บทที่เจ็ด (2)
หลายวันมานี้ กษัตรีย์หมีเสียที่ปิดด่านเก็บตัวไม่ได้ออกจากด่านมาเลย ในขณะที่ถายเหยี่ยจวินมาฉิ่งอานต่อฝ่าบาทสามและองค์ไท่จื่ออยู่ทุกวัน
ผู้เฒ่าคงซานกล่าวว่าเวลานี้ไม่ควรเคลื่อนย้ายองค์ไท่จื่อ ให้พักฟื้นรักษาอาการที่เผ่าวิหคครามชั่วคราวจะเหมาะสมกว่า ฝ่าบาทสามก็มิได้ไปเค้นถามอย่างจริงจังว่าไม่ควรเคลื่อนย้ายไท่จื่อจริงหรือไม่ เชื่อฟังตามที่พวกเขาวางแผนไว้ทั้งหมด
วันที่สิบ ในหุบเขาสู่ตะวัน ในห้องพิเศษห้องหนึ่งของเหลา (ภัตตาคาร) ในตัวเมืองหลวง สองเซียนมหาดเล็กเซียงเจี่ยกับเว่ยเจี่ยได้พบกับฝ่าบาทของพวกเขาที่ห่างหายกันไปนานเสียที
สองเซียนมหาดเล็ก หนึ่งคือมหาดเล็กบุ๋น หนึ่งคือมหาดเล็กบู๊ ก่อนหน้านี้ได้รับคำสั่งจากฝ่าบาทสามให้ไปสืบข้อมูลที่แตกต่างกันสองเรื่อง
ที่เซียงเจี่ยสืบคือข่าวของเผ่ามาร
เกือบหนึ่งเดือนมานี้ เซียงเจี่ยกับบรรดาลูกน้องเซียนมหาดเล็กคอยจับตาดูเผ่ามารอยู่ตลอด เรื่องที่จอมมารชิ่งเจียงถูกลอบสังหารในคืนวิวาห์เมื่อเดือนที่แล้ว แม้จะไม่ได้บอกเล่าออกมาในที่แจ้ง แต่คนที่สมควรรู้ต่างพากันรู้แล้วแทบทั้งนั้น เพียงแต่ทุกคนคิดไม่ออกว่า ใครกันที่เก่งกาจปานนี้ สามารถลอบสังหารชิ่งเจียงได้ด้วย?
แน่นอน ฝ่าบาทสามทราบดีว่าที่เรียกกันว่า “นักฆ่า” นั้นคือผู้ใด และรู้ด้วยว่านางปลอมตัวเป็นเจ้าสาวของชิ่งเจียง เจ้าหญิงจุ้ยโยว ลอบปะปนเข้าไปในวังแปรพระราชฐานพันสะบั้น แต่เจ้าหญิงจุ้ยโยวผู้นั้นถูกนักฆ่าพาตัวไปที่ใด เขาเองก็ไม่ทราบเช่นกัน
ที่เซียงเจี่ยสืบมาเพิ่ม ก็คือข้อมูลส่วนนี้เอง
จากที่เซียงเจี่ยสืบมา บอกว่าตอนเจ้าหญิงจุ้ยโยวนั่นยังไม่ออกเรือน ก็มีชายคนรักอยู่แล้ว เดิมทีก็ไม่ได้ยินดีจะแต่งงานกับชิ่งเจียง ระหว่างที่ขบวนส่งตัวเจ้าสาวกำลังเดินทาง นักฆ่าได้ลักพาตัวเจ้าหญิงจุ้ยโยวไปกลางทางโดยที่ภูตผีเทวดาไม่รู้ไม่เห็น ทั้งยังช่วยเจ้าหญิงอีกแรง ส่งตัวนางกับชายคนรักของนางไปที่ภูเขาปู้ถิง ให้ซ่อนตัวเร้นกายด้วยกัน นักฆ่าทำทั้งหมดนี้อย่างละเอียดรัดกุมยิ่ง หากไม่ใช่เพราะครึ่งเดือนให้หลังเจ้าหญิงจุ้ยโยวเดินออกมาจากภูเขาปู้ถิงด้วยตัวเอง แล่นกลับไปขอพึ่งพิงชิ่งเจียง ไม่ว่าใครก็คงยากจะหาตัวนางพบได้
และสาเหตุที่เจ้าหญิงจุ้ยโยวเป็นฝ่ายเดินออกมาจากภูเขาปู้ถิงเอง เป็นเพราะชายคนรักของนางผู้นั้นได้ทอดทิ้งนาง เดิมทีที่ชายคนรักผู้นั้นของนางมาคบกับนาง ก็ด้วยคาดหวังว่าเมื่อได้เป็นพระสวามีของเจ้าหญิงแล้ว จะได้รับตำแหน่งสำคัญในเผ่ามารเหลือง
ในเมื่อเขาไม่ได้จริงใจต่อเจ้าหญิง แล้วจะไปอดทนกับความทุรกันดารของภูเขาปู้ถิงได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้เข้าไปในภูเขาได้แค่ไม่ถึงสองวันก็หนีไปเสียแล้ว ทิ้งให้เจ้าหญิงอาศัยอยู่ในภูเขาลึกเพียงลำพัง
เจ้าหญิงซึ่งถูกชายคนรักทอดทิ้งคิดอยู่สิบวันครึ่งเดือน กลับคิดได้กระจ่างแล้ว หลังออกจากเขา ก็ตรงดิ่งไปที่วังของชิ่งเจียงทันที
ถึงแม้เซียงเจี่ยจะเป็นมหาดเล็กบุ๋นที่มีฝีมือด้านการสืบข่าวเก่งฉกาจเป็นอันดับหนึ่งของวังหยวนจี๋ แต่เขายังมีงานอดิเรกอยู่อีกอย่างคือการเล่าเรื่อง ด้วยเหตุนี้เมื่อรายงานข้อมูล จึงเล่าได้อย่างชวนลุ้นระทึก
เซียงเจี่ยถอนหายใจเฮือกใหญ่
“นึกไม่ถึงเลยว่าจอมมารชิ่งเจียงกลับเป็นผู้รักมั่น การกระทำเช่นนี้ขององค์หญิงจุ้ยโยว ความจริงถือได้ว่าทิ้งงานแต่งหนีตามชายคนรักไปในวันวิวาห์ได้แล้ว แต่เขากลับยอมอดทนไว้ หลังจากจุ้ยโยวกลับมา เขาปฏิบัติต่อจุ้ยโยวดุจของล้ำค่าเช่นเดิม จุ้ยโยวเพิ่งจะถูกชายคนรักทำให้เสียใจ เห็นชิ่งเจียงปฏิบัติต่อนางเช่นนี้ ก็ตื้นตันใจยิ่งนัก ไม่ตำหนิต่อว่าเรื่องที่ชิ่งเจียงใช้อำนาจบีบบังคับให้นางยอมแต่งงานด้วยอีก กลับคลายความกินแหนงที่เคยมี หันมาร่วมเรียงเคียงคู่กับเขาแทน ซึ่งก็แปลกดีพ่ะย่ะค่ะ”
เซียงเจี่ยทอดถอนให้กับวาสนาพิสดารระหว่างชิ่งเจียงกับจุ้ยโยวจบแล้ว ในที่สุดค่อยไม่รายงานเหมือนเล่านิทานอีก มีมาดรายงานเรื่องสำคัญขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวหน้าเคร่งว่า
“แต่ไม่ว่าอย่างไร เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องอื้อฉาว ไม่พึงป่าวประกาศออกไป ด้วยเหตุนี้ชิ่งเจียงได้แต่ซ่อนเรื่องที่เขาถูกลอบฆ่าในคืนสมรสไว้ เพื่อปิดบังให้แก่เรื่องนี้ ดังนั้น นอกจากผู้ที่รู้ความนัยเบื้องหลังเพียงไม่กี่รายแล้ว ภายนอกเพียงนึกว่าการแต่งงานครั้งนี้ราบรื่นอย่างมาก ชิ่งเจียงได้หญิงงามมาครองในคืนสมรสสมดั่งใจปอง นอกจากนี้ นักฆ่าที่ลักพาตัวจุ้ยโยวเองก็ละเอียดรัดกุมยิ่ง ตอนที่ลักพาตัวจุ้ยโยว ได้ทำการปลอมตัว ต่อให้จุ้ยโยวกลับมาแล้ว ก็ไม่สามารถให้เบาะแสอะไรเพื่อให้ชิ่งเจียงไปไล่ตามสืบหาคนผู้นั้นได้อยู่ดีพ่ะย่ะค่ะ”
รายงานถึงตรงนี้ เซียงเจี่ยได้หยุดพูด มีท่าทีกระอักกระอ่วนนิดๆ อย่างหาได้ยาก
“ด้วยเหตุนี้...พวกกระหม่อมเองก็...ง่า...ตรวจสอบไม่พบเช่นกันว่าคนผู้นั้นคือใครกันแน่...” หลังจากกล่าวประโยคนี้จบลงอย่างยากเย็น ได้ประสานสองมือ ยอมรับความผิดอย่างรวดเร็ว “สู่เซี่ย[1]ทำงานไม่ได้ความ ขอฝ่าบาทโปรดลงทัณฑ์พ่ะย่ะค่ะ!”
เซียงเจี่ยก้มศีรษะต่ำมาก รอคอยฝ่าบาทสามลงทัณฑ์ มิคาดฝ่าบาทกลับมิได้ลงทัณฑ์ เพียงกล่าวว่า
“ในเมื่อแม้แต่ชิ่งเจียงยังสืบไม่พบ อย่างนั้นพวกเจ้าจะสืบไม่พบก็ไม่ได้กระไร งานครั้งนี้ทำได้ไม่เลว ไม่ต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงไปกับนักฆ่าคนนั้นแล้ว แค่จับตาดูชิ่งเจียงต่อไปเถอะ”
เซียงเจี่ยตกใจกับความใจดีผิดคาดนี้ พึงทราบว่าที่ผ่านมา ฝ่าบาทสามไม่ได้คุยด้วยง่ายเช่นนี้เลย แต่เขาก็นึกไม่ออกไปชั่วขณะเช่นกันว่าการนี้เป็นเพราะเหตุใด รับคำสั่งถอยออกไปอย่างงุนงง
ผู้ที่รายงานต่อจากเซียงเจี่ย คือมหาดเล็กบู๊เว่ยเจี่ย ที่เว่ยเจี่ยรายงาน คือเรื่องตามหาตัวผู้มีพระคุณช่วยชีวิตขององค์ไท่จื่อ
ในฐานะที่เป็นมหาดเล็กบู๊ การรายงานของเว่ยเจี่ยไม่ได้มีลูกเล่นแพรวพราวเหมือนอย่างเซียงเจี่ย เพียงบอกว่าหลังจากที่เขาได้รับคำสั่ง ก็มุ่งหน้าไปยังเขาคงซางทันที ตรวจหาภายในถ้ำตรงเชิงเขาหลายร้อยถ้ำอย่างละเอียดไปหนึ่งรอบ จากนั้นหาผ้าสีขาวผืนหนึ่งพบภายในถ้ำที่มีรอยเลือดหลงเหลืออยู่
บนผ้าผืนนั้นมีเลือดเปื้อน เป็นเลือดขององค์ไท่จื่อ และวัตถุดิบของผ้าผืนนั้นไม่ใช่ทั้งไหมและฝ้าย อ่อนนุ่มอย่างมาก เนื้อผ้าเรืองประกายดุจแสงดาว กลับดูไม่ออกว่าทอมาจากอะไร
เขาไปที่แดนอุดรขอให้ปราชญ์เฒ่าเป๋ยอิ่นซึ่งรอบรู้กว้างขวางช่วยวิเคราะห์ดูให้ ปราชญ์เฒ่ากล่าวว่านั่นคือผ้าหลิง[2]ซึ่งทอขึ้นโดยใช้แสงอาทิตย์อัสดงแห่งแดนบูรพาเป็นวัตถุดิบ เขาเคยได้ยินมาว่าจักรพรรดินีหนิงซางแห่งแคว้นชิงชิวโปรดการใช้แสงอัสดงแห่งแดนบูรพามาทอผ้า และผ้าหลิงอันล้ำค่าเหล่านี้ ล้วนแต่นำมาใช้บนตัวของป๋ายเฉี่ยนซ่างเซียน ธิดาคนสุดท้องที่พระนางทรงรักใคร่เอ็นดูมากที่สุดทั้งสิ้น
เว่ยเจี่ยกล่าวตรงๆ เสียงเรียบเฉยว่า
“ด้วยเหตุนี้สรุปความข้างต้น สู่เซี่ยสันนิษฐานว่า ในตอนที่ชีวิตขององค์ไท่จื่อตกอยู่ในภาวะวิกฤต ผู้ที่ใช้ตัวยาล้ำค่าช่วยชีวิตท่านไว้ ช่วยให้ท่านผ่านพ้นวิกฤตมาได้ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าคือป๋ายเฉี่ยนซ่างเซียน ว่าที่ภรรยาของท่านพ่ะย่ะค่ะ”
ได้ฟังข้อสรุปนี้ของเว่ยเจี่ย ต่อให้เป็นฝ่าบาทสาม ก็อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ พัดจีบเคาะพลาด ตกลงใส่หัวเข่าที่นั่งไขว่ห้าง
และในเวลาเดียวกันนี้ มนตร์เก็บเสียงภายในห้องพลันถูกโจมตีกะทันหัน กลับถูกทำลายลงได้ ฝ่าบาทสามหน้าเครียดนิดๆ ขมวดคิ้วลุกขึ้นยืน ประตูห้องพิเศษพลันถูกผลักเปิดผางออก คนผู้หนึ่งเสียหลักล้มเข้ามา ร้องดัง “โอ๊ย!” กลับเป็นจู่ถีน้อย
อินหลินกับเทียนปู้ตามหลังมาติดๆ อินหลินช่วยพยุงจู่ถีน้อยลุกขึ้นมาก่อนหน้าเหลียนซ่งหนึ่งก้าว สีหน้าที่สุขุมเยือกเย็นเสมอมาปรากฏแววกระอักกระอ่วนอยู่หลายส่วน
“ข้าเดินเล่นเป็นเพื่อนจุน...คุณชายน้อย ตอนเดินผ่านที่นี่ เมื่อได้รู้ว่าฝ่าบาทอยู่ในเหลา คุณชายน้อยก็จะแวะมาหาท่าน พอสังเกตเห็นว่าบนประตูมีมนตร์เก็บเสียง...” พูดถึงตรงนี้ แววกระอักกระอ่วนบนใบหน้าได้เพิ่มขึ้น
จู่ถีน้อยกลับไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนเลยสักนิด คลึงฝ่ามือที่เจ็บเพราะหกล้ม
“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำลายมนตร์เก็บเสียงของเหลียนซานเกอเกอสักหน่อย แล้วก็ไม่ได้อยากจะแอบฟังว่าพวกท่านคุยอะไรกันด้วย ข้าก็แค่...” นางคิดคำหนึ่งออกมาได้ “ร้อนวิชา เห็นบนประตูของท่านลงมนตร์นี้ไว้ เลยอยากลองดูว่าจะทำลายมันได้ไหมน่ะ แหะๆ”
“มนตร์เก็บเสียง” คือวิชาฤทธิ์ซึ่งตัดขาดพื้นที่ออกจากกัน โดยเนื้อแท้แล้วความจริงคือข่ายมนตร์พื้นที่ระดับต่ำชนิดหนึ่ง
อินหลินกล่าวเสริมด้วยสีหน้าเรียบสนิท
“นางถนัดข่ายมนตร์พื้นที่อย่างมาก มนตร์เก็บเสียงธรรมดาทั่วไปไม่ได้ผลกับนาง กระหม่อมรั้งนางไว้ไม่ทันกาล ต้องขออภัยด้วย แต่คำพูดสำคัญที่พวกท่านคุยกัน พวกกระหม่อมได้ยินแค่ประโยคเดียวเท่านั้น” เขาหันไปมองเว่ยเจี่ย “ก็คือเซียนท่านนี้กล่าวว่า ผู้ที่ช่วยชีวิตไท่จื่อเยี่ยหัว แท้จริงแล้วคือป๋ายเฉี่ยนซ่างเซียนไท่จื่อเฟยของพระองค์”
จู่ถีน้อยเข้มงวดอย่างมาก พูดแก้ให้เขาทันทีว่า
“ว่าที่ไท่จื่อเฟย ต่างหาก”
ฝ่าบาทสามมองจู่ถีน้อยอย่างอ่อนใจ ถอนหายใจเบาๆ
“ช่างเถอะ” แสดงความหมายให้เว่ยเจี่ยออกไป แล้วถามจู่ถีน้อย “มาชวนข้าเล่นหรือ?”
จู่ถีน้อยเข้าไปนั่ง ดื่มน้ำชาจากจอกของเขาหนึ่งคำ ยิ้มกว้างขวางตอบว่า “ใช่แล้ว หลายวันมานี้เหลียนซานเกอเกองานยุ่ง เราเลยไม่ได้เล่นด้วยกันเลย วันนี้ไปเดินเที่ยวตลาดด้วยกันได้พอดี!”
เมืองหลวงของหุบเขาสู่ตะวันคือเมืองที่ธรรมดาอย่างมากเมืองหนึ่ง ไม่ได้แตกต่างอะไรจากเมืองอื่นๆ ในแปดดินแดน กระนั้นจู่ถีน้อยในวัยนี้นั้น ก่อนหน้านี้เคยออกไปจากบึงมัชฌิมเพียงครั้งเดียว ก็คือไปที่ทะเลสาบเส่าเหอของเส้อเจียเพื่ออวยพรการเกิดให้เซี่ยหมิง ดังนั้นนางจึงไม่เคยเห็นมาก่อนว่า “เมือง” มีหน้าตาเป็นอย่างไร และไม่เคยเดินเที่ยวตลาดมาก่อนเช่นกัน เมื่อแรกมาถึงตลาด แผงขายตุ๊กตาแป้งหมี่แผงเล็กๆ ริมถนนแผงหนึ่งก็สามารถทำให้นางเห่ออยู่ได้เป็นพักใหญ่ๆ การเดินเที่ยวตลาดครั้งนี้จึงเลยเถิดไปไกล
เหลียนซ่งเดินเป็นเพื่อนนางอย่างอดทน เดินเที่ยวจนถึงยามโหย่ว[3]ตลาดวาย ทุกคนค่อยพากันกลับวังพร้อมด้วยข้าวของเต็มมือ
กว่าจะกลับถึงวังก็ปาเข้าไปปลายยามโหย่ว เหลียนซ่งพลอยพาจู่ถีน้อยแวะไปเยี่ยมไท่จื่อที่ตำหนักฝูปออีกแล้ว
ไท่จื่อหนุ่มน้อยยังคงยะเยียบเย็นชาเช่นเคย สูงศักดิ์งามยะเยือกดุจดอกบัวกลางหิมะ จู่ถีน้อยรู้สึกว่าไท่จื่อเย็นชาเช่นนี้ก็น่ามองอย่างมากเช่นกัน ดังนั้นเขาไม่พูดไม่จา นางก็ไม่ได้ว่าอะไร
เหลียนซ่งฟังผู้เฒ่าคงซานรายงานถึงยาน้ำฟื้นฟูร่างกายและมนตร์รักษาที่ร่ายไปซึ่งใช้รักษาไท่จื่อหนุ่มน้อยในวันนี้ แล้วกำชับไท่จื่อสองสามคำว่าควรกินยาให้ตรงเวลาเหมือนกำชับเด็กน้อย ค่อยพาจู่ถีน้อยจากไป
ผู้เฒ่าคงซานส่งพวกเขาออกจากตำหนักแล้ว พ่อหมอเฒ่าเล็งหาโอกาสสนทนากับเหลียนซ่งเป็นการส่วนตัวสองสามประโยค ถ้อยคำสองสามประโยคนี้ไม่ได้จงใจเลี่ยงไม่ให้จู่ถีน้อยได้ยิน ดังนั้นนางจึงได้ยินด้วย
ผู้เฒ่าคงซานบอกว่าองค์ไท่จื่อมีปมติดค้างอยู่ในใจ นี่เป็นผลเสียต่อการฟื้นตัวของร่างกายที่ป่วยไข้อย่างยิ่ง หวังว่าฝ่าบาทสามจะหาโอกาสช่วยคลายปมในใจให้องค์ไท่จื่อสักหน่อย
เหลียนซ่งพยักหน้าบอกว่าเข้าใจแล้ว
ตอนที่ผู้เฒ่าคงซานกล่าวถ้อยคำเหล่านี้กับเขา บนใบหน้าของเหลียนซ่งไม่ได้แสดงความรู้สึกใด แต่ระหว่างทางเดินกลับ จู่ถีน้อยพบว่าเหลียนซานเกอเกอของนางเอาแต่ขมวดคิ้วอยู่ตลอด
จู่ถีน้อยยินดีร่วมแบ่งปันความกลุ้มใจกับเหลียนซาน กลับถึงในตำหนัก เพิ่งจะนั่งลงที่หน้าโต๊ะน้ำชา ก็เป็นฝ่ายยกหัวข้อนี้ขึ้นมาพูดกับเหลียนซ่ง
“ข้าได้ยินเทียนปู้เจี่ยเจียบอกว่า ที่หลายวันมานี้ไท่จื่อเอาแต่ทำหน้าอึมครึม ไม่อยากคุยกับใครทั้งนั้น เป็นเพราะว่าที่ไท่จื่อเฟยคนนั้นของเขาไม่ชอบเขา อยากจะถอนหมั้นกับเขา” นางนั่งขัดสมาธิบนเบาะรองนั่งกลม สองมือกอดอก ทำสีหน้าประชุมหารืออย่างจริงจัง “ข้ากำลังคิดว่า พ่อหมอเฒ่าคนนั้นบอกว่าไท่จื่อมีปมติดค้างอยู่ในใจ บางทีปมในใจของเขาอาจจะเป็นเรื่องนี้ก็ได้”
เหลียนซ่งกำลังรินน้ำชา ได้ยินดังนี้ก็มองหน้านาง เห็นสีหน้าท่าทางเช่นนี้ของนาง ก็รู้สึกขัน “ดังนั้น?”
จู่ถีน้อยวางท่าสุขุม “แต่ว่าวันนี้เซียนในเหลาคนนั้นบอกว่า ตอนที่ไท่จื่อบาดเจ็บหนัก ไท่จื่อเฟยของเขาเป็นคนช่วยชีวิตเขาไว้ อย่างนั้นท่านคิดดูสิ ถ้าไท่จื่อเฟยของเขาไม่ชอบเขา ย่อมไม่มีทางช่วยเขาอยู่แล้วละ” นางรู้สึกว่าตัวนางช่างอนุมานได้ชัดเจนและสมเหตุสมผล อดเอามือข้างหนึ่งยันโต๊ะน้ำชา โน้มตัวเข้าไปใกล้เหลียนซ่งไม่ได้ “ดังนั้นข้ารู้สึกว่า เราบอกเรื่องนี้กับไท่จื่อ เขาก็จะไม่กลัดกลุ้มทุกข์ใจแบบนั้น และน่าจะค่อนข้างอารมณ์ดีแล้ว” นางขอความเห็นจากเหลียนซ่งด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านคิดว่ายังไง?”
เหลียนซ่งคิดว่าไม่เห็นจะยังไง เขายื่นน้ำชาร้อนที่แบ่งเรียบร้อยไปให้จู่ถีน้อย
“การช่วยชีวิตเยี่ยหัวไว้แปลว่าชอบเขาหรือ?” มองเห็นสายตาใสซื่อของจู่ถีน้อย ก็นึกขึ้นได้ว่าเวลานี้นางคือเด็กน้อย การถกเรื่องชอบหรือไม่ชอบกับเด็กน้อย เห็นได้ชัดว่าไม่เหมาะสม จึงเปลี่ยนเรื่องว่า “เขาสองคนไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน จึงเป็นไปได้เช่นกันว่า...”
เขาไม่ได้กล่าวจนจบ กำลังใคร่ครวญว่าจะสนทนาเรื่องนี้กับจู่ถีน้อยตามความเป็นจริงดีหรือไม่ เนื่องจากเรื่องนี้ซับซ้อนซ่อนเงื่อน ทั้งยังเกี่ยวพันถึงความสัมพันธ์เชิงอำนาจภายในเผ่าเทพอีกด้วย นางไม่แน่ว่าจะสามารถฟังเข้าใจ
จู่ถีน้อยรู้สึกสงสัยใคร่รู้
“แต่ว่า ไม่ใช่บอกว่าป๋ายเฉี่ยนซ่างเซียนท่านนั้นหมั้นหมายกับไท่จื่อมาตั้งนานแล้วหรอกหรือ? เหตุใดเขาสองคนถึงไม่เคยพบหน้ากันมาก่อนได้เล่า?”
ปัญหานี้ไม่ได้ซับซ้อนและยากจะเข้าใจปานนั้น สามารถคุยต่อได้ ฝ่าบาทสามประกบสองนิ้วเข้าด้วยกันแล้วเคาะโต๊ะ แสดงความหมายให้จู่ถีน้อยดื่มน้ำชาก่อน ครั้นจู่ถีน้อยยกจอกชาขึ้นดื่มลงไปครึ่งจอกอย่างว่าง่าย เขาจึงค่อยคลี่คลายข้อสงสัยให้นาง
“ป๋ายเฉี่ยนซ่างเซียนเองก็คล้ายกับเจ้านั่นแหละ ชอบปลีกตัวจากโลก ไม่ค่อยได้ออกจากชิงชิว เกือบสามหมื่นปีมานี้ นางไม่เคยมาเข้าร่วมงานเลี้ยงของเผ่าสวรรค์เลย ด้วยเหตุนี้เยี่ยหัวจึงไม่เคยพบหน้านางมาก่อน”
จู่ถีน้อยทำเสียง “อ้อ” คิดเล็กน้อย ปกติแล้วความคิดของเด็กจะตรงไปตรงมามาก จู่ถีน้อยก็เป็นเช่นนี้ ดังนั้นนางจึงไม่ค่อยจะเข้าใจนัก
“อย่างนั้นทำไมไท่จื่อถึงไม่ไปหาป๋ายเฉี่ยนซ่างเซียนท่านนั้นที่ชิงชิวเล่า?”
“เพราะว่าไท่จื่อเขาหน้าบาง ขี้อายน่ะสิ” ฝ่าบาทสามขายเยี่ยหัวอย่างแทบจะไม่มีการลังเล
จู่ถีน้อยตกตะลึงอย่างมาก จอกชาเผลอกระแทกโดนโต๊ะ
“ไท่จื่ออายเป็นด้วยเหรอเนี่ย!” นางตื่นเต้นคึกคัก “เขาน่ะอย่างกับบัวหิมะบนภูเขาน้ำแข็งเลย บัวหิมะก็อายเป็นด้วยเหรอ? จะหน้าแดงด้วยหรือไม่? งั้นเวลาหน้าแดงจะต้องน่ามองอย่างมากเป็นแน่!”
ฝ่าบาทสามปรายตามองนาง
“เจ้าอายุแค่นี้ เหตุใดถึงได้ชอบมองคนหน้าตาดีปานนี้?”
จู่ถีน้อยลูบจมูก
“น่ามองออกปานนั้นข้าก็ต้องมองให้เยอะๆ หน่อยน่ะสิ” นางพยักหน้าให้ตัวเอง สรุปว่า “ดังนั้นไท่จื่อกับป๋ายเฉี่ยนซ่างเซียนจึงไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน ดังนั้น...” นางกระจ่างแจ้งในบัดดล “เหลียนซานเกอเกอเห็นว่า เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าตอนที่ป๋ายเฉี่ยนซ่างเซียนท่านนั้นช่วยชีวิตไท่จื่อไว้ นางไม่ได้รู้เลยว่าผู้ที่นางช่วยชีวิตไว้คือไท่จื่อ เพียงแค่ใจดีมีเมตตาและจับพลัดจับผลูช่วยชีวิตเขาไว้เท่านั้น ใช่หรือไม่?”
ป๋ายเฉี่ยนซ่างเซียนใจดีมีเมตตาหรือไม่นั้น ฝ่าบาทสามไม่ทราบ กษัตรีย์แห่งแดนบูรพาผู้นี้เก็บตัวเกินไปโดยแท้ ยี่สิบสี่มหาดเล็กบุ๋นบู๊เองก็รู้เรื่องของนางน้อยมาก ที่รู้ก็มีแต่จำพวกเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งประหลาดพิลึกทั้งสิ้น
ตัวอย่างเช่นเรื่องหนึ่ง
เทพเซียนในแปดดินแดนแบ่งเป็นสามระดับ คือเทพเซียนปกติทั่วไป ซ่างเซียน และซ่างเสิน
จากเทพเซียนปกติทั่วไปเลื่อนขั้นเป็นซ่างเซียน ยากมาก และผู้ที่เลื่อนขั้นจากซ่างเซียนเป็นซ่างเสิน มีน้อยนิด
จากการนี้เห็นได้ว่า นาม “ซ่างเสิน” นั้นสูงศักดิ์ยิ่งจริงแท้ แต่นาม “ซ่างเซียน” แท้จริงแล้วก็กระนั้นๆ หากฐานันดรสูงศักดิ์อยู่แต่เดิม ยามเซียนคนอื่นๆ เรียกขานซ่างเซียนท่านนี้ ส่วนมากแล้วจะเรียกด้วยฐานันดรที่สูงศักดิ์ของเขา ตัวอย่างเช่น เซียนในแปดดินแดนเรียกเหลียนซ่ง จะไม่เรียกเขาว่า “เหลียนซ่งซ่างเซียน” แต่เรียกเขาว่า “ฝ่าบาทสาม” เรียกเยี่ยหัว ก็ไม่เรียกว่า “เยี่ยหัวซ่างเซียน” แต่เรียกว่า “องค์ไท่จื่อ”
แต่ป๋ายเฉี่ยนนั้น นอกจากเทพเซียนรุ่นผู้เยาว์ที่เคยชินกับการเรียกนางว่า “กูกู” เพื่อเป็นการแสดงถึงมารยาทแล้ว เทพเซียนคนอื่นๆ ทุกคนในแปดดินแดนต่างเรียกขานนางว่า “ป๋ายเฉี่ยนซ่างเซียน” ทั้งสิ้น ได้ยินมาว่าการนี้เป็นเพราะตัวป๋ายเฉี่ยนเองค่อนข้างชอบที่จะได้ยินคนอื่นเรียกนางว่า “ซ่างเซียน” แทนที่จะเป็น “กษัตรีย์แห่งแดนบูรพา” บอกว่าคำเรียก “ซ่างเซียน” นี้ นางฟังแล้วรู้สึกใกล้ชิดดี และมีความหมายมากกว่ากันเล็กน้อย ถึงแม้ทุกคนจะไม่ทราบว่ามันมีความหมายในที่ใด แต่ก็ไม่มีใครไปถาม และได้เรียกกันเช่นนี้ต่อๆ มา
ถึงแม้ฝีมือสืบข่าวของยี่สิบสี่มหาดเล็กบุ๋นบู๊จะเก่งกาจเหนือธรรมดาสักเพียงใด ก็งอมือจนปัญญากับการสืบข่าวของซ่างเซียนที่ปลีกตัวจากโลกอย่างลึกล้ำยิ่งอยู่ดี และสืบได้แต่พวกเรื่องปลีกย่อยเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ไม่กี่เรื่องเท่านั้น
แต่ว่าครั้งนี้ เมื่อตัดการคาดเดาเกี่ยวกับอุปนิสัยของป๋ายเฉี่ยนออกไปแล้ว ฝ่าบาทสามเห็นว่าการอนุมานของจู่ถีน้อยน่าเชื่อถืออย่างมาก เอ่ยชมนางอย่างไม่หวงว่า “ฉลาดมาก คิดได้ไม่เลวเลย”
จู่ถีน้อยตกตะลึงไปชั่ววูบเพราะคำชมนี้ กะพริบตา แล้วพลันนึกเขิน เกาแก้มพูดเบาๆ
“ก็ไม่ได้ฉลาดปานนั้นหรอก เพราะว่าข้ายังมีจุดที่ไม่เข้าใจอยู่”
นางบอกข้อสงสัยของตัวเองออกมาอย่างรวดเร็ว
“ข้าไม่เข้าใจว่า ในเมื่อป๋ายเฉี่ยนซ่างเซียนเป็นคนช่วยชีวิตไท่จื่อก่อน อย่างนั้นเหตุใดนางถึงได้ไม่ช่วยคนช่วยถึงที่สุด[4]เล่า? อย่างไรคงไม่มีทางที่จู๋อวี่เจี่ยเจียจะแย่งตัวไท่จื่อกลับมาจากมือของนาง จากนั้นพากลับมาที่เผ่าวิหคครามหรอกกระมัง?” นางแก้ต่างให้เจี่ยเม่ยน้อยของตัวเอง “ถึงแม้จู๋อวี่จะชอบไท่จื่อ แต่นางซื่อๆ เซ่อๆ ใสซื่อออกจะตาย และอ่อนแอมากด้วย ไม่มีทางทำเรื่องจำพวกแย่งตัวใครมาจากมือของคนอื่น แล้วยังจะแอบอ้างว่าเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตของคนคนนั้นได้ลงคอหรอก”
จอกชาตรงหน้านางว่างเปล่าแล้ว ฝ่าบาทสามรับจอกชาที่นางดื่มจนหมดมา เติมน้ำชาให้นางพลางอธิบายว่า
“ดังนั้นมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่า ในตอนที่เยี่ยหัวเผชิญวิกฤต ป๋ายเฉี่ยนเป็นคนพบตัวเขาทันกาลทั้งยังช่วยชีวิตเขาไว้ แต่ต่อมานางได้ทราบถึงฐานะไท่จื่อแห่งเผ่าสวรรค์ของเยี่ยหัวเข้า ไม่ยินดีมีความเกี่ยวพันกับเยี่ยหัว และไม่ยินดีให้เยี่ยหัวแบกรับน้ำใจของนาง ดังนั้นถึงได้จงใจส่งเยี่ยหัวไปอยู่ตรงระหว่างทางที่องค์หญิงจู๋อวี่กลับหุบเขาสู่ตะวัน ให้องค์หญิงจู๋อวี่เก็บเขาได้”
ช่างน่าขันที่พวกเขาต่างพยายามป้องกันไม่ให้ป๋ายเฉี่ยนรู้เรื่องที่จู๋อวี่ช่วยชีวิตเยี่ยหัวไว้ ทั้งยังหลงรักเยี่ยหัว เพื่อที่ชิงชิวจะได้ไม่ฉวยโอกาสนี้ขอถอนหมั้นกับเผ่าสวรรค์ แต่เรื่องนี้ป๋ายเฉี่ยนกลับเป็นคนสร้างสถานการณ์ให้เกิดขึ้นเองกับมือเสียได้
ทว่าเหตุใดชิงชิวถึงได้ไม่เอะอะเปิดโปงเรื่องนี้ จากนั้นไปถอนหมั้นที่สวรรค์เก้าชั้นฟ้าเล่า? เป็นเพราะยังไม่ถึงจังหวะเหมาะ?
ประเด็นนี้ ต่อให้เป็นฝ่าบาทสาม ก็ขบคิดไม่เข้าใจในทันทีเช่นกัน
บางทีอาจต้องใช้อุบายอะไรสักนิด ไปลองหยั่งท่าทีของป๋ายเฉี่ยนดู...ฝ่าบาทสามแบ่งสมาธิไปไตร่ตรอง แล้วได้ยินจู่ถีน้อยถอนหายใจหนักๆ
“อย่างนั้นก็ห้ามบอกเรื่องนี้กับไท่จื่อน้อยจริงๆ นั่นแหละ” นางทำสีหน้าเห็นอกเห็นใจ คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่น รู้สึกเสียใจแทนเยี่ยหัวจากใจจริง “ถึงแม้คนที่เขาชอบช่วยชีวิตเขาไว้ กลับไม่ยินดีให้เขารู้ว่านางช่วยชีวิตเขา แถมยังวางแผนหลอกใช้เขาอีก ถ้าเขารู้เรื่องพวกนี้ จะปวดร้าวใจสักแค่ไหน นี่เป็นเรื่องที่แย่ยิ่งกว่าการโดนเพื่อนที่สนิทที่สุดทรยศหักหลังเสียอีก เขาจะต้องยิ่งซึมเศร้าหนักขึ้นเป็นแน่” ถอนหายใจอย่างหม่นเศร้าอีกครั้ง “ไท่จื่อนี่น่าสงสารจริงๆ !”
ไท่จื่อจะน่าสงสารหรือไม่ค่อยว่ากัน เจ๋อเหยียนเคยบอกว่า ร่างกายและจิตใจของจู่ถีน้อยอายุเพียงเกือบหมื่นปี ยังเป็นแค่เด็กน้อย ฝ่าบาทสามอยู่ร่วมกับนางมาเกือบหนึ่งเดือน พลอยเคยชินกับความเป็นเด็กที่แสดงออกมาจากใจจริงเหล่านั้นของนางไปแล้ว แต่ในเนื้อหาคำพูดส่วนนี้กลับปรากฏคำศัพท์อย่างน้อยสองคำที่เป็นผู้ใหญ่เกินไป และเดิมทีนางไม่ควรจะพูดเป็นอยู่ด้วย...วางแผนหลอกใช้ ปวดร้าวใจ
ในตอนที่นางยังเป็นแค่เด็กน้อย ใครเป็นคนสอนคำศัพท์เหล่านี้ให้นาง ทำให้นางเข้าใจคำพูดเหล่านี้กัน? นี่มันเห็นได้ชัดว่าไม่เหมาะสม
อยู่ๆ ฝ่าบาทสามก็รู้สึกโมโห อดขมวดคิ้วไม่ได้ ถามนางว่า
“ใครเป็นคนบอกเจ้าว่าอะไรคือ ‘วางแผนหลอกใช้’ และอะไรคือ ‘ปวดร้าวใจ’ ?”
จู่ถีน้อยไม่ได้สังเกตเห็นอารมณ์โกรธของเหลียนซ่ง กะพริบตา กล่าวตอบเขาอย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง
“พวกดอกไม้น่ะสิ” นางชี้แจงอย่างละเอียดลออ “เพราะว่าข้าคือรัศมีเทพน้อยใช่ไหมเล่า ข้าสามารถได้ยินเสียงของพวกดอกไม้ทั่วหล้าภายในห้วงจิตของข้าได้ ท่านก็รู้นี่นา พวกดอกไม้น่ะทั้งน่ารักและมากรักที่สุด พวกเขามีเรื่องเล่าเกี่ยวกับอารมณ์ความรักเยอะมากจริงๆ ข้าเองก็ฟังมาเยอะมากจริงๆ เหมือนกัน” นางยักไหล่ เสริมว่า “ถึงแม้ข้าจะฟังไม่ค่อยรู้เรื่องทั้งนั้นก็เถอะ” พูดถึงตรงนี้ เหมือนรู้สึกโชคดีอย่างมากกระนั้น “โชคดีที่ต่อมาข้าได้เรียนรู้วิชาที่ช่วยปิดกั้นเสียงพวกนั้นได้ สามารถรับฟังเฉพาะคำอธิษฐานที่ศรัทธาแรงกล้าที่สุดและคับขันเร่งด่วนที่สุดเท่านั้น ไม่อย่างนั้นมีหวังได้รำคาญตายจริงแท้”
ฝ่าบาทสามมองหน้านางอยู่พักหนึ่ง พลันกระทำกิริยาที่เด็กน้อยมากออกมา เขายื่นมือไปปิดหูของนาง
“พวกเขาไม่ควรซี้ซั้วพูดให้เจ้าฟังจริงๆ นั่นแหละ”
เนื่องจากมือแค่ปิดครอบไว้เฉยๆ ดังนั้นนางจึงได้ยินที่เขาพูด และหัวเราะคิกอย่างกลั้นไม่อยู่ ดวงตาทอประกายพราวระยับ
“เหลียนซานเกอเกอเอามือมาปิดหูข้าตอนนี้ทำอะไรน่ะ พวกเขาไม่ได้พูดกับข้าตอนนี้สักหน่อย ท่านนี่เด็กจัง!”
เป็นความจริงที่กิริยานี้เด็กน้อยมาก ฝ่าบาทสามตะลึงลาน พลอยยิ้มออกมาด้วย
เลี้ยงเด็กนานวันเข้า อาจจะพลอยเปลี่ยนเป็นเด็กน้อยไปด้วยจริงๆ ก็เป็นได้
จู่ถีน้อยที่เป็นเด็กน้อย ใสซื่อปานนี้ ทั้งยังไร้เดียงสา เหลียนซ่งพลันนึกถึงคำรายงานของเซียงเจี่ยเมื่อตอนกลางวัน ที่บอกว่านักฆ่าผู้นั้นวางแผนลักพาตัวจุ้ยโยว ปะปนเข้าสู่วังแปรพระราชฐานพันสะบั้นอย่างละเอียดรัดกุมมากเพียงใด ตามด้วยนึกถึงรอยยิ้มอันเปี่ยมชีวิตชีวาที่ผุดพราวบนใบหน้ายามที่นางลอกหน้ากากออกในการได้พบกับนางครั้งแรกในคืนมงคลสมรสของชิ่งเจียง นั่นคือจู่ถีที่หวนคืนมาหลังจากผ่านการเซ่นสังเวยเพื่อเผ่ามนุษย์
เขาจดจำดวงตายามที่นางแย้มยิ้มให้เขาได้มาโดยตลอด เฉลียวฉลาดงดงามทว่าเจ้าเล่ห์
ต้องผ่านการเติบโตแบบใด นางถึงได้เติบโตจากเวลานี้ที่มีท่าทางเป็นเด็กน้อยผู้ใสซื่อเช่นนี้ กลายไปเป็นเทพธิดาผู้เฉลียวฉลาดเปี่ยมไหวพริบ รอบคอบรัดกุม สามารถแบกรับภารกิจอันใหญ่หลวงเพียงลำพังเช่นนั้นได้? เหลียนซ่งเผลอใจลอย
“เหลียนซานเกอเกอกำลังคิดอะไรอยู่เหรอ?” จู่ถีน้อยแตะแขนเสื้อของเขา
เขาตื่นจากภวังค์ ตั้งใจจะตอบกลบเกลื่อนนางอย่างขอไปทีสองสามคำ กลับเห็นนางทำหน้าเคร่ง
“ห้ามโกหกนะ”
เขาหยุดเล็กน้อย “คิดว่าตอนเจ้าโตขึ้นจะเป็นแบบใด”
จู่ถีน้อยตกตะลึง พลอยลองจินตนาการดูไปด้วย สีหน้าทอแววใฝ่ฝัน
“ข้าคิดว่าไว้ข้าโตแล้ว จะต้องเป็นเทพบุตรที่สง่างามเหมือนอย่างเหลียนซานเกอเกอแน่ๆ เลย!”
เห็นนางดูมั่นใจอย่างยิ่งว่าตัวเองจะต้องกลายเป็นเทพบุตรแล้ว ฝ่าบาทสามไม่ทราบควรพูดอะไรดีอย่างหาได้ยากยิ่ง
ทั้งสองกำลังสนทนากันเช่นนี้ พลันได้ยินที่นอกตำหนักมีเสียงนกกรีดร้องสุดเสียงดังมา ดุจหลั่งน้ำตาเป็นโลหิต จากนั้นเสียงร่ำไห้ของสตรีพลันดังมารำไรท่ามกลางม่านราตรี
ทั้งสองชะงัก นิ่งเงียบพร้อมกัน
ช่วงต้นของยามห้าย[5] ดวงจันทร์อยู่กลางฟ้า ตอนที่ฝ่าบาทสามกับจู่ถีน้อยออกไปจากตำหนัก เทียนปู้กับอินหลินที่อยู่ในเรือนรอง[6]ของตำหนักก็ติดตามมาด้วย
ทั้งสี่ติดตามเสียงร้องไห้แผ่วต่ำของสตรีที่ดังขาดๆ หายๆ ท่ามกลางห้วงราตรีไป ทะลุผ่านแปลงดอกไม้สองสามแปลงภายในอุทยาน มาถึงริมทะเลสาบขนาดใหญ่ในส่วนลึกของสวนป่า มองเห็นหอหลังหนึ่งสร้างอยู่ริมทะเลสาบ
ทะเลสาบแห่งนี้ เทียนปู้เคยมาแล้วเช่นกัน ก่อนหน้านี้กลับไม่เคยเห็นว่าริมทะเลสาบมีหออยู่หนึ่งหลัง นางเข้าใจในทันที ปกติแล้วที่นี่น่าจะร่ายเขตแดนบังตาไว้ บัดนี้เขตแดนนั้นน่าจะพังเสียหายหรือถูกถอนออกไป รูปร่างที่แท้จริงของหอภายในเขตแดนจึงได้ปรากฏออกมา
ถึงแม้หอศาลาจะไม่สูง กลับไม่ทราบสร้างขึ้นด้วยสิ่งใด เรืองแสงออกมาด้วยตัวเองท่ามกลางราตรีอันมืดมิด เสียงครวญครางร่ำไห้แผ่วต่ำของสตรีดังมาจากภายในหอศาลาแห่งนี้เอง
พวกเขาเดินไปข้างหน้าต่ออีกช่วงหนึ่ง มาถึงด้านหน้าตรงของหอ พบว่าหอหลังนี้สร้างได้ประณีตบรรจง ใช้เสาสี่ต้นรับน้ำหนัก สร้างอยู่เหนือน้ำ จุดที่เชื่อมต่อกับน้ำปูแก้วผลึกแผ่นใหญ่มหึมา และเวลานี้ บนแก้วผลึกนั้นมีสตรีชุดสีเขียวอ่อนผู้หนึ่งหมอบฟุบอยู่
สตรีผู้นั้นหันหลังให้พวกเขา มองไม่เห็นใบหน้า มีผมที่ยาวมาก และเรือนร่างที่บางมาก ดุจใบไม้ใบหนึ่งแนบติดอยู่บนแก้วผลึก สั่นระริกอย่างอ่อนแรงอยู่ท่ามกลางสายลมราตรี มีแสงอ่อนจางสีฟ้าไหลเวียนวนอยู่รอบร่างของสตรีผู้นั้น ทุกสองสามพริบตา แสงสีฟ้านั้นจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง ผนึกรวมเป็นเส้น เปลี่ยนเป็นบาดตา ดุจอสรพิษร้ายสีแดงคล้ำ ชอนไชเข้าสู่ร่างของสตรีผู้นั้น และทุกครั้งที่ถึงเวลานี้ สตรีผู้นั้นก็จะร่ำไห้ครวญคราง นั่นคือเสียงดิ้นรนด้วยความทุกข์ทรมาน
จะว่าไปแล้ว ยิ่งพวกเขาเข้าไปใกล้มากเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงปราณทิพย์ที่แฝงอยู่ในหอศาลาหลังนั้น เห็นได้ว่านี่คือสถานที่ชั้นเลิศสำหรับการบำเพ็ญภาวนา และแก้วผลึกที่สตรีผู้นั้นฟุบอยู่ ก็เปี่ยมไปด้วยพลังทิพย์ คือสุดยอดของวิเศษที่ช่วยในการบำเพ็ญภาวนา
สรุปรวมสภาพการณ์ของสตรีผู้นั้น ต่อให้เป็นจู่ถีน้อยก็พอจะเข้าใจได้รางๆ แล้ว บางทีสตรีผู้นี้น่าจะปิดด่านเก็บตัวบำเพ็ญภาวนาอยู่ที่นี่ เนื่องจากพลั้งเผลอตอนฝึกฝน เกิดเหตุผิดพลาด จึงได้ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
ดูเหมือนสตรีผู้นี้จะรู้สึกแล้วเช่นกันว่ามีคนเข้ามาใกล้ ขยับตัวอย่างกินแรง เบือนหน้ามา ใบหน้าที่เผือดขาวราวหิมะ เปรอะเปื้อนคราบน้ำตา อ่อนแอน่าเวทนา ไม่อาจนับว่างดงามมากได้ แต่ความถือทิฐิและดื้อรั้นซึ่งซ่อนแฝงภายในคิ้วตาที่อ่อนแอนั้นกลับทำให้ใบหน้าที่ทุกข์ทรมานและซีดขาวนี้ดูพิเศษอย่างยิ่ง
สตรีผู้นั้นมองเห็นพวกเขา เหมือนจะตะลึงลาน เนิ่นนาน นางได้เปล่งเสียงออกมา
“ฝ่าบาทสาม”
จู่ถีน้อยมองสตรีผู้นั้นอย่างสำรวจตรวจตรา ได้ยินนางเอ่ยเรียกเหลียนซ่ง ก็รู้สึกประหลาดใจเป็นเท่าตัว เบือนหน้าไปมองเหลียนซานเกอเกอของนาง แล้วเห็นเหลียนซ่งกำลังมองสตรีผู้นั้นอยู่เช่นกัน สองคิ้วขมวดนิดๆ ครู่สั้นๆ ให้หลัง จู่ถีน้อยได้ยินเขาเอ่ยปาก เรียกสตรีผู้นั้น “เจวี้ยนเอ่อร์”
น้ำเสียงเฉยชามาก ราบเรียบมาก ฟังอะไรไม่ออกทั้งสิ้น
จู่ถีน้อยเดาว่า “เจวี้ยนเอ่อร์” น่าจะเป็นชื่อของสตรีผู้นั้น นางนึกไม่ถึงว่าสตรีผู้นั้นจะรู้จักกับเหลียนซ่ง แต่ลำพังดูจากสีหน้าของคนทั้งสองในตอนนี้ ก็วิเคราะห์ไม่ออกเช่นกันว่าเขาสองคนมีความสัมพันธ์ใดกัน นางอดเลื่อนสายตากลับไปที่ตัวของสตรีผู้นั้นไม่ได้ กลับเห็นว่าแสงสีฟ้าบนร่างของสตรีผู้นั้นได้เปลี่ยนเป็นสีแดง จากนั้นบนใบหน้าของสตรีผู้นั้นปรากฏแววเจ็บปวดรวดร้าวสุดจะทนทาน ร้องครางด้วยความเจ็บปวดออกมาอีกครั้ง
พวกเขาอยู่ใกล้กันมากถึงเพียงนี้ เสียงครวญครางของสตรีผู้นั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อมนี่เอง ละห้อยหวนชวนเวทนา
จู่ถีน้อยขี้ใจอ่อน ฟังจนนึกเวทนา จึงคิดจะเข้าไปหา กลับถูกมือข้างหนึ่งขวางเอาไว้ คือมือของเหลียนซ่ง จู่ถีน้อยเงยหน้าขึ้นอย่างไม่เข้าใจ เหลียนซ่งไม่ได้พูดอะไรกับนาง กลับเป็นอินหลินก้าวเข้ามายืนที่ข้างกายนางอย่างทันกาล พูดกับนางเบาๆ ว่า
“เรารออยู่ตรงนี้แหละขอรับ”
ตอนที่อินหลินพูดกับนาง เหลียนซ่งได้ปล่อยมือของนาง ก้าวเดินเพียงลำพังเข้าไปหาเจวี้ยนเอ่อร์ที่ยังคงถูกเคี่ยวกรำอยู่ท่ามกลางความเจ็บปวด
เจวี้ยนเอ่อร์มองเห็นเหลียนซ่งเดินเข้ามาหานาง พลันน้ำตาไหลดุจสายฝนทันที ฝืนข่มความเจ็บปวดทรมานเปล่งเสียงอื่นนอกเหนือจากเสียงครวญครางออกมาเล็กน้อย เสียงนั้นราวกับร่ำไห้เป็นสายเลือด คือเสียงขอความช่วยเหลือ
“ฝ่าบาทเพคะ ช่วยหม่อมฉันด้วย...”
จากระยะห่างไม่กี่จ้าง จู่ถีน้อยมองเห็นเหลียนซ่งยืนอยู่ตรงหน้าของเจวี้ยนเอ่อร์ หลุบตาลงมองดูเจวี้ยนเอ่อร์อยู่พักหนึ่ง ย่อกายลงนั่ง ยื่นมือไปแตะตรงลำคอของนาง
แสงสีแดงที่รัดพันเจวี้ยนเอ่อร์ไว้ดุจอสรพิษสีชาดเปลี่ยนเป็นซีดลงอย่างรวดเร็ว เสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดของเจวี้ยนเอ่อร์เองก็เบาลงอย่างมาก
เห็นสถานการณ์ของเจวี้ยนเอ่อร์ผ่อนเพลาลงแล้ว จู่ถีน้อยทำท่าลังเลคิดจะเข้าไปหา ครั้งนี้ อินหลินไม่ได้รั้งนาง หนำซ้ำยังเดินไปเป็นเพื่อนนางช่วงหนึ่ง หยุดลงห่างจากข้างหลังของเหลียนซ่งกับเจวี้ยนเอ่อร์สองสามก้าว เทียนปู้ตามหลังคนทั้งสองไปด้วยเช่นกัน
เหลียนซ่งหันกลับมามองเห็นพวกเขา มิได้รู้สึกผิดคาดแต่อย่างใด กล่าวกับอินหลินก่อนว่า “รบกวนท่านช่วยพาอาอวี้กลับไปให้หน่อย” จากนั้นสั่งเทียนปู้ว่า “เจ้ารั้งอยู่ด้วย ช่วยเป็นผู้พิทักษ์ให้ข้า” สุดท้ายมองไปที่จู่ถีน้อย “ข้าจะกลับไปช้าสักหน่อย เจ้ากลับไปนอนก่อนนะ”
จู่ถีน้อยเข้าใจดี เหลียนซ่งสั่งการเช่นนี้ หมายถึงตั้งใจจะรั้งอยู่ช่วยชีวิตเจวี้ยนเอ่อร์
ไม่ว่าอย่างไร การช่วยชีวิตคนก็สำคัญ ด้วยเหตุนี้ถึงแม้นางจะมีคำถามอยู่เล็กน้อย แต่ยังคงพยักหน้าอย่างรู้ความอยู่ดี
เห็นจู่ถีน้อยพยักหน้า เหลียนซ่งได้ช้อนร่างเจวี้ยนเอ่อร์ขึ้นอุ้ม หมุนกายเข้าไปในหอศาลาตรงหน้า เทียนปู้ได้สาวเท้าก้าวตามเข้าไปด้วย
หลังจากอินหลินพาจู่ถีน้อยกลับไปที่ตำหนักฝูหลานแล้ว ได้รั้งอยู่ภายในเรือนประธานของตำหนักด้วย ปูพื้นนอนที่ห้องชั้นนอก
แต่คืนนี้ จู่ถีน้อยนอนไม่ค่อยจะหลับนักอยู่ตลอด เดี๋ยวก็คิดว่าเจวี้ยนเอ่อร์คือใครกันแน่ เดี๋ยวก็คิดว่าเหตุใดเจวี้ยนเอ่อร์ถึงได้รู้จักเหลียนซานเกอเกอของนาง แถมดูแล้วเขาสองคนเหมือนจะสนิทกันมากเสียด้วย จวบจนแสงอุษาเริ่มปรากฏ ณ ขอบฟ้า นางจึงค่อยหลับตาลงนอนไปได้ครู่หนึ่ง
และตลอดทั้งคืน เหลียนซ่งล้วนแต่ไม่ได้กลับมาที่ตำหนักฝูหลาน
<>::<>::<>::<>::<>::<>
[1] สู่เซี่ย แปลว่า ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา คือคำเรียกแทนตัวเองของลูกน้องเวลาพูดกับเจ้านาย
[2] ผ้าหลิง คือ 1 ในผ้าไหมล้ำค่า 4 ชนิดของจีน เป็นผ้าที่ทอโดยไขว้เส้นด้ายไปมาให้เกิดความมันวาว (ดูภาพที่ x หน้า x )
[3] ยามโหย่ว คือเวลา 17:00 - 19:00 น.
[4] ช่วยคนช่วยถึงที่สุด หมายถึง การจะช่วยชีวิตใคร ต้องรับผิดชอบช่วยจนกว่าเขาจะรอดพ้นจากอันตราย
[5] ยามห้าย คือเวลา 21:00 - 23:00 น.
[6] เรือนรอง หรือ ตำหนักรอง คือเรือนที่ตั้งอยู่ริมฝั่งซ้ายและริมฝั่งขวาของตำหนักหลักหรือเรือนประธาน (ดูภาพที่ x หน้า x)