ทันทีว่าแผนการนี้สำเร็จแล้ว ยิ่งเหิมเกริมหนักขึ้นด้วยความดีใจ

“อ้อ เจ้ายังไม่รู้งั้นหรือ? แต่ที่แดนบูรพา ผู้คนไม่ใช่น้อยต่างรู้กันทั้งนั้น ว่ากูกูของพวกเขาไม่ต้องตาตัวเจ้าไท่จื่อหนุ่มน้อยผู้นี้ คิดอยากจะถอนหมั้นกับเผ่าสวรรค์ของพวกเจ้ามาโดยตลอดน่ะ ฮ่าๆๆๆ”

เซียนของแดนบูรพา ต่างเรียกป๋ายเฉี่ยนซ่างเซียนกษัตรีย์ของพวกเขาว่า “กูกู”

ถึงแม้เยี่ยหัวจะไม่สนใจเหราร้าย ยังคงมีสมาธิกับการต่อสู้ แต่จิตใจได้ปั่นป่วนไปแล้วจริงแท้ กระนั้นไท่จื่อหนุ่มน้อยเกิดมามีอุปนิสัยสุขุมหนักแน่น คำว่า “สุขุมหนักแน่น” ได้สลักลงไปในสัญชาตญาณของเขา รู้ตัวดีว่าภายใต้สภาวะจิตใจที่ปั่นป่วน จะถูกเหราร้ายฉวยโอกาสเล่นงานช่องโหว่เอาได้ อันตรายอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้จึงตัดสินใจทุบหม้อจมเรือ ดำเนินแผนเสี่ยงอันตราย ใช้ท่าไม้ตายปลิดชีวิตใส่เหราร้ายก่อนกำหนด

ด้วยเหตุนี้ จึงได้เกิดผลลัพธ์สุดท้าย เหรายักษ์ถูกสังหาร ส่วนตัวเขาเองก็ถูกทำร้ายบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน

นี่แหละคือโฉมหน้าที่แท้จริงของเหตุการณ์ “เยี่ยหัวหนุ่มน้อยสังหารเหรา” ในวันนั้น

 

โฉมหน้าที่แท้จริงนี้ ฝ่าบาทสามทายถูกแล้ว แต่ไท่จื่อหนุ่มน้อยกลับไม่อยากพูดมากไปกว่านี้ ด้วยเหตุนี้จึงมิได้ตอบคำถามของฝ่าบาทสาม เพียงกล่าวว่า

“ดูท่าทางท่านอาสามจะรู้อยู่ก่อนแล้วจริงๆ ว่าซ่างเซียนไม่ได้มีใจให้ข้า” สีหน้าไท่จื่อหนุ่มน้อยพิศวงสงสัย “ในเมื่อท่านอาสามรู้อยู่ก่อนแล้วว่าซ่างเซียนไม่ได้มีใจให้ข้า เหตุใดไม่สะกิดบอกข้าแต่เนิ่นๆ  กลับยังคงปล่อยให้ข้าไปใกล้ชิดสนิทสนมกับชิงชิวและตระกูลป๋ายอีกเล่า?”

ฝ่าบาทสามได้ฟังคำถามนี้ คิ้วตากระตุกนิดๆ  พัดจีบดำหมุนไปมาอยู่ในมือเขาสองรอบ เขานิ่งใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยเอ่ยปากว่า

“เหตุผลความเป็นมาที่ตอนนั้นเผ่าสวรรค์ขอหมั้นหมายกับป๋ายเฉี่ยน เจ้าน่าจะรู้ดี เทียนจวินไม่ได้หมั้นหมายป๋ายเฉี่ยนเพื่อเจ้า แต่หมั้นหมายป๋ายเฉี่ยนเพื่อผลประโยชน์ของทั้งเผ่า”

เยี่ยหัวพยักหน้า ประเด็นนี้เขาย่อมจะทราบดี

สามหมื่นปีก่อน ซางจี๋ท่านอารองของเขาได้ทำลายการหมั้นหมายกับป๋ายเฉี่ยนซ่างเซียนเพื่องูปาเสอน้อยตัวหนึ่ง หยามน้ำหน้าชิงชิวอย่างรุนแรง เพื่อสมานรอยร้าวในความสัมพันธ์กับชิงชิว หลังจากลดตำแหน่งท่านอารองของเขาไปอยู่ยังทะเลอุดรแล้ว เทียนจวินได้ประกาศราชโองการสวรรค์ กำหนดให้ป๋ายเฉี่ยนซ่างเซียนเป็นไท่จื่อเฟยของเผ่าสวรรค์

เพลานั้นเขายังไม่ถือกำเนิด ในเผ่าสวรรค์ยังไม่มีไท่จื่อ

ยังไม่มีไท่จื่อ กลับกำหนด ไท่จื่อเฟ ยเอาไว้เรียบร้อยแล้ว การกระทำเช่นนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน เป็นการให้เกียรติแก่ชิงชิวเป็นอย่างมากจริงแท้ ช่วยผ่อนเพลาความกินแหนงในความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าสวรรค์กับชิงชิว

ปีที่สามหลังจากนั้น เขาจึงได้ถือกำเนิด เนื่องจากสวรรค์ได้ประทานนิมิตมงคลในตอนที่เกิด ด้วยเหตุนี้แม้จะมิได้ดำเนินมหาพิธีแต่งตั้ง เขากลับเป็นไท่จื่อแห่งเผ่าสวรรค์ที่ทั่วทั้งแปดดินแดนต่างยอมรับโดยดุษณี ตั้งแต่เทียนจวินลงไปถึงสิ่งมีชีวิตทิพย์ทั้งห้าเผ่าในแปดดินแดน ล้วนแต่เรียกขานเขาว่า “ไท่จื่อ” ทั้งสิ้น

ในเมื่อเป็นไท่จื่อของเผ่าสวรรค์ เนื่องจากราชโองการของเทียนจวินในตอนนั้น เขาจึงถูกกำหนดมั่นว่าจะต้องสมรสกับป๋ายเฉี่ยนแห่งชิงชิว นี่แหละคือสาเหตุที่มาของการหมั้นหมายระหว่างเขากับป๋ายเฉี่ยน

 

พัดจีบดำในมือขวาของฝ่าบาทสามได้หยุดหมุน เขามองดูไท่จื่อหนุ่มน้อย กล่าวหวังดีจากใจจริงอย่างหาได้ยากยิ่ง

“ในเมื่อเจ้าคือไท่จื่อที่สวรรค์ทรงเลือกสรร เช่นนั้นก็จำเป็นต้องรับป๋ายเฉี่ยนเป็นไท่จื่อเฟยของเจ้า นี่คือเรื่องที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ หากไม่มีตัวแปรใด หนทางในวันหน้าหลายแสนปี ป๋ายเฉี่ยนจะเป็นผู้เดินเคียงข้างเจ้าไปตลอดทางทั้งสิ้น ข้า เทียนจวิน หรือแม้แต่พ่อแม่ของเจ้า ไม่อยากให้เจ้ากับป๋ายเฉี่ยนต้องกลายเป็นคู่แค้นต่อกัน นี่แหละคือเหตุผลที่พวกข้าอยากให้เจ้าเป็นฝ่ายเข้าไปใกล้ชิดสนิทสนมกับป๋ายเฉี่ยนและชิงชิว

“ส่วนเรื่องที่ป๋ายเฉี่ยนอยากจะถอนหมั้น เป็นเรื่องที่เพิ่งจะแพร่ออกมาในเกือบร้อยปีนี้เอง นางอายุมากกว่าเจ้ามาก จะคิดมากไปสารพัดเพราะประเด็นเรื่องอายุ เจ้าก็ควรจะเข้าใจ นางคิดมาก อยากจะถอนหมั้น หากเจ้าตัดใจไม่ได้ จงพยายามไปทำให้นางเลิกคิดมากอย่างสุดความสามารถของเจ้าก็ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องท้อแท้ให้มากเกินไปนัก”

ฝ่าบาทสามประคองจอกชาศิลาดลบนโต๊ะขึ้นมา

“แต่ว่า นี่เป็นแค่ความเห็นของข้าในฐานะคนนอกเท่านั้น เรื่องนี้ ที่สำคัญยังต้องดูอยู่ดีว่าเจ้าคิดอย่างไร”

ฝ่าบาทสามดื่มชาเสร็จ วางจอกชาลง เงยหน้าขึ้นมองไท่จื่อหนุ่มน้อย

“ดังนั้น เจ้าคิดอย่างไรรึ?”

คำกล่าวเหล่านี้ของฝ่าบาทสาม ทำให้เยี่ยหัวตกตะลึงนิดๆ

นอกจากตกตะลึงนิดๆ แล้ว ยังรู้สึกงุนงงอีกด้วย

 

ยามอยู่ต่อหน้าเขา ท่านอาสามของเขาผู้นี้ไม่เคยวางมาดว่าเป็นญาติผู้ใหญ่มาแต่ไหนแต่ไร แตกต่างจากฟู่จวินของเขาและท่านอารองที่เขาเคยพบหน้าแค่ไม่กี่ครั้งผู้นั้นเป็นอย่างมาก ถึงแม้ท่านอาสามจะชอบกระเซ้าเย้าแหย่เขา แต่ท่านอาสามไม่เคยเทศนาสั่งสอนเขาเลย ด้วยเหตุนี้เขาจึงสนิทกับท่านอาสามผู้นี้มาแต่ยังเยาว์ นี่ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดมา ที่ท่านอาสามของเขาใช้น้ำเสียงอบรมสั่งสอนแบบญาติผู้ใหญ่ กล่าวคำพูดยาวเหยียดเช่นนี้กับเขา

เยี่ยหัวนิ่งเงียบไปชั่ววูบ ท่านอาสามของเขาถามเขาว่าคิดอย่างไร เขามีความคิดบางอย่างอยู่จริงๆ

“ตั้งแต่ข้าเกิดมา ยังไม่รู้ว่าอะไรคือ ‘การหมั้นหมาย’ อะไรคือ ‘การร่วมชีวิตกันตราบชั่วชีวิต’ ก็ได้รู้ก่อนแล้วว่าคนที่ข้าต้องแต่งงานด้วยในอนาคตคือป๋ายเฉี่ยนซ่างเซียนแห่งชิงชิว” เขากล่าวด้วยเสียงที่แหบนิดๆ

“พวกเขาบอกข้าว่านางคือธิดาคนสุดท้องที่มหาเทพป๋ายจื่อรักใคร่เอ็นดูมากที่สุด คือหญิงงามอันดับหนึ่งของเผ่าเทพ พวกเขาบอกข้าด้วยเช่นกันว่านางถือกำเนิดในยุคบรรพกาล อายุมากกว่าข้ามาก อาจจะรู้สึกว่าข้าเป็นเด็กน้อยก็ได้

“พวกเขายังบอกข้าอีกว่า การเป็นสามีคน นอกบ้านพึงสร้างตัวสร้างผลงาน ในบ้านพึงคุ้มครองบุตรภรรยา”

ฝ่าบาทสามทราบดี  “พวกเขา” ที่ไท่จื่อหนุ่มน้อยเอ่ยมา น่าจะหมายถึงขุนนางบุ๋นสองสามคนในวังของไท่จื่อ

อุปนิสัยของไท่จื่อน้อยเคร่งขรึมเถรตรง แต่ในวังสี่อู๋มีขุนนางบุ๋นเด็กชั้นผู้น้อยอยู่สองคน กลับมีนิสัยร่าเริงมาก ทว่าไท่จื่อไม่ได้ตำหนิติเตียนอะไรพวกเขา หนำซ้ำยังอะลุ้มอล่วยให้เสมอมา

ฝ่าบาทสามไม่ได้แสดงความเห็นใดต่อคำพูดที่เหล่าขุนนางบุ๋นชั้นผู้น้อยกล่าวกับไท่จื่อ เลือกคำถามที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรขึ้นมาถาม

“ดังนั้นเจ้าถึงได้แสร้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่มาตั้งแต่เด็ก?”

ไท่จื่อหนุ่มน้อยนิ่งเงียบไปชั่ววูบ ตอบว่า “ใช่” เขาไม่ได้กล่าวถ้อยคำเกินจำเป็นมากไปกว่านี้ ขมวดคิ้วนิดๆ  ราวกับกำลังเรียบเรียงคำพูดที่จะกล่าวออกจากปากถัดจากนี้

ฝ่าบาทสามไม่ได้เร่งรัดเขา

ผ่านไปครู่หนึ่ง ราวกับคิดเรียบร้อยแล้วว่าจะพูดอย่างไรดี ไท่จื่อหนุ่มน้อยเอ่ยปากพูดต่อ

“สามหมื่นปีมานี้ ไม่อาจบอกได้ว่าที่ข้าบังคับให้ตัวเองทุ่มเทแต่กับการฝึกตน มุ่งมั่นใฝ่ก้าวหน้า ก็เพื่อนาง

“ข้าบำเพ็ญเพียรเป็นซ่างเซียนได้ตอนอายุสองหมื่นปี เป็นเพราะสัญญาพนันกับเทียนจวิน เพราะอยากจะได้พบหน้าเสด็จแม่ข้าอีกครั้ง

“แต่ช่วงเวลาที่แทบจะอดทนต่อไปไม่ไหวบนเส้นทางแห่งการฝึกตนเหล่านั้น นานๆ ครั้งข้าก็จะบอกตัวเองเช่นกันว่า จะต้องอดทนต่อไปให้ได้ เพราะว่าข้ามีไท่จื่อเฟยเช่นนั้น ในด้านอายุและประสบการณ์ชีวิต ข้าด้อยกว่านางอย่างมากอยู่แล้ว เช่นนั้นอย่างน้อยในด้านพลังฝึกปรือ ข้าจะด้อยกว่านางมากเกินไปไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะเป็นคู่ครองของนางได้อย่างไร”

นิ้วมือที่ข้อกระดูกชัดเจนของเด็กหนุ่มขยุ้มผ้าห่มเนื้อบางที่คลุมอยู่บนต้นขาแน่น หลุบตาลงเล็กน้อย

“แต่ข้าไม่รู้ว่า ความจริงแล้วนางไม่ได้อยากจะเป็นคู่ครองของข้า นางอยากจะถอนหมั้นมาโดยตลอด”

พัดจีบดำเคาะใส่บนเท้าแขนของเก้าอี้หยก เสียงเบายิ่ง ฝ่าบาทสามจ้องหน้าไท่จื่อหนุ่มน้อย รู้สึกผิดคาดไม่ใช่น้อย

“ดังนั้น เจ้าได้ชอบป๋ายเฉี่ยนเข้าให้แล้วจริงๆ  และเรื่องที่นางอยากจะถอนหมั้น ทำให้เจ้าเสียใจอย่างมาก?” นิ้วมือเขาเคาะใส่ขอบพัด กล่าวอย่างเหลือเชื่อว่า “แต่จากที่ข้ารู้ เจ้ายังไม่เคยได้พบหน้านางมาก่อน”

ไท่จื่อหนุ่มน้อยในชุดดำล้วน ใบหน้าซีดขาวเช่นผู้ป่วยกล่าวทวนคำนั้นหนึ่งรอบ “ชอบ?”

เขายิ้มออกมา ยิ้มนั้นจางมาก ไปไม่ถึงดวงตา ดูแล้วเป็นการยิ้มหยันตัวเอง

“ความจริงแล้วข้าไม่ได้รู้ว่า ชอบ คืออะไร เป็นเช่นที่ท่านอาสามกล่าว ข้ายังไม่เคยได้พบหน้านางเลยสักครั้งเสียด้วยซ้ำ ข้าเพียงแค่รู้ว่ามีคนเช่นนี้อยู่หนึ่งคน ในวันหน้านางจะต้องแต่งงานกับข้า ร่วมปกครองแปดดินแดนกับข้า เช่นนี้เท่านั้น”

เขาหยุดไปครู่หนึ่ง ริมฝีปากเม้มเบาๆ

“บางทีข้าอาจจะแค่เคยชินกับการรับรู้เช่นนี้เสียแล้ว ด้วยเหตุนี้ถึงได้รู้สึกว่าการสนิทสนมกับชิงชิว การเข้าใกล้ซ่างเซียน เป็นเรื่องที่ควรจะเป็น เหมือนเช่นที่เคยชินกับสถานะไท่จื่อ เคยชินกับการฝึกตน ใฝ่ก้าวหน้า เป็นรัชทายาทที่ผ่านเกณฑ์ตามความคาดหวังของเทียนจวิน ข้าจะรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ควรจะเป็น เพียงแต่ไม่นึกเลยว่าป๋ายเฉี่ยนซ่างเซียนหาได้มองว่าการแต่งงานกับข้าเป็นเรื่องที่ควรจะเป็น”

กล่าวถ้อยคำเหล่านี้จบ เขานิ่งเงียบไปนานมาก ฝ่าบาทสามปล่อยให้เขานิ่งเงียบ ไม่ได้เอ่ยอะไร

เนิ่นนานให้หลัง ไท่จื่อหนุ่มน้อยเอ่ยปากอีกครั้ง

“ส่วนที่ท่านอาสามพูดว่า...เรื่องที่ป๋ายเฉี่ยนซ่างเซียนคิดมาก” เขาเบนสายตาไปที่นอกหน้าต่าง จับอยู่ที่ต้นหลิวนอกหน้าต่างต้นหนึ่ง “บางทีซ่างเซียนอาจจะคิดมาก แต่บางทียิ่งกว่านั้น นางอาจจะไม่ได้คิดมากเลย นางก็แค่เกลียดข้าเฉยๆ  ดังนั้นถึงได้อยากจะถอนหมั้นกับข้า” เขานวดหน้าผาก “เรื่องพวกนี้ข้าไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ว่า ในเมื่อซ่างเซียนอยากจะถอนหมั้น ข้ายินดีทำตามความต้องการของซ่างเซียน นางอยากจะถอนหมั้นกับข้าเมื่อไร ข้าทำให้ได้ทุกเมื่อ นับจากนี้ไป ข้าเองก็จะไม่อวดดี...”

เหมือนจะฉุกคิดถึงอะไรขึ้นมาได้ ไท่จื่อหนุ่มน้อยหยุดพูดทันท่วงที ไม่ได้กล่าวประโยคนี้จนจบ จากนั้นเปลี่ยนคำพูดไปเป็นอีกแบบด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย ดูเหมือนสงบนิ่ง

“นับจากนี้ไป ข้ากับซ่างเซียนไม่มีความเกี่ยวข้องใดต่อกันอีก”

ไท่จื่อกล่าวถ้อยคำเหล่านี้จบ ในห้องพลันเงียบกริบทันที ครู่สั้นๆ ให้หลัง ฝ่าบาทสามพยักหน้า “ดีเหมือนกัน”

ไท่จื่อเหลือบตาขึ้นเล็กน้อย มองหน้าฝ่าบาทสาม ถ้อยคำเมื่อครู่นี้เหมือนได้กินพลังของเขาไปจนหมดสิ้น ใบหน้าเจ็บป่วยของไท่จื่อยิ่งดูขาวเผือด สีหน้าอ่อนเพลีย

“ไม่ใช่ว่าเมื่อครู่นี้ท่านอาสามยังอยากให้ข้าไปทำให้ป๋ายเฉี่ยนซ่างเซียนเลิกคิดมากอยู่เลยหรือ? ข้านึกว่าท่านอาสามจะมองว่าข้าทำตัวเป็นเด็ก ไม่คำนึงถึงสถานการณ์ใหญ่โดยรวมมากพอเสียอีก” เขาหลุบขนตาลง อาจเป็นเพราะอ่อนเพลียเกินไป ไร้เรี่ยวแรงจะควบคุมสีหน้าของตัวเองอย่างแม่นยำอีก บนใบหน้าปรากฏแววท้อแท้จางๆ “เพื่อผลประโยชน์ของเผ่าสวรรค์ เป็นความจริงที่ข้าควรจะไปทำให้ป๋ายเฉี่ยนซ่างเซียนเลิกคิดมาก ช่วงชิงการแต่งงานเกี่ยวดองกับชิงชิวมาถึงจะถูก”

ฝ่าบาทสามหุบพัดกุมไว้ในมือ แย้มยิ้ม

“ข้าไม่ใช่เทียนจวินสักหน่อย จะได้คิดถึงแต่ผลประโยชน์ของเผ่าสวรรค์ทุกวี่วัน” เขาลุกขึ้นยืน “หากว่าชอบ ก็จงไปไล่ตาม ในเมื่อก็ไม่ใช่ว่าชอบ เช่นนั้นก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปเหนี่ยวรั้งกลับคืนมาเช่นกันจริงแท้”

ช่วยปล่อยม่านเตียงลงให้ไท่จื่อหนุ่มน้อยที่อ่อนเพลีย

“เจ้าเหนื่อยแล้ว นอนสักพักก่อนเถอะ”

 

หลังจากไท่จื่อฟื้นแล้ว ก็พักฟื้นอยู่ที่ตำหนักฝูปอโดยมีผู้เฒ่าคงซานคอยรักษาให้มาโดยตลอด พักฟื้นมาได้หกเจ็ดวันแล้ว ระหว่างนี้จู่ถีน้อยเคยติดตามเหลียนซ่งไปเยี่ยมไท่จื่ออยู่สามถึงห้าครั้ง

หากจะให้พูด ถึงแม้จู่ถีน้อยจะไม่เข้าใจเรื่องความรักระหว่างบุรุษสตรี กลับเป็นผู้ที่รอบรู้ในเรื่องทางโลกอยู่เหมือนกัน นางย่อมจะดูออกแล้วว่าเจ้าหญิงจู๋อวี่รักองค์ไท่จื่อ

ไท่จื่อฟื้นคืนสติ นางรู้สึกว่าตามหลักแล้ว เจ้าหญิงจู๋อวี่ควรจะเป็นคนที่ดีใจที่สุด แต่นางได้พบเจ้าหญิงจู๋อวี่ในอุทยานสองสามครั้ง เจ้าหญิงล้วนแต่มีสีหน้าอมทุกข์ทั้งสิ้น

นางสังเกตดูอยู่พักหนึ่ง พบว่าเจ้าหญิงซูบผอมลงทุกวันจริงๆ  ก็รู้สึกแปลกใจมาก ภายหลังจึงค่อยรู้เรื่องจากการสนทนาเรื่อยเปื่อยกันของนางกำนัลในอุทยานว่า ที่เจ้าหญิงเป็นเช่นนี้ เป็นเพราะถึงแม้นางจะเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตขององค์ไท่จื่อ และหลังจากไท่จื่อฟื้นแล้ว ก็สุภาพมีมารยาทกับนางอย่างมากเช่นกัน แต่ท่าทีมักจะเฉยชาอยู่เสมอ เจ้าหญิงรู้สึกว่าไท่จื่อไม่ชอบนาง จึงเสียใจ ปวดตับ เจ็บอก ด้วยเหตุนี้จึงได้ซูบเซียวผ่ายผอม

จู่ถีน้อยคิดมาตลอดว่า เจ้าหญิงจู๋อวี่ที่เป็นดอกเหมินตงสีเขียวอ่อนอันล้ำค่าหายากนั้นงดงามล้ำค่าอย่างมาก ดอกไม้ที่งดงามล้ำค่าเช่นนี้ สองสามวันนี้กลับดูเหี่ยวเฉา กระทั่งใบยังม้วนงอ ขอถามว่าผู้ที่รักถนอมบุปผาเช่นจู่ถีน้อย จะทำเป็นมองไม่เห็นนั่งงอมือดูเรื่องนี้อยู่เฉยๆ ได้อย่างไร?

ในวันฟ้าใสที่สายลมสงบแสงแดดแจ่มจ้าวันหนึ่ง นางจึงเดินเข้าไปในศาลาริมน้ำ นั่งลงที่ข้างกายของเจ้าหญิงจู๋อวี่โดยไม่ได้รับเชิญ

นางงอแขนขึ้นรองแก้มขวา มองหน้าจู๋อวี่อย่างเป็นกันเอง เอ่ยปลอบจู๋อวี่เสียงนุ่มว่า

“อย่าเศร้าใจไปเลยจู๋อวี่เจี่ยเจีย ไท่จื่อเขาไม่ได้เย็นชากับท่านแค่คนเดียวสักหน่อย พักนี้เขาเย็นชามากกับทุกคนนั่นแหละ ข้าได้ยินเหลียนซานเกอเกอบอกว่า เขาเย็นชากับทุกคนไปหมดเพราะตัวเองอารมณ์ไม่ดีน่ะ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเราหรอก”

จู๋อวี่เห็นจู่ถีน้อยเข้ามานั่งด้วย เดิมทียังงุนงงอยู่นิดๆ  ได้ยินจู่ถีน้อยกล่าวถ้อยคำเหล่านี้จบ ในใจกลับรู้สึกสับสนนิดๆ  เดิมทีนั้นนางไม่ชอบจู่ถีน้อย นางยังจำได้อยู่เลยว่าตอนเจอกันครั้งแรก เด็กชายน้อยรูปงามผู้นี้เอาแต่จ้องใบหน้าขององค์ไท่จื่อเขม็ง

จู๋อวี่คือเจ้าหญิงที่เอาแต่เก็บตัวอยู่ในวังหลัง อ่านหนังสือละครมากเข้า จึงค่อนข้างจะมีจินตนาการบรรเจิด ไม่มีทางมองว่าจู่ถีน้อยเป็นเด็กผู้ชาย แล้วจะไม่สามารถกลายมาเป็นศัตรูหัวใจของนางได้ ยามนี้นางเอ่ยถามอย่างลังเลนิดๆ

“หรือว่าองค์ไท่จื่อ...ก็เย็นชากับเจ้ามากเหมือนกัน?”

จู่ถีน้อยยักไหล่ พูดไปตามตรง

“ใช่แล้ว ข้ายังไม่เคยคุยกับเขาเลยด้วยซ้ำ”

ความรู้สึกเป็นมิตรของหนุ่มสาวนั้นเกิดขึ้นได้อย่างแปลกประหลาดเช่นนี้เอง จู๋อวี่เกิดความรู้สึกเป็นมิตรกับจู่ถีน้อยในบัดดล

ในสายตาของจู่ถีน้อย จู๋อวี่ในยามนี้ก็คือดอกเหมินตงที่ทั้งน่ารักและน่าสงสาร นางห้ามใจไม่อยู่ยื่นมือออกไปแตะขอบของตัวดอกอันงดงามนั้น แต่ทว่าในสายตาของจู๋อวี่ ก็คืออยู่ๆ มือของจู่ถีน้อยก็ยื่นมาถึงด้านข้างใบหน้าของนาง ลูบใบหน้าด้านข้างของนางเบาๆ

จู๋อวี่ตะลึงลาน รีบถอยหลังกรูดทันที “จ-เจ้าทำอะไรน่ะ?”

จู่ถีน้อยยิ้มอย่างจริงใจ “เจ้าคือดอกเหมินตงใช่หรือไม่?” นางเอามือรองแก้ม เอ่ยชมจู๋อวี่จากใจจริง “เจ้าน่ะสวยมากเลย เพราะว่าสวยมากๆ เลย ข้าถึงได้อยากจะลองแตะกลีบดอกของเจ้าดู” แล้วถามอย่างกังวล “ข้าแตะเจ้าเจ็บหรือ?”

สิ่งที่จู่ถีน้อยทำลงไป คือพฤติกรรมของเติงถูจื่อ[1]อย่างไม่ต้องสงสัย หากผู้ที่ทำเรื่องนี้คือคนหัวเถิกพุงพลุ้ย ต่อให้เป็นเจ้าหญิงที่อ่อนแอบอบบางดูแลตัวเองไม่ได้อย่างจู๋อวี่ ก็ต้องร้องเรียกคนมาฟาดอีกฝ่ายให้ตายคาที่อย่างแน่นอน แต่จู่ถีน้อยหน้าตาดีเกินไปจริงแท้ แม้จะแต่งกายแบบเด็กผู้ชาย กลับมีความงดงามชนิดที่ข้ามผ่านเพศสภาพ สายตาก็ใสซื่อมีชีวิตชีวาปานนั้น ด้วยเหตุนี้เจ้าหญิงจู๋อวี่ผู้ตัดสินคนที่หน้าตาจึงยกโทษให้จู่ถีน้อยทันที กลับมานั่งที่เดิมอีกครั้ง หน้าแดงวูบ บอกว่าไม่เจ็บ

สายลมอ่อนโชยพัดมา อุทยานระรวยกลิ่นหอม และแล้วสองหน่อผู้เลือกคบสหายจากหน้าตาก็สนทนากันต่อไปเรื่อยเปื่อยภายในศาลาริมน้ำเช่นนี้เอง คุยกันไปได้พักใหญ่ ก็สร้างมิตรภาพต่อกันขึ้น เปลี่ยนจาก “สงสัยว่าจะเป็นศัตรูหัวใจ” กลายมาเป็น “สหายสนิท” อย่างรวดเร็ว

 
<>::<>::<>



[1] เติงถูจื่อ แปลว่า ชีกอ ทะลึ่ง ลามก (ดูเพิ่มเติมที่สรุปเชิงอรรถของ “ป่าท้อสิบหลี่ เล่ม 1 บทที่ 2”)

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 5 พ.ย. 2568, 08:44

0 ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น