บทที่เก้า
มาถึงหุบเขาสู่ตะวันได้ยี่สิบกว่าวันแล้ว ในอุทยานวังลู่ถาย ดอกถูหมีผลิบานทั่วทุกที่ มีคำกล่าวว่า “บานถึงดอกถูหมีสิ้นงาน[1]” รอจนดอกถูหมีเหล่านี้โรยราส่งวสันตฤดูจรจาก ต้นฤดูคิมหันต์ก็จะมาเยือน
ช่วงเวลาหลายวันที่พักอยู่ในวังลู่ถาย บางครั้งบางคราวจู่ถีน้อยจะคิดว่า ตั้งแต่เมื่อไรกันหนอ ที่การที่นางจะพบหน้าเหลียนซ่ง ได้กลายเป็นเรื่องลำบากลำบนไปเสียแล้ว?
ดูเหมือนว่าเริ่มตั้งแต่ที่เจวี้ยนเอ่อร์ปรากฏตัวนั่นแหละ
ไม่กี่วันก่อนนางได้เจอเจวี้ยนเอ่อร์ รู้สึกว่าเจวี้ยนเอ่อร์ก็ไม่ใช่ว่าอยู่ห่างจากเหลียนซ่งไม่ได้ อย่างนั้นเหตุใดเหลียนซ่งถึงได้ไม่กลับตำหนักฝูหลานกันเล่า?
นางไม่อาจเข้าใจได้ รู้สึกเคืองนิดๆ แต่เจวี้ยนเอ่อร์เป็นคนป่วย ทั้งยังเป็นน้องสาวที่ผูกวาสนากับเหลียนซ่งตั้งแต่เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน นางไม่อาจว่าอะไรได้เช่นกัน
การถูกปฏิบัติของตัวนางในตอนนี้ เทียบกับสถานการณ์ตอนพวกนางอยู่ที่ป่าท้อสิบหลี่ซึ่งเหลียนซ่งวนเวียนอยู่รอบตัวนางตลอดทั้งวัน กล่าวได้ว่านางถูกหมางเมินแล้ว
จู่ถีน้อยอดถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้งไม่ได้ มิน่าเล่าเซี่ยหมิงถึงได้ไม่ยอมให้เส้อเจียมีน้องสาวรายอื่น เซี่ยหมิงอายุน้อยแค่นั้น แต่กลับฉลาดมากจริงแท้ ทั้งยังมองการณ์ไกลอีกด้วย ยังดีนะที่นางหาเรื่องเล่นสนุกเองได้ ไปตำหนักฝูปอเยี่ยมไท่จื่อที่กำลังพักฟื้นสักหน่อยทุกวัน ค่อยออกจากวังไปเดินเที่ยวตลาด ก็สนุกมากเหมือนกัน ซึ่งก็ไม่ถึงกับเที่ยวได้อึดอัดคับใจเพราะเรื่องนี้ตลอดเวลา
อินหลินอยู่เป็นเพื่อนนาง เที่ยวเตร็ดเตร่ในตลาดใหญ่ของเมืองหลวงมาได้สี่วันติดต่อกัน ยามโพล้เพล้วันที่สี่ จู๋อวี่นัดนางไปปากระบอก[2]กันที่ริมทะเลสาบอู่เสวียนในวันรุ่งขึ้น จู่ถีน้อยลองคิดดู นางหมางเมินต่อเจี่ยเม่ยน้อยผู้นี้มาหลายวันแล้วจริงๆ นั่นแหละ จึงยกเลิกหมายกำหนดการที่จะไปเปิดหูเปิดตายังบ่อนพนันของเมืองหลวง และไปที่ริมทะเลสาบอู่เสวียนในยามซื่อสามเค่อ[3]ของวันถัดมา
สนามปากระบอกถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว จู๋อวี่เองก็รออยู่ที่นั่นแล้ว ทั้งสองทักทายกันสองสามคำ แล้วเริ่มการละเล่น
จู่ถีน้อยเล่นการละเล่นนี้เป็นครั้งแรก ก็โยนลงไปแล้วสองสามดอก ตอนที่กำลังเพลินได้ที่ นางกำนัลสองนางกลับเดินนวยนาดเข้ามาจากริมฝั่งทะเลสาบ
นางกำนัลจีบปากจีบคอ ขอให้พวกนางเปลี่ยนสถานที่ บอกว่าอีกสักครู่องค์กษัตรีย์จะล่องเรือสำราญท่องทะเลสาบกับฝ่าบาทสาม ผู้ไม่มีกิจต่างต้องหลบเลี่ยง
ถึงแม้เจ้าหญิงจู๋อวี่จะเป็นเจ้าหญิงพระขนิษฐาของเผ่าวิหคคราม แต่กลับอ่อนแอ ไม่มีมาดของเจ้าหญิงพระขนิษฐาอยู่เลย มีบุคลิกใครร้ายมานางหงอกลับอย่างยิ่ง สั่งให้คนเก็บอุปกรณ์ในการเล่นทันที
จู่ถีน้อยเห็นว่าจะอย่างไรนี่ก็เป็นถิ่นของผู้อื่น กระทั่งจู๋อวี่ยังยอมรับชะตากรรมจะขอตัวแล้ว นางเองก็ไม่สะดวกใจจะทักท้วงอะไร แต่นางก็ข้องใจจริงแท้เช่นกัน ถามนางกำนัลใบหน้ารูปไข่คนหนึ่งในนั้น
“แต่ว่าเมื่อไม่กี่วันก่อน องค์กษัตรีย์ของพวกเจ้าโดนลมยังไม่ได้อยู่เลยไม่ใช่หรือ? วันนี้มาเที่ยวทะเลสาบได้แล้วหรือ?”
นางกำนัลทั้งสองนางมองหน้ากันแวบหนึ่ง แล้วเอามือปิดปากหัวเราะ
“ตอบคุณชายน้อย ฝ่าบาทสามตรัสว่าวันนี้องค์กษัตรีย์สามารถโดนลมได้เล็กน้อยแล้วเจ้าค่ะ อีกทั้งคุณชายน้อยหาทราบไม่ว่า ทะเลสาบอู่เสวียนแห่งนี้ปราณทิพย์เข้มข้นนัก ขอเพียงมีเรือแล่นอยู่บนทะเลสาบ พายแหวกผืนน้ำ ปราณทิพย์ก็จะปรากฏออกมาพร้อมกับประกายแสง เป็นม่านหมอกปกคลุมเหนือผิวน้ำ ไม่เพียงแต่เป็นทิวทัศน์อันงดงามชวนทอดถอน ลมหายใจก็สดชื่นอย่างยิ่งอีกด้วย ดังนั้นการท่องทะเลสาบ ก็เป็นการชำระจิตใจผ่อนคลายอารมณ์เช่นกันเจ้าค่ะ”
จู่ถีน้อยรู้สึกว่าคำอธิบายนี้นับว่าสมเหตุสมผลอยู่ จึงติดตามจู๋อวี่จากไปด้วยกัน แต่เดินไปได้ครึ่งทาง เกิดนึกอยากรู้ขึ้นมา นึกอยากจะเห็นทิวทัศน์อันงดงามซึ่งนางกำนัลบรรยายไว้ว่าปราณทิพย์เอ่อล้นออกมาพร้อมกับประกายแสงเหนือทะเลสาบสีมรกตขึ้นมานิดๆ จึงคว้าตัวจู๋อวี่แอบแฝงตัวย้อนกลับไปอีกครั้ง
พวกนางสองคนซ่อนตัวอยู่หลังกอดอกถูหมีกอหนึ่ง ใบสีเขียวและดอกสีขาวที่ดกหนาได้บดบังเงาร่างของทั้งสอง
กลางทะเลสาบสีมรกต เรือสำราญได้ลงน้ำ ล่องมาจากที่ไกล ไม้พายแหวกแยกผิวทะเลสาบ มีแสงเจ็ดสีส่องประกายระยิบระยับลอยขึ้นมาจริงๆ หัวเรือจัดวางโต๊ะน้ำชาตัวหนึ่ง เหลียนซ่งนั่งหันหน้าเข้าหาสตรีนางหนึ่ง สตรีนางนั้นก้มหน้าชงชา ท่วงทีกิริยางดงามมีสง่า เรือนร่างผอมบางห่อหุ้มอยู่ภายใต้เสื้อคลุมขนนกดุจขี้หนาวกระนั้น
เรือสำราญแล่นเข้ามาใกล้ริมฝั่งที่จู่ถีน้อยซ่อนตัวอยู่แล้ว
คืนนั้นจู่ถีน้อยพบหน้าเจวี้ยนเอ่อร์เพียงชั่วครู่สั้นๆ ความจริงแล้วมองเห็นหน้าตาของอีกฝ่ายไม่ค่อยชัดเจนนัก ไม่กี่วันก่อนสนทนากับเจวี้ยนเอ่อร์ผ่านฉากบังลมกั้นกลางอยู่ครู่หนึ่ง ก็ไม่ได้เห็นใบหน้าของเจวี้ยนเอ่อร์เช่นกัน ยามนี้ จู่ถีน้อยมีโอกาสได้มองหน้าอีกฝ่ายแบบจริงๆ จังๆ ในที่สุด พิจารณาดูอยู่ชั่วครู่ นางรู้สึกว่าเจวี้ยนเอ่อร์สวยสู้จู๋อวี่ไม่ได้ หน้าตาแค่นับได้ว่าหมดจดคมขำเท่านั้น ทว่าท่วงทีกิริยาของเจวี้ยนเอ่อร์โดดเด่นอย่างมาก ดูกรุ้มกริ่มสง่างามอยู่ในที
ยามเจวี้ยนเอ่อร์แบ่งชาให้เหลียนซ่ง ได้แย้มริมฝีปากเอ่ยอะไรบางอย่าง ยามเอ่ยวาจา สีหน้าได้เปลี่ยนเป็นสดใสมีชีวิตชีวา เพิ่มความละมุนละไมและงดงามให้แก่ความหมดจดคมขำนั้นอีกหลายส่วน เหลียนซ่งดื่มชาไปหนึ่งคำ ยิ้มบางๆ จากนั้นเอ่ยตอบอะไรบางอย่าง มุมปากเจวี้ยนเอ่อร์โค้งขึ้นนิดๆ นัยน์ตาทั้งคู่จับจ้องที่เหลียนซ่ง ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก แต่การจ้องมองเช่นนั้น กลับเหมือนแฝงนัยคิดใคร่เอื้อนเอ่ยทว่าชะงักลังเล
แน่นอน นัยคิดใคร่เอื้อนเอ่ยทว่าชะงักลังเลเช่นนี้นั้น จู่ถีน้อยดูไม่เข้าใจอยู่แล้ว แต่จู๋อวี่ดูเข้าใจแล้ว เอามือปิดปากนิดๆ กระซิบอย่างกระจ่างแจ้ง “ที่แท้คนที่เสด็จพี่หญิงชอบคือฝ่าบาทสามเองหรือนี่”
จู่ถีน้อยทำเสียง “เอ๋?”
เรือสำราญลำนั้นค่อยๆ แล่นไปไกล พวกนางสองคนเองก็หลบๆ ซ่อนๆ แอบแฝงกายออกไปตามเส้นทางที่แฝงกายเข้ามาอีกครั้ง ไปถึงอีกมุมหนึ่งของสวนดอกไม้ ออกมาจากทะเลสาบอู่เสวียนนั่นจนไกลลิบ
จู่ถีน้อยถามจู๋อวี่ “เมื่อกี้นี้เจ้าบอกว่าเสด็จพี่หญิงของเจ้าชอบเหลียนซานเกอเกอของข้าใช่หรือไม่?” นางอยากรู้ “ดูออกได้ยังไง?”
จู๋อวี่ย้อนถามอย่างประหลาดใจ
“สีหน้าของเสด็จพี่หญิงชัดเจนออกปานนั้น เจ้าดูไม่ออกรึ?”
จู่ถีน้อยดูไม่ออกจริงๆ นั่นแหละ นางนิ่งเงียบไปชั่ววูบ
“นี่คือ...ดูออกได้จากสีหน้าเลย?”
จู๋อวี่เหลียวซ้ายแลขวาแวบหนึ่ง เข้าไปใกล้จู่ถีน้อย พูดเบาๆ ว่า
“เสด็จพี่หญิงของข้าน่ะนะ เป็นคนรอบจัดมากเลยละ มีอำนาจอย่างมากในเผ่าวิหคครามของเรา พวกเราต่างกลัวนางกันมาก”
แล้วหยุดเล็กน้อย ลดเสียงเบาลงไปอีก แฝงความลึกลับอยู่หลายส่วน
“แต่เสด็จพี่หญิงที่อยู่ต่อหน้าฝ่าบาทสามน่ะ กลับดูมีจริตกิริยาเช่นอิสตรีปานนั้น...อีกอย่างนะ สมัยที่เสด็จพี่หญิงยังเป็นเจ้าหญิง ข้าเคยได้ยินข่าวลือว่านางมีคนที่ชอบอยู่หนึ่งคน แต่จวบจนนางขึ้นครองบัลลังก์เป็นกษัตรีย์ ก็ไม่เคยแสดงท่าทีทอดไมตรีให้บุรุษคนใดเลย...ดังนั้นข้าคิดว่า...”
นางไม่ได้พูดต่อจนจบ มองจู่ถีน้อยด้วยสายตา “เจ้าคงเข้าใจนะ”
จู่ถีน้อยเอามือลูบคางพึมพำว่า
“ขอบอกเจ้าตามตรง มีอยู่พักหนึ่งที่ข้าเองก็รู้สึกเหมือนกันว่าเสด็จพี่หญิงของเจ้าชอบเหลียนซานเกอเกอของข้า” นางย้อนนึก “แต่เทียนปู้บอกข้าว่า เสด็จพี่หญิงของเจ้ากับเหลียนซานเกอเกอของข้าเคยรู้จักกันมาก่อน ระหว่างพวกเขาคือไมตรีจิตฉันพี่ชายน้องสาว” นางยักไหล่ “แต่ข้าชอบการคาดเดาของเจ้ามากกว่า ถ้าเสด็จพี่หญิงของเจ้ากับเหลียนซานเกอเกอรักกันแบบพี่ชายน้องสาว ไยมิใช่มาแบ่งความรักฉันพี่ชายน้องชายของข้ากับเหลียนซานเกอเกอไปจนมันลดน้อยลง? อย่างไรขอแค่เสด็จพี่หญิงของเจ้าไม่ได้มาแย่งพี่ชายกับข้าก็พอแล้วละ”
ดวงหน้าสวยคมของจู๋อวี่ตะลึงพรึงเพริด
“ว่าไงนะ เสด็จพี่หญิงของข้ากับฝ่าบาทสามเคยรู้จักกันมาก่อนหรือนี่?” ทั้งยังรู้สึกว่าจู่ถีน้อยซื่อมาก อดช่วยชี้แนะด้วยความหวังดีไม่ได้ “นอกจากนี้ เหตุใดเจ้าถึงได้คิดว่าขอแค่เสด็จพี่หญิงของข้าไม่ใช่น้องสาวบุญธรรมของฝ่าบาทสาม ก็จะไม่มีทางไปแย่งพี่ชายกับเจ้าแล้ว? รู้ไว้ด้วยนะว่า เมื่อก่อนพี่ชายข้าถายเหยี่ยจวินก็ชอบข้ามาก ดีกับข้ามากๆ เลย แต่ว่านับตั้งแต่เขาแต่งงานมีภรรยา เขาก็เปลี่ยนไปละ เขาจะดีแต่กับภรรยาเท่านั้น ข้าประท้วงใส่เขา เขายังดุข้าเสียอีก บอกให้ข้าอย่าทำตัวเป็นน้องสามีใจร้าย จุดชนวนความบาดหมางระหว่างน้องสามีกับพี่สะใภ้”
สีหน้าจู๋อวี่หม่นหมอง มองหน้าจู่ถีน้อยด้วยสายตาเพื่อนร่วมชะตากรรม กล่าวแนะนำจู่ถีน้อยอย่างเห็นอกเห็นใจ
“ดังนั้น หากว่าฝ่าบาทสามกับเสด็จพี่หญิงของข้าได้ลงเอยกัน เขาจะไม่มีทางทำดีกับเจ้าเหมือนเมื่อก่อนอีกอย่างแน่นอน แถมเจ้ายังไม่สามารถโวยวายใส่เขาได้ด้วย เพราะว่าเขาจะตักเตือนเจ้าว่า อย่าทำตัวเป็นน้องสามีใจร้าย”
จู่ถีน้อยตกตะลึง นางพลันนึกขึ้นมาได้ว่า เมื่อไม่กี่วันก่อนตอนที่นางคุยกับเจวี้ยนเอ่อร์ในศาลาริมทะเลสาบอู่เสวียน เจวี้ยนเอ่อร์เหมือนจะเอ่ยมาหนึ่งประโยคว่า นางจะอยู่ที่วังหยวนจี๋ไปตลอดไม่ได้เช่นกัน...ดังนั้น นี่คือหมายถึงว่า...เจวี้ยนเอ่อร์ไม่อยากให้นางอยู่ข้างกายเหลียนซ่งไปตลอดอย่างนั้นหรือ?
อย่าบอกนะว่า นี่ก็คือที่จู๋อวี่พูดว่า “ความบาดหมางระหว่างน้องสามีกับพี่สะใภ้” ?
หากว่าเจวี้ยนเอ่อร์ลงเอยกับเหลียนซ่งได้สำเร็จจริงๆ เข้าเป็นนายของวังหยวนจี๋ แล้วจะไล่นางออกไปจริงๆ หรือ?
จู๋อวี่เห็นจู่ถีน้อยทำหน้าเครียด ไม่พูดอะไรไปพักใหญ่ นึกว่าคำพูดของนางเมื่อครู่นี้ทำให้จู่ถีน้อยตกใจกลัว ก็เกิดความรู้สึกผิด ตบไหล่จู่ถีน้อยเบาๆ กล่าวปลอบใจว่า “ที่ข้าพูดเมื่อกี้นี้น่ะ คือสมมุติสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากฝ่าบาทสามกับเสด็จพี่หญิงของข้าได้ลงเอยกัน แต่ฝ่าบาทสามไม่แน่ว่าจะได้ลงเอยกับเสด็จพี่หญิงของข้าสักหน่อย เจ้าไม่ต้องกลัวนะ...”
เหตุผลนี้มันก็ใช่อยู่แหละ แต่จู่ถีน้อยเป็นคนจำพวกเตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้า นางใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง ขอคำชี้แนะจากจู๋อวี่อย่างจริงใจยิ่ง “ถ้าเขาสองคนได้ลงเอยกันจริงๆ เจ้าคิดว่า ข้าควรทำยังไงดี? จะประนีประนอม...เอ้อ ความสัมพันธ์ระหว่างน้องสามีกับพี่สะใภ้ของข้ากับเสด็จพี่หญิงของเจ้าได้อย่างไร?”
ความสัมพันธ์ระหว่างจู๋อวี่กับพี่สะใภ้ของนางเองยังเป็นไม้เบื่อไม้เมากันอยู่เลย นางยังพอจะรู้ตัวดีอยู่ ทราบดีว่าระดับของนางไม่สามารถให้คำแนะนำที่น่าเชื่อถือใดๆ แก่จู่ถีน้อยได้ ถึงกระนั้น ในฐานะที่เป็นเจ้าหญิงซึ่งหมกตัวอ่านหนังสือละครอยู่แต่ในส่วนลึกของวังมาชั่วนาตาปี นางก็มีข้อดีของตัวเองอยู่...นางคือยอดฝีมือด้านทฤษฎีในเรื่องรักๆ ใคร่ๆ สายลมจันทรา สามารถเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาในเรื่องอารมณ์ความรักให้แก่จู่ถีน้อยได้อย่างสบายๆ
จู๋อวี่ขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“จากประสบการณ์ของข้า ทันทีที่เกิดความบาดหมางกับพี่สะใภ้ คิดจะประนีประนอมนั้น ไม่มีทางเป็นไปได้เลย” นางใช้ความคิดไปพลางพูดไปพลาง “ดังนั้น สำหรับพวกเราที่เป็นน้องชายน้องสาวแล้ว การพึ่งพาความรักระหว่างพี่น้องมากเกินไป มันใช้การไม่ได้มาตั้งแต่แรกแล้ว และไม่ยั่งยืนด้วย” นางหยุดเล็กน้อย หน้าแดงนิดๆ กล่าวถ้อยคำเปิดใจกับจู่ถีน้อย “โชคดีที่ต่อไปพวกเราเองก็จะตบแต่งกับคนที่เราชอบเหมือนกัน จะร่วมกันสร้างครอบครัวกับเขาหรือนาง และคนผู้นั้นก็จะดีกับเราด้วย”
กล่าวประโยคนี้จบ ใบหน้าของจู๋อวี่ได้แดงก่ำ เสียงก็เปลี่ยนเป็นเบาหวิวอย่างห้ามไม่อยู่ กลับยังคงแข็งใจแนะนำจู่ถีน้อย
“อย่าไปพึ่งพาพี่ชายมากปานนั้นก็ได้แล้วละ เจ้าเองก็พอจะค่อยๆ มองหาเซียนสาวน้อยที่เจ้าชอบสักนางได้เหมือนกัน ให้นางเป็นผู้อยู่เคียงข้างเจ้าตลอดชีวิตเซียนอันยาวนานหลังจากนี้”
จู่ถีน้อยฟังแล้วพยักหน้าหงึกๆ ไม่ได้หยุด เดี๋ยวก็ “อ๋อ อย่างนี้เอง” เดี๋ยวก็ “โอ้โฮ อย่างนี้เอง” นางรู้สึกว่าที่จู๋อวี่พูดมานั้นมีเหตุผล ดูไม่ออกเลยว่าจู๋อวี่จะเป็นเจ้าหญิงน้อยที่แอบฉลาดเช่นนี้
ในเมื่อพูดกันมาถึงขั้นนี้แล้ว จู่ถีน้อยยังมีอีกคำถามหนึ่งที่ไม่ค่อยเข้าใจนัก “อย่างนั้น...จะมองหาเซียนสาวน้อยที่ชอบสักนางได้อย่างไรหรือ? ข้าต้องมองหาเซียนสตรีสักนางเท่านั้นหรือ?” นางถามจู๋อวี่อย่างลังเล
จู๋อวี่รอบรู้กว้างขวาง มิได้รู้สึกว่าเซียนบุรุษจะต้องชอบเซียนสตรีเท่านั้น ดังนั้นจู่ถีน้อยไม่แน่ว่าจะต้องมองหาเซียนสตรีเท่านั้น แต่ตัวนางที่เป็นเจ้าหญิงผู้บริสุทธิ์ใสซื่อซึ่งโตมาในเหย้าในเรือน ดันแสดงออกว่าดูเหมือนจะรู้เรื่องเหล่านี้มากเกินไปมันจะไม่ค่อยดีนัก นางจึงไม่ได้ตอบคำถามของจู่ถีน้อยอย่างเต็มภูมิ ทำเสียง “อื้อ” อย่างเมินใส่มโนธรรม “อื้อ เจ้าต้องมองหาเซียนสาวน้อยสักนาง ส่วนเรื่องที่ว่าจะหาเซียนสาวน้อยที่ชอบสักนางได้อย่างไรนั้น ก็คือ...” นางอธิบายหัวข้อเกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึกที่ซับซ้อนนี้แก่จู่ถีน้อย โดยพยายามพูดให้ตื้นเขินเข้าใจง่าย “ถ้าเจ้ารู้สึกว่าเซียนสตรีนางใดหน้าตาต้องตา อยากจะเห็นหน้านางบ่อยๆ เวลาได้เห็นนาง เจ้าจะรู้สึกดีใจ และอยากจะคุยกับนาง คุยกับนางได้ถูกคอมาก รู้สึกว่าอยู่กับนางไปตลอดชีวิตก็ไม่น่าเบื่อ อย่างนั้นเซียนสาวน้อยผู้นี้ก็คือเซียนสตรีที่สามารถร่วมชีวิตกับเจ้าได้แล้วละ”
จู่ถีน้อยขบคิดใคร่ครวญคำพูดนี้ของจู๋อวี่อยู่พักหนึ่ง ค่อยๆ เผยสีหน้าตกตะลึง
“อย่างนี้เองหรอกหรือ?”
นางมองหน้าจู๋อวี่อย่างงุนงง ขอคำชี้แนะอย่างพิศวงสงสัยเป็นเท่าตัว
“ข้าคิดว่าเจ้าน่ะหน้าตางดงามมาก คุยกับเจ้าได้ถูกคอด้วย รู้สึกว่าพวกเราเล่นด้วยกันแล้วสนุกมาก ชั่วชีวิตก็ไม่มีทางเบื่อ อย่างนั้นเซียนสาวน้อยที่ข้าจะหา ก็คือเจ้าไม่ใช่หรือ?”
จู๋อวี่พยักหน้า
“อื้อ” พยักหน้าเสร็จค่อยได้สติรู้ตัว “ข้า...ข้าน่ะนะ?”
จู๋อวี่เบิกตากว้าง งุนงงไปหมด หน้าพลันแดงก่ำ ถามตะกุกตะกัก
“ท-ทำไมถึงเป็นข้าเล่า?”
จู่ถีน้อยมองหน้าจู๋อวี่อย่างหมดคำจะพูด
“ก็เจ้าบอกข้าแบบนี้เองนี่”
จู่ถีน้อยเงียบไปชั่ววูบ ทำหน้าเคร่งเครียด เหมือนได้ตัดสินใจเรื่องสำคัญยิ่ง “ความจริงแบบนี้ก็ได้อยู่ ได้เหมือนกัน”
มองดูจู๋อวี่อีกครั้งในยามนี้ ทะลุผ่านใบหน้าสวยคมของนาง จู่ถีน้อยมองเห็นดอกเหมินตงสีเขียวอ่อนอีกแล้ว กำลังสั่นน้อยๆ ตามสายลม น่าสงสารและน่ารัก นางห้ามใจไม่อยู่ ยื่นมือออกไปลูบไล้ตัวดอกของจู๋อวี่
“เฮ้อ เจ้านี่สวยจริงๆ เป็นดอกเหมินตงที่สวยที่สุดเท่าที่ข้าเคยได้พบเห็นมาแล้ว การอยู่กับเจ้าไปจนชั่วชีวิต ข้าไม่ได้ขาดทุนเลย”
พูดถึงตรงนี้ นางนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
“โอ๊ะ ข้าลืมไป เจ้าชอบไท่จื่อที่เย็นยะเยียบนี่นา” นางขมวดคิ้ว ขบคิดอยู่ชั่วแล่น จัดแจงเปลี่ยนแนวคิด หารือกับจู๋อวี่ว่า “เอาอย่างนี้เป็นไง เจ้าไม่ต้องแต่งงานกับข้าก่อนก็ได้ ไว้สักวันเมื่อเจ้าไม่ชอบไท่จื่อแล้ว เจ้าค่อยแต่งงานกับข้า ถึงตอนนั้นข้าจะพาเจ้ากลับไปที่บ้านเกิดของข้า บ้านเกิดข้าน่ะสนุกมากเลยนะ เจ้าคิดว่าได้หรือไม่?”
จู๋อวี่ยังคงตกตะลึงจังงังไม่หาย ไม่สามารถกล่าวตอบในทันทีได้ ไม่ห่างออกไปนัก กลับมีคนตอบคำถามนี้แทนนางเสียแล้ว
“ไม่ได้”
เสียงนั้นเย็นยะเยียบ ทำให้จู่ถีน้อยที่เฝ้ารอคำตอบของจู๋อวี่อย่างอดทน กับจู๋อวี่ที่ในสมองปั่นป่วนไปหมดพากันตกใจ
จู่ถีน้อยมองไปตามเสียง เห็นเหลียนซ่งซึ่งมีสีหน้าเคร่งเครียดเย็นชายืนอยู่ใต้ต้นจื่อเถิงที่ออกดอกซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่กี่จ้างต้นหนึ่ง
นางมิได้ตระหนักรู้ตัวโดยสิ้นเชิงว่าตัวเองทำความผิดและถูกจับได้คาหนังคาเขา มองเห็นเหลียนซ่ง ก็ไม่ได้ลนลานเลยสักนิด อุทาน “เอ๋” อย่างผู้บริสุทธิ์ไร้ความผิดและสงสัยใคร่รู้ “เหลียนซานเกอเกอ? ท่านมาได้ยังไงน่ะ?”
เหลียนซ่งไม่ได้เอ่ยตอบนาง ขมวดคิ้วมองหน้านางอยู่ชั่วครู่ เอ่ยออกมาอย่างเย็นชา “กลับไปกับข้า” แล้วหมุนกายเดินไปทางตำหนักฝูหลานทันทีโดยไม่รอนาง
จู่ถีน้อยตะลึงงงไปชั่ววูบ เกาะบ่าของจู๋อวี่ชะโงกเข้าไปใกล้ริมหูของอีกฝ่าย กำชับว่า “เจ้าเอาที่ข้าพูดไปลองคิดดูดีๆ นะ” จากนั้นร้องเรียกว่า “เหลียนซานเกอเกอรอข้าด้วย!” รีบเร่งฝีเท้าไล่กวดเหลียนซ่ง ตามหลังเขามุ่งหน้าไปทางตำหนักฝูหลานด้วยกัน
ยามอู่สองเค่อ[4] เดิมทีควรจะเป็นเวลารับประทานอาหารที่ผ่อนคลาย บรรยากาศภายในตำหนักฝูหลานกลับเคร่งเครียด
เทียนปู้ที่ถูกฝ่าบาทสามสั่งให้ออกไปรู้สึกงุนงงยิ่ง มองเห็นอินหลินที่ยืนใจลอยอยู่ใต้ชายคาระเบียงทางเดินในปราดเดียว คิดเล็กน้อย เดินเลี้ยวตรงไปหาอินหลิน คิดจะขอให้จุนเจ่อผู้ซึ่งลอบติดตามไปคุ้มครองจู่ถีน้อยอยู่ตลอดท่านนี้ช่วยคลายข้อสงสัยให้
อินหลินสามารถคลายข้อสงสัยให้เทียนปู้ได้จริงๆ ตอนอยู่ในอุทยาน ถึงแม้อินหลินจะอยู่ห่างจากจู่ถีน้อยกับจู๋อวี่มากพอสมควร แต่ตอนที่จู่ถีน้อยกับจู๋อวี่แอบกระซิบกระซาบคุยกันนั้น ไม่ได้ร่ายมนตร์เก็บเสียง เขาจึงได้ยินทั้งหมดว่าพวกนางคุยอะไรกัน
สิ่งที่ทำให้อินหลินติดใจมากที่สุดในบทสนทนานั้นคือ จู๋อวี่บอกว่าเจวี้ยนเอ่อร์ชอบเหลียนซ่ง
เขาเพิ่งจะเคยได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรกจริงแท้
ประมาณสามหมื่นปีก่อน หลังจากจู่ถีจบชีวิตหนึ่งชาติในฐานะมนุษย์ของนาง หวนคืนตำแหน่งที่แท้จริง และจมดิ่งสู่ห้วงหลับใหลได้ไม่นาน ความทรงจำของเหลียนซ่งก็ถูกมหาเทพตงหัวแก้ไขเปลี่ยนแปลง
หลังจากเทพวารีซึ่งลืมเลือนความรักสลักจิตที่มีต่อเฉิงอวี้ ออกจากทะเลมรกตแห่งชางหลิงกลับไปถึงสวรรค์เก้าชั้นฟ้าแล้ว ก็กลับไปเป็นองค์ชายสามแห่งเผ่าสวรรค์ผู้ “เริงเล่นแปดดินแดนยิ่งไร้หัวใจยิ่งน่าหลงใหล” ในอดีตคนนั้นอีกครั้ง เรื่องเหล่านี้ อินหลินต่างทราบดี แต่เขาก็ทราบดีเช่นกันว่าแท้จริงแล้วเรื่องระหว่างเหลียนซ่งกับบรรดาหญิงงามเหล่านั้นเป็นอย่างไร ด้วยเหตุนี้ถึงแม้เหลียนซ่งจะกลับไปเป็นชายเสเพลอีกครั้ง เขาก็ไม่เคยรู้สึกว่าเหลียนซ่งทรยศทอดทิ้งจู่ถีเลย ทว่าเจวี้ยนเอ่อร์...
สองพันกว่าปีก่อน ตอนที่อินหลินก้าวออกจากบึงมัชฌิมอีกครั้งเพื่อสืบข่าวของสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ก็เคยได้ยินเรื่องเจวี้ยนเอ่อร์เช่นกัน
เขาทราบว่าเจวี้ยนเอ่อร์พิเศษ และเคยได้ยินข่าวลือที่ว่าเหลียนซ่งเห็นเจวี้ยนเอ่อร์เป็นน้องสาว โปรดปรานเจวี้ยนเอ่อร์อย่างมาก ในตอนนั้นบุรุษเถรตรงเช่นเขาไม่ได้รู้สึกว่าเรื่องนี้มีอะไร วันนี้เพิ่งได้รู้ว่า เจวี้ยนเอ่อร์มีจิตปฏิพัทธ์ต่อเหลียนซ่ง
เช่นนั้นเหลียนซ่งเล่า?
เขาก็มีจิตปฏิพัทธ์ต่อเจวี้ยนเอ่อร์ด้วยหรือไม่?
หรือจะบอกว่า...นี่เองคือสาเหตุที่เขาทิ้งจู่ถีน้อยไว้อีกทาง ไปคอยเฝ้าอยู่ข้างกายเจวี้ยนเอ่อร์ที่บาดเจ็บทั้งวันทั้งคืน?
เมื่อนึกถึงตรงนี้ อินหลินพลันรู้สึกโมโหเดือด
สามหมื่นปีก่อน เขาเคยได้เป็นประจักษ์พยานในความรักอันลึกล้ำไม่แปรผันตราบวันตายของเฉิงอวี้ที่มีต่อเหลียนซ่ง เคยได้เห็นการพยายามดิ้นรนและทุกข์ทรมานเพราะความรักนั้นของจู่ถี เขาเคยได้ยินเสียงร่ำไห้ดุจคว้านหัวใจของนาง เคยเห็นน้ำตาเจือโลหิตของนาง เข้าใจถึงการตัดสินใจลอกไข่มุกแห่งความทรงจำออกมาของนาง ว่าเป็นเพราะเพลานั้นนางหลงนึกว่านางกับเหลียนซ่งไม่มีอนาคต สิ่งที่นางมีอยู่ คือความรักที่ไร้ความหวังทั้งยังไร้สิ้นโอกาส
แต่ผู้ใดจะไปคาดเดาได้เล่าว่าสวรรค์เบื้องบนกลับให้เวลานางเพิ่มขึ้นสามปี ให้นางฟื้นตื่นมาก่อนกำหนด?
หลังจากได้พบกับเหลียนซ่งอีกครั้ง ถึงแม้เทพธิดาผู้ย้อนคืนสู่วัยเยาว์จะลืมเลือนทุกอย่างไป กลับยังคงรู้สึกใกล้ชิดกับองค์ชายสามแห่งเผ่าสวรรค์ผู้นี้ด้วยสัญชาตญาณอยู่ดี อีกทั้งทั้งสองยังได้กล่าวคำสาบานวาจาสัตย์กลืนกระดูกต่อกันด้วยความบังเอิญอีกด้วย การนี้ทำให้อินหลินรู้สึกสะท้อนใจมิใช่น้อย และอดใจอ่อนไม่ได้เช่นกัน
เขาคือเทพบริวารที่ทำตามคำสั่งของจู่ถีอย่างเคร่งครัดที่สุด ในชีวิตนี้ไม่เคยฝ่าฝืนเทวบัญชาของจู่ถีมาก่อน แต่ก่อนหน้านี้กลับคิดอยู่เช่นกันว่า ต่อให้สามหมื่นปีก่อนจู่ถีได้ตัดสินใจที่จะลืมเหลียนซ่งไปตลอดกาล มุ่งมั่นรอคอยแต่การเซ่นสังเวย กระนั้นบางที ระหว่างนางกับเหลียนซ่งอาจจะยังพอมีโอกาสอยู่ก็เป็นได้?
เขาควรจะลืมตาข้างหลับตาข้างกับเทวบัญชาของจู่ถี ให้เขาสองคนได้เป็นไปตามวาสนาใช่หรือไม่?
ก่อนหน้านี้เขาคิดเช่นนี้มาโดยตลอด
แต่ทว่ายามนี้ ความคิดของเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว
หากว่าเหลียนซ่งมีอะไรกับเจวี้ยนเอ่อร์จริงๆ
หากว่าหลังจากผ่านเฉิงอวี้แล้ว ฝ่าบาทสามผู้นี้ยังคงสามารถหลงชอบคนอื่นได้อย่างง่ายดายปานนั้นอีก เช่นนั้นจะยอมให้จู่ถีคบค้ากับเขาลึกล้ำไปกว่านี้ไม่ได้เด็ดขาด
ตอนนี้จู่ถียังคงเป็นเด็กน้อยที่ไร้เดียงสา ต่อให้เข้าใจอารมณ์ทั้งเจ็ดแล้ว อุปนิสัยก็ยังคงคลุมเครือ การอยู่ร่วมกับเหลียนซ่งต่อไปด้วยอุปนิสัยที่คลุมเครือเช่นนี้นั้นไม่มีปัญหา แต่หากว่านางเคยชินกับการพึ่งพาเหลียนซ่งเสียแล้ว ทันทีที่นางฟื้นคืนร่างเดิม ความเคยชินนี้จะทำให้นางหลงรักเหลียนซ่งอีกครั้งหรือไม่?
แต่เหลียนซ่งกลับมีคนอื่นที่ชอบเสียแล้ว...นี่ไยมิใช่เป็นโศกนาฏกรรมอันใหญ่หลวง?
อินหลินยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห กำลังขมวดคิ้วมุ่น เทียนปู้ที่เข้ามาใกล้กลับมารบกวนความคิดของเขา
เทียนปู้กระซิบถามเขาว่า
“ข้าดูว่าฝ่าบาทเหมือนออกจะกริ้วจุนซั่งอยู่บ้าง...อินหลินจุนเจ่อติดตามข้างกายจุนซั่งอยู่ตลอด ทราบหรือไม่เจ้าคะว่าเกิดเรื่องใดขึ้น?”
อินหลินนิ่งเงียบไปชั่ววูบ
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร” เขาเอ่ยตอบอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก
จุนซั่งต้องตาดอกไม้ดอกหนึ่ง ต้องการจะขอแต่งงาน นี่นับเป็นเรื่องใหญ่โตอะไรได้? จะอย่างไรครั้งกระนั้นเพื่อให้กูหรงพอใจ เรื่องอย่างเป็นฝ่ายยอมสวมหน้ากากหยกเขียวเอง และกล่าวคำสาบานว่าจะไม่แสดงใบหน้าที่แท้จริงต่อผู้คนไปตราบชั่วชีวิต ก็จู่ถีที่อายุยังเยาว์ ยังไม่ลุวัยผู้ใหญ่นี่แหละเป็นคนทำเช่นกัน
อินหลินไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ
แต่เขาพลันนึกขึ้นมาได้ว่า ซวงเหอน่าจะรับตัวกูหรงกลับมาที่กูเหยาแล้ว หากกูหรงรู้ถึงการมีอยู่ของจู๋อวี่เข้า ไยมิใช่ครึกครื้น?
กูหรงตื่นมา ศัตรูหัวใจคนแรกที่ต้องจัดการกลับไม่ใช่เทพวารี แต่เป็นดอกเหมินตงอันงดงามบอบบางของเผ่าวิหคคราม...มันก็ น่าลุ้นไม่ใช่เล่นอยู่เหมือนกัน
ในตำหนักฝูหลาน หน้าโต๊ะแก้วผลึกสีชา[5] ฝ่าบาทสามนั่งคิ้วขมวดมุ่น เนิ่นนานไม่เอ่ยคำ
จู่ถีน้อยกลับยังคงไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร คิดแค่ว่าเหลียนซ่งพาตัวนางกลับมาที่ตำหนักฝูหลาน เป็นเพราะว่าเจวี้ยนเอ่อร์ไม่เป็นอะไรมากแล้ว เขาจึงเจียดเวลาว่างกลับมากินข้าวเป็นเพื่อนนาง
จู่ถีน้อยมองกล่องอาหารที่ยังไม่เปิดบนโต๊ะแวบหนึ่ง กระแอมเบาๆ หนึ่งที
“เหลียนซานเกอเกอ พวกเราไม่กินข้าวกันหรือ?”
“ยังไม่กินก่อน” เหลียนซ่งตอบนาง “ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”
“อ้อ” จู่ถีน้อยนั่งเรียบร้อย
เหลียนซ่งมองจู่ถีน้อย ไม่ได้เอ่ยปากในทันที หัวคิ้วขมวดมุ่น เหมือนกำลังใช้ความคิดว่าจะเกริ่นนำอย่างไรดี
นี่ไม่ใช่เรื่องปกติเลย พึงทราบว่าฝ่าบาทสามขึ้นชื่ออย่างมากเรื่องมีความฉลาดทางอารมณ์สูงและมีวาทศิลป์ สำหรับฝ่าบาทสามแล้ว การสนทนาปราศรัยกับผู้อื่น แบ่งเป็นแค่เขาคิดจะทำหรือไม่ ไม่เคยมีกรณีเขาสามารถทำได้หรือไม่ ขอเพียงเขาคิดจะทำ ไม่ว่าที่ใดเวลาใด เผชิญหน้ากับผู้ใด เขาล้วนแต่สามารถรับมือได้ดั่งใจ จัดการได้สบายๆ
ย้อนนึกดูในอดีตที่ผ่านมา ฝ่าบาทสามไม่เคยพบเจอกับช่วงเวลา จะกล่าวแก้ตัวแต่ลืมบทพูด หรือ จะสนทนากับใคร แต่ไม่ทราบจะเริ่มพูดว่าอย่างไรดี มาก่อน
ฝ่าบาทสามมองดูจู่ถีน้อย นางกลับเชื่อฟังมาก เบิ่งดวงตากลมโตทั้งคู่ มองหน้าเขาอย่างจริงใจ รอให้เขาเอ่ยปาก
กระนั้นเขาคิดแล้วคิดอีก สุดท้ายก็ได้แต่พูดออกมาหนึ่งประโยคอย่างอ่อนใจ
“เจ้าจะแต่งงานกับจู๋อวี่ไม่ได้ พรุ่งนี้ไปบอกนางให้ชัดเจนเสีย แล้วขอโทษนาง”
จู่ถีน้อยนั่งตัวตรงทันที หัวคิ้วเองก็ขมวดฉับ
“เพราะเหตุใด?”
ในฐานะที่เป็นขุนนางคุมสอบซึ่งมักจะออกเนื้อหาข้อสอบอัตนัยของสวรรค์เป็นหัวข้อเฉพาะทางเกี่ยวกับเทพจู่ถี และใช้ข้อสอบเหล่านี้มาฉุดคะแนน ฝ่าบาทสามทราบเรื่องของเทพจู่ถีเยอะมาก เขาเข้าใจในความรักใคร่ลุ่มหลงที่นางมีต่อเหล่าดอกไม้จริงๆ อีกทั้งรัศมีเทพมีความพิเศษเฉพาะในหลายๆ ด้าน เป็นต้นว่า อายุลุวัยผู้ใหญ่ ของรัศมีเทพ
เผ่าเทพแต่ละเผ่า เนื่องจากความแตกต่างของเผ่าพันธุ์ เวลาในการลุวัยผู้ใหญ่ ก็เร็วช้าต่างกัน อาทิ เผ่ามังกร เผ่าหงสา และเผ่าจิ้งจอกเก้าหาง...เผ่ามังกรและหงสาสองเผ่านี้สองหมื่นปีลุวัยผู้ใหญ่ เผ่าจิ้งจอกเก้าหางอายุสามหมื่นปีลุวัยผู้ใหญ่ นี่นับว่าลุวัยผู้ใหญ่ช้าแล้ว ในเผ่าเทพมีเซียนดินที่อายุขัยค่อนข้างสั้นบางเผ่า แค่ร้อยปีก็ลุวัยผู้ใหญ่แล้ว
ส่วนรัศมีเทพ กล่าวได้อย่างเต็มภาคภูมิว่าเป็นเทพที่ลุวัยผู้ใหญ่ช้าที่สุดในบรรดาเทพไททั้งปวง...สี่หมื่นปีถึงจะลุวัยผู้ใหญ่
เวลานี้ระดับสติปัญญาที่เหมาะสมกับอายุเซียนหนึ่งหมื่นปีนี้ของจู่ถีน้อยอยู่ที่ระดับใด ในตอนแรกเริ่มเหลียนซ่งที่เป็นคนละเผ่ากับรัศมีเทพยังจับทางได้ไม่แม่นยำนัก หลังจากอยู่ร่วมกับนางมาหนึ่งเดือน เขาจึงพอจะได้ข้อสรุปหนึ่งมา : นางใกล้เคียงกับเด็กมนุษย์วัยเก้าถึงสิบขวบโดยประมาณ
เมื่อครู่นี้ ตอนที่ท่องทะเลสาบกับเจวี้ยนเอ่อร์ เขาก็สังเกตเห็นจู่ถีน้อยกับจู๋อวี่ที่หลบๆ ซ่อนๆ แอบอยู่ด้านหลังกอดอกถูหมีบนฝั่งแล้ว เนื่องจากอยากรู้ว่าพวกนางสองคนกำลังทำอะไรกันลับๆ ล่อๆ เขาจึงลงจากเรือตามพวกนางมา กลับพบว่าจู่ถีน้อยลูบแก้มของจู๋อวี่อย่างทะลึ่ง พูดเสียงนุ่มกับจู๋อวี่ว่า
“เจ้านี่สวยจริงๆ เป็นดอกเหมินตงที่สวยที่สุดเท่าที่ข้าเคยได้พบเห็นมาแล้ว การอยู่กับเจ้าไปจนชั่วชีวิตข้าไม่ได้ขาดทุนเลย”
รัศมีเทพน้อยที่ระดับสติปัญญาแค่พอๆ กับเด็กน้อยวัยเก้าถึงสิบขวบ กลับกำลังขอหญิงสาววัยแรกรุ่นแต่งงาน
ได้เห็นภาพฉากนี้ ได้ยินประโยคนี้ ฝ่าบาทสามถึงกับตั้งสติไม่ทันกะทันหัน นึกว่าตัวเขาเห็นภาพหลอนเสียอีก จากนั้นยังได้ยินนางเสนออีกว่า สามารถรอจนจู๋อวี่ไม่ชอบเยี่ยหัวแล้ว ค่อยมาแต่งงานกับนางอะไรนั่น เขาจึงค่อยรู้สึกว่านี่คือความจริงขึ้นมาเล็กน้อย และแทบจะโมโหจนเผลอหัวเราะ : ท่าทีที่อ่อนโยนดุจสายลมกับบรรดากูเหนี่ยงทั้งหลายนี่ กลับเป็นนักรักโดยธรรมชาติเทียวนะ
เพลานั้นฝ่าบาทสามนึกโมโหอยู่บ้างจริงแท้ แต่ยามนี้เมื่อใจเย็นลงแล้วและมาลองคิดดู นั่นเป็นแค่เด็กน้อยที่ไม่ประสีประสาเท่านั้น โมโหนางไป นางจะไปเข้าใจอะไรเล่า?
นางยังถามเขาอย่างไม่ประสีประสาเลยว่า เหตุใดนางจึงไม่สามารถแต่งงานกับจู๋อวี่ได้?
ฝ่าบาทสามคิดในใจ เพราะว่าในวันหน้าเจ้าถูกกำหนดแล้วว่าจะกลายเป็นเทพธิดาน่ะสิ เจ้าจะแต่งงานกับนางได้อย่างไร?
แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลที่สามารถกล่าวออกมาให้ตัวนางในยามนี้ฟังได้
ฝ่าบาทสามนิ่งเงียบไปชั่วแล่น แต่งคำตอบหนึ่งมาตอบจู่ถีน้อย
“เพราะว่าตอนนี้เจ้าไม่ใช่กระทั่งเด็กผู้ชายเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงไม่สามารถแต่งงานกับองค์หญิงจู๋อวี่ได้”
จู่ถีน้อยเถียงทันทีว่า “แต่หลังจากข้าลุวัยผู้ใหญ่แล้ว จะต้องเลือกเป็นเซียนบุรุษอย่างแน่นอน ข้าหมั้นกับนางตอนนี้ก่อนไม่ได้หรือ?”
นางกล่าวได้มีเหตุผลอย่างมาก เขาแทบจะโดนนางกล่อมสำเร็จแล้วเทียว เห็นได้ชัดว่าการยกเรื่องเพศมาอ้างนั้นไม่ได้ผลเสียแล้ว ฝ่าบาทสามบีบหว่างคิ้วเปลี่ยนแนวคิด กล่าวกับนางอย่างอดทนว่า
“เจ้ารู้สึกว่าจู๋อวี่คือดอกไม้ที่สวยที่สุดเท่าที่เจ้าเคยพบเห็นมา เจ้าจึงชอบนาง อยากจะแต่งงานกับนาง แต่ตอนนี้เจ้ายังเด็ก ในวันหน้าเจ้าจะได้ไปยังฟ้าดินที่กว้างใหญ่ไพศาลยิ่งกว่านี้ ได้พบเห็นผู้คน สัตว์” ฝ่าบาทสามชะงักนิดๆ เพิ่มไปอีกหนึ่งสิ่งตามสภาพการณ์ของจู่ถีน้อย “แล้วก็ดอกไม้ที่มากมายยิ่งกว่านี้ ถ้าหลังจากนี้เจ้าได้พบกับดอกไม้ที่สวยยิ่งกว่า ดอกไม้ที่เจ้าอยากจะแต่งงานด้วยเปลี่ยนเป็นดอกไม้ที่สวยยิ่งกว่าต้นนั้นเสียแล้ว แต่เจ้าพบว่าเจ้าได้หมั้นหมายกับจู๋อวี่ไปแล้ว ถึงตอนนั้นเจ้าจะทำอย่างไร?”
จู่ถีน้อยกล่าวอย่างกำปั้นทุบดิน
“งั้นข้าก็แต่งอีก แต่งมันทั้งหมดไง”
ฝ่าบาทสาม “......”
จู่ถีน้อยไม่รู้สึกโดยสิ้นเชิงว่าคำตอบนี้ของนางสารเลวอย่างมาก นางยังคงมีเหตุผลอย่างยิ่งอยู่เช่นเดิม
“เพราะว่าเหลียนซานเกอเกอเองก็มีหญิงงามตั้งเยอะแยะเหมือนกันนี่ ท่านดูสิ ท่านเองก็ไม่ได้ไม่รับหญิงงามคนก่อนหน้าเข้าสู่วังหยวนจี๋ เพราะในวันหน้าจะได้พบเจอหญิงงามที่ดียิ่งกว่าเหมือนกันใช่ไหมเล่า?”
ฝ่าบาทสาม “......”
ฝ่าบาทสามนึกนับถือที่นางยกเหตุผลมาอ้างได้เก่งมาก โมโหจนหัวเราะ
“ข้าไม่ได้ชอบหญิงงามพวกนั้น ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจว่าพวกนางจะเป็นอย่างไร แต่เจ้าชอบดอกไม้ของเจ้า หากในวันหน้าเจ้าได้พบกับดอกไม้ตามชะตาลิขิตของเจ้า แต่นางกลับไม่ยอมลงเอยกับเจ้าเพราะว่าเจ้าเคยมีดอกไม้อื่นๆ มากมายมาก่อน ถึงตอนนั้นเจ้าจะทำยังไง เจ้าจะทำอย่างไร?” กล่าวถ้อยคำเหล่านี้จบ ฝ่าบาทสามตะลึงเหม่อไปชั่ววูบ ตัวเขาเองยังรู้สึกว่าตัวเองบ้าบอเลย
ดอกไม้ตามชะตาลิขิตอะไรกัน นี่มันเรื่องเหลวไหลอะไรกันเนี่ย
แต่ว่าคำพูดที่บ้าบอเหล่านี้กลับทำให้จู่ถีน้อยตกตะลึงจังงังได้จริงๆ เห็นนางขมวดคิ้วมุ่นอย่างเคร่งเครียดจริงจัง ราวกับกำลังขบคิดใคร่ครวญ แต่คิ้วนั้นขมวดอยู่เพียงไม่นาน เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมองฝ่าบาทสาม คิ้วที่ขมวดก็คลายออกอีกครั้ง ยักไหล่อย่างไม่อินังขังขอบ
“นั่นมันยังอีกตั้งนาน ถึงตอนนั้นข้าค่อยคิดก็แล้วกัน”
ฝ่าบาทสามไม่อาจยอมให้นางหลบเลี่ยงได้
“ถ้าเกิดเจ้าได้พบเข้าในวันพรุ่งนี้เล่า?”
จู่ถีน้อยไม่เชื่อสักนิด
“ไม่มีทางละมัง? เหลียนซานเกอเกออายุตั้งเจ็ดหมื่นกว่าปีแล้ว ท่านก็ยังไม่ได้พบกับคนตามชะตาลิขิตของท่านเลยนี่”
เห็นเหลียนซ่งเงยหน้าขึ้นมองนาง นางหยุดเล็กน้อย กล่าวอย่างจริงใจว่า
“ไม่ได้เจตนาจะล่วงเกินท่านนะ” นางกระแอมหนึ่งที “ที่สำคัญคือข้าอยากจะพูดว่า ท่านอายุตั้งเจ็ดหมื่นกว่าปีแล้ว ก็ยังไม่ได้พบกับคนในชะตาลิขิตคนนั้น ไม่ได้กลัดกลุ้มทุกข์ใจที่นางไม่ยินดีรับไมตรีจากท่าน เพราะถือสาที่ในอดีต ข้างกายท่านมีหญิงงามอยู่มากมาย อย่างนั้นกว่าข้าจะเจอกับปัญหาเรื่องนี้ อย่างน้อยก็ต้องอีกสี่ห้าหมื่นปีให้หลังแน่นอนนี่นา” นางมองหน้าเหลียนซ่งอย่างมั่นใจเต็มที่ “เหลียนซานเกอเกอฉลาดออกปานนี้ ถึงตอนนั้นจะต้องคิดหาวิธีได้แล้วแน่ๆ ข้าลอกตามวิธีของท่านก็ได้แล้ว ไม่เห็นต้องกังวลเลยสักนิด” พูดพลางนางยิ้มบางๆ รู้สึกว่าตัวเองฉลาดมาก พยักหน้าหงึกๆ ให้ตัวเอง
“เหลียนซานเกอเกออายุตั้งเจ็ดหมื่นกว่าปีแล้ว ท่านก็ยังไม่ได้พบกับคนตามชะตาลิขิตของท่านเลย ไม่ได้กลัดกลุ้มทุกข์ใจที่นางไม่ยินดีรับไมตรีจากท่าน เพราะถือสาที่ในอดีต ข้างกายท่านมีหญิงงามอยู่มากมาย...”
คำพูดนี้เข้าสู่โสต หัวใจของเหลียนซ่งจุกวูบอย่างห้ามไม่อยู่ ตามด้วยเจ็บแปลบ เขายกมือขึ้นกุมอกอย่างเผลอไผล ข่มความเจ็บปวดนั้นลง คิ้วขมวดมุ่น
จู่ถีน้อยเห็นเขาเป็นเช่นนี้ ก็เกิดความรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนิดๆ อย่างเพิ่งจะเอะใจ
“ท-ท่านเป็นอะไรไปเหลียนซานเกอเกอ? ท่านโกรธแล้วหรือ?”
เวลานี้ภายในใจของฝ่าบาทสามปั่นป่วนสับสนไปหมด ความรู้สึกนั้น ราวกับว่าภายในอกมีผืนทะเลเอ่อขึ้นมา ใต้ทะเลมีกระแสคลื่นที่เชี่ยวกรากมากมาย หมายจะทะลวงพ้นผิวน้ำขึ้นไปก่อตัวเป็นเกลียวคลื่นยักษ์ กลับเนื่องจากมิได้สบกับโอกาสที่เหมาะสม จึงได้แต่ถูกสะกดไว้อย่างแน่นหนาอยู่ภายใต้ผืนน้ำนิ่ง
ปั่นป่วน ความอึดอัดเพราะถูกสกัดกั้น ความรู้สึกใจหายที่ไม่ทราบมาจากที่ใด ความเจ็บปวดที่ไม่อาจอธิบายให้ชัดเจนได้...ความรู้สึกเหล่านี้ได้พลุ่งขึ้นมาห่อหุ้มเขาไว้โดยพร้อมเพรียง ทำให้ฝ่าบาทสามไม่เหลือความคิดที่จะสนทนาหัวข้อนี้กับจู่ถีน้อยต่อ
เนื่องจากภายในใจหงุดหงิดสับสน เขาได้สูญเสียความอดทนที่มีต่อจู่ถีน้อย ขมวดคิ้วกล่าวถ้อยคำรุนแรงที่เย็นชาต่อนางอย่างหาได้ยาก
“แล้วแต่เจ้าเถอะ ข้ายุ่งเรื่องของเจ้าไม่ได้”
การหมดความอดทนอย่างกะทันหันของเหลียนซ่งทำให้จู่ถีน้อยตะลึงงันนิดๆ
หนึ่งเดือนที่ผ่านมา ไม่ว่านางจะซุกซนมากเพียงใด เขาก็มักจะใจดีกับนางมากเสมอ พอมีน้องสาวที่เชื่อฟังอย่างเจวี้ยนเอ่อร์ เขาก็ไม่ชอบเจ้าตัวยุ่งอย่างนางแล้วจริงๆ สินะ
พอนึกถึงว่าอาจจะเป็นเพราะเหตุผลนี้ จู่ถีน้อยก็อดโมโหขึ้นมาบ้างไม่ได้ มือที่เดิมทีกุมแขนเสื้อของเหลียนซ่งได้คลายออก กลับไปนั่งที่เก้าอี้หน้าตึง แค่นเสียงเฮอะ
“เดิมทีท่านก็ไม่ต้องมายุ่งอยู่แล้ว”
คิดดูแล้วยิ่งโมโหเดือด ลุกพรวดขึ้นยืนวิ่งตึกๆๆ ไปถึงประตูตำหนัก แค่นเสียงเฮอะอีกครั้ง
“เดิมทีท่านก็ไม่ต้องมายุ่งอยู่แล้ว!” พูดพลางแลบลิ้นหลอกใส่ ทั้งโมโหทั้งน้อยใจ แล้ววิ่งออกไปจากตำหนักฝูหลานด้วยอารมณ์โมโหที่มีมากกว่าน้อยใจ
ทิ้งให้ฝ่าบาทสามนั่งตกตะลึงจังงังอยู่ในตำหนักเพียงลำพัง
เทียนปู้พอจะทราบอยู่เลาๆ ว่าฝ่าบาทสามกับจู่ถีน้อยทะเลาะกัน
บ่ายวันนี้ ฝ่าบาทสามรั้งอยู่ในตำหนักฝูหลานโดยมิได้จากไป อ่านหนังสือไปสองสามหน้า เขียนหนังสือไปสองสามตัว ดูแล้วเหมือนเรื่อยเฉื่อยสบายอารมณ์อย่างมาก แต่เทียนปู้ดูออกว่า ความจริงแล้วฝ่าบาทสามใจลอยนิดๆ อยู่ตลอด
หลังจากจู่ถีน้อยวิ่งออกไปแล้ว ก็ไม่ได้กลับเข้ามาอีกเลย ถึงแม้ฝ่าบาทสามจะไม่ได้สั่งไว้ และเทียนปู้เองก็ทราบดีว่าอินหลินคอยติดตามจู่ถีน้อยไปตลอดทาง ไม่มีทางเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้ แต่นางมีนิสัยระมัดระวังรอบคอบ ยังคงส่งคนของทางวังไปเที่ยวตามหาอยู่ดี
ยามพลบค่ำ เทียนปู้ได้ทราบจากคนของทางวังว่า จู่ถีน้อยไปเดินเล่นเรื่อยเปื่อยที่นอกวังหลวงตลอดทั้งบ่าย ก่อนจะปิดประตูวังถึงค่อยกลับมา กลับมาแล้วก็ไปที่ตำหนักฝูปอ ไม่ทราบเช่นกันว่าไปเยี่ยมไท่จื่อหรือไปขออาศัยกินข้าว สรุปว่านางไม่ได้คุยกับไท่จื่อสักกี่คำ แต่แบ่งข้าวของไท่จื่อไปกินไม่ใช่น้อย หลังจากกินข้าวเสร็จ นางอ้างว่าอยากขออยู่ค้างเพื่อดูดอกโยวถานราตรีในสวนของตำหนักฝูปอแย้มบาน ไท่จื่ออนุญาต นางจึงอยู่ค้างที่เรือนรองของตำหนักฝูปอ
เทียนปู้รายงานความเคลื่อนไหวของจู่ถีน้อยกว่าครึ่งวันมานี้ตั้งแต่ต้นจนจบอย่างละเอียดครบถ้วนต่อฝ่าบาทสาม ฝ่าบาทสามไม่ได้เอ่ยอะไร นั่งในตำหนักอีกครู่สั้นๆ ก็ลุกขึ้นกลับไปที่หอกลางน้ำริมทะเลสาบอู่เสวียน
จู่ถีน้อยนึกไม่ถึงว่า นางออกมาผ่อนคลายอารมณ์ที่ข้างนอกตลอดทั้งบ่ายเข้าไปแล้ว หลังจากกลับวังก็ยังคงรู้สึกโมโหอยู่เลย
ในเรือนรองของตำหนักฝูปอ จู่ถีน้อยเอามือกอดอกนอนบนเตียงหยกทั้งชุดเดิม นับในใจว่าตัวนางโมโหมาได้กี่ชั่วยามแล้ว ตอนที่เพิ่งจะนับถึง “สี่ชั่วยามครึ่ง” พลันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ผิดปกติจางๆ สายหนึ่ง
มีคนกำลังใช้มนตร์นิทรา ทั้งยังเป็นมนตร์นิทราที่แข็งแกร่งอย่างมากอีกด้วย
ที่บังเอิญคือ วิชาฤทธิ์ทุกชนิดที่มีจุดมุ่งหมายในการควบคุมเทวอาตมัน ล้วนแต่ใช้ไม่ได้ผลกับรัศมีเทพทั้งสิ้น
จู่ถีน้อยเครียดเขม็งนิดๆ กำลังจะลุกจากเตียงมาดูว่าเกิดเรื่องใดขึ้น พลันได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาอย่างสงบและผ่อนคลาย นางรีบทิ้งตัวลงนอน แสร้งทำเป็นหลับทันที
เสียงฝีเท้านั้นเคลื่อนจากไกลเข้ามาใกล้ เลี้ยวผ่านฉากกั้นห้อง มาถึงตรงหน้าเตียงหยกของนาง
จากนั้นมีเสียงฝีเท้าซอยถี่ๆ เสียงหนึ่งมาถึงใกล้ๆ ด้วยเช่นกัน
ในตอนที่เสียงฝีเท้าซอยถี่ๆ นั้นหยุดลง คนที่มาถึงก่อนตรงข้างเตียงของนางได้ส่งเสียงขึ้น
เสียงของสตรีสาว ใสและเย็น ไพเราะจับใจ แฝงอารมณ์เกียจคร้านนิดๆ และประหลาดใจนิดๆ
“หมีกู่ นี่เขา...ดูไม่ค่อยจะเหมือนกับตอนที่พวกเราได้เห็นเขาเมื่อครั้งก่อนหรือเปล่านะ?”
จากนั้นเสียงบุรุษวัยหนุ่มเสียงหนึ่งได้ดังขึ้น ทุ้มต่ำนิดๆ แฝงอารมณ์อ่อนใจนิดๆ
“กูกู ท่านเข้าประตูผิดแล้ว ที่นี่คือเรือนรอง ที่ที่องค์ไท่จื่อพักฟื้นคือเรือนประธานที่อยู่ติดกันต่างหากขอรับ”
<>::<>::<>::<>::<>::<>
[1] ดอกถูหมีคือดอกไม้ที่บานให้เห็นนานที่สุดของฤดูใบไม้ผลิ ตอนที่ดอกถูหมีเลิกงาน (ดอกร่วงโรย) ดอกไม้ชนิดอื่นที่บานในฤดูใบไม้ผลิต่างชิงร่วงโรยกันไปก่อนแล้วจนหมด (ดูภาพที่ x หน้า x)
[2] ปากระบอก วิธีเล่นคือวางกระบอกไว้ห่างออกไปพอสมควร แล้วปาลูกธนูออกไปให้ลงกระบอก ใช้วิธีนี้นับคะแนน (ดูภาพที่ x หน้า x)
[3] ยามซื่อสามเค่อ คือเวลา 9:30 - 9:45 น.
[4] ยามอู่สองเค่อ คือเวลา 11:16 - 11:30 น.
[5] แก้วผลึกสีชา คือ Smoky Quartz