หัวข้อ : บทที่แปด (2)

โพสต์เมื่อ 5 พ.ย. 2568, 08:47

บทที่แปด (2)

 

คืนนี้ฝนได้ตกลงมา ภายใต้ม่านราตรีอันมืดมิด ฟ้าดินมืดสลัว

ฝนราตรีปลายวสันต์ ยังคงค่อนข้างจะเย็นเฉียบ

ตอนที่ฝ่าบาทสามกางร่มกลับมาถึงตำหนักฝูหลาน ก็เป็นยามจื่อ[1]แล้ว

เทียนปู้ที่นอนเฝ้าจู่ถีน้อยตกใจตื่น ได้ยินเสียงฝีเท้าของเขา ก็จุดตะเกียงไปต้อนรับทันที ฝ่าบาทสามยื่นร่มที่หุบแล้วไปให้เทียนปู้ เอ่ยบอกว่าไม่ต้องให้นางปรนนิบัติ ให้นางไปนอนเป็นเพื่อนจู่ถีน้อยก่อน

 

จู่ถีน้อยหลับสนิทแล้ว

ตอนที่ฝ่าบาทสามเช็ดผมออกมาจากในห้องอาบน้ำ ก็ได้ยินภายในห้องชั้นในซึ่งเดิมทีเงียบสงัดพลันมีเสียงครางฮือเบาๆ สองเสียงดังมา คือเสียงของจู่ถีน้อย จากนั้นเป็นเสียงกระซิบอย่างร้อนใจระคนกังวลของเทียนปู้

“จุนซั่ง ตื่นเถอะเจ้าค่ะ”

มือที่เช็ดผมของฝ่าบาทสามชะงัก เร่งเดินไปสองก้าวแหวกม่านแก้วผลึกออก มาถึงข้างเตียงหยกที่จู่ถีน้อยนอนหลับ

หัวเตียงทิ้งหอยกาบกึ่งอ้าปากไว้หนึ่งตัว ข้างในฝังไข่มุกไว้หนึ่งลูก แสงกึ่งหลบเร้นเผยริบหรี่ปกคลุมทั่วทั้งเตียงหยกไว้อย่างนุ่มนวล จู่ถีน้อยภายในผ้าห่มเมฆเหมือนกำลังฝันร้าย สองคิ้วขมวดมุ่นอย่างกระสับกระส่าย บนหน้าผากมีเหงื่อซึม ปากพึมพำอะไรเบาๆ อย่างไม่มีสติ เทียนปู้กำลังกุมมือของจู่ถีน้อย ใบหน้าแฝงแววประหวั่นร้อนรน

ก่อนหน้านี้เจ๋อเหยียนซ่างเสินเฝ้าเตือนแล้วเตือนอีกว่า ห้ามทำให้อารมณ์ของจู่ถีน้อยปั่นป่วนรุนแรงจนเกินไป ไม่เช่นนั้นจะส่งผลกระทบต่อสมดุลของเทวอาตมันได้โดยง่าย ฝ่าบาทสามหน้าเครียดนิดๆ  นั่งลงที่ข้างเตียง รับมือของจู่ถีน้อยมาจากมือของเทียนปู้

“อาอวี้ ตื่นเถอะ” ร้องเรียกติดต่อกันหลายครั้ง

ท่ามกลางเสียงร้องเรียกติดต่อกันหลายครั้งนี้ จู่ถีน้อยค่อยๆ ลืมตาขึ้น หลังจากจับภาพได้ชัดเจน นางมองเห็นเหลียนซ่งที่นั่งอยู่ข้างเตียงเข้า ก็ลุกขึ้นมาโถมเข้าสู่อ้อมแขนของเขาทันที เป็นฝ่ายบอกเล่าว่าตัวเองไปพบเจออะไรมาด้วยเสียงแหบเครือเหมือนเด็กน้อยฟ้องผู้ใหญ่ ในน้ำเสียงแฝงความหวาดหวั่นพรั่นพรึงและตื่นตระหนกงุนงง

“เหลียนซานเกอเกอ ข้าฝันร้าย!”

มือข้างหนึ่งของเหลียนซ่งตบหลังจู่ถีน้อยเบาๆ ปลอบใจนาง มืออีกข้างแตะที่ขมับของนางลองหยั่งเทวอาตมันของนางดู โชคยังดี เทวอาตมันของนางไม่ได้สั่นคลอน

“ไม่เป็นไรแล้ว ข้าอยู่ตรงนี้” เขาปลอบนางเบาๆ  เมื่อรู้สึกว่านางสงบลง ค่อยเอ่ยถามนาง “ฝันถึงอะไรหรือ จึงได้กลัวปานนี้?”

นางผละออกจากอ้อมกอดของเขา แต่มือข้างหนึ่งยังคงกุมแขนเสื้อของเขาไว้ ร่างกายสั่นสะท้านนิดๆ  ฝ่าบาทสามสังเกตเห็นแล้ว กุมมือของนางไว้ รอจนนางปล่อยแขนเสื้อของเขา เขาได้กอบมือทั้งคู่ของนางไว้ในฝ่ามือ เอ่ยปลอบนางอีกครั้ง

“ไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องกลัว” แล้วกล่าวกับนางว่า “ถ้าไม่อยากเล่าว่าฝันถึงอะไร ก็ไม่ต้องเล่าได้”

จู่ถีน้อยนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ส่ายหน้า

“ข้าไม่ได้ไม่อยากเล่า”

ระหว่างคิ้วตาของนางยังคงมีแววตื่นตระหนกหวาดหวั่นจับอยู่นิดๆ  เสียงแหบเล็กน้อย

“นั่นคือฝันพยากรณ์ ข้ารู้ เพราะว่าก่อนหน้านี้เวลาข้าฝันพยากรณ์ ก็เป็นแบบนี้แหละ ข้าเหมือนเป็นคนดูอยู่ด้านข้าง เดินเข้าไปในฉากที่ไม่คุ้นตาซึ่งเกี่ยวข้องกับตัวข้า”

นางย้อนนึก

“ครั้งนี้ ข้าเดินเข้าไปในปราสาทหินหลังหนึ่ง ปราสาทหินหลังนั้นโอ่อ่างดงามอย่างมาก ในส่วนลึกของปราสาทหิน มีเตียงหยกหลังใหญ่มากอยู่หนึ่งหลัง บนเตียงหยก มีคนสองคนนั่งหันหน้าเข้าหากัน คือเหลียนซานเกอเกอท่าน กับตัวข้าที่โตแล้ว เรากำลังคุยกัน ข้าอยากจะฟังให้ชัดๆ ว่าเรากำลังคุยอะไรกัน จึงคิดจะเดินเข้าไปใกล้ๆ หน่อย”

เล่าถึงตรงนี้ บุรุษสรรพนามของนางเริ่มที่จะสับสน แต่ฝ่าบาทสามฟังเข้าใจทั้งหมด

“จากนั้นเล่า?” เขาถามนางเบาๆ

“จากนั้นข้าก็เดินเข้าไปใกล้” จู่ถีน้อยเอ่ยตอบเบาๆ เช่นกัน “เมื่อในที่สุดข้าก็เดินเข้าไปใกล้จนสามารถได้ยินที่เราคุยกัน ข้าได้ยินตัวข้าที่โตแล้วนั่นพูดกับเหลียนซานเกอเกอว่า”

นางหยุดชะงัก พูดแก้ที่เล่าบรรยายไปเมื่อครู่นี้

“ไม่ใช่สิ นางกำลังถามท่าน นางถามท่านว่า ‘หน้าไม้ทองจิ๋วที่ข้าให้เจ้าคันนั้น เจ้าชอบหรือไม่?’ ”

หน้าไม้ทองจิ๋วที่ข้าให้เจ้าคันนั้น เจ้าชอบหรือไม่? นั่นคือคำพูดที่เทพจู่ถีซึ่งเป็นผู้ใหญ่กล่าวกับเหลียนซ่งตอนเขาดูเทพจู่ถีที่ปลอมตัวออก ในตำหนักอัญชนาของวังแปรพระราชฐานพันสะบั้นในคืนสมรสของชิ่งเจียง

เหลียนซ่งยังคงจำได้ ตอนที่เทพจู่ถีกล่าวถ้อยคำนั้น ได้เอียงศีรษะนิดๆ เม้มปากแย้มยิ้ม ท่วงทีกิริยาสง่างดงามบาดตา สีหน้าท่าทางเป็นธรรมชาติ

ความจริงคิ้วตาของจู่ถีน้อยในยามนี้มิได้แตกต่างจากเทพจู่ถีหลังจากเป็นผู้ใหญ่เท่าไรนัก เพียงแต่ค่อนข้างจะอ่อนเยาว์ ประกอบกับเวลานี้ร่างกายของนางไม่มีเพศ บุคลิกอันละมุนละไมของเด็กสาวยังไม่นับว่าแจ่มชัด ดูแล้วก็คือเด็กน้อยผู้หนึ่ง

แต่เทพจู่ถีที่เป็นผู้ใหญ่ คิ้วดำขลับปากแดงสด งดงามล่มเมือง ยามเมื่อนางคลี่ยิ้มบางๆ  ใบหน้าอันงดงามสดใสนั้นได้เผยแววเฉลียวฉลาดมากเล่ห์ ทั้งยังให้อารมณ์หอมหวนเย้ายวน ซึ่งชวนให้ลุ่มหลงยิ่งนัก

ช่างประหลาดแท้ เขาเคยพบหน้านางแค่ครั้งเดียวนั่นเท่านั้น แต่ใบหน้าของนางและทุกรายละเอียดที่ได้อยู่ร่วมกับนางในคืนนั้น เขากลับยังคงจำได้อย่างแม่นยำถึงเพียงนั้นทั้งหมด

มือของจู่ถีน้อยขยับยุกยิก ขัดจังหวะการย้อนนึกของเหลียนซ่ง น่าจะไม่ได้สังเกตเห็นว่าเหลียนซ่งกำลังใจลอย ในดวงตาใสกระจ่างคู่นั้นได้ผุดแววกังขานิดๆ  กล่าวต่อว่า

“ข้ารู้สึกแปลกใจมาก หน้าไม้น่ะข้าประดิษฐ์ได้เก่งมาก แต่ถ้าเหลียนซานเกอเกอก็ชอบใช้หน้าไม้เหมือนกัน ข้าน่าจะทำหน้าไม้หนักที่มีพลังสูงมากให้ท่านสิถึงจะถูก หน้าไม้ทองจิ๋ว คือของที่เป็นเหมือนของเล่นไม่ใช่หรือ เหตุใดข้าถึงประดิษฐ์หน้าไม้ทองจิ๋วให้ท่านกันเล่า?”

“คงเป็นเพราะว่าข้ากับเจ้ามีความเกี่ยวพันอะไรกัน เป็นเพราะความเกี่ยวพันนั้น เจ้าถึงได้มอบหน้าไม้ทองจิ๋วให้ข้ากระมัง” ฝ่าบาทสามเอ่ยตอบนางไปเช่นนี้

จู่ถีน้อยฟังไม่เข้าใจ ทำสีหน้าอยากรู้

“ความเกี่ยวพัน? ความเกี่ยวพันอะไรงั้นหรือ?”

ความเกี่ยวพันอะไร? เหลียนซ่งก็ไม่ทราบเช่นกัน เพียงแต่เขานึกขึ้นได้ถึงคำพูดที่กล่าวไม่จบของอินหลินในระหว่างการเดินทางมายังเผ่าวิหคคราม

เพลานั้นอินหลินซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะหมากล้อมได้วิจารณ์เขากับเทพจู่ถีขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า

“เจ้ากับนางมีวาสนาต่อกันอย่างมาก หากว่านี่คือลิขิตสวรรค์...”

ถึงแม้อินหลินจะได้สติรู้ตัวในทันที กลบเกลื่อนผ่านประเด็นนี้ไปอย่างคลุมเครือ แต่ฝ่าบาทสามแห่งเผ่าสวรรค์ขึ้นชื่ออย่างมากเรื่องความคิดละเอียดถี่ถ้วนดุจเส้นผม เขาไม่ได้เชื่อคำกล่าวกลบเกลื่อนของอินหลิน และไม่เชื่อว่าวาสนาที่อินหลินเอ่ยถึง หมายถึงความผูกพันระหว่างตัวเขาที่เป็นเทพวารีกับรัศมีเทพ อันมีที่มาจากการเป็นเทพแห่งธรรมชาติ

ในยามนี้ เหลียนซ่งมองดูจู่ถีน้อยซึ่งมีสีหน้าพิศวงงุนงง ถามเขาว่าระหว่างเขากับนางมีความเกี่ยวพันอะไรกัน ขยี้ผมของนางเบาๆ

“ข้าเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน เอาไว้เจ้า...โตแล้ว บางทีเจ้าอาจจะรู้ ถึงตอนนั้น ข้าก็อยากให้เจ้าช่วยเฉลยให้ข้ารู้เหมือนกัน”

รอจนนางฟื้นกลับคืนเป็นปกติ เขาอยากจะขอให้นางช่วยเฉลยข้อสงสัยให้เขาจริงๆ

จู่ถีน้อยรู้เรื่องครึ่งไม่รู้เรื่องครึ่ง แต่นางยังคงรับปากว่า

“เอาอย่างนั้นก็ได้” นางขมวดคิ้ว ย้อนนึกถึงความฝันเมื่อครู่ก่อนนั้นต่อ น่าจะเป็นได้ย้อนนึกไปถึงช่วงที่ไม่อยากจะนึกถึงมากที่สุด เนื่องจากนางกำมือเป็นหมัดแน่นมาก และเขาก็รู้สึกได้ในทันที

“จากนั้น ข้าก็เริ่มกระอักเลือด” เสียงของนางสั่นนิดๆ ขนตาก็สั่นระริกราวกับหวาดหวั่นเสียขวัญ “กระอักเลือดไม่ยอมหยุด ร่างกายก็เจ็บมากด้วย”

บอกเล่าถึงตรงนี้ ราวกับความหวาดหวั่นพรั่นพรึงในความฝันได้ครอบงำตัวนางอีกครั้ง นางกดศีรษะลงบนบ่าเขา ราวกับว่าการพิงเหลียนซ่งไว้เช่นนี้ สามารถทำให้นางรู้สึกมั่นคงปลอดภัยได้ หลังจากความกลัวผ่านไปแล้ว ก็คือความรู้สึกแย่ นางพึมพำเบาๆ

“ทั้งตัวข้ามีแต่เลือด แล้วยังเจ็บมาก ข้ากลัวมากจริงๆ นะ จากนั้นก็ได้ยินเหลียนซานเกอเกอร้องบอกให้ข้าตื่น ข้าเลยตื่น”

สำหรับเทพจู่ถีที่อายุยังน้อยแล้ว นี่คือฝันพยากรณ์ที่น่ากลัวมาก เรียกว่า ฝันร้าย ได้จริงแท้

เหลียนซ่งปล่อยให้จู่ถีน้อยพิงบนไหล่ของเขา ตบหลังของนางเบาๆ “ในความฝันยังมีข้าอยู่ข้างกายเจ้าด้วยไม่ใช่หรือ ต่อให้ในวันหน้าจะเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นจริงๆ  ข้าก็จะช่วยเจ้า จะไม่ให้เจ้าต้องเจ็บปวดปานนั้นอย่างแน่นอน”

น้ำเสียงของเขามั่นใจ ทำให้นางสบายใจ นางเอียงศีรษะนิดๆ  เหมือนคิดเล็กน้อย “ก่อนที่ข้าจะตื่น ดูเหมือนจะมองเห็นในความฝันว่าเหลียนซานเกอเกอก็ตกใจมากเหมือนกัน ทำท่าจะเดินมาที่ตัวข้าทันทีจริงๆ นั่นแหละ”

เขาขยี้ผมนางอีกครั้ง ทำเสียง “อืม” ใช้น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความรู้สึกปลอบประโลมกล่อมนางว่า “ดังนั้นไม่ต้องกลัว”

นางเอ่ยตอบเบาๆ “อืม”

เห็นนางสงบลงแล้ว เหลียนซ่งมองดูเวลาแวบหนึ่ง ถามนางด้วยน้ำเสียงหารือ

“เพิ่งจะถึงยามจื่อ ไม่ต้องคิดอะไรแล้วละ เจ้านอนต่อดีหรือไม่?”

นางยกศีรษะขึ้นมาจากบ่าของเขา มองหน้าเขาแวบหนึ่ง จากนั้นพยักหน้าอย่างว่าง่ายยิ่ง

เหลียนซ่งให้จู่ถีน้อยกลับเข้าไปนอนในผ้าห่มเมฆอีกครั้ง ช่วยเหน็บผ้าห่มให้นาง แต่นางยื่นมือออกมาอย่างลังเล คว้าแขนเสื้อของเขาไว้อีกครั้ง เหลียนซ่งมองดูแขนเสื้อของตนที่ถูกคว้าไว้ คิดเล็กน้อย เสกเบาะออกมาหนึ่งใบวางลงบนแท่นวางเท้า นั่งลงพิงเตียงหยก ปล่อยให้จู่ถีน้อยหนุนแขนเสื้อของเขา มืออีกข้างของเขาตบไหล่ของจู่ถีน้อยเบาๆ  กล่อมให้นางหลับ

จู่ถีน้อยหลับตาลงภายใต้การปลอบโยนของเขา ลมหายใจค่อยๆ ทอดยาว

เทียนปู้ที่ถอยไปถึงปลายเตียงได้ก้าวเข้ามาหาในจังหวะนี้ กระซิบว่า “หลายวันมานี้ฝ่าบาทเองทรงเหนื่อยแล้วเช่นกัน ไปพักผ่อนเถิดเพคะ ให้หนูปี้จัดการเอง?”

ฝ่าบาทสามมองดูใบหน้าที่นอนหลับอย่างสงบของจู่ถีน้อยอยู่ครู่หนึ่ง เงียบไปชั่วแล่น เอ่ยว่า

“ไม่เป็นไร เกิดทำให้นางตื่นอีกกลับจะยิ่งแย่ ข้าทำเอง”

 

ยามจื่อเงียบสงัด

มีเสียงลมฝนลอดเข้ามาภายในห้องอยู่รำไร

เหลียนซ่งหลุบตาลงมองจู่ถีน้อย ความจริงแล้วตอนที่นางเริ่มเล่าบรรยายถึงความฝันนั้น บอกว่านางฝันเห็นปราสาทหินหลังหนึ่ง เตียงหยกหลังหนึ่ง บนเตียงหยกมีคนสองคนนั่งหันหน้าเข้าหากัน เขาก็คาดเดาได้แล้วว่าที่นางฝันถึงคืออะไร

หากนางคือจู่ถีในวัยเยาว์ตัวจริงเมื่อสามแสนกว่าปีก่อนผู้นั้น นี่ย่อมจะเป็นฝันพยากรณ์ของแท้ แต่ว่านางไม่ใช่ ที่นางฝันเห็น คือเรื่องที่เคยเกิดขึ้นไปแล้ว คือความทรงจำในอดีตของนางเอง ดังนั้นนี่คือ...การสื่อนัยล่วงหน้าว่าความทรงจำของนางกำลังฟื้นกลับมาอย่างนั้นหรือ? แต่หากว่าพลังฤทธิ์ของนางกำลังเข้าไปแทนที่พลังทิพย์ภายในร่างที่กำลังต้านทานพลังชั่วร้ายทีละนิดๆ  และนางกำลังค่อยๆ ฟื้นฟูกลับคืนเป็นปกติ อย่างนั้นเหตุใดร่างกายของนางจึงไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เล่า?

ฝ่าบาทสามนวดขมับ ดูท่าทางเรื่องนี้จำเป็นต้องเขียนจดหมายสักฉบับไปขอคำชี้แนะจากเจ๋อเหยียนซ่างเสินดูเสียแล้ว

รออีกหนึ่งเค่อ เห็นจู่ถีน้อยหลับสนิทดีแล้ว ฝ่าบาทสามหยิบขวดหยกใบหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ งัดฝาขวดหยกออกด้วยมือเดียว เทเม็ดยาตานสีขาวเม็ดหนึ่งออกมา เม็ดยาตานลอยอยู่กลางอากาศ มือขวาของฝ่าบาทสามทำมุทรา ในมุทราเกิดแสงสีฟ้าเรื่อๆ  เม็ดยาตานถูกแสงสีฟ้าปกคลุม หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับแสงสีฟ้านั้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นตรงเข้าห่อหุ้มร่างของจู่ถีน้อยที่หลับใหลอย่างแผ่วเบา

เม็ดยาตานนี้คือยาลูกกลอนคุ้มครองจิต เหล่าเซียนมหาดเล็กของวังหยวนจี๋เป็นผู้ส่งมาเช้าวันนี้ เซียนมหาดเล็กระดับล่างสองนายบอกว่านี่คือเจ๋อเหยียนซ่างเสินใช้ให้คนนำมาส่งที่วังหยวนจี๋ บอกอีกว่าเซียนจวินที่นำเม็ดยาตานนี้มาส่งบอกพวกเขาว่า นี่คือที่ช่วงนี้เจ๋อเหยียนซ่างเสินทุ่มเทความพยายามอย่างมากกลั่นออกมา ซ่างเสินบอกว่าจะดีที่สุดถ้าใช้เจ้านี่กับตัวคนไข้โดยเร็วที่สุดได้

คำกล่าวของเจ๋อเหยียนซ่างเสินกำชับอย่างซ่อนนัย แต่ฝ่าบาทสามได้ฟังปุบก็เข้าใจ น่าจะเป็นเจ๋อเหยียนรู้ว่ายังห่างจากเวลาที่องค์มหาเทพจะออกจากด่านอีกหลายวัน ด้วยเหตุนี้จึงกลั่นยาตานนี้ให้จู่ถีน้อย เพื่อให้เทวอาตมันของนางเสถียร

คืนนี้ เม็ดยาตานเม็ดนี้ได้ใช้ประโยชน์พอดี

ความจริงแล้ว ไม่ว่าการที่จู่ถีน้อยฝันเช่นนี้จะเป็นลางบอกเหตุอะไร การเร่งให้องค์มหาเทพออกจากด่านในเร็ววัน ใช้พลังของท่านไปต้านทานพลังชั่วร้ายภายในร่างของจู่ถีน้อย ช่วยให้นางแลกเปลี่ยนพลังทิพย์ออกมาฟื้นฟูร่างจริงโดยเร็ว อย่างไรก็ไม่มีทางผิดพลาดแน่นอน

ฝ่าบาทสามคิดในใจว่าพรุ่งนี้ต้องเรียกตัวเซียนมหาดเล็กเซียงเฉินในยี่สิบสี่มหาดเล็กบุ๋นบู๊มาหาเสียแล้ว ให้เขาไปพักอยู่ในวังมหาอรุณจะดีที่สุด เช่นนี้ ทันทีที่ภายในเรือนเทิดตำราซึ่งองค์มหาเทพปิดด่านมีความเคลื่อนไหว เซียงเฉินก็จะสามารถแทรกช่องว่างเข้าไปเร่งได้แล้ว...

นอกตำหนักเสียงฝนเย็นเฉียบดังเปาะแปะ ภายในห้องกลับอุ่นยิ่ง ฝ่าบาทสามคิดเช่นนี้พลางเริ่มจะค่อยๆ ง่วงนอนเช่นกัน เขายกมือขึ้นนวดขมับเบาๆ

 

ตอนที่จู่ถีน้อยตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น เหลียนซ่งก็ไม่อยู่แล้ว นางยังคงจำเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ได้ทั้งหมด นิ่งใจลอยไปชั่วครู่ ได้ยินว่าจู๋อวี่มาหานาง ก็ล้างหน้าล้างตาแล้วออกไปพบจู๋อวี่

นับตั้งแต่ไท่จื่อฟื้นขึ้นมา จู๋อวี่ก็สูญเสียโอกาสในการปรนนิบัติที่หน้าเตียงขององค์ไท่จื่อตลอดเวลาไป ได้แต่ไปเยี่ยมไท่จื่อนิดๆ หน่อยๆ ที่ตำหนักฝูปอบ่อยๆ  กระนั้นไท่จื่อเย็นชา ทั้งสองอยู่ด้วยกันก็ไม่ได้สนทนากัน เพื่อเลี่ยงความกระอักกระอ่วน นางจึงมาชวนจู่ถีน้อยไปเยี่ยมไท่จื่อด้วยกันนานๆ ครั้ง

ถึงแม้ต่อให้มีจู่ถีน้อยอยู่ด้วย ไท่จื่อก็ยังคงเย็นชาอยู่เหมือนเดิมก็ตาม แต่ได้เห็นไท่จื่อก็ไม่ได้กระตือรือร้นกับจู่ถีน้อยด้วยเหมือนกัน หัวใจของจู๋อวี่ก็สงบลงได้

หกเจ็ดวันหลังจากนั้นมา จู่ถีน้อยต่างไม่ได้พบเจอเหลียนซ่งอีก ได้ยินเทียนปู้บอกว่า เป็นเพราะว่าอาการบาดเจ็บของเจวี้ยนเอ่อร์เป็นๆ หายๆ  ถึงแม้ผู้เฒ่าคงซานจะสามารถใช้ยากับเจวี้ยนเอ่อร์ได้ แต่ทว่ากระแสปราณภายในร่างของเจวี้ยนเอ่อร์ ยังจำเป็นต้องให้ผู้ที่มีวิชาเซียนโดดเด่นช่วยจัดระเบียบให้อยู่ ฝ่าบาทสามจึงพักอยู่ในหอกลางน้ำแห่งนั้นชั่วคราว

เทียนปู้กล่าวอีกว่า “ถึงแม้ฝ่าบาทจะไม่อยู่ที่ตำหนักฝูหลาน แต่ทรงกำชับมาเป็นพิเศษว่าหนูปี้ต้องคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายจุนซั่งตลอดเวลาเจ้าค่ะ ทั้งยังบัญชาหนูปี้ว่า ทันทีที่จุนซั่งมีธุระใด ให้รีบรายงานฝ่าบาททันที”

ในฐานะที่เป็นเซียนเพียงผู้เดียวภายในวังหยวนจี๋นอกเหนือจากฝ่าบาทสามที่ทราบศักดิ์ฐานะของจู่ถีน้อย เทียนปู้สุภาพระมัดระวังและละเอียดรอบคอบ กลัวจู่ถีน้อยจะเข้าใจผิดว่าเหลียนซ่งเชือนแชต่อนาง แล้วใคร่ครวญพลางกล่าวเพิ่มอีกประโยค

“ตอนเจวี้ยนเอ่อร์อาศัยอยู่ที่วังหยวนจี๋ ฝ่าบาททรงดูแลนางเหมือนเป็นน้องสาวมาโดยตลอด บัดนี้หมื่นปีผ่านไป ถึงแม้สายสัมพันธ์ในกาลก่อนจะจืดจางไปแล้ว จะอย่างไรก็ยังหลงเหลือไมตรีจิตฉันพี่ชายน้องสาวอยู่เล็กน้อย ด้วยเหตุนี้หลายวันมานี้ฝ่าบาทจึงช่วยดูแลนางมากสักหน่อย ขอจุนซั่งโปรดเห็นใจกันสักนิดนะเจ้าคะ”

ความจริงแล้วจู่ถีน้อยไม่ได้ใส่ใจเรื่องไม่ได้เจอเหลียนซ่งมาหลายวัน การเล่นเป็นเพื่อนนางกับช่วยชีวิตคน แน่นอนว่าการช่วยชีวิตคนย่อมจะสำคัญกว่า แต่ยามนี้ ได้ฟังเทียนปู้บอกว่าเหลียนซ่งมีไมตรีจิตฉันพี่ชายน้องสาวให้เจวี้ยนเอ่อร์ นางกลับทำตาโตอย่างห้ามไม่อยู่

“อะไรนะ?” นางชะงักช้อนที่คนข้าวต้มโจ๊ก ตกใจอย่างมาก “แต่เหลียนซานเกอเกอบอกว่า ก่อนหน้าข้า ไม่เคยมีใครเรียกเขาว่า ‘เกอเกอ’ มาก่อนนี่นา”

เทียนปู้อธิบายว่า “ฐานะของเจวี้ยนเอ่อร์ ย่อมไม่สูงพอจะเรียกฝ่าบาทสามว่า ‘เกอเกอ’ เจ้าค่ะ หนูปี้หมายความว่า แม้จะไม่ได้เรียกขานเช่นนี้ แต่กาลก่อนตอนที่เจวี้ยนเอ่อร์พักอาศัยอยู่ในวัง ฝ่าบาททรงปฏิบัติต่อนางเหมือนมีไมตรีจิตฉันพี่ชายน้องสาวจริงๆ เจ้าค่ะ...” เป็นต้นว่าฝ่าบาทสามจัดพิธีลุวัยผู้ใหญ่ให้เจวี้ยนเอ่อร์ เลือกสามีให้เจวี้ยนเอ่อร์ ซึ่งเรื่องนี้เป็นหน้าที่ที่ปกติแล้วหากภายในบ้านไม่มีบิดามารดา พี่ชายล้วนแต่จะต้องเป็นผู้กระทำแทน

ได้ฟังคำกล่าวนี้ของเทียนปู้ จู่ถีน้อยจมอยู่ในห้วงความคิด

“ไมตรีจิตฉันพี่ชายน้องสาว” นางถามเทียนปู้อย่างอยากรู้ “งั้น...เหลียนซานเกอเกอจะขึ้นเขาสำรวจถ้ำ นั่งเรือเที่ยวทะเลสาบเป็นเพื่อนเจวี้ยนเอ่อร์หรือไม่? พวกเขาก็พักอยู่ที่เดียวกันด้วย? กินข้าวด้วยกัน? เล่นด้วยกัน?”

เทียนปู้ตะลึงงงไปชั่ววูบ รู้สึกว่าคำถามเหล่านี้ของจู่ถีน้อยออกจะแปลกๆ  แต่แปลกในที่ใด นางเองก็บอกไม่ได้ในทันที คิดเล็กน้อย กล่าวตอบไปตามตรงว่า

“เจวี้ยนเอ่อร์ไม่ชอบออกไปข้างนอก หากฝ่าบาทสามเสด็จออกไปนอกวัง ปกติจะไม่ค่อยได้พานางไปด้วยเจ้าค่ะ แต่เวลาฝ่าบาทอยู่ค้างในวัง จะทรงเล่นหมากล้อมบ้างอะไรบ้างกับนาง จริงสิ ตอนนั้นเจวี้ยนเอ่อร์มีการบ้านเยอะมาก ดังนั้นนานๆ ครั้งฝ่าบาทยังจะเลือกตรวจดูผลการเรียนของนางอีกด้วยเจ้าค่ะ”

จู่ถีน้อยทำเสียง “อ้อ” อย่างครุ่นคิด

จะตรวจดูผลการเรียน อย่างนั้นก็นับว่าเป็นพี่ชายน้องสาวที่รักใคร่กันมากได้จริงแท้ เพราะว่าเส้อเจียก็ตรวจดูผลการเรียนของเซี่ยหมิง

ในใจนางเริ่มจะหนักอึ้งอย่างห้ามไม่อยู่

อันมนุษย์เมื่อแรกนั้น จุดกำเนิดแห่งความรักทั้งปวง คือความรักใคร่ผูกพันของคนในครอบครัว จุดกำเนิดแห่งความรักใคร่ผูกพันของคนในครอบครัว คือความรักที่มีต่อผู้ให้กำเนิด...ความรู้สึกที่มีต่อบิดามารดา แต่เนื่องจากจู่ถีน้อยถือกำเนิดจากกลางแสง ไร้บิดามารดา ความเข้าใจเกี่ยวกับความรักใคร่ผูกพันของคนในครอบครัวทั้งหมดของนาง ล้วนแต่มาจากตัวเส้อเจียกับเซี่ยหมิงทั้งสิ้น ดังนั้นนางจึงเชื่อมาตลอดว่า รากฐานของความรักใคร่ผูกพันของคนในครอบครัว ก็คือความรักระหว่างพี่ชายกับน้องสาว

การปกป้องดูแลชนิดทุ่มเทอย่างที่สุดซึ่งเส้อเจียมีต่อเซี่ยหมิง ทำให้นางมองเห็นถึงความดีงามของอารมณ์ความรู้สึกประเภทนี้ นางทั้งชอบและอิจฉาการปกป้องดูแลอย่างทุ่มเทแบบนั้น ดังนั้นตอนที่เหลียนซ่งอยากจะเป็นพี่ชายของนาง เมื่อยืนยันจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีคนอื่นเรียกเขาว่า “เกอเกอ”  นางจึงรับปากเขาทันทีอย่างไม่มีการลังเล

แต่ใครจะไปนึกเล่าว่า นางเพิ่งจะนับพี่ชายคนนี้ได้แค่หนึ่งเดือนกว่า เขาก็มีน้องสาวรายอื่นโผล่มาเสียแล้ว?

ไม่กี่วันก่อนนางเคยถามเทียนปู้อย่างอยากรู้ว่าเจวี้ยนเอ่อร์ชอบเหลียนซ่งใช่หรือไม่ หากเจวี้ยนเอ่อร์คือหนึ่งในบรรดาหญิงงามที่หลงรักเหลียนซ่งเหล่านั้น นางยังรู้สึกว่าไม่มีอะไร แต่เจวี้ยนเอ่อร์กลับเป็นน้องสาวของเหลียนซ่ง นางจึงเครียดเขม็งขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันนางก็เข้าใจในที่สุดเช่นกันว่า เหตุใดตอนนั้นเซี่ยหมิงถึงได้ไม่ยอมให้นางเรียกเส้อเจียว่า “เกอเกอ” โดยเด็ดขาด นั่นคือความรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของที่ทั้งใสซื่อและเห็นแก่ตัวของเด็ก คือการไม่อยากจะถูกแบ่งปันการปกป้องดูแลอย่างทุ่มเทที่พิเศษนั้นไป

อื้อ ความรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ใช่แล้ว ความรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ

คำนี้เมื่อก่อนเคยแต่ได้ยินพวกดอกไม้พูดถึง ตอนนั้นนางยังไม่ค่อยจะเข้าใจนัก บัดนี้กลับรู้สึกว่าสัมผัสได้จริงๆ แล้ว

ที่แท้นี่เองหรือคือความรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ

ความรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของนี้ทำให้ตัวนางหงุดหงิดงุ่นง่านแบบนี้ ดูท่าทางจะไม่ใช่ของดีเด่อะไร

นางคิดในใจอย่างห่อเหี่ยวอยู่ชั่วครู่

เฮ้อ สุดท้ายตัวข้ารัศมีเทพน้อยก็มอบให้ผิดคนเสียแล้ว

แต่พอคิดดูอีกที เหลียนซ่งก็ไม่ได้โกหกนางละนะ ถึงแม้เจวี้ยนเอ่อร์จะมีไมตรีจิตฉันพี่ชายน้องสาวกับเขา แต่ไม่เคยเรียกเขาว่า “เกอเกอ” จริงๆ นั่นแหละ อีกอย่าง เจวี้ยนเอ่อร์ก็ไม่ได้ผิดอะไรสักหน่อย นางรู้จักเหลียนซ่งตั้งแต่เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนแล้ว รู้จักเหลียนซ่งก่อนนางนานมากกกก หากเจวี้ยนเอ่อร์ก็มีความรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของรุนแรงเหมือนอย่างนางกับเซี่ยหมิงด้วย อย่างนั้นเจวี้ยนเอ่อร์จะเกลียดนางมากแค่ไหนกันนะ? ในเรื่องนี้ ผู้ที่มีสิทธิ์รู้สึกหงุดหงิดและต่อต้านมากยิ่งกว่า ควรเป็นเจวี้ยนเอ่อร์สิถึงจะถูก

คิดถึงประเด็นนี้ จู่ถีน้อยอดถอนหายใจไม่ได้

ช่างเถิด เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว นางไม่สามารถเป็นเหมือนเซี่ยหมิงที่มีพี่ชายเป็นของนางคนเดียวเสียแล้วละ ถ้ายังอยากจะได้รับการดูแลเอาใจใส่มากๆ ละก็ อย่างนั้นในวันหน้า...นับพี่ชายเพิ่มอีกสักสองสามคน ดูเหมือนก็ได้อยู่นะ?

เทียนปู้เห็นจู่ถีน้อยเดี๋ยวก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เดี๋ยวก็ทำหน้าห่อเหี่ยวหม่นหมอง เดี๋ยวก็ทำหน้ากระจ่างแจ้งอีกแล้ว ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น อดถามนางไม่ได้ว่าเป็นอะไรไป

จู่ถีน้อยที่คิดตกแล้วหยิบช้อนขึ้นมาอีกครั้ง ตักข้าวต้มโจ๊กไปพลางโบกมืออย่างองอาจไปพลาง กล่าวอย่างสุขุมเยือกเย็นว่า

“ไม่มีอะไร เหลียนซานเกอเกอ เอ้อ ให้เขาดูแลองค์กษัตรีย์เจวี้ยนเอ่อร์ให้ดีๆ ไปเถิด ข้าไปเล่นแก้เบื่อกับจู๋อวี่ได้ ข้าไม่ได้เป็นอะไร”

 

ผลคือ ช่วงเช้าวันนั้นเพิ่งจะคุยกับเทียนปู้ถึงเจวี้ยนเอ่อร์ ช่วงบ่ายจู่ถีน้อยที่วนเวียนอยู่ริมทะเลสาบอู่เสวียนรอจู๋อวี่ ก็ได้พบกับเจวี้ยนเอ่อร์โดยบังเอิญ

บางทีกล่าวว่า “บังเอิญ” อาจจะไม่เหมาะสมนักเช่นกัน เจวี้ยนเอ่อร์กำลังพักผ่อนในศาลาหลังเล็กริมทะเลสาบ มองเห็นจู่ถีน้อยที่กำลังเดินเยื้องย่างชมทะเลสาบ ก็สั่งให้นางกำนัลที่ข้างกายเข้าไปเชิญจู่ถีน้อยมาสนทนากันในศาลา

ความจริงแล้วจู่ถีน้อยมองไม่เห็นเจวี้ยนเอ่อร์ เนื่องจากเจวี้ยนเอ่อร์โดนลมไม่ได้ ศาลาหลังเล็กนั้นใช้ไหมทองเสื่อหยกล้อมไว้อย่างแน่นหนา ภายในศาลาก็มีฉากบังลมหลายฉาก นางกับเจวี้ยนเอ่อร์คุยกันผ่านฉากบังลมฉากหนึ่ง นางสามารถมองรูปร่างของเจวี้ยนเอ่อร์ออกได้รำไร เห็นเจวี้ยนเอ่อร์เหมือนจะกึ่งเอนกายอยู่บนตั่งเตี้ยตัวหนึ่ง มือข้างหนึ่งค้ำอยู่กับหมอนสูงใบหนึ่ง มืออีกข้างถือหนังสือเล่มหนึ่ง

เผ่าวิหคครามไม่ได้เคร่งครัดเรื่องห้ามบุรุษสตรีใกล้ชิดกัน อย่าว่าแต่เจวี้ยนเอ่อร์คือกษัตรีย์ การเรียกผู้อื่นมาสนทนากันผ่านฉากบังลม ก็แค่เพื่อแสดงให้ประจักษ์ถึงความสูงศักดิ์และต่ำศักดิ์เท่านั้น...ต้องให้ผู้ที่ถูกเรียกมาพบได้ตระหนักถึงความแตกต่างดุจฟ้ากับเหวของฐานะตัวเองกับกษัตรีย์ตั้งแต่แรก

กระนั้นรัศมีเทพน้อยที่เกิดมาก็เป็นนายของกูเหยา ถูกสิ่งมีชีวิตทิพย์ทั่วทั้งกูเหยาพากันเคารพเทิดทูน ตลอดชีวิตไม่เคยที่จะวางมาดเช่นนี้เลย ดังนั้นจึงมิได้เข้าใจว่าการสนทนากับผู้อื่นผ่านฉากบังลมยังมีนัยเช่นนี้อยู่ด้วย เพียงหลงเข้าใจว่าเจวี้ยนเอ่อร์กลัวว่าจะแพร่โรคมาให้ตัวนางเท่านั้น

นางรู้สึกว่าเจวี้ยนเอ่อร์ช่างใจดีและเอาใจใส่ นิสัยไม่เลวเลย ทั้งยังลืมชาติกำเนิดของนางที่เทียนปู้แต่งขึ้นหลอกถายเหยี่ยจวิน...นางคือเปี่ยวตี้ญาติห่างๆ ที่กำพร้ามารดาบิดาแต่ยังเยาว์ของฝ่าบาทสามเสียสนิทอีกด้วย

คุณชายผู้ดีในตระกูลสายรองที่ตกยากของเผ่าสวรรค์ผู้หนึ่ง ต่อให้เข้าสู่วังหยวนจี๋ ได้รับการคุ้มครองจากฝ่าบาทสาม การเข้าเฝ้ากษัตริย์ของหนึ่งในบรรดาเผ่าซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของชิงชิว ก็ต้องกราบถวายบังคมอยู่ดี แต่ในชีวิตนี้จู่ถีน้อยเคยกราบใครบ้าง?

พบหน้าผู้อื่นนางไม่ให้อีกฝ่ายกราบนาง ก็ถือว่านางใจดีแล้ว

ฝั่งนี้ของฉากบังลม เจวี้ยนเอ่อร์เฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อให้จู่ถีน้อยมากราบถวายบังคมนาง

ฝั่งนั้นของฉากบังลม จู่ถีน้อยได้หาเก้าอี้หยกตัวหนึ่งมาให้ตัวเองนั่งลงอย่างรู้สึกว่าตัวนางได้ยอมลดศักดิ์ศรีลงมาแล้ว เอ่ยถามเจวี้ยนเอ่อร์อย่างโอ่อ่าผ่าเผยว่

“อาการบาดเจ็บขององค์กษัตรีย์ยังไม่หายดี นั่งอยู่ในศาลานี้ ไม่กลัวโดนลมหรือ?”

เหล่านางกำนัลต่างมองหน้ากัน

ไม่ต้องพูดถึงนางกำนัล พฤติกรรมหลุดสามัญสำนึกนี้ ทำให้เจวี้ยนเอ่อร์ที่เกือบหมื่นปีมานี้ได้เห็นสถานการณ์ใหญ่น้อยมาจนชินชายังตะลึงลาน

เจวี้ยนเอ่อร์นึกโมโหอยู่ในใจ รู้สึกว่าจู่ถีน้อยไม่รู้จักมารยาท ทั้งยังเชื่อว่าที่นางไร้มารยาทเช่นนี้ เป็นเพราะถือดีว่าเหลียนซ่งรักใคร่เอ็นดู เย่อหยิ่งอวดดีเพราะถือว่าเป็นคนโปรด

กระนั้น เจวี้ยนเอ่อร์คือกษัตริย์ที่ขึ้นครองราชย์มาได้โดยผ่านเส้นทางอันลำบากยากเข็ญ ไม่เคยที่จะบุ่มบ่ามวู่วาม รู้จักอดทนเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้จึงข่มความไม่พอใจลงไปโดยไม่เอ่ยถึง เพียงยิ้มเรียบๆ

“ขอบคุณคุณชายน้อยที่ใส่ใจ ไม่เป็นปัญหาดอก”

ถึงแม้ท่าทีและปฏิกิริยาของจู่ถีน้อยยามเผชิญหน้ากับนางจะทำให้เจวี้ยนเอ่อร์ไม่ใคร่พอใจนัก แต่ก็มิได้ทำให้จังหวะของนางสับสนเช่นกัน

น้ำเสียงของเจวี้ยนเอ่อร์ไม่อาจนับได้ว่าเป็นมิตร แต่ก็ไม่ได้เย็นชา ถามสองสามประโยคว่าจู่ถีน้อยพักอยู่ในวังสบายดีไหม เสื้อผ้าอาหารพอจะถูกใจหรือไม่ จากนั้น กล่าวเหมือนไม่ได้ตั้งใจว่า

“ฝ่าบาทสามทรงเอาใจใส่คุณชายน้อยอย่างมากจริงแท้ เราได้ยินทางห้องเครื่องบอกว่า เทียนปู้เซียนจื่อยังมอบรายการแผ่นหนึ่งให้พวกเขาเป็นการเฉพาะอีกด้วย บนนั้นเขียนร่ายสิ่งที่คุณชายน้อยชอบและชังในด้านอาหารการกิน บอกว่าเขียนตามกระดาษที่ฝ่าบาทสามทรงเขียนด้วยพระองค์เอง กำชับพวกเขาว่าอาหารทั้งสามมื้อในหนึ่งวันของคุณชายน้อย ให้ทำตามในนั้นทั้งหมด”

จู่ถีน้อยนั้นเคยผ่านโลกมาแล้ว พ่อเฒ่าต้นจันทน์เองก็ตามใจนางในเรื่องอาหารการกินอย่างมากเช่นกัน ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่รู้สึกว่าการที่เหลียนซ่งทำเช่นนี้เป็นเรื่องล้ำค่าหายากอะไรนัก เอนพิงพนักเก้าอี้ พยักหน้าอย่างสุขุมเยือกเย็นยิ่ง

“อืม เหลียนซานเกอเกอดีกับข้าพอใช้ได้อยู่”

ทางฝั่งนั้นของฉากบังลมเงียบไปชั่วครู่ เจวี้ยนเอ่อร์เอ่ยเสียงอบอุ่น

“ฝ่าบาทสามทรงเวทนาสงสารผู้อ่อนแอและผู้เยาว์มาแต่ไหนแต่ไร คุณชายน้อยฐานะยากเข็ญ มิน่าเล่าฝ่าบาทสามถึงได้เวทนาเพียงนี้ อย่าว่าแต่ฝ่าบาทสามเลย แม้แต่เรา วันนี้ได้เห็นคุณชายน้อย ก็รู้สึกเวทนาเป็นเท่าตัวเช่นกัน”

นี่ดูเหมือนจะเป็นถ้อยคำที่เป็นมิตร แต่จู่ถีน้อยฟังถ้อยคำนี้แล้ว ไม่ทราบเพราะเหตุใด กลับรู้สึกแปลกๆ ชอบกล

นางฐานะยากเข็ญ คู่ควรให้เวทนา?

นี่คือว่ากันจากด้านใด?

จู่ถีน้อยงุนงงอยู่ชั่ววูบ ในศีรษะพลันสว่างวาบ นึกออกกะทันหันว่าตอนนั้นเทียนปู้หลอกถายเหยี่ยจวินไว้ว่าอย่างไร...เทียนปู้ได้แต่งชาติกำเนิดที่อเนจอนาถอย่างมากให้กับนาง มิน่าเล่า

“เอ้อ...” จู่ถีน้อยย้อนนึกถึงถ้อยคำที่สนทนากับเจวี้ยนเอ่อร์เมื่อครู่นี้อย่างรวดเร็วไปหนึ่งรอบ เลียริมฝีปาก “ข-ข้าไร้พ่อขาดแม่แต่ยังเล็ก โดยมากได้อาศัยการคุ้มครองของเหลียนซานเกอเกอ ความเวทนาสงสารของเขา ข้า...รู้สึกขอบคุณเป็นล้นพ้นจริงแท้”

ท่าทีที่ไม่มั่นหน้าอีกต่อไปเช่นนี้ของนาง ค่อยทำให้เจวี้ยนเอ่อร์สบอารมณ์ในที่สุด

ครั้งกระนั้นเจวี้ยนเอ่อร์เองก็ผ่านประสบการณ์เช่นนี้มา ย่อมจะทราบว่าเด็กกำพร้ายากไร้ที่ตระกูลตกต่ำถือสาเรื่องใดมากที่สุด

พวกเขาถือสาการสงสารเห็นใจของผู้อื่นมากที่สุด

นางมิได้รู้สึกแต่อย่างใดว่าการที่จู่ถีน้อยยังเป็นแค่เด็กน้อย ทั้งยังเป็นคุณชายน้อย จะไม่เป็นที่คุกคาม ไม่มีเหตุผลอื่น จู่ถีน้อยหน้าตาดีเกินไปจริงแท้ ตัวนางเองนั้น กาลก่อนตอนที่ฝังเมล็ดพันธุ์แห่งความรักที่มีต่อเหลียนซ่ง ก็เป็นช่วงวัยเยาว์ซึ่งยังไม่ลุวัยผู้ใหญ่และไม่ประสีประสานี่แหละ

หนึ่งหมื่นปีมานี้ นางคอยจับตาดูเหลียนซ่งอยู่ตลอดเวลา กับบรรดาหญิงงามที่เป็นแขกผ่านทางมาไวไปไวของวังหยวนจี๋เหล่านั้น ก็รู้ดีดุจนิ้วบนฝ่ามือ ในสายตาของนาง หญิงงามเหล่านั้นไม่คู่ควรให้เอ่ยถึง แต่คุณชายน้อยที่เพิ่งจะโผล่มาอย่างยิ่งใหญ่คับฟ้าเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งถูกเหลียนซ่งเอาใจใส่เป็นพิเศษ นางกลับมิอาจไม่ระแวงถือสา

ขบคิดถึงตรงนี้ เจวี้ยนเอ่อร์ถามอีกว่า

“หลังจากคุณชายน้อยลุวัยผู้ใหญ่แล้ว ได้คิดวางแผนใดไว้บ้างหรือไม่?”

หลังจากลุวัยผู้ใหญ่?

หลังจากลุวัยผู้ใหญ่ ก่อนอื่นนางต้องเลือกเป็นเทพบุตร จากนั้นดำเนินตามมรรคาฟ้า ไปปกปักรักษาโลกหล้าแห่งนี้ แต่นี่ก็ไม่สะดวกจะบอกกล่าวกับเจวี้ยนเอ่อร์ จู่ถีน้อยจึงนิ่งเงียบไป แล้ว “เอ่อ...” อีกครั้ง

เจวี้ยนเอ่อร์เพียงหลงเข้าใจว่าจู่ถีน้อยไม่เคยนึกถึงเรื่องหลังจากลุวัยผู้ใหญ่มาก่อน แย้มยิ้มบางๆ  แสร้งทำเป็นประหลาดใจ

“คุณชายน้อยเองก็ห่างจากลุวัยผู้ใหญ่อีกไม่ไกลแล้วกระมัง ยังไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลยหรือ?” เห็นจู่ถีน้อยไม่ตอบคำ ก็หยุดเล็กน้อย พูดชี้นำไปทีละขั้นด้วยน้ำเสียงเปี่ยมความอบอุ่น “เช่นนั้นคุณชายน้อยควรจะลองคิดดูได้แล้วจริงแท้ ตอนนี้ท่านยังเด็ก ฝ่าบาทย่อมจะทรงเวทนาผู้เยาว์ แต่เทพเซียนนั้นทันทีที่ลุวัยผู้ใหญ่ ก็ควรจะที่จะยืนหยัดด้วยตัวเอง คุณชายน้อยจะอยู่ที่วังหยวนจี๋ไปตลอดชีวิตไม่ได้เช่นกัน หากยังไม่ได้วางแผนใดไว้ เกรงว่าถึงเวลาเข้าจะรับมือไม่ทันเอา”

นางเกริ่นบอกเป็นนัยๆ  แล้วคลี่ยิ้ม

“แต่ว่าเราก็แค่สนทนาไปเรื่อยกับคุณชายน้อยสองสามประโยคเท่านั้น คุณชายน้อยเองก็ไม่ต้องเก็บเอาคำพูดของเราไปใส่ใจมากนัก”

คำพูดเหล่านี้ของเจวี้ยนเอ่อร์กล่าวได้อย่างมีชั้นเชิงยิ่ง หากจู่ถีน้อยคือบุตรชายตระกูลผู้ดีตกยากซึ่งมาขออาศัยอยู่ที่วังหยวนจี๋จริงๆ  เกรงว่าจะถูกฝังปมในใจเอาไว้นับจากนี้ไป หรือไม่ก็ย้ายออกไปจากวังหยวนจี๋โดยไม่รอให้ลุวัยผู้ใหญ่ แต่จู่ถีน้อยดันไม่ใช่นี่สิ

รัศมีเทพน้อยผู้มั่นใจในตัวเอง เห็นว่าการที่เหลียนซ่งมีสิทธิ์ได้มาดูแลนางอย่างใกล้ชิด เป็นความโชคดีอย่างมหาศาลของเขา ฟังถ้อยคำเหล่านี้ของเจวี้ยนเอ่อร์จบ นางก็ไม่ได้ใส่ใจนัก เพียงพูดกลบเกลื่อนอย่างขอไปที

“อืม องค์กษัตรีย์วางใจเถิด ข้าไม่มีทางเก็บมาใส่ใจหรอก”

เจวี้ยนเอ่อร์จ้องมองจู่ถีน้อยอย่างตั้งใจ รู้สึกว่าคำกล่าวตอบประโยคนี้ของจู่ถีน้อย คือการพยายามเค้นความหยิ่งในศักดิ์ศรีออกมาเล็กน้อยท่ามกลางความรู้สึกดูถูกตัวเอง แค่อวดเก่งเท่านั้น

นางพอใจนิดๆ  คิดว่านางกับจู่ถีน้อยสนทนาถึงตรงนี้ก็พอสมควรแล้ว จึงยกข้ออ้างว่าชักจะเพลีย สั่งให้นางกำนัลส่งตัวจู่ถีน้อยกลับไปตามทางเดิมเมื่อขามา

จู่ถีน้อยไปจากศาลาหลังเล็กอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ซึ่งก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องที่ได้พบเจวี้ยนเอ่อร์โดยบังเอิญสักเท่าไร เพียงเรื่องเดียวที่ทำให้นางจำได้ค่อนข้างแม่นคือ ในศาลาหลังเล็กนั่นมีผลไม้ที่นางไม่รู้ชื่อชนิดหนึ่ง ออกเปรี้ยวๆ หวานๆ  รสชาติพอใช้ได้อยู่

 

 
<>::<>::<>::<>::<>::<>



[1] ยามจื่อ คือเวลา 23:00 - 01:00 น.

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 5 พ.ย. 2568, 08:47

0 ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น